ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ALIVE or DEAD

    ลำดับตอนที่ #41 : บทที่ 40 สิ่งที่ซ่อนอยู่

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 177
      2
      27 พ.ย. 58

    บทที่ 40  สิ่งที่ซ่อนอยู่ 

    "ฟ้าใส! เมฆทำอะไรอยู่รีบไปตามเธอเร็วเข้า!"

      ขวัญข้าวที่กำลังกระวนกระวายอยู่ตอนนี้  หันมาบอกผมที่กำลังยืนงุนงงอยู่  ผมที่ได้สติหลุดออกจากภวังค์ของคำพูดของฟ้าใสนั้น  ก็พยักหน้าให้ขวัญข้าวแล้วจับมือของขวัญข้าววิ่งตามทางที่ฟ้าใสวิ่งไป

    แต่พอมาถึงทางๆหนึ่ง  ก็ทำให้พวกเราที่กำลังวิ่งตามฟ้าใสอย่างร้อนรนนั้นต้องหยุดลง

    เมื่อมันเป็นทางแยกหลายทาง....

     

    " ทะ...ทางไหนละเนี่ย  "

     ผมมองไปที่ทางแยกทั้งสามอย่างกังวล   และผมก็ทำท่าเหมือนจะเดินเลือกซักทางด้วยความรวดเร็ว  เพราะกลัวว่าฟ้าใสจะไปไกลจนพวกเราตามไปไม่ทัน  ใช่....เป็นความผิดของผมทั้งหมด 

     

    หมับ!

    " เมฆเดี๋ยวก่อนอย่าไป!"

    จู่ๆขวัญข้าวก็ดึงมือของตัวเองที่กำลังถูกผมดึง  ดึงกลับไป

     

    " ทำอะไรของเธอขวัญข้าวพวกเราต้องรีบตามฟ้าใสไปนะ  ถ้าเกิดหลงขึ้นมาจะทำยังไง!"  ผมชักหน้ากลับไปถามขวัญข้าวอย่างอารมณ์เสีย 

    " ฟ้าใสน่ะไม่หลงหรอก เพราะเธอรู้ทางที่นี่ดี  แต่พวกเราน่ะสิ...."

     ขวัญข้าวพยายามค่อยๆพูดค่อยๆจากับผมอย่างใจเย็น  โดยไม่สนใจคำพูดที่ฉุนเฉียวและอารมณ์ร้อนของผม

     

    " แล้วเธอจะให้ทำไง!"

     ผมตะโกนกลับใส่เธอ  เธอขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจเล็กน้อย  ก่อนจะพูดต่อ

    "กลับไปทางเดิมของเรา  ถึงฉันจะเป็นห่วงฟ้าใสเหมือนกันแต่เธอเอาตัวรอดเองได้แน่  แต่ถ้าเราตามเธอไปเราอาจจะหลงทางจนต้องตายอยู่ที่นี่แน่  เพราะฉะนั้นตอนนี้เรารีบหาทางออกจากเขาวงกตชั้นใต้ดินนี่ให้ได้ก่อน  แล้วก็ไปหาพวกขาน  ฉันคิดว่ายังไงฟ้าใสต้องหาทางไปที่นั่นแน่"

      ขวัญข้าวค่อยๆพูดอย่างใจเย็นให้ผมฟัง  ผมก็พยายามฟังคำพูดของเธอทีละเล็กทีละน้อย  จนใจเย็นลงได้

     

    " แล้วเธอแน่ใจได้ไงว่าฟ้าใสจะกลับไปหาพวกขาน  ฉันคิดว่า.....ถ้าฉันเป็นฟ้าใส  ก็ต้องรู้ว่าพวกเราไม่รู้ทางที่นี่ดีพอหรอกและก็ต้องกังวลว่าพวกเราจะหลงทาง  ดังนั้นเธออาจจะแอบตามเรามาก็ได้ 

    ไม่ก็อีกอย่าง.....ถ้าเธอยังโกรธฉันอยู่  คงปล่อยทิ้งพวกเราไว้แบบนี้นั่นแหละ....."

       ผมบอกกับขวัญข้าว  พอนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาผมก็รู้สึกเป้นกังวลต่อความรู้สึกของเธอจริงๆ  ผมไม่เคยโดนเธอว่าขนาดนั้นมาก่อนเลย  และผมเอง

    ....ก็ไม่ได้คิดเลยว่าเธอจะรักผม...

     

    "เอาเป็นว่าตอนนี้พวกเราพยายามหาทางออกจากที่นี่ด้วยตัวเองก่อนละกัน   ไม่ต้องห่วงฟ้าใสหรอก....ไปกันเถอะ"  ขวัญข้าวพูดจบก็ยิ่มเล็กๆมาให้  แต่ผมก็ดูออกว่าเธอเองก็กังวลและเป็นห่วงฟ้าใสอยู่เหมือนกัน

    ขวัญข้าวพูดจบก็เดินตรงกลับทางเดิมไป....

    จะว่าไปฟ้าใส....เธอรักผมตอนไหนกันนะ

    .....ผมรู้สึกดีจริงๆ ไม่คิดว่าคนสวยๆอย่างเธอจะมาชอบคนหน้าตาธรรมดาอย่างผม  

    แต่ถึงหยั่งงั้น....ผมก็ยัง....

    ตูม!!!

    "เอ๊ะ?/เอ๊ะ?"  

    จู่ๆขณะที่ผมกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดนั้น  ก็มีเสียงเหมือนอะไรขนาดใหญ่ตกลงมาจากที่สูงยังไงหยั่งงั้น   ผมที่กำลังเหยียบกับพื้นอิฐที่มีเศษทรายหน่อยๆอยู่นั้น  ก็หันคบเพลิงไปทิศทางที่มีเสียงนั่น

    "ขวัญข้าวเธอได้ยินเหมือนฉันมั๊ย....เสียงนั่นน่ะ"

    "อะ...อื้อ  มันมาจากทางที่พวกเรามาในตอนแรกนี่  ตรงจุดที่เราตกมาจากข้างบน...เอ้ะ!หรือว่า!"   ขวัญข้าวทำหน้าเหมือนคิดอะไรแปปนึงก่อนจะพูดขึ้นมา

    "มีคนตกลงมาอย่างงั้นสินะ"   ผมก็พูดคำพูดที่คิดว่าขวัญข้าวจะพูดออกมา

     

    "อืม พวกเราลองไปดูกันมั๊ย  อาจจะเป็นพวกวัฒน์ วิยดา หรือพวกข้าวต้มก็ได้"

      ขวัญข้าวเสนอความคิดขึ้นมา  ผมไม่ตอบอะไรได้แต่พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยกับความคิดนั้น  แต่ก่อนที่ผมจะทำท่าเดินไปที่มาของเสียงนั่น

    ความสามารถของระแบบประสาทผมก็ดันทำงานดีขึ้นมาซะงั้น...

    "อึ้ก! 

     จู่ๆก็รู้สึกปวดจี๊ดที่หัว  เหมือนจะระเบิดออกมายังไงหยั่งงั้น   อาการแบบนี้มัน....กำลังบอกว่าอันตรายกำลังเข้ามา

    "เมฆเป็นอะไรอาการนั่น...เอ๊ะ!

    ขวัญข้าวที่กำลังเดินเข้ามาประคองอย่างเป็นห่วง   ผมก็นำมือทำท่าให้เธอเงียบลง  จากนั้นผมก็หลับตา  เพื่อฟังเสียงที่อยู่ห่างออกไป

     

    ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง!!!!!!!!!!!!!!!

    "แย่แล้วมีบางอย่างกำลังวิ่งมาทางนี้  รีบหนีกันเร็วขวัญข้าว!"

    หมับ!

    "เดี๋ยวสิ! เมฆอาจจะเป็นพวกวัฒน์ก็ได้  เธอฟังดีแน่แล้วเหรอ"  ขวัญข้าวที่กำลังโดนผมวิ่งจูงมือลากไปทางที่ห้องขนาดใหญ่ที่ผมกำลังจะไปในตอนแรก  ขัดขึ้นมาด้วยความตกใจในท่าทีของผม

     

    "......ฉันว่าไม่แล้วละเธอลองหันไปดูเอาเองละกัน.." 

      ผมพาเธอวิ่งต่อโดยเหลือบมองหลังนิดนึง  ก่อนจะหันหน้ากลับมาแล้วจูงมือเด็กสาวพาวิ่งไปอย่างเร็วพร้อมกับทิ้งคบเพลิงที่อยู่ในมือ

    ขวัญข้าวถึงจะเกือบวิ่งล้มไปหลายครั้ง  แต่เธอก็พยายามวิ่งให้ทันการวิ่งของเด็กหนุ่ม  ก่อนเธอจะหันหลังเหลือบไปมองอะไรบางอย่างที่เด็กหนุ่มบอก  ด้วยสีหน้าที่ซีดเผือก

     

    "!!"

    เด็กสาวพอหันไปตามที่เด็กหนุ่มบอก  เธอก็เบิกตาโพลง  เมื่อเห็นว่าคนที่กำลังวิ่งตามหลังมาอย่างบ้าคลั่งนั้น  คือ  ฆาตกรถือค้อน!!!!!!

    "ฆาตกร!

     ขวัญข้าวอุทานขึ้นด้วยความตกใจและหวาดกลัว  ในขณะที่ผมกำลังพาเธอวิ่งตรงโดยไม่สนใจสิ่งที่วิ่งตามหลังมา  เพราะกลัวว่าถ้ามัวแต่สนใจมันไม่ตั้งใจวิ่งให้ดี   อาจจะตกเป็นเหยื่อของมันก็ได้

    ตึก ตึก!

    "วิ่งเร็วเข้าขวัญข้าว!"   ผมหันไปบอกเธอที่ดูท่าเหมือนจะวิ่งช้าลง 

    "รู้แล้วไม่ต้องห่วงเห็นงี้ฉันก็นักกีฬานะ....แฮ่ก" 

     ขวัญข้าวยิ้มให้เล็กน้อยด้วยใบหน้าที่กลัวๆปนความเหนื่อย  แต่เธอก็รู้สึกเหมือนฝืนร่างกายตัวเอง  เธอพยายามวิ่งเร็วกว่าเดิม

    "แฮ่ก แฮ่ก จะถึงแล้ว!"

    "อื้อออออื้อออออ!!!!!"

    ผมพูดขึ้นมาด้วยท่าทีเหมือนหายใจติดขัด  กับเสียงของฝ่ายไล่ล่าที่ตะโกนขู่ขึ้น

    ตึง ตึง!

    " หือ?"

    ผมกับขวัญข้าวที่กำลังมองทางข้างหน้าก็พบว่าห้องขนาดใหญ่นั่นอยู่แค่เอื้อมแล้ว   แถมมังยังมีประตูเหล็กอีกด้วย  พวกเราต้องรีบวิ่งเข้าไปในนั้น  แล้วรีบล๊อคประตูนั่น!

    แต่เราจะไปถึงรึเปล่านะ.....ความเร็วของมันไม่ลดลงเลยมีแต่เรา

    ฟ้าว!

    "หือ?เฮ้ย!!"

    ผมที่รู้สึกว่าเหมือนมีเสียงอะไรบางอย่างกำลังลอยเข้ามาก็หันไปดู  แล้วพบว่ามันคือค้อนยักษ์ของไอ้ฆาตกรนั่นปามาด้วยความแรง  และค้อนนั่นอยู่ตรงหน้าผม....

    ตูม!!!

    "กรี๊ด!!!"

    ผมจับขวัญข้าวและพาตัวเองล้มลงหลบไปนอนกองกับพื้นอย่างทันเฉียดฉิว   ค้อนนั่นกระเด็นไปโดนกำแพงอิฐจนแตกร้ายก่อนจะหล่นลงมาตรงหน้าพวกเรา 

    "ฮึ้ย!บ้าเอ๊ย! ขวัญข้าวรีบวิ่งหนีไป   ฉันจะอยู่ถ่วงเวลามันให้  รีบไปซะ!"

      ผมนอนฟุบอยู่กับพื้นและกำลังจะพยุงตัวเองขึ้นมาก็มองไปเห็นว่าฆาตกรมันมาแล้ว   ผมคิดว่าพวกเราคงวิ่งหนีต่อไปไม่ได้แล้ว   แต่อย่างน้อยก็ขอให้ขวัญข้าวหนีไปได้ทันก็ยังดี  ผมจะไม่ปล่อยให้ใครตายอีกแล้วถ้าชีวิตของผมช่วยได้อีกหนึ่งชีวิตมันก็คุ้มกว่าตายไปสองชีวิตอย่างฟรีๆ   พูดจบผมก็วิ่งไปหยิบค้อนยักษ์ของมัน

    ...แต่ว่าผมกลับยกมันไม่ขึ้นเลย  มันหนักเกินไป....

    "พูดอะไรของเธอเมฆ  ฉันจะไม่ทิ้งเธอไว้ที่นี่หรอก  พวกเราต้องไปด้วยกันสิ!"   ขวัญข้าวพอได้ฟังแบบนั้น  ก็รีบลุกขึ้นมาแล้วมาตะโกนใส่ผมด้วยสีหน้าที่กระวนกระวาย  เมื่อคิดว่าผมจะเสียสละตัวเองเพื่อช่วยเธอ

    "ยัยบ้า! ไม่ใช่เวลามาพูดแบบนี้นะ  จะมาตายทั้งคู่เลยรึไงเล่ารีบไปเร็ว!"  

    ผลัก!

    "ว้าย!"

    ผมผลักเธออย่างแรงจนถอยไปด้านหลังจนเกือบล้ม   พวกเรามัวแต่คุยกันจนลืมไปเลยว่าที่นี่  ณ ตอนนี้ไม่ได้มีแค่พวกเราแค่ 2 คน

    หมับ!

    "อึ้ก!"

    "เมฆ!"

    ฆาตกรที่เข้ามาตอนที่พวกเราไม่ทันตั้งตัว  มันพุ่งเข้ามาแล้วนำมือของมันเข้ามาบีบคอผมพร้อมจับยกขึ้นจน  เท้าของผมลอย  ขวัญข้าวที่เห็นดังนั้นจึงอุทานขึ้นมา 

     ผมตอนนี้รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก....ถ้าไม่ทำอะไรซักอย่างผมต้องตายแน่ๆ

     

    ตอนนี้เด็กหนุ่มที่กำลังขาดอากาศหายใจ  เพราะแรงบีบอันมหาศาลของมัน  ตาของเขาเริ่มเหลือกขึ้นอย่างทรมาณ  ขณะนั้นเด็กสาวจึงรีบหาทางทำอะไรซักอย่างเพื่อช่วยเขา   แต่ค้อนนั่นขนาดเด็กหนุ่มยังยกไม่ได้แล้วเธอจะยกได้ยังไง 

    "!"

    เด็กสาวเหลือบไปมองเห็นคบเพลิงที่ติดอยู่บนผนัง   เธอจึงนึกออกและรู้ว่าควรทำยังไงทันที

     

    "ปล่อยเมฆนะ ไอ้ฆาตกรวิปริต   ไม่ปล่อยก็โดนเผาไปซะเถอะ!"

      ขวัญข้าวไม่รีรอที่จะรีบช่วยเด็กหนุ่ม  เธอวิ่งถือคบเพลิงจากกำแพงมา  แล้วทำให้ผ้าที่พันตรงเปลวไฟคลายออกมานิดนึงจนทำให้ปลายแหลมของไม้ของคบเพลิงโผล่ออกมา 

      เธอไม่รอช้า  เธอวิ่งไปที่มันที่กำลังจะฆ่าเด็กหนุ่ม  เธอกระโดดแล้วนำปลายแหลมของไม้คบเพลิงที่ติดไฟนั่นแทงไปที่ลำคอของมันจนลึกเข้าไป

    ซวบ!!!!!!"

    "ก๊าซซซซซซซซซซ!!!"

     ทันใดนั้นเสียงที่แสบแก้วหู  ที่ไม่คิดว่ามันจะเปล่งออกมาด้วยความเจ็บปวดนั้น ด้วยเสียงสัตว์ป่าที่กำลังโอดครวญ  ก็ดังลั่นทั่วทุกทิศทาง   พร้อมกับเปลวไฟที่กำลังลุกลามตามร่างมันตั้งแต่คอจนขึ้นศรีษะและไล่ลงมาด้านล่าง

     

    "เมฆไปเร็วเข้าตอนนี้ละ!"

    "แค่ก!แค่ก!.....เธอนี่ร้ายจริงนะขวัญข้าว"

    "อย่ามัวแต่พูดเลย  รีบไปเถอะก่อนตายมันอาจจะทำอะไรที่เราไม่คิดได้ก็ได้!"

       ขวัญข้าวไม่รอช้า  เธอวิ่งมาทางผมที่เพิ่งหลุดออกมาจากฝ่ามือของมัน  มาพยุงผมขึ้นแล้วรีบวิ่งออกไป   ผมตอนนี้ยิ่งคิดไปคิดมาก็รู้แล้วจริงๆแล้วว่า  ไอ้ฆาตกรนั่นคือสัตว์ประหลาดแน่แท้    โดนแทงคอขนาดนั้นยังไม่ตาย  แทบยังร้องเสียงลั่นออกมาได้ไงทั้งๆที่จุดที่โดนแทงคือจุดที่เสียงจะลอดออกมาสู่ปากได้

    พรึ่บ!

    "หือ?"  

    ผมกับขวัญข้าวที่กำลังเดินตรงออกไปนั้นอย่างรวดเร็ว  เมื่อได้ยินเสียงแปลกๆจากทางฆาตกรนั่นก็ทำให้พวกเราทั้งสองคนหันไปดูเป็นเชิงเล็กน้อยว่า  มันตายแล้วรึเปล่า....

    แต่ก็กลับไม่เป็นหยั่งงั้น

     

    "เอาจริงดิ...."

      ผมมองด้วยสายตาเหลือเชื่อปนหวาดกลัว  เมื่อจู่ๆร่างกายของมันที่ติดไฟ  จนผมคิดว่าถึงมันไม่ตายเพราะโดนแทงคอนั่น  มันก็ต้องตายเพราะโดนไฟครอกจนไม่เหลือซาก  แต่ว่ามันกลับ...

    .....เอาชุดคลุมกันฝนตัวเองที่ผมคิดว่าต้องไหม้ไปด้วยแน่ๆ   มาคลุมร่างตัวเองจนไฟที่ลามตามตัวหายไป

    เฮ้ เฮ้  แบบนั้นเท่ากับว่ามันก็มีสมองด้วยงั้นสิ

    ผมคิดในใจด้วยความคิดที่น่าขนลุก  จนน่ากลัว    ถ้ามันใช้สมองได้แบบนี้  ก็มีแต่ตายกับตายสิพวกเรา   บางอย่างที่สามารถต่อกรกับอสูรกายแบบพวกมันได้ คือ สมองของพวกเรา  แต่ถ้าอสูรกายก็มีสมองด้วย  แล้วพวกเราจะเหลืออะไรละ

     

    หมับ!

    ฆาตกรนั่น  เดินไปหยิบค้อนของตัวเองด้วยร่างที่ไหม้เกรียมหน่อยๆนั่น   แล้ววิ่งพุ่งมาทางพวกเรา   มันง้างค้อนนั่นเพื่อหวังจะทุบให้พวกเราสมองและร่างกายเหลวแหลกจนเละเทะเลยทีเดียว

    "อึ้ก!"

    พวกเราทั้งคู่หลับตาลง    พร้อมกำมือของกันและกันอย่างเตรียมใจแล้วว่าพวกเราไม่มีทางอื่นแล้ว   ที่จะให้ตัวเองมีชีวิตรอดไปจากที่นี่ได้.....

     

    แต่ถึงแม้พวกเราไม่สามารถที่จะให้ตัวเองมีชีวิตรอดต่อไปได้  ก็อาจจะเป็นคนอื่น

    ....ที่สามารถทำให้พวกเรามีชีวิตต่อไปได้

     

    ปัง!

    จู่ๆร่างของฆาตกรที่กำลังวิ่งมา  ก็เซถอยหลังผงะไปอย่างชะงัก

    เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นจากทางด้านหลังพวกเรา.....เสียงเหมือนกับ...ปืน!

     

    "เฮ้ยพวกนายทำอะไรกันอยู่  มาทางนี้เร็วเข้าเว้ย!"

    จู่ๆก็มีเสียงของเด็กสาวและเด็กหนุ่มสองคนดังขึ้นมา  จากทางเสียงของปืนนั่น   และเป็นเสียงที่พวกเราเคยได้ยินมาแล้ว  เสียงคุ้นๆแบบนี้มัน

     

    "สุดา ศักดิ์!"

     

    ผมและขวัญข้าวหันไปมองพวกเขา  พวกเขายังมีชีวิตอยู่!  

     ตอนนี้สุดากำลังกวักมือเรียกพวกผม  และตอนนี้ศักดิ์กำลังเอาปืนพกที่เอามาจากไหนไม่รู้  ยิงใส่ฆาตกรจนมันไม่สามารถเดินต่อได้  เพราะโดนศักดิ์ยิงสกัดไว้อยู่

    พวกเราเห็นแบบนั้นก็ยิ้มอย่างมีความหวัง  พวกเรามองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะจับมือกันไป  และวิ่งตรงไปยังห้องที่สว่างปลายทางข้างหน้านั่น......  


    ปึง!

    "แฮ่ก....แฮ่ก..." 

     ผมหายใจอย่างหอบแฮ่ก  ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากขวัญข้าวในตอนนี้เท่าไร  พวกเราเข้ามาภายในห้องอย่างรวดเร็ว  ก่อนจะวิ่งกลับไปดันประตูเหล็กขนาดหนาพอสมควรช่วยกันกับสุดา  ในขณะที่ศักดิ์กำลังยิงสกัดมันไว้

    แล้วพวกเราก็ปิดและล็อคประตูเหล็กนั่นได้สำเร็จ...

    ตึง ตึง!

    ถึงแม้ประตูจะปิดลงแล้ว  แต่ผู้บุกรุกก็พยายามที่จะเข้ามาตลอด  เสียงค้อนขนาดใหญ่ทุบกับประตูเหล็กหนาดังขึ้นมาอย่างไม่หยุด  แต่ท่าทางประตูนี่จะแข็งแรงพอสมควร  เพราะมันไม่มีท่าทีจะบุบหรือพังเลย   ประตูเหล็กหนานั่นแค่สั่นเล็กๆเพียงเท่านั้น   ทำให้พวกเราทั้งสี่คนที่ยืนมองที่ประตูบานนั้นอย่างหวาดหวั่นก็โล่งใจลง  เมื่อคิดว่ายังไงมันก็ไม่สามารถทำลายประตูนั่นได้แน่

     

    "เฮ้อ...."

    ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่  พลางนำมือคลำคอของตัวเองเล็กน้อย   รอยจ้ำทั้งสีเขียวและสีม่วงเป็นรอยรูปมือที่เกิดจากการบีบด้วยมืออันใหญ่ของมัน   ผมคลายมือออกแล้วมองดูรอบๆว่าที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่   

    พอผมมองไปรอบๆนั้นก็เห็นเครื่องจักรมากมาย  ที่ดูทันสมัยพอสมควรถ้าไม่ติดตรงที่มันเริ่มมีสนิมเกาะเนี่ย   แล้วเครื่องจักรพวกนี้มีไว้ทำไมกันนะ?

    ผมนึกสงสัยกับตัวเอง  ก่อนจะมองเช็คอีกรอบ   มีทั้งสายไฟระโยงระยางเต้มไปหมด   มีเครื่องคอมพิวเตอร์เก่าๆหลายเครื่องตั้งอยู่  ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะใช้ได้รึเปล่า

    บรรยากาศของห้องนี้ดูชื้นๆ อับๆอย่างแปลกๆ   ทางข้างหน้าก็มีประตูอยู่ถึง 3 ประตูซึ่งตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าภายในประตูทั้ง3นั้นคืออะไร

     

    แถมยังมีโต้ะยาวตั้งอยู่ใจกลางห้อง   ซึ่งมีเอกสารกองอยู่บนนั้นจำนวนพอสมควร.....

    ..เป็นเอกสารอะไรกันแน่นะ

     

    "พวกนายก็โดนกับดักร่วงลงมาเหมือนกันเรอะ"   ศักดิ์พูดขึ้นมา  เมื่อเห็นบรรยากาศที่เงียบจนเกินไป 

    "อืมจะว่าหยั่งงั้นก็ได้น่ะ...."

      ผมเลิกดูเอกสารบนโต้ะตัวนั้น  แล้วหันมาตอบศักดิ์คนที่อยู่กลุ่มเดียวกับผมและได้หายตัวไปพร้อมกับสุดาในตอนนั้น   เด็กหนุ่มที่ดูหน้าตาคล้ายโจร  เขามีผิวสีแทนและมีหนวดเคราเล็กน้อย  

    ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมโรงเรียนถึงไม่ว่าอะนะ  จนเขาไว้จนหน้าตาเหมือนโจรป่าแล้วเนี่ย....แต่ช่างหัวเรื่องนั้นเถอะ-_-

    ผมตอบศักดิ์ไปโดยไม่ได้บอกไปทั้งหมดว่า  ฟ้าใสเป็นคนทำเพื่อช่วยชีวิตผมจากฆาตกรนั่น   เรื่องของฟ้าใสผมยังไม่อยากอธิบายพวกสุดากับศักดิ์  เพราะขี้เกียจอธิบายจนบอกไปแค่นั้น

     

    "ดีจริงๆที่พวกนายยังมีชีวิตอยู่นะ  ตอนนั้นฉันก็สงสัยว่าพวกนายหายไปไหนกัน  ราวกับว่าหายไปดื้อๆเลยงั้นแหละ"

      ผมมองหน้าพวกเขาพลางยิ้มเล็กๆ  เพราะดีใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าเพื่อนๆที่หายตัวไปในตอนนั้นยังมีชีวิตอยู่ที่นี่

    "ก็ตกใจเหมือนกันละ  เดินตามพวกนายอยู่ดีๆ  ก็ตกร่วงลงมาเฉยอย่างไม่ทันตั้งตัว....แทบแย่เลยละ"  

    ตุบ

    ศักดิ์พูดพลางปาดเหงื่อของตัวเอง   ก่อนจะนั่งลงพิงกับกำแพง

    "นี่ๆเดี๋ยวก่อนแล้วพวกเธออยู่กันได้ยังไงเนี่ย  ถ้าพวกเธอตกมาที่นี่ตั้งแต่วันแรกก็น่าจะผ่านมาหลายวันเลยนะ  พวกเธออยู่กินกันยังไงเนี่ยแถมปืนนั่นเอามาจากไหน!

     ขวัญข้าวอุทานขึ้นมาเมื่อรู้ว่าพวกเขาคือกลุ่มของเพื่อนเมฆที่หายไปในตอนแรกตามที่เมฆเล่าให้ฟังในตอนนั้น   พลางชี้ไปที่ปืนกระบอกนั้นที่ศักดิ์ถืออยู่

     

    " เฮอะ เธอดูสภาพพวกฉันไม่ออกรึไงยัยขวัญข้าว  ฉันกับศักดิ์โทรมขนาดนี้....ใช่พวกเรายังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่ตกลงมาที่นี่  ได้กินก็แค่น้ำเท่านั้นแหละ   ส่วนปืนนี่ก็เจอบนโต้ะยาวตัวนั้น  น่าจะเป็นของคนที่เคยอยู่ที่นี่แหละ" 

     สุดาหัวเราะแห้งๆขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ซูบผอมเล็กน้อย  จะว่าไปดูดีๆแล้วพวกเขาทั้งสองคนดูเหมือนคนไม่ได้กินอะไรมานานแล้วจริงๆนั่นแหละ

     

    "งั้นเหรอ....แล้วน้ำที่ว่าเนี่ยเอามาจากไหน?"

     ขวัญข้าวถามพวกเขาขึ้นอย่างสงสัย  เพราะเมื่อมองรอบๆดูก็ไม่เห็นที่ไหนน่าจะมีเครื่องดื่ม หรือ แหล่งน้ำให้บริโภคเลย

    "นั่นไง ในห้องนั้นน่ะ  มันมีเครื่องปั๊มน้ำขนาดใหญ่อยู่   พวกเราเปิดฝาข้างบนมันแล้วก็เอามือตักขึ้นมาดื่ม"   ศักดิ์ที่กำลังนั่งฟังอยู่  ชี้ไปทางประตูที่อยู่ซ้ายสุดของทั้งสามประตูนั้น

     

    "เฮ้ๆเดี๋ยวนะจะว่าไป  พวกนายอยู่ที่นี่ตลอดเลยเหรอ  พวกนายไม่คิดจะหาทางออกจากที่นี่เลยรึไง!"

     ผมที่กำลังฟังพวกเขาว่าใช้ชีวิตกันยังไงนั้น  ก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่มันขัดๆชอบกลขึ้นมา  จนในที่สุดผมก็นึกออกว่ามันคืออะไร 

     

    "..........." 

     ผมเขาทั้งสองคนพอได้ฟังเรื่องที่ผมถามก็สะดุ้งขึ้นเล็กน้อย  พลางมองหน้ากันอย่างเป็นกังวล  แล้วสุดาก็เดินมาทางผมกับขวัญข้าวที่กำลังรอฟังคำตอบจากพวกเขา

    สุดามองหน้าพวกเราทั้งสองคนก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้น

    "พวกพยายามมาตลอดแล้ว  แต่ก็หาวิธีออกจากที่นี่ไม่ได้เลย...."   สุดาเดินเข้ามาแตะไหล่ผมกับขวัญข้าว  พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูสิ้นหวัง

    "หา!เป็นไปไม่ได้หรอกน่า!"   ผมอุทานขึ้นอย่างตกใจ 

    "อืม....ฉันก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้หรอก  เพราะดูจากสถานที่นี้แสดงว่าต้องเคยมีคนทำงานอยู่ที่นี่....."

      สุดาพูดค้างคาไว้ก่อนจะตัดสินใจเดินไปที่โต้ะยาวตัวนั้น   เธอเอามือวางลงบนเอกสารพวกนั้น   พลางหันมามองผมกับขวัญข้าวเป็นนัยน์ว่าให้มาดูนี่สิประมาณนั้น

    ตึก ตึก

    ".............."  

    ผมกับขวัญข้าวมองหน้ากันซักพัก  ก่อนจะตัดสินใจเดินไปตามสายตาเชิงชวนของสุดา    พอพวกเราเดินมาถึงโต้ะยาวตัวนั้น พวกเราทั้งคู่ก็มองเอกสารที่โต้ะตัวนั้นอย่างระเอียดถี่ถ้วน

    "อ้ะ!เมฆนี่มัน...!"

       ขวัญข้าวพอเห็นอะไรบางอย่างที่ดูจากรูปภาพแล้วเหมือนแผนผังหรืออะไรซักอย่างจึงพูดขึ้นมา แล้วเธอก็รีบหยิบขึ้นมาดู   แต่ก่อนเธอจะพูดว่าสิ่งนี้คืออะไรก็โดนศักดิ์ที่นั่งอยู่ตรงประตูขัดขึ้นซะก่อน

    "นั่นคือแผนที่ของชั้นใต้ดินทั้งหมดไงละ...."

     ศักดิ์พูดโดยไม่ได้มองมาที่พวกเรา  เขามองไปทางอื่นอย่างเหม่อลอย   แล้วทำไมพวกเขาถึงคิดว่าไม่มีทางออกละ  ในเมื่อมีแผนที่ของที่นี่อยู่ตรงนี้

    "แปปนึงนะขวัญข้าว...  แล้วไหนว่าไม่มีทางออกไงสุดา  ก็นี่มันแผนที่นี่  แล้วที่ห้องที่อยู่ริมสุดนี่ก็คือทางออกไม่ใช่เหรอ!

     ผมหยิบกระดาษออกมาจากมือของขวัญข้าว  แล้วชูพร้อมใช้นิ้วของผมชี้ไปที่ห้องที่อยู่บนและมุมสุดของแผนที่นี้   ด้วยใบหน้าที่ต้องการคำตอบ  ผมจ้องไปที่สุดาด้วยสายตาที่จริงจัง

    "ใช่  ตอนแรกฉันก็คิดเหมือนนายแหละ....พวกเราจึงเดินตามแผนที่นี้ไปแต่พวกเราก็ไม่สามารถข้ามประตูนั่นได้"   สุดานั่งลงที่เก้าอี้ที่อยู่ข้างๆกับโต้ะตัวยาวนั้น

    "ข้ามประตู...หมายความว่าไง?"

       ผมเอียงคอถามอย่างสงสัย   สุดาพอฟังดังนั้นจึงถอนหายใจเล็กน้อย  ก่อนจะเดินมาทางผมที่กำลังมองแผนที่อย่างสงสัย   เธอดึงกระดาษออกจากมือของผมแล้วชี้ที่จุดนึงของแผนที่

    "ตรงนี้....มีประตูเหล็กขวางกั้นไว้อยู่  คาดว่ามันจะเสียน่ะ   ด้านบนของประตูงอออกมาเล็กน้อยจนฉันคิดว่ามันน่าจะลอดไปได้"

    "อ้าว! ถ้างั้นพวกเธอก็ปีนขึ้นไปสิ  ง่ายจะตาย"  ผมเลิกคิ้วใส่สุดา  เพื่อจะบอกประมาณว่ามันยากตรงไหน

     

    "มันไม่ง่ายหยั่งงั้นน่ะสิ   นายก็เห็นความสูงของชั้นนี้แล้วนี่มันสูงแค่ไหน.....แม้จะให้ต่อตัวถึง 2คนก็ไม่คิดว่าจะปีนถึงเลยด้วยซ้ำ"   สุดาบอกกับผมก่อนจะนั่งเท้าคางมองมาที่ผม  จะว่าไปเพดานของที่ชั้นใต้ดินนี่  ก็สูงมากจริงๆนั่นแหละ

    "แสดงว่าพวกเราต้องหาอะไรเพื่อปีนขึ้นไปได้สินะ...!"

      ขณะที่ผมกำลังปรึกษาวิธีเพื่อจะข้ามประตูนั่นกับสุดา  ขวัญข้าวก็ตะโกนเรียกผมขึ้นให้ไปดูอะไรบางอย่างที่โต้ะตัวนั้น

     

    "เมฆมาดูนี่สิ!"

      ขวัญข้าวตะโกนเรียกผม  โดยสายตาของเธอยังไม่ละจากเอกสารบนโต้ะนั่น

    "มีอะไรขวัญข้าวฉันกำลังคิดหาทางช่วยกับ....เอ้ะนี่มัน!"

    "  เอกสารการทดลอง...หมายเลข....001หรือว่า!"

    "ใช่! นี่อาจจะเป็นเอกสารข้อมูลของ.......001  ที่เธอคิดว่าเป็นเดียร์ตอนนี้ยังไงละ"   ขวัญข้าวมองเอกสารนั่นพลางมองมาทางผมด้วยสายตาจริงจัง  ในขณะที่สุดากับศักดิ์กำลังงุนงงกับประโยคของพวกเรา

    " เยี่ยม....ที่นี้ก็จะได้รู้ซักทีว่า 001คือใครกันแน่....."

    ผมหยิบเอกสารนั่นขึ้นมา  พลางมองด้วยแววตาแห่งความหวัง   จะได้รู้ว่าเดียร์คือ001จริงอย่างที่เธอพูดรึเปล่า  หรือไม่ก็001เกี่ยวข้องอะไรกับเธอ  และที่ผมอยากรู้001คือใครกันแน่.....

     

    ทางด้านนึง 

    ชั้น 1

    ห้องรับประทานอาหาร

    "  ขาน ริณ  หวานได้ยินเปล่านี่พวกข้าเอง  วัฒน์ไงละ!  ถ้าได้ยินช่วยเปิดประตูหน่อยขาน!"

    แอ๊ด!

    "กลับมาแล้วเหรอพวกนาย  รีบเข้ามาเร็วเข้า!"   ขานได้ยินดังนั้นจึงรีบวิ่งเข้ามาเปิดประตูให้  เมื่อแน่ชัดแล้วว่าเสียงๆนี้เป็นวัฒน์ไม่มีผิดแน่

    "แฮ่ก แฮ่ก  โชคดีจังที่จำทางกลับได้แฮะเรา"

      วัฒน์พูดขึ้นด้วยท่าทางเหนื่อยล้า  ขานที่กำลังเอาที่กั้นและท่อเหล็กมาล็อคกั้นประตูดังเดิมนั้น   ก็หันมามองกลุ่มของวัฒน์เพราะรู้สึกว่ากลุ่มของเขาจะเพิ่มขึ้นจริงๆ

    ทั้งวิยดา  ข้าวต้ม  นิด แป้ง แพร  และก็.....

    "เดียร์....."

    "หือ? ดีจ้ะขาน   เธอยังปลอดภัยอย่างที่วัฒน์กับเมฆบอกจริงด้วย^^"

      ขานมองหน้าเธอ   แต่พอเธอพูดถึงชายคนนึงเข้าก็ทำให้เขาเอะใจขึ้นมา   ก่อนเขาจะถามสิ่งที่เขาสงสัยด้วยท่าทางที่ร้อนรนนั้นก็โดนริณพูดขัดขึ้น

    ตึก ตึก!

    "เดียร์! ดีจังเลยเธอปลอดภัยสินะT-T"

      ริณพอเห็นเพื่อนสาวของเธอก็วิ่งเข้ามากอดทันที   จนขานรู้สึกรำคาญเล็กน้อยก่อนจะมองหาคนพวกนั้นอีกรอบ   แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคิด.....เขาหาพวกนั้นไม่เจอ

    "เฮ้ยวัฒน์....แล้ว ไอ้ไทย ขวัญข้าวและเมฆละ....มันเกิดอะไรกันขึ้น"

      ขานหันมาถามวัฒน์ที่พอได้ฟังเขาก็รู้สึกสะดุ้งเล็กน้อย    ก่อนจะกัดฟันกรอดพูดขึ้น   จนทำให้สีหน้าในทุกคนในที่นี้ซีดเผือกทันที   เมื่อย้อนกลับไปเมื่อเหตุการณ์ตอนนั้น   ทั้งความกลัวที่ได้เจอกับฆาตกรอำมหิตถือค้อนนั่นจนเกือบตาย

     

    แต่........ที่พวกเขากำลังกลัวที่สุดในตอนนี้คือ

    .......ความจริงที่ว่าพวกเขานั้น   เป็นคนส่งฆาตกรนั่นไปหาพวกเมฆที่ตกลงไปในกับดัก.......

     

    "..........."

    วัฒน์ถึงแม้จะไม่ได้เป็นคนทำ   เพราะคนที่ทำคือพวกนิด แป้ง แพร ที่เห็นฟ้าใสกดกลไกในตอนนั้นจึงเลียนแบบเธอตอนที่ฆาตกรนั่นอยู่ตรงจุดเดียวกับเมฆ ฟ้าใส และขวัญข้าวที่ตกลงไป

     

    แต่เขาก็เป็นคนที่อยู่ในสถานการณ์นั้นด้วย   และเขาก็รู้สึกผิดมากเพราะ.....

     

    ......เขาไม่ได้เอ่ยปากห้ามพวกนั้นเลย

     

    ฮึ....แบบนี้ละ  เวลาแบบนี้ละเหมาะที่สุดเลย   ความมืดกำลังครอบงำจิตใจของพวกนายทีละเล็กทีละน้อยแล้ว   แม้แต่วัฒน์กับวิยดาก็เป็นไปด้วย   แบบนี้หนทางที่ฉันจะเหลือรอดเป็นคนสุดท้ายแล้วออกจากที่นี่

    ก็เป็นเรื่อง่ายนิดเดียวแล้ว.......เมฆ  กับยัยฟ้าใสอะไรนั่นก็ไม่อยู่แล้ว

    จะฆ่าพวกนี้ให้หมดก็ง่ายแสนง่ายแล้ว....

     

    ในขณะที่พวกวัฒน์กำลังอ้ำอึ้งกับคำถามของขาน   ก็ได้มีความคิดในใจของเด็กสาวคนนึงผุดขึ้นมาท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดนั่น   เดียร์ที่กลับเข้ามารวมกลุ่มกับวัฒน์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ  และไร้ข้อสงสัยใดๆ

     

    กำลังวางแผนการที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นความคิดของเด็กสาวหน้าตาน่ารักคนนี้ได้เลย   แผนการที่จะกำจัดทุกคน...

    เด็กสาวที่กำลังยิ้มกริ่มด้วยรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์นั่น   ตอนนั้นเธอไม่ได้รู้ตัวเลยว่า....

     

    ....มีชายคนนึงกำลังมองมาที่เธออย่างสงสัย

     

    ขานมองมาที่รอยยิ้มนั่น   ด้วยท่าทีที่ฉงนใจในรอยยิ้มที่ดูอันตรายนั่น......

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×