ตอนที่ 48 : Error : 0x00000044 ย่านสลัมของเรมิน่า
ERROR Online : Overkill
เดสเปอราโดอีเกิลส์ [Desperado Eagles]
พลังโจมตี [Attack] 317 หน่วย
ความจุแมกกาซีน 15 นัด จัดเป็นปืนประเภทกึ่งอัตโนมัติ [Semi-automatic] ที่จะยิงกระสุนออกยามที่ผู้ใช้ลั่นไก
พลังโจมตีอยู่ในระดับปานกลาง แรงสะท้อนของปืน...ค่อนข้างแรง แต่ก็ทดแทนมาด้วยความที่ตัวปืนน้ำหนักเบา มีสกิล ‘นัยน์ตาอินทรี’ ในการช่วยเสริมความสามารถในการเล็งเป้า นอกจากนั้นยังมีสกิลสนับสนุนแบบ ‘Desperado Eagles Calling’ ที่ใช้เรียกอินทรีออกมาช่วยโจมตีเป้าหมาย
พูดไม่ได้เต็มปากว่าสกิลเรียกอินทรีมีประโยชน์สำหรับนาคาในตอนนี้ เพราะจากครั้งล่าสุดที่เขาลองเรียกใช้มันหลังจากที่สู้กับบาโธรี่
สิ่งที่ออกมา...คือลูกนกสีขาวที่มีขนยังขึ้นไม่ครบทั่วตัวเลยด้วยซ้ำ
นาคาถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเลื่อนหน้าต่างไอเท็มเปลี่ยนไปยังปืนกระบอกใหม่ที่เขาเพิ่งจะได้รับมาเมื่อวาน
ปืนลูกโม่แกมบิท [Gambit Revolver]
พลังโจมตี [Attack] 777 หน่วย
และด้วยเหตุผลที่ว่ามันเป็นปืนรีวอลเวอร์จึงมีความจุแค่ 7 นัดจากรังเพลิง
ส่วนกระสุน เขาลองเรียกแมกกาซีน .50 ของอลิซออกมา ก่อนที่จะเปลี่ยนถ่ายลูกกระสุนมาใส่ปืนดังกล่าวดูแล้ว
และผลที่ได้ก็ถือว่าเป็นที่พอใจ...
มันไม่มีสกิลเสริมความสามารถในการเล็งเป้าหรือสนับสนุนในการต่อสู้แบบเดสเปอราโดอีเกิลส์ น้ำหนักค่อนข้างมากแต่ก็แลกมาด้วยพลังโจมตีที่สูงกว่า แรงสะท้อนกลับของปืน...รุนแรงพอสมควร จากครั้งล่าสุดที่นาคาใช้ปืนนี่จัดการกับเฟยหลง มันกระเด็นหลุดออกไปจากมือแถมแขนของเขาแทบจะชาไปทั้งแขนเลยทีเดียว
ถึงจะเต็มไปด้วยข้อจำกัดทำให้ยากแก่การใช้งาน ทั้งแรงถีบ น้ำหนัก รวมไปถึงไม่มีสกิลสนับสนุนผู้เล่น แต่ก็ไมได้ทำให้มันกลายสภาพเป็น ‘อาวุธ’ ที่แย่เลยสักนิด นั่นเป็นเพราะจุดเด่นที่แทบจะกลบข้อด้อยทั้งหมดเป็นทักษะพิเศษที่มีชื่อว่า
รัสเซียน รูเล็ท [Russian Roulette]
ตามชื่อของทักษะ เฉกเช่นเกมแห่งความตายที่เขาเคยเล่นกับเฟยหลง ทุกครั้งที่นาคาหันปืนกระบอกนี้เข้าใส่ตัวเองและลั่นไกโดยที่ในรังเพลิงมีลูกกระสุน ค่าพลังโจมตีจะถูกเพิ่มขึ้นตามโอกาสที่เขาจะถูกยิง ซึ่งจะทบกันไปเรื่อยๆ ตราบใดที่กระสุนยังไม่ถูกยิงออกมา ดังนั้นความเสียหายที่สามารถทำได้จึงเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
มันไม่ใช่สกิลที่สมบูรณ์แบบ แต่มันก็เป็นทางเลือกที่น่าใช้พอสมควรสำหรับอาชีพ Overkill ของเขา ส่วนข้อควรระวังมีอยู่เพียงอย่างเดียวคือจากค่าพลังชีวิตสูงสุดของเขาที่มีอยู่ตอนนี้ หากเกิดแจ็คพอตในรังเพลิงนัดต่อไปมีกระสุนขึ้นมา ก็บอกลาชีวิตของตัวเองไปเลย หรือถึงแม้เขาจะรอด แต่ในเมื่อเกมนี้ใช้ระบบจำลองความเจ็บปวดที่เสมือนจริงแบบสุดๆแล้ว คงใช้เวลานานพอสมควร หากเขาต้องการจะขยับตัวอีกครั้งหลังจากที่ยิงกระสุนกรอกศีรษะตัวเอง
สรุปคือเขาคงจะบอกได้คำเดียวว่ามันออกจะเป็นทักษะที่เสี่ยงเกินกว่าที่ยูสเซอร์มือใหม่แบบเขาคิดจะใช้มัน
เพียงแต่ถ้ามองในอีกมุมนึง... มันก็ไม่มีอะไรเหมาะกับอาชีพของเขาไปมากกว่าปืนนี่อีกแล้ว
สำหรับทักษะที่มีความเสี่ยงสูงและเพื่อแลกกับผลตอบแทนที่สูงแบบนี้
เขายังจำมันได้ดี ความกดดันของปืนนี่ไม่ต่างอะไรกับการถูกเคียวยมทูตจ่ออยู่ข้างลำคอ รอเวลาที่จะสะบั้นศีรษะของเขาให้มันลงไปกลิ้งอยู่ที่พื้น
ปืนกระบอกนี้...ไม่ต่างอะไรกับปีศาจคลั่งที่พร้อมจะลงมือพรากชีวิตผู้ใช้ของมันทุกเมื่อ
นาคาเลื่อนหน้าต่างเช็คปืนสองกระบอกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปิดมันไป ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วจึงเอนหลังพิงกำแพงในตรอกเปลี่ยวของเมืองเรมิน่าด้วยความเบื่อหน่าย นี่เป็นอีกครั้งที่อลิซบอกว่ามี ‘ธุระ’ ที่เธอจะต้องจัดการ ทันทีที่เข้ามาในเกม เธอที่มีจุดเกิดอยู่ใกล้กันก็แยกทางกับเขาอย่างรวดเร็วพร้อมกับฉุดกระชากลากตัวคุโระไปโดยให้เหตุผลว่า ‘ธุระ’ ของเธอเกี่ยวพันกับตัวนักฆ่าชุดดำด้วย
เขาเองก็ไม่ได้ซักถามอะไรมาก ถึงจะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่เมื่อคิดไปคิดมาแล้ว บางทีเธออาจจะมีเหตุผลสำคัญบางอย่างสืบเนื่องกันกับการที่เธอไม่ต้องการให้เขาไปด้วยก็เป็นได้
บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับกิลด์ที่เขาพูดถึงเมื่อวาน
แต่...ก็เช่นเดียวกัน ทั้งสองคนรู้ดีว่าปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวค่อนข้างเสี่ยง ดังนั้นคุโระเลยตั้งใจจะส่งสมาชิกกิลด์มาคุ้มกัน โดยนัดแนะให้เขารออยู่ที่ซอกหลืบนี่
ซึ่งนั่น...ก็คือเรื่องราวทั้งหมดก่อนที่เขาจะต้องมายืนเร้นกายเป็นโจรมุมตึกอยู่ตรงนี้
“เฮ้ย แกเข้ามาทำอะไรในถิ่นข้ากันหา!!”
เสียงโหวกเหวกโวยวายที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นจากซอกหลืบเบื้องหลังทำเอานาคาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนที่จะหันหลังไปมอง ดูท่าความคิดในตอนแรกของเขาจะเป็นความคิดที่ผิด ตรอกนี่ไม่ใช่แค่ซอยว่างๆ ธรรมดาๆ อย่างแน่นอน
“ผม...มารอเพื่อนน่ะครับ”
บุคคลที่อยู่ตรงหน้าเป็นชายสูงอายุในเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง ในมือถือขวดเหล้าที่ว่างเปล่า พร้อมกับยืนจ้องมาที่ตัวของนาคาด้วยแววตาหาเรื่อง
ผู้เล่น…? ไม่น่าใช่ น่าจะเป็น AI ในเมืองมากกว่า
“รอเพื่อนงั้นเรอะ!!” ชายชรากล่าวทวนคำเสียงดัง ทำเอานาคารู้สึกมึนหัวเล็กน้อยจากเสียงที่สะท้อนก้องไปก้องมาในซอกหลืบเล็กๆแห่งนี้
มันน่าตกใจมากเลยฤา...กับการมารอเพื่อนนี่
“ข้าจำไม่ได้ว่าที่คฤหาสน์ของข้าเปิดบริการให้รอเพื่อนตั้งแต่เมื่อไหร่! ยิ่งไอ้มนุษย์หน้ากากน่าสงสัยแบบแก ข้ายิ่งไม่ต้อนรับ!!”
“คฤหาสน์? หมายถึงซอยนี่…”
“ใช่แล้ว” ชายแก่ยืดอกพูดอย่างภาคภูมิใจ “ที่นี่คือ คฤหาสน์ ดิโอเรกอนวิคตอรี่เบญจเดโชชัยเซี่ยงไฮ้นิวเดลีของข้า”
“...”
นาคาได้แต่ยืนนิ่งค้างด้วยแววตาเรียบสนิท มองดูภาพของชายชราจรจัดที่กำลังยกมือไล่ตนอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะต้องถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้
เห็นอีกฝั่งไม่มีทีท่าจะขยับไปไหน เจ้าของคฤหาสน์จึงค่อยๆ เชิดหน้าขึ้นสูง พลางยกขวดเหล้าในมือชี้แสกหน้าเด็กหนุ่มก่อนจะประกาศกร้าวด้วยเสียงที่กังวานไปทั่วซอยว่า
“ออกไปจากเพนท์เฮาส์ส่วนตัวของข้าซะ!”
ตัวเลือกมีสองอย่างคือทำตามหรือไม่ทำตาม หากปฏิเสธก็เป็นไปได้ว่าจะถูกเข้าโจมตีในทันที แพทซ์ล่าสุดก็บ่งบอกว่าในปัจจุบันแม้แต่พื้นที่ในเมืองก็ไม่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ คงจะสามารถตีความได้ว่าการถูกโจมตีจาก AI เป็นเรื่องที่เป็นไปได้
นาคายกนิ้วเคาะหน้ากากพลางใช้ความคิด แผนการในตอนแรกคือหลังจากสมาชิกกิลด์อสรพิษที่ถูกส่งมาคุ้มกันเขามาถึง เขาก็จะไปหามอนสเตอร์แถวรอบเมืองเพื่อลองอะไรเกี่ยวกับไอเท็มที่มีในครอบครอง
นั่นเป็นสิ่งที่เขาคิด แต่บางทีถ้ามองในอีกมุมหนึ่งแล้วละก็…เหตุการณ์แบบนี้ก็ประหยัดเวลาไปเยอะนี่นา
“ถ้าจำไม่ผิด แพทซ์ล่าสุด บทลงโทษในการสังหาร AI จะถูก...”
“มัวแต่พูดคนเดียวอะไรของแก ข้าบอกให้รีบไปไง ทำไมยังไม่ไปอีก!!” เสียงของชายแก่โพล่งขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด
ร่างในหน้ากากยิ้มไม่ได้พูดอะไรกลับ เขาเพียงแค่หัวเราะออกมาเท่านั้น
“ใจเย็นๆ สิลุง โมโหบ่อยๆ จะทำให้อายุสั้นลงนะ”
“ไม่ต้องยุ่งเรื่องชีวิตข้า ห่วงชีวิตของแกดีกว่า ไอ้หนู!”
ชายแก่จรจัดเอ่ยตัดบทอย่างไร้เยื่อใย ในขณะที่สิ่งที่นาคาทำก็แค่การส่ายหน้าด้วยความเสียดาย
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับ” นาคาเอ่ยพร้อมกับลูบศีรษะของตัวเองก่อนจะหยิบหนังสือสีดำที่หน้าปกเต็มไปด้วยลวดลายรูปสัตว์ประหลาดแสนน่าขยะแขยงขึ้นมาถือในมือ
“คนอุตส่าห์หวังดีแท้ๆ...”
สิ้นเสียง หมอกสีดำทะมึนก็พวยพุ่งออกมาจากหนังสือในมือของนาคา ก่อนจะค่อยๆลอยปกคลุมไปทั่วพื้นที่ภายในตรอก ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนด้วยความทรมานของชายแก่จรจัดผู้อ้างตัวเป็นเจ้าของที่ดิน
8,817!
แสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้าสาดกระทบกับพื้นหินเกลี่ยเรียบแทนสัญญาณเริ่มวันใหม่ ขณะที่บรรดาผู้เล่นและ AI ต่างก็เริ่มที่จะออกมาทำกิจการเปิดร้านค้าของตัวเอง
โดยปกติแล้ว กิจกรรมการค้าส่วนใหญ่ภายในเมืองเรมิน่าจะเริ่มขึ้นในตอนสายล่วงเลยไปจนถึงกลางดึกและช่วงเวลาที่ผู้คนคับคั่งที่สุดก็จะเป็นช่วงเย็นไปจนถึงหัวค่ำ ซึ่งเป็นเวลาที่เหล่าร้านค้าจำนวนมากต่างก็มุ่งเป้ากันทำรายได้ในช่วงเวลานี้อย่างเต็มที่ ดังนั้นช่วงเช้าของเมืองจึงเป็นเวลาที่ AI ประจำร้านค้าส่วนใหญ่จะเพิ่งเริ่มตื่นขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวัน นั่นเป็นสาเหตุให้ตามถนนหนทางต่างๆ ในเมืองดูเงียบเหงาซบเซาไปกว่าเดิมเล็กน้อย
“เห แสดงว่าเขามีฝีมือพอสมควรเลยสินะจ๊ะ แอชคุง”
“อื้อ ผู้เล่นมือใหม่ด้วยนะ พี่เบล แต่แค่วันที่สองก็สามารถเอาชนะกิจกรรมมาราธอนนั่นได้ละ”
บนเส้นทางสัญจรในย่านสลัมแถบตะวันออกของเมืองปรากฏภาพของหนุ่มน้อยร่างบางที่กำลังเดินคุยกับหญิงสาวหน้าตางดงามด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่ดูแปลกตาพอสมควรกับการที่ผู้หญิงกับเด็กหนุ่มเพียงแค่สองคนจะกล้าเข้ามาเหยียบในสถานที่แบบนี้ ถึงจะเป็นตอนเช้าที่ไม่ค่อยมีผู้คน แต่แถบสลัมของเรมิน่าก็เป็นที่เลื่องลือกันเป็นอย่างดีในเรื่องแหล่งมั่วสุมของยูสเซอร์และ AI เศษสวะเหลือเดนทั้งหลาย
กิลด์หัวขโมย ร้านค้าของเถื่อนรับซื้อของโจร หรือแม้แต่แก๊งต้มตุ๋นที่คอยหลอกเงินยูสเซอร์ต่างก็ยึดทำเลแถวนี้เป็นที่ดินทำกิน ด้วยเหตุผลสำคัญสืบเนื่องมาจากการที่พื้นที่แถบนี้ถูกละเว้นจากเจ้าเมืองคนปัจจุบันให้ไม่มีการลาดตระเวนของยามรักษาการณ์ประจำเมือง
นั่น...หมายความว่าการกระทำทุกอย่างที่เกิดขึ้นในแถบนี้ ทางการจะไม่ยุ่งเกี่ยวใดๆ ทั้งสิ้น
“วิ้ว~ ท่าทางจะมีเด็กหนุ่มผู้ไร้เดียงสากับแม่สาวหุ่นดินระเบิดหลงเข้ามาในปากเสือละ บ๊อบ”
ชายฉกรรจ์ผิวขาวคนหนึ่งผิวปากขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี ยกแก้วที่ใส่สุราอยู่เต็มขึ้นดื่มอึกๆจนหมด แล้วจึงใช้ลิ้นลูบทำความสะอาดคราบสุราบนริมฝีปากหนา ก่อนจะกระแทกมันลงกับโต๊ะไม้ริมฟุตบาทที่ตนเองกำลังนั่งอยู่พร้อมกับส่งเสียงครางในปากอย่างมีความสุข
“คิดอะไรของแกอยู่ แอนดี้” สมาชิกผิวดำร่างยักษ์ในวงก๊งเหล้ากลางแดดยามเช้าตรู่ส่ายหน้าเบาๆ อย่างเอือมระอา
“ฉันได้กลิ่นเงินว่ะ สนใจหรือเปล่า บ๊อบ”
“แกจะทำอะไร”
แอนดี้ยิ้มพราย ก่อนจะบุ้ยปากไปทางนักเดินทางทั้งสองที่แตกต่างจากคนแถวนี้อย่างเห็นได้ชัด
“ดูจากการแต่งตัวแล้วพวกนั้นคงจะกระเป๋าหนักน่าดู ว่าไหม”
“ก็คงจะใช่” บ๊อบพยักหน้า “แต่เลิกคิดเรื่องนั้นซะ แอนดี้ ฉันรู้น่าว่าแกคิดจะทำอะไร แกน่าจะจำเรื่องสัปดาห์ที่แล้วที่ทำพวกเราเกือบซวยได้ ความผิดแกแท้ๆ ที่ดันเลือกเหยื่อเป็นภรรยาของยามประจำเมือง เล่นเอาต้องหลบๆซ่อนๆกันไปร่วมครึ่งอาทิตย์”
“ไม่ใช่ความผิดฉันนะเว้ย ใครใช้ให้แม่คนนั้นมาแถวนี้ละ อีกอย่างการที่ผู้หญิงมีฐานะแบบนั้นมาที่สลัมนี่มันก็น่าสงสัยอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง คนปกติที่ไหนกันจะอยากมาเดินเล่นที่สลัมแบบนี้น่ะ”
“ก็จริงของแก แต่มัน...” บ๊อบพยายามจะปฏิเสธ แต่ก็ถูกเพื่อนร่วมวงเหล้าของตนเอ่ยขึ้นมาก่อนด้วยความรวดเร็ว
“โธ่ บ๊อบเพื่อนรัก ถ้าพวกเราปล่อยไว้แบบนี้เดี๋ยวพวกอื่นก็คาบไปอยู่ดี ธุรกิจสมัยนี้มันอยู่ที่ความเร็ว แกเป็นคนสอนฉันเองจำไม่ได้หรือไง”
เป็นคำพูดที่น่าเชื่อถือ เสียแต่ว่า ‘ธุรกิจ’ ที่พวกเขาทำน่ะ ไม่ว่าจะดูยังไงมันก็คือการ...
หลอกต้มตุ๋นเด็กกับผู้หญิงไม่ใช่เรอะ
“ซอยไหนนะ แอชคุง”
“เอ เห็นว่าอยู่หลังบาร์รอทเท่นออเรนจ์ [Rotten Orange] น่ะพี่เบล แต่พอดีว่าผมไม่รู้ว่าบาร์นั่นอยู่ไหนนี่สิ ขอเวลาเปิดแผนที่แป๊ปนึงละกัน....”
ทั้งสองเดินตรงเข้าสู่บริเวณสุดถนน สภาพภายในสลัมของเมืองเรมิน่านั้นค่อนข้างอับและมืดทึบพอสมควรจึงทำให้การสังเกตเส้นทางเต็มไปด้วยความยากลำบาก รวมไปถึงสภาพภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยบ้านไม้เก่าๆ แออัดซ้อนทับติดๆ กันยิ่งทำให้แทบจะแยกไม่ออกว่าที่ไหนเป็นที่ไหนเลยด้วยซ้ำ
“เฮ้ พี่สาวกับน้องชายตรงนั้นน่ะ”
เสียงเรียกของใครบางคนที่อยู่ดีๆก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังเรียกความสนใจของทั้งสองให้หันกลับไปดู
เบื้องหน้าของนักเดินทางหนุ่มน้อยกับหญิงสาวคือชายร่างใหญ่ผิวคนละสีสองคนที่กำลังยืนมองพวกเขาด้วยสีหน้าท่าทางที่แสดงถึงความเป็นห่วง
“หลงกับคณะทัวร์มางั้นเหรอ เดี๋ยวพวกเราอาสานำทางให้ เอาไหมจ๊ะ”
หญิงสาวไม่ได้พูดอะไรกลับ ในขณะที่หนุ่มน้อยผมเทาก็เพียงแค่เลิกคิ้วอย่างงงๆ
“เอ่อ...ไม่เปนไร”
ไม่ได้ผลงั้นสินะ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเจอ...
แอนดี้ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยกแว่นกันแดดสีดำขึ้นมาใส่ เสยผมของตนให้ดูเรียบร้อย แล้วจึงหยิบกระเป๋าสตางค์ของตนเองขึ้นมาเปิดให้นักเดินทางสองคนดูตราสีทองที่อยู่ภายใน
“จริงๆ แล้วพวกเราสองคนเป็นพนักงานองค์กรสายลับบราเธอร์ฮูดออฟเรมิน่า [Brotherhood of Remina] ที่คอยปกป้องเรมิน่าน่ะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสุขุมนุ่มลึกเพื่อเสริมความน่าเชื่อถือ “แล้วสายของเราสืบทราบข่าวมาว่าแถบนี้กำลังจะเกิดการประทะกันอย่างรุนแรงของมาเฟียเจ้าถิ่น ดังนั้นพวกเราเลยถูกสั่งให้มาพาผู้บริสุทธิ์หลบออกนอกพื้นที่...”
อธิบายไปได้สักพักก็รู้สึกได้ถึงมือของบ๊อบเพื่อนร่วมคณะที่กำลังเอื้อมมือมากระตุกชายเสื้อของเขารัวๆ
“เป็นอะไรของแกวะ กำลังทำงานอยู่ไม่เห็นหรือไง” เขาหันไปกระซิบถามบ๊อบ เพียงแต่สิ่งที่เพื่อนรักตอบกลับมากลับเป็นเพียงแค่เสียงตะกุกตะกักในปากไม่ต่างอะไรกับคนไข้ที่กำลังช๊อคจนพูดอะไรไม่ออก
“กะ...กะ...กะ...”
“มีอะไรก็พูดสิวะ บ๊อบ”
บ๊อบได้แต่ยืนฟันกระทบกันกึกๆ ตัวแข็งค้างมองดูใบหน้าของนักเดินทางสาวด้วยความตื่นตระหนก
ต่อจากนี้ไปเขาจะไม่มีทางฟังไอ้เพื่อนตัวแสบที่เอาแต่หาเรื่องปวดเศียรเวียนเกล้ามาให้ตนทุกวันอีกแล้ว คราวที่แล้วก็ทีหนึ่ง ปล้นภรรเมียของยามรักษาการณ์จนทำให้แทบจะต้องกลายเป็นชาวป่ากินนอนในแถบนอกเมืองอยู่ร่วมสัปดาห์
เพียงแต่ครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แบบนั้น ก็หญิงสาวคนนี้น่ะ...
กรุ๊ง...กริ๊ง
เสียงสายลมพัดเข้ากับเรือนผมยาวสลวยของเธอเผยให้เห็นถึงเครื่องประดับศีรษะรูปกระดิ่งที่ส่งเสียงกังวานใส หญิงสาวคนนั้นเลื่อนนิ้วของตนปาดเส้นผมที่พันกับกระดิ่งเล็กน้อย ก่อนจะหันมาฉีกยิ้มให้กับพวกเขาทั้งสองช้าๆ
การกระทำที่ยิ่งช่วยเสริมความชัดเจนยิ่งขึ้นกับสิ่งที่บ๊อบกำลังคิดอยู่ได้เป็นอย่างดี
“โธ่เว้ย ไอ้แอนดี้ ถ้าไม่อยากตายก็ได้เวลาที่เอ็งจะต้องใส่เกียร์หมาแล้วโว้ยยย!!!” สิ้นเสียง ชายผู้มีชื่อว่าบ๊อบก็คว้าชายเสื้อของเพื่อนรักตนพร้อมกับตะบี้ตะบันโกยสุดฝีเท้า ทิ้งไว้แต่ร่างของหญิงสาวและเด็กหนุ่มที่ยืนมองหน้ากันและกันแบบงงๆ
“แอชคุง เธอเข้าใจสิ่งที่สองคนนั้นต้องการไหม”
“ผมก็...ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันฮะ พี่เบล”
ผ่านจากการพบพานกับพนักงานองค์กรปกป้องเรมิน่าสองคนไปร่วมห้านาที ทั้งสองก็มาหยุดอยู่ที่หน้าซอยที่เป็นเป้าหมาย แอชหยิบแผนที่ขึ้นมาเช็คก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ ยืนยันว่าที่นี่คือที่ๆ พวกเขาต้องมาจริงๆ
“แอชคุง นั่นคงไม่ใช่ของๆ คนที่พวกเราจะต้องคุ้มกันใช่ไหมจ๊ะ”
“...”
หนุ่มน้อยผมเทาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
ภาพที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขาคือเศษชิ้นส่วนแขนของมนุษย์ที่อาจจะระบุตัวตนได้ยากว่ามันคือของใครจากสภาพอันแสนรุ่งริ่ง ตั้งแต่ที่แอชเข้ามาในซอยนี้ เขาก็รู้ตัวดีแล้วว่าอะไรบางอย่างต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนจากกลิ่นคาวเลือดที่พุ่งเข้าแตะจมูกของเขาอย่างรุนแรง
หรือว่าหมอนั่น…
“อ้าว หวัดดี แอช”
เสียงอันคุ้นเคยที่ดังลึกมาจากภายในของซอกหลืบอันมืดมิดปลุกหนุ่มน้อยให้ตื่นจากภวังค์ ก่อนที่เขาจะยิ้มออกมาพร้อมกับรีบหันไปหาทางต้นเสียงด้วยความโล่งอกที่นาคาไม่ได้ประสบชะตากรรมที่เลวร้ายอย่างที่คาดคิด
ทว่า...ชั่วขณะที่หนุ่มน้อยหันกลับไป ความเย็นเยียบไปถึงขั้วกระดูกก็พุ่งเข้ามาจับที่ใบหน้าค่อยๆ กัดกินรอยยิ้มของเขาแปรเปลี่ยนให้มันกลายเป็นสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดระแวง
“นาคา?”
นั่นคือคำพูดเพียงคำเดียวที่หลุดลอดไปจากริมฝีปาก เมื่อสิ่งที่แอชมองเห็นไม่ใช่เด็กหนุ่มในเสื้อกันหนาวและกรอบแว่นสีดำอย่างที่คาดหวัง แต่กลับเป็นเจ้าของร่างสูงในหน้ากากยิ้มเปื้อนเลือดกับเสื้อกันหนาวสีขาวซีดที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้า
บุคลล...ที่หลังจากนั้นไม่นานก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เขาคุ้นเคยว่า
“อื้อ ฉันเอง”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ทำไมเป็นแบบนี้ไปแล้ว
มีแม่ใจร้ายสินะ ฮือฮือ
เก็บกดมากไปแล้ววว
ไม่ใช่หน้ากาก Guy Fawkes ครับ
ยังไงนิยายเรื่องนี้ก็ไม่ได้เจาะประเด็นไปที่การปฏิวัติน่ะครับ เลยคิดว่าให้เป็นหน้ากากยิ้มธรรมดาดีกว่า
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 6 กรกฎาคม 2557 / 14:10