ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    R A V E `เด็กดื้อที่ชื่อแบคฮยอน♔ CHANBAEK

    ลำดับตอนที่ #2 : ทดลองเป็นคุณอาครั้งที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 11 เม.ย. 58



     
     
    1



     

     


                "สวัสดีครับทุกๆท่านผม ปาร์ค ชานยอล เป็นประธานบริษัทปาร์คกรุ๊ปและเป็นหัวหน้าในการประชุมบริษัทครั้งที่ 5 ครับ ฝากตัวด้วยครับ"

     

                ผมแนะนำตัวและโค้งตัว90องศาให้คณะผู้ร่วมงานในห้องประชุมกว้างอย่างเป็นทางการ ก่อนกระชับสูทสีดำที่สวมใส่ให้ดูเรียบร้อยก่อนการประชุมโปรเจ็คแสนปวดหัวจะเริ่มขึ้น ตามด้วยเสียงของเลขา คิมจงอิน ที่อธิบายแผนการตลาดในครั้งนี้แก่ผู้เข้าร่วมประชุม

     

     

     

                การประชุมนั้นผ่านไปได้ด้วยดี แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ช่วยให้งานระดับผู้บริหารริษัทยักใหญ่ของผมลด ลงบ้างเลย..ไม่แน่อาจจะจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวด้วยซํ้า

     

                ผมพาร่างกายอันเหนื่อยล้าย้ายมาห้องทำงานส่วนตัว เสร็จจากประชุมโปรเจ็คใหญ่ก็ต้องนั่งเซ็นเอกสารนู่นนี่อีก ไหนจะต้องคอยเช็คราคาสินค้า คำนวณราคาสินค้า นี่ผู้บริหารหรือเด็กฝึกงานโดนเจ้านายรังแกกันแน่ครับ?

     

                "เฮ้ออ.."

     

                "ว่าไงอีประธานปาร์ค จะตายรึยัง?"

     

                เป็นคำทักทายที่ชวนให้ยกขาขึ้นถีบ... แต่ผมก็ไม่ได้นึกโมโหอะไรที่เลขาคิมจะเรียกผมว่า 'อีปาร์คทุกๆวันเวลาอยู่สองคน ก็เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่มัธยม คิมจงอินนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับผมพร้อมกับเอากาแฟที่ถือติดมือมาวางบนโต๊ะ

     

                "ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแหละ"

     

                ผมละสายตาจากจอโน๊ตบุ้คที่นั่งจ้องมันมาร่วมหลายชั่วโมง พลางยกมือขึ้นบีบนวดสันจมูก

     

                 "พักๆบ้างก็ได้ งานพวกนี้มันงานของกูนะ เอามาทำแทนทำไม?" มันว่าพลางเดินมาดึงแว่นสายตาของผมออกและเอางานไปถือเอง

     

                 "เห็นว่าช่วงนี้มึงยุ่งเลยอยากช่วยไง"

     

                "ยุ่งอะไรวะกูว่างจะตาย วันๆรับแต่โทรศัพท์"

     

                "ได้ข่าวมึงเลี้ยงต้อยอยู่ไม่ใช่หรอ"

     

     

                ที่ชื่อคยองซูอะ ผมคิดในใจ

     

               ก็เพื่อนคนนี้ของผมหน่ะ เห่อหลานของมันซะอย่างกับอะไรดี แถมยังชอบพรรณนาซะเหลือเกินว่าน่ารัก งู้นงี้ ตาโต ขี้อาย น่าหยิก ตัวเล็ก ยิ่งเวลาหลานตัวเล็กๆเรียกมันว่า 'คุณอาจงอินฮะเพื่อนรักคนนี้นี่ก็แทบลงไปแดดิ้น และทุกๆวันมันมักจะอธิบายสรรพคุณของหลานมันจนผมจำได้ขึ้นใจแบบไม่ต้องท่องทั้งๆที่ผมไม่เคยเจอหน้าหลานมันด้วยซ้ำ

     

                 "ต้อยหน้ามึงครับประธาน หลานโว้ยหลาน"

     

                "หลาน หลาน ท่องไว้นะ"

     

                ผมยกกาแฟขึ้นจิบพลางใช้สายตาจิกกัด มันสะบัดหน้าหนีไปนั่งที่โซฟายาวสีดำ ก่อนจะถามคำถามประหลาดๆให้ผมหายใจติดขัด

     

                "แล้วที่บ้านเป็นไงบ้างวะ?"

     

     

                ผมนิ่งไปสักพัก

     

                บ้านหรอ..

     

     

                "ไม่รู้วะ ตั้งแต่วันนั้นที่กูออกมา กูก็ยังไม่กลับบ้านเลย"

     

                "หลายปีแล้วนะมึง"

     

                "ช่างเหอะ เดี๋ยวกูจะกลับละ ฝากเคลียงานด้วย" ตัดบทด้วยคำพูดสั้นๆแล้วลุกขึ้นบิดขี้เกียจ หยิบสูทที่พาดไว้มาใส่พลางๆ

     

                "เห้ยย! เดี๋ยวๆ"

     

                "อะไร มึงก็รีบทำงานแล้วกลับบ้านไปเลี้ยงต้อยซะนะ"

     

                "กูจะไปคอนโดมึงอะ" ผมหันไปมองมันที่นั่งบิดไปมาพร้อมกับทำหน้าตาอ้อนวอน(ตีน?) จงอินแม่งบ้าแน่ๆ หน้าตาก็ดี หุ่นก็ดี รวยด้วย แต่สมองเนี่ย ไม่น่าไหว...

     

                "ไปทำไมครับเพื่อน" 

     

                "จงอินจะไปเอาของคร่า นึกได้ว่าลืมไว้ที่ห้องพี่ปาร์คคค" มันดัดเสียงเล็กๆพูด

     

                "ฮ่าๆ ว่าแต่ลืมอะไรวะ?"

     

                "ลืมของเล่นคยองซูที่ห้องมึงอะ โดนคยองซูงอนเลย หาของเล่นไม่เจอ แสรส" มันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ผมเลยชิ่งหัวเราะแล้วเดินออกจากห้องทำงาน


     

                 พอผมเดินผ่านเหล่าพนักงานต่างพากันโค้งหัวให้ พนักงานบางคนก็อาจจะคิดว่า ชีวิตที่มีแต่คนนับถือมันดีเมื่อก้อนผมก็คิดแบบนั้น แต่พอเอาเข้าจริงมันลำบากมาก การที่เราทำอะไรแล้วมีคนมาคาดหวังกับเรา พอเราทำพลาด ความกดดันก็จะมีแต่มากขึ้นๆ

     

                คิดเรื่อยเปื่อยไม่นานก็มาถึงรถบีเอ็มลูกรัก

     

                "มึงขับรถให้หน่อยดิ กูง่วง"

     

                “ประโยคขอร้อง?”

     

                “คำสั่งครับ

     

                "ฮ่าๆ เอากุญแจรถมา"

     

                 ผมยัดกุญแจรถให้มัน ขึ้นรถ ปรับเบาะเอนลง หยิบหมอนกับผ้าห่มมาจัดอย่างเรียบร้อย แล้วรีบเอนตัวลงทันที เวลาอย่างนี้ต้องนอนครับ ยิ่งติดไฟแดงนี่ยิ่งสบาย  จงอินขึ้นรถตามมาก่อนจะออกไปยังคอนโด

     

     

     

     

     

     

     

                "หลับเป็นตายเลยนะ" ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการที่จะทำให้ปาร์คชานยอลหลับ ง่ายกว่าปอกกล้วยเข้าปากอีก ก็ดูเอาละกัน

     

     

                หัวถึงหมอนนี่อย่างกับคนตาย เหมือนคนอดหลับอดนอนมาหลายวัน

     

     

                 เพื่อนรักจงอินส่ายหัวแล้วคิดถึงพวกผู้หญิงต่างพากันเรียกชานยอลว่า หล่อ เก่ง รวย เพอร์เฟ็ค ครบทุกประการ ผมล่ะอยากถ่ายรูปตอนมันนอนแล้วเอาไปให้พวกนางดูไม่ก็ไปแปะประจารหน้าบริษัทดู

     

                 นี่แหละประธานสุดหล่อ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงกว่ารถคันงามจะพาเลขาคิมกับผมมาถึงคอนโดหรูหราใจกลางเมือง ไม่ว่าคิมจงอินคนนี้จะมองคอนโดพี่ปาร์คกี่ครั้งก็รู้สึกได้ว่ามันอลังการแบบเหลือแดกจริงๆ

     

                 ยิ่งเห็นพรมแดงทางเดินเข้าคอนโดที่น่าจะราคาแพงหูฉีกนี่คิมจงอินยิ่งอยากเอาหน้า หล่อๆไปไถเสียจริง

     

                 คงฟินหน้าดู


                แต่ฟินแค่แป้บเดียวก็หมั่นไส้ประธานหน้าหล่อแล้วประเคนฝ่ามือตบหัวดัง เพี๊ยะ เล่นเอาคนนอนหลับลึกสะดุ้งขึ้นมาอย่างน่าขัน

     

                "ตื่น ถึงแล้ว"

     

                "อือๆ"

     

                 มันเปิดประตูลงไปข้างล่างโดยไม่ลืมด่าเพื่อนรักอย่างเจ็บแสบ



                "ขอบใจมากดำ"

     

     

                กูไม่ดำครับ ผิวแบบนี้เขาเรียกผิวสีแทน 

     

     

     

     

     

     

     

     

                “เข้ามาหาอะไรกินก่อนมั้ย?”

     

                ผมเปิดประตูห้อง ถอดรองเท้าวางบนชั้นแล้วหยิบสลิปเปอร์มาใส่แทน จงอินที่เดินตามขึ้นมาก็เข้าไปในห้องก่อน  มันเดินไปนั่งบนโซฟากลางห้องรับแขกก็ยกขาขึ้นพาดบนโต๊ะแบบลืมตัว ผมเดินตามมาก็อดไม่ได้ที่จะไม่ตบหัวมัน หมั่นไส้นักอีเลขา เดี๋ยวนี้ชักเหิมเกริม

     

                …แน่นอนด้วยความที่ว่าหมั่นไส้อย่างรุนแรงทำให้น้ำหนักมือที่ส่งไปก็เยอะมากพอกับความหมั่นไส้ และก็พอที่จะทำให้หน้าหล่อๆของมันหน้าคว่ำลงไปกับโต๊ะจนลั่นห้อง พอมันตั้งตัวได้ก็ชี้นิ้วผมอย่างคาดโทษ

     

                “เดี๋ยวนี้รุนแรงกับกูหรอ เดี๋ยวจะโดน

     

                “โดนอะไรหรอคะพี่จงอิน ขอเวลากลัวแปปนึงนะคะ

     

                ผมกอดตัวเองแน่นแล้วหมุนไปมาประหนึ่งสาวน้อยแรกแย้มกำลังจะถูกโจรตัวดำมีซิกแพ็ค(?)ทำร้ายร่างกาย

     

                “อี๋.. ขนลุกสัด  กูไปหาของเล่นคยองซูดีกว่า ไม่แดกละข้งข้าว จะอ้วก

     

                                มันว่าพลางทำท่าโก่งคออาเจียนแล้วลุกไปหาของในห้องนั่งเล่น ผมเดินไปจัดการกับเสื้อผ้าที่เป็นใส่ไปทำงานออก ถอดสูทพาดไว้หลังพนักเก้าอี้ไม้ คลายปมเน็คไทลงและปลดกระดุมออกสองเม็ดพร้อมกับนอนแผ่บนโซฟากลางห้องกว้าง

     

                หลังจากนอนไปได้ไม่นานก็รู้สึกเบื่อขึ้นมา ชีวิตผมมันไร้สีสันจริงๆ ไม่มีอะไรให้น่าตื่นเต้น ไม่มีความสุขที่แท้จริง โลกที่ผมกำลังอยู่มันเป็นโลกที่อยู่ได้ด้วยเงินและอำนาจ ใครมีมากกว่าก็ชนะ คนแพ้ก็ต้องออกไป




               อา.. พระเจ้า ช่วยส่งอะไรมาสักอย่างได้มั้ยที่ทำให้ชีวิตของผมเป็นเหมือนคนปกติหน่ะ

     

     

     

     

     

     

                ก๊อกๆ.. ก็อกๆ

     

     

     

     

     

     

                บานประตูถูกเปิดออกแบบกะทันหัน ไม่ต้องรอให้เจ้าของห้องแบบผมเดินไปเปิดหรือออกไปต้อนรับเลยซักนิด ส่วนจงอินที่กำลังหาของอยู่ก็น่าจะได้ยินเสียงกริ่งหน้าห้องและรีบโผล่หน้าออกมาพร้อมกับของเล่นของคยองซูเต็มมือ

     

                ผมมองเด็กหนุ่มที่ผมคิดว่าไม่น่าจะรู้จักเดินเข้ามา อายุของเขาราวๆ 16 ปีเห็นได้ เดินเข้ามาพร้อมกระเป๋าเดินทางใบเบ้อเริ่ม เขาโค้งตัวให้ผมและหยิบจดหมายฉบับนึงออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ท

     

                “สวัสดีฮะ

     

                “มาติดต่องานแทนครอบครัวหรอครับน้อง?”

     

                จงอินเดินมาถามเด็กน้อยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ผมยกมือขึ้นห้ามก่อนที่มันจะถามอะไรต่อ ผมเริ่มอ่านจดหมายใบนั้นใหม่อีกครั้ง และพยายามจับใจความให้รวดเร็วที่สุด ก่อนสายตาจะสรุปใจความคร่าวๆได้ว่า

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                ‘ปาร์ค ยูรา

                ขอโทษที่วันนั้นหายไป ขอโทษจริงๆพี่ขอให้นายช่วยอะไรอย่างสุดท้ายได้ไหม

                ค่าครองชีพที่ต่างประเทศขึ้นสูงมากๆจนพี่เลี้ยงเขาไม่ไหว

                ช่วยเลี้ยงเขาแทนพี่ที เข้าชื่อพยอน แบคฮยอน เป็นลูกของพี่และก็เป็นหลานของแก

                เลี้ยงเขาด้วย อย่าทิ้งเขา แม้จะอายุ 17 แต่ก็ยังทำอะไรไม่เป็น เพราะพี่เลี้ยงเค้าแบบอยู่สบายๆ

                เขาค่อนข้างจะหัวรั้นสักหน่อยแต่ขอร้องช่วยพี่ด้วย ไม่เห็นแก่พี่ก็หลานนะ

                ฝากด้วย นะชานยอล

     

     

     

     

     

     

     

                หลาน... หรอ

     

     

                “ห้ะ.. .”


     

                พระเจ้า! 


     


                "ห้ะ.."

     

                ผมมองเด็กน้อยตรงหน้าที่เอียงคอเล็กน้อย

     

                "เอ่อ .. อ่ะ ผมชื่อปาร์คชานยอลเป็นน้องชายปาร์คยูรา"

     

                "ไม่ต้องเป็นทางการขนาดนั้นหรอกฮะ แบคว่าแบคอายุน้อยกว่าคุณหลายปีเลยนะ"  เขาอมยิ้ม ผมตกใจเล็กน้อยเรื่องอายุ อา แต่พอยิ้มแล้วหน้าตาจิ้มลิ้มจริงๆ

     

     

     

     

     

                ผิดกับแม่!!!

     

                นึกแล้วก็อดโมโหยูราไม่ได้ ทีจะหายก็หายไปแบบไม่ติดต่อกลับมา ทีจะมาก็มาแบบไม่นัดไว้เหมือนวันนั้นที่บุกมาที่ห้องทำงานผมแล้วมิ้งหนังสือนิทานไว้เล่มหนึ่ง แถมวันนี้ยังเล่นตลกอะไรไม่รู้ ส่งเด็กคนนี้มาแล้วบอกว่าเป็นหลาน แถมยังให้เลี้ยงอีก

     

                "ผมชื่อพยอนแบคฮยอนฮะ อายุ17ปี ต่อไปนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ คุณชานยอล" เด็กน้อยค่อยๆคลี่ยิ้มหวาน จนผมเกือบลืมมองไปว่ามือของเขายื่นมาข้างหน้าเพื่อทักทาย ผมคว้ามือแบคฮยอนมาจับพอเป็นพิธี ก่อนจะไล่จงอินกลับไปและพาแบคฮยอนไปหาห้องพัก

     

                "นี่ห้องแบคฮยอนนะครับ" ผมเดินนะมาที่ห้องนอนเก่าของผมอีกห้องซึ่งตอนนี้ไม่ได้ใช้งานแล้วพร้อมกับแง้มประตู 

     

                "ขอบคุณมากฮะ!! พี่ เอ่อ.. คุณชานยอล" ผมหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นท่าทางเจี๋ยมเจี้ยมของแบคฮยอนราวกับว่า กำลังจะถูกดุที่เรียกผมว่าพี่ชานยอล

     

                "อยากเรียกอะไรก็เรียกเถอะครับ พี่ไม่ซีเรียสนะ"

     

                "งั้นแบคเรียกคุณว่าพี่ชานยอลได้มั้ยฮะ มันดูข้ามขั้นเกินไปไหมอะ.."

     

                ผมส่ายหน้าแล้วยิ้มให้เขาแม้ตามหลัก เขาจะต้องเรียกผมว่าอาชานยอลก็ตามที

     

                "แล้วแต่สะดวกครับแบคฮยอน"

     

                "...." ผมแอบเห็นใบหน้าจิ้มลิ้นนั่นขึ้นสีชมพูอ่อน เขาก้มหน้าเล่นนิ้วตัวเองก่อนจะเดินมาประชิดตัวผมจนผมผงะถอยหลังเกือบล้ม

     

     

     

                จุ้บ!

     

     

                ริม ฝีปากบางเฉียบนั่นจุ๊บลงมาบนอวัยวะเดียวกันและผละออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ตัวแสบเจะวิ่งดุ้กดิ้กเข้าห้องปล่อยให้คนแก่อย่างผมยืนอึ้งที่หน้าประตู พอตั้งสติได้ก็นึกอยากจะลากเด็กน้อยมาตีให้เข็ด ใครสอนให้ทำแบบนี้กับคนที่รู้จักกันไม่ถึงวันล่ะ

     

     

                ร้ายกาจจริงๆ..

     

     

     





     

     

     

     

     

     

     

     

     

                2ชั่วโมงก่อนหน้า



                เวรของกรรม

     

                ผมบ่นกับตัวเองอย่างนี้มาไม่ต่ำกว่าห้ารอบเพราะความหิวที่ กำลังกินผนังกระเพาะของผมจนแสบอยู่ไม่น้อย เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมหิวแล้วไม่มีอะไรจะกิน แม้ว่าหมอจะบอกให้ผมทานอาหารให้ตรงเวลาแต่ก็ไม่เคยทำได้เลยสักครั้ง ไม่ใช่ว่าไม่มีตัง แต่ ขี้เกียจ ครับ สั้นๆง่ายๆแถมตอนนี้ท้องไส้ของผมเริ่มปั่นป่วนอีกรอบ ผมเปิดตู้เย็นออกอย่างแรงจนชนกับกำแพงดัง ปั่กแต่ก็พบกับความว่างเปล่าชวนหดหู่

     

     

                มีเพียงเบียร์สองกระป๋องที่นอนแน่นิ่งในตู้กับผักชีที่เหี่ยวจนเอาไปทำอะไรไม่ได้

     

     

     

     

                T___T

     

     

     

     

                จะหกโมงเย็นแล้วแต่ยังไม่ได้กินข้าวสักคำตั้งแต่เช้า..

     

                “ฮื่อออ.. ”

     

                ผมส่งเสียงโอดครวญในคอเหมือนเด็กถูกขัดใจ และขยี้หัวจนมันยุ่งแต่ก็ไม่คิดจะจัดมันให้กลับเข้าที่ ถือเบียร์กระป๋องติดมือมาหนึ่งกระป๋องและเปิดดื่มอย่างเคยชินระหว่างที่เดินกลับมานั่งที่โซฟาตัวเดิมและเริ่มวนลูปซ้ำๆอีกครั้ง

     

     

     

                นอนดูทีวี กิน นอน ลุกเดิน และก็กลับมาที่โซฟา เป็นอย่างนี้มาตลอด.. แต่ครั้งนี้มันแปลกไปกว่าเดิมตรงที่ ผมรู้สึกถึงแรงยวบโซฟาจากด้านหลัง

     

     

                “กินเบียร์ไม่ดีนะฮะพี่ชานยอล

     

                “ก็พี่ไม่มีอะไรกินแล้วนี่ อาหารก็ขี้เกียจทำเอง” ยักไหล่แล้วโยนกระป๋องเบียร์ไปไกลๆตัว

     

                “ขี้เกียจนี่คือทำเป็น?”

     

                “ครับ ทำเป็น อร่อยด้วยนะ ฮ่าๆ” หลานตัวเล็กเบะปากและทำปากขมุบขมิบน่าหมั่นเขี้ยว ผมยีหัวน้องจนฟูฟ่องและถูกตีมือเบาๆ หลานตัวเล็กยู่ปากและจัดทรงผมใหม่ ก่อนจะลุกขึ้นพรวดพราดแถมดึงมือผมให้ลุกตามอีก

     

                “ไปซื้อของกันดีกว่าฮะพี่ชานยอล

     

     

     

                แค่ลุกเดินผมยังขี้เกียจ แล้วนับประสาอะไรผมจะไปห้าง..แต่ถ้าเด็กมันอ้อนก็ช่วยไม่ได้

     

     

                ผมเกลียดตัวเองตรงที่แพ้คนขี้อ้อนจริงๆครับ

     

     

     

                นั่นเป็นเหตุว่าทำไมผมถึงมาอยู่ที่ห้างพร้อมกับเด็ก ชายหน้าหวานตัวสูงเท่าอก แต่ด้วยความที่ว่าแบคฮยอนไม่เคยมาที่เกาหลี ผมจึงต้องจับมือเขาเอาไว้กันพลัดหลงกัน แล้วทำไมพวกผู้หญิงต้องมองผมกับแบคฮยอนแล้วซุบซิบกันด้วยล่ะ..

     

     

            อ๋อ เพราะผมหล่อสินะ โอเคผมผิดเอง .___.

     

                “ไปทางนั้นกันฮะพี่ชานยอล!” เขา บอกผมอย่างตื่นเต้นและมือของเขาก็จูงผมเข้าไปในโซนของเนื้อสัตว์และ ผัก ผมปล่อยให้แบคฮยอนเดินหยิบผัก นม ขนม และเนื้อสัตว์ลงรถเข็นจนมันเกือบเต็มรถ

     

                “พี่ชานยอลดูอารมณ์ไม่ดีเลยนะ เป็รอะไรหรอ?” เขาโบกมือไปมาตรงหน้าและเอียงคอถามอย่างน่ารัก

     

                อา นี่ผมเผลอทำหน้าเครียดปนขี้เกียจใส่แบคฮยอนหรอ?

     

                “ปล่าวครับ

     

                “ปล่าวแต่หัวคิ้วชนกันเนี่ยนะ” ส่งนิ้วเรียวมาจิ้มกลางหน้าผากคนแก่กว่าและดันหัวคิ้วออกจากกัน ผมยืนนิ่งๆให้แบคฮยอนเล่นหน้าจนเกือบลืมไปว่าอยู่กลางห้าง.. เด็กสาวมองผมกับแบคฮยอนและซุบซิบกันด้วยใบหน้าที่เคลิบเคลิ้ม อะไรของพวกเธอ?

     

     

               เกิดมาหล่อไม่ดีงี้นี่เองปาร์คชานยอล เฮ้อ..


     

                “ไปซื้อเสื้อผ้าของแบคฮยอนกันดีกว่าเนอะ” ผมเอ่ยปากชวนและจับมือเล็กนั่นเอามาเล่นเสียเอง นิ้วของแบคฮยอนสวยเหมือนมือผู้หญิงฃ อาจจะสวยกว่าด้วยซ้ำ..  แบคฮยอนตอบรับในลำคอและเดินขนาบข้างก่อนจะมองไปรอบๆอย่างตื่นเต้น ถ้ามีหูมีหางนี่คงกระดิกดุ้กดิ้กๆแล้วแน่ๆผมรับประกันได้เลย พอผมเล่นมือเขามั่งก็ทำท่าจะชักมือกลับแต่ผมจับมือนั่นแน่นขึ้น แบคฮยอนเลยหันกลับมาแยกเขี้ยวใส่

     

     

                น่ากลัวเหลือเกิน

     

     

                แต่ผมก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นและเลือกที่จะเล่นมือ ของเขาต่อไปจนโดนตีนี่ล่ะถึงพึ่งรู้ว่าแบคฮยอนเขินจนตัวม้วน พอปล่อยมือเล็กนั่นก็ยกขึ้นมาลูบหัวตัวเองป้อยๆดูน่ารัก หัวใจดวงเล็กเต้นตุบๆดังจนกลัวคนตัวโตข้างๆจะได้ยินเข้าเสียนี่

     

                ผมยืนมองแบคฮยอนแล้วอมยิ้มมุมปาก ทั้งสองคนยืนหยอกล้อกันอยู่โดยไม่ทันได้รู้เลยว่ากำลังมีอะไรบางอย่างจ้องอยู่

     

     

     


















                "พี่ชานยอลแบคฮยอนใส่นี่แล้วน่ารักมั้ย?" ไม่พูดเปล่าคนตัวเล็กทำมือเป็นรูปดอกไม้บานใต้คางแล้วยิ้มหวาน เพราะวันนี้เราไปซื้อเสื้อผ้าที่ห้างมา เจ้าตัวเล็กก็เลยซื้อมาซะเยอะแถมพอกลับมาถึงคอนโดก็ลองชุดนู้นชุดนี้แล้วถามผมว่าน่ารักมั้ย?



                เสื้อนอนสีฟ้าอ่อน กางเกงขาสั้น และสลิปเปอร์รูปการ์ตูน เขาดูน่ารักมากๆแม้จะอยู่ในชุดสบายๆ รอยยิ้มหวานนั้นยังคงประดับบนใบหน้าน่ารักเสมอ



                "น่ารักครับ" แบคฮยอนยิ้มจนตาหยีเมื่อได้รับคำชมจากชานยอล


                "ว่าแต่.."




                "นี่พี่ชานยอลอยู่คนเดียวมาตลอดเลยหรอฮะ?" หลังจากเข้ามาในคอนโดนี้เกือบวัน แบคฮยอนมองเจ้าของห้องตัวโตแล้วเอียงคอถามอย่างน่ารัก



                "ครับ พี่อยู่คนเดียวตั้งแต่มหาลัยแล้ว"

     

                "อ๋า ไม่เหงาแย่หรอฮะ"


                "เหงาสิครับ อีกอย่างพี่ไม่ค่อยมีเพื่อนหน่ะ.."


                ดวงตากลมของคนตัวโตหลุบมองตํ่า นัยตาที่เคยใสนั่นหม่นหมองลงก่อนคนตัวเล็กจะพยายามหาเรื่องอื่นคุยแล้วจับโครงหน้าหล่อเหลาให้มองที่ตัวเอง

                "แต่ตอนนี้พี่มีแบคฮยอนมาคอยป่วนแล้วน้า อย่าทำหน้าตาแบบนั้นสิ" รอยยิ้มอบอุ่นจากคุณอาชานยอลนั่นส่งมาให้เขาเมื่อได้ยินคำพูดปลอบ



                "อืม งั้นพี่ขออะไรจากเราอย่างนึงได้ไหมครับ"

                "?"

                "อยู่ป่วนพี่อย่านี้ไปอีกนานๆได้มั้ย"


                แม้ตอนแรกชานยอลจะตกใจในตอนแรกที่รู้ว่าต้องเลี้ยงดูเด็กคนนึง ซึ่งแน่นอนมันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ตอนนี้กลับรู้สึกอุ่นใจอย่างไม่มีสาเหตุ หลานตัวเล็กได้แต่มองคุณอาสุดหล่อแล้วรู้สึกใจเต้นโครมครามอย่างไม่เคยเป็น. หลานชายตัวเล็กถูกดึงเข้าไปกอดอย่างไม่ทันตั้งตัว แถมยังเกยคางไว้บนศรีษะคนตัวเตี้ยกว่า กลิ่นนํ้าหอมราคาแพงยังคงทำให้แบคฮยอนเขินได้ทุกที ก่อนจะพยักหน้ารับแลวดันตัวเองออกมาก่อนจะเขินไปมากกว่านี้.


                "จะว่าไป.." แบคฮยอนเริ่มตั้งคำถามอีก


                "ว่าไงเด็กขี้สงสัย" พอถูกล้อเข้าหน่อยเจ้าตัวเล็กก็ควํ่าปากดูน่ารัก "โอ๋ๆ ล้อเล่นหน่ะมีอะไรหรอครับ?"



                "พี่ชานยอลอายุเท่าไหร่หรอครับ?"



                "ลองทายดูสิ" 

                

                "24!" ใบหน้าหล่อส่ายไปมาช้าๆแล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม แววตาเหมือนกำลังล้อเลียนตัวเล็กอยู่



                "25 อะสุด" เขาส่ายหน้าและกลั้นยิ้มจนข้างแก้มบุ๋มลงไป "งะ เฉลยหน่อยๆ"




                "27จะ28 เดือนหน้านี้แล้วครับ ฮ่าๆ" เด็กน้อยทำหน้าตาเหลือเชื่อ แล้วหรี่ตามองผม




                "พี่ชานยอลอะ หัวเราะแบคฮยอนทำไมเล่า"


                "อ่า ขอโทษนะ ก็เราทำตัวน่าแกล้งนี่นา" ยกมือหนาขึ้นบีบจมูกรั้นของหลานตัวเล็กที่ขึ้นสีแดงเพราะความหนาวเบาๆ


                "น่าแกล้งตรงไหนล่ะ" อมลมเข้าแก้มอูมๆอย่างน่ารัก




                "ทุกตรงที่เป็นแบคฮยอนนั่นแหละเด็กดี” คนเด็กกว่าก้มหน้าซ่อนอาการร้อนวูบวาบที่แก้ม แต่มีหรอคุณอาตัวดีจะไม่รู้..




                "น่ารักจริงๆเด็กคนนี้.." หยอดไปอีกประโยค




                "ไปนอนได้แล้วครับ เดี๋ยวตอนเช้าหน้าตาไม่สดใสนะ" ส่งมือมายีหัวอย่างชอบทำแล้วยังจะยิ้มหวานให้เค้าอีก!


     

     


                ดูเอาละกันว่าแบคฮยอนจะทนเขินอย่างนี้ได้อีกนานซักเท่าไหร่




     

    TBC.

     

    _________________________________________________ 

    ข้ามาอ่านกันเยอะๆนะคะเม้นโด้ย โห้ย เขินที่สุดอะ

    ไม่อยากจะเชื่อว่ามีคนอ่านคนเม้นคนเฟบด้วย
    หมึกรักทุกคนจังเบยค่ะ
    ซารางเฮ เม้นอ่านกันเม้นกันเยอะๆนะคะ

    สกรีมแท็ก#ฟิครชบ  

     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×