ตอนที่ 2 : Error : 0x0000000A หน้าฝน
ERROR Online : Overkill
“ฝนตก...หนักจริงๆ แฮะ”
บรรยากาศที่บริเวณปากซอย ‘ธาราพิสัย’ เต็มไปด้วยหยาดฝนที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า สภาพอากาศย่ำแย่ที่เต็มไปด้วยไอน้ำสีขาวหนาเตอะปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นที่ ขณะที่เสื้อที่เปียกชุ่มก็ทำให้ประสบการณ์การยืนรอฝนหยุดในครั้งนี้กลายเป็นความทรงจำที่ไม่อยากจะย้อนนึกถึงขึ้นเรื่อยๆ
เจ้าของร่างสูงในชุดนักเรียนถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะหยิบแว่นสายตากรอบสีดำของตนลงมาเช็ดด้วยปกเสื้อ
บางทีน่าจะพกร่มมาตั้งแต่แรก
เขาคิด ถอนหายใจให้แก่ความผิดพลาดของตัวเองที่ลืมหยิบร่มติดมาในหน้าฝนแบบนี้ไปสักพักก่อนที่สายตาของเขาจะเลื่อนไปสะดุดกับรายการทีวีที่กำลังถ่ายทอดสดอยู่ในจอโทรทัศน์แอลซีดีภายในร้านค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เขากำลังยืนพิงอยู่
สัมภาษณ์สดอัจฉริยะวัย 15 ปีแห่งวงการเกมเอเชีย
ปกติเขาไม่ค่อยสนใจเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว แต่เพียงเพราะภาพตรงหน้าเป็นคนๆ เดียวกับนักเรียนที่เคยเห็นหน้าที่โรงเรียนบ่อยๆ ก็เลยเผลอหยุดมองแบบไม่รู้ตัว
‘ไม่ได้สนิท แต่ก็เคยทำกิจกรรมร่วมกันที่โรงเรียน ไม่ได้รู้จักอะไรเป็นการส่วนตัว แต่ก็มีบางครั้งที่ทักทายอีกฝ่ายเวลาเดินสวนกัน’
นิยามของหมอนั่นคงจะเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย เพื่อนเยอะ มนุษยสัมพันธ์ดี เล่นกีฬาใช้ได้ แต่ไม่ค่อยเอาอ่าวด้านการเรียน
ถึงอย่างนั้นก็เป็นคนที่ได้รับความนิยมอยู่พอตัว
เพียงแต่น่าแปลกที่ทำไมคนธรรมดาที่ค่อนไปทางได้รับความนิยมเล็กน้อยแบบนั้น กลับมีความสำคัญถึงขนาดได้ออกรายการบนโทรทัศน์
มัน...เพราะอะไรกันนะ
แปะ...แปะ
คิดเรื่อยเปื่อยไปได้สักพัก เขาก็สัมผัสได้ถึงหยาดฝนที่เริ่มจะสาดเข้ามาสัมผัสกับใบหน้า เขาจึงเขยิบถอยหลังเข้าไปจนเกือบติดกับกระจกหน้าร้านค้าที่เขากำลังหลบฝนอยู่
ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงแหลมสูงของสุภาพสตรีคนหนึ่งที่ดังขึ้นแทบจะทันทีว่า
“ตายแล้ว! หนูนาคใช่ไหมเนี่ย ทำไมมายืนหลบฝนอยู่หน้าร้านพี่แบบนี้ละ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก!”
และหลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งวินาที ร่างของเขาก็ถูกเธอคว้าหมับเข้าที่ข้อมือ ก่อนที่อีกฝั่งจะฉุดกระชากลากถู ลักพาตัวเขาเข้าไปยังภายในร้านค้าแห่งนั้นด้วยความรวดเร็ว
ร้านค้าที่น่าจะไม่ผ่านมาตรฐานสาธารณสุขนี้มีชื่อว่าเจ๊ภัทรจัดเต็มอิเล็กทรอนิกส์ เป็นร้านอุปกรณ์ไฟฟ้าเพียงร้านเดียวของซอย ตั้งอยู่แถบนี้ได้ราวๆ ห้าปี และด้วยความที่ทั้งซอยมีร้านอิเล็กทรอนิกส์เพียงแค่ร้านเดียวจึงทำให้ชาวบ้านแถบนี้หลายๆ คนเลือกที่จะแวะมาใช้บริการ
ด้านในร้านถูกจัดวางอย่างไม่ค่อยได้สัดส่วน หน้าต่างบานเกล็ดเกรอะกรังไปด้วยคราบสิ่งสกปรก เครื่องใช้ไฟฟ้าหลากหลายประเภทถูกวางกองพะเนินเทินทึกทำให้สงสัยว่านี่มันร้านขายของหรือกองขยะกันแน่
จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เข้ามาในร้านนี้เห็นจะเป็นเมื่อสมัยตอนยังเด็ก ซึ่งมันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว แต่เมื่อเทียบกับภาพในความทรงจำ อะไรๆ ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่นัก
“ขอโทษนะจ๊ะ พอดีพี่ไม่ได้จัดของเท่าไหร่ ร้านเลยอาจจะดูรกไปหน่อย” เจ๊ภัทรพูดด้วยเสียงแหลมแสบแก้วหูตามปกติ พร้อมกับขยับมือส่งแก้วชาร้อนหอมกรุ่น วางบนโต๊ะหน้าโซฟาเก่าๆที่เขากำลังนั่งอยู่
“แค่ให้เข้ามาหลบฝนก็ขอบคุณมากแล้วครับ พี่ภัทร” เขายิ้มตอบตามมารยาท ยื่นมือไปรับแก้วชาก่อนจะพับเก็บแว่นสายตาที่เปียกชุ่มใส่กระเป๋าเสื้อ
สาเหตุที่เธอใจดีกับเขาบางทีอาจจะเป็นเพราะว่าใครๆ แถวนี้ต่างก็รู้ดีว่า นาคา ไพศาลธารา เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของ ชลธาร ไพศาลธารา ผู้เป็นเจ้าของที่ดินเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของซอย ‘ธาราพิสัย’ แห่งนี้
ซึ่งก็อาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขาเลือกที่จะไม่ใช้เส้นทางแถบย่านร้านค้านี่บ่อยๆ เนื่องจากเวลาที่เจ้าของร้านค้าบางคนเจอหน้านาคา อยู่ดีๆ ใบหน้าของบรรดาพ่อค้าแม่ขายทั้งหลายก็เปลี่ยนไปเป็นซีดเผือด แข้งขาอ่อนแรง ขยับปากละล่ำละลักราวกับกำลังเจอภูติผีปีศาจ
หนักสุดก็คือเจ้าของร้านเครื่องซักผ้าอัตโนมัติที่เห็นว่าเคยเบี้ยวค่าเช่าแม่ของเขาไปสองเดือน ตอนที่เจอกันครั้งสุดท้าย พี่แกเปิดแน่บขึ้นไปซุกตัวสั่นอยู่บนฟูกในห้องนอนบนชั้นสี่ตั้งแต่ที่ได้ยินเสียงนาคากำลังสั่งซื้ออุปกรณ์เครื่องเขียนอยู่ร้านข้างๆ
“ได้ข่าวว่า ปีที่แล้วหนูนาคก็ได้แชมป์คณิตศาสตร์โอลิมปิกระดับประเทศอีกแล้วนี่ สองปีซ้อนเลยใช่ไหมจ๊ะ” เจ๊ภัทรสุภาพสตรีเจ้าของร้านเอ่ยปากชวนคุย ก่อนจะทรุดตัวลงยังที่ว่างบนโซฟาข้างๆ
นาคาส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่ใช่...ครับ นั่นน่ะเป็นเรื่องเมื่อสองปีที่แล้ว” นาคาหยุดยกแก้วชาขึ้นจิบ หลังจากนั้นจึงอธิบายต่อว่า “จริงๆ ต้องบอกว่าโชคช่วยด้วยละครับที่ผมได้เหรียญทองคณิตศาสตร์โอลิมปิกเมื่อสองปีที่แล้ว เพราะเห็นว่าปีนั้นข้อสอบที่ใช้วัดคะแนนน่ะง่ายที่สุดแล้ว”
“ตายแล้ว นอกจากเก่งแล้วยังจะถ่อมตัวอีก ใครได้คนแบบหนูนาคไปเป็นแฟนนี่คงจะมีความสุขมากแน่ๆ” หล่อนว่า จัดแจงส่งสายตาออดอ้อน
“ฮะๆ” นาคาหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนที่จะหัวเราะเบาๆ กระดกแก้วกลืนน้ำชาร้อนรสเฝื่อนลงคอเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเลื่อนสายตาไปสะดุดกับโทรทัศน์ในห้องที่ปรากฎภาพการถ่ายทอดสดของอัจฉริยะวัย 15 ปีแห่งวงการเกม
“หมอนั่น...” เขาเผลอหลุดปาก ก่อนที่เขาจะกระแอมไอออกมาเบาๆ
เห็นคู่สนทนาให้ความสนใจไปที่รายการทีวี เธอก็กระตุกยิ้มเล็กน้อย
“หนูนาคาสนใจหรอ” เจ๊ภัทรถาม “อ้อ ถ้าพี่จำไม่ผิด เธอก็อยู่โรงเรียนเดียวกับเค้าด้วยนี่นะ”
“ใช่ครับ” เขาตอบ ตายังคงจับจ้องอยู่ที่ภาพในจอทีวี
เมื่อเห็นอีกฝ่ายรับคำ หล่อนจึงเริ่มว่าต่อ
“พี่เดาว่าเธอคงไม่รู้จัก ERROR Online ใช่ไหม”
นาคาพยักหน้า
“ครับ”
ได้ยินดังนั้น เธอก็เริ่มอธิบายทันที
“มันเป็นเกมออนไลน์เสมือนจริงที่กำลังเป็นที่นิยมในตอนนี้น่ะ ตามข้อมูลเมื่อปีที่แล้วเห็นว่ามีเซิร์ฟเวอร์อยู่ 193 ตัวทั่วโลก ผู้เล่นทั่วโลกทั้งหมดราวๆ 70 ล้านคน เฉพาะที่ประเทศเราก็หลายล้านแล้วละมั้ง พี่คิดว่านะ”
“รู้ข้อมูลเกี่ยวกับเกมนี่เยอะเหมือนกันนะครับ”
“แน่นอน ก็พี่เล่นเกมนี้ด้วยน่ะสิ” สาวเจ้าของวัยยี่สิบปลายๆ ทำท่ายกกำปั้นอย่างภาคภูมิใจ “อ้อ แล้วก็ คนที่ออกรายการอยู่ตอนนี้ก็คือแรงค์กิ้งยูสเซอร์อันดับสามของทวีปเอเชีย วรุณ [Varuna]”
เธอหยุดบทสนทนาสักพัก ก่อนจะเลื่อนสายตาไปสบกับเด็กหนุ่มตรงหน้า “พี่คิดว่าหนูนาคคงจะรู้จักตัวจริงของเค้าอยู่แล้วใช่ไหมจ๊ะ“
“ใช่ครับ” นาคารับคำ
“ได้ยินว่าเค้าเก่งมากเลยนะ จากที่พี่ได้ข่าวมา เห็นว่าเป็นคนแรกจากประเทศเราที่ได้ขึ้นระดับแรงค์กิ้งสูงถึงขนาดนี้” สายตาเพ้อฝันของหญิงวัยร่วมสามสิบทำเอาเด็กหนุ่มคนข้างๆ ได้แต่สะดุ้งเฮือกถอยหลัง “แถมหน้าตาก็ไม่เลวด้วยนะเนี่ย…อ๊ายยย หนูนาคาก็ดี วรุณคนนั้นก็ดี”
เห็นคู่สนทนาชะงัก เจ๊ภัทรจึงรีบถอนตัวเองออกมาจากโลกแห่งจินตนาการ ก่อนจะกระแอมไอเล็กน้อย “แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไปนะ ยังไงหนูนาคก็มาก่อนในสายตาของพี่อยู่แล้ว”
นาคาหัวเราะออกมาเบาๆ
“แต่ถ้าเป็นเรื่องเกม พี่คิดว่าคงหาคนในประเทศเราที่มีฝีมือทัดเทียมกับเขายากละนะ” เธอว่า เลื่อนสายตาขึ้นไปจับที่ภาพของเด็กนักเรียนบนโทรทัศน์
“บางที ต่อให้เป็นหนูนาคไปเล่นเกมนี้ก็คงไม่มีทางจะสู้เขาได้ละมั้ง”
ดวงตาของเขากระตุกเล็กน้อย ก่อนที่นาคาจะหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วจึงหยิบแก้วชาในมือขึ้นดื่มอีกครั้ง
น่าแปลกที่คำพูดเมื่อกี้ กลับทิ่มแทงเข้าไปในจิตใจของเขาอย่างบอกไม่ถูก
คำพูดที่ว่า...เขาไม่มีทางสู้หมอนั่นได้
“อ้อ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกจ้ะ ยังไงเขาก็คงสู้เธอเรื่องการเรียนไม่ได้หรอก จริงไหม ไม่ต้องเสียใจไปหรอก” มือบางถูกยกขึ้นจับไหล่ของนาคเบาๆ
“คนเราน่ะชะตาลิขิตไว้ให้เก่งกันคนละด้านอยู่แล้วละ”
นาคาไม่ตอบอะไรกลับ เขายิ้มให้อีกฝ่ายบางๆ แล้วจึงหันกลับไปมองที่รายการสัมภาษณ์บนโทรทัศน์ นั่งดูมันไปตลอดเย็นวันนั้น...
ฝนหยุดตก เขาก็เอ่ยขอบคุณเจ๊ภัทรที่ให้อาศัยพักรอฝนหยุด พร้อมกล่าวลาเตรียมตัวที่จะเดินทางกลับบ้าน เพียงแต่หลังจากที่เขาเดินออกจากร้านมาได้สักพักนั้น เจ้าหล่อนก็ตะโกนเรียกชื่อเขาด้วยเสียงแหลมปรี๊ดอันเป็นเอกลักษณ์
“รอพี่ก่อน หนูนาค!”
ท่าทางของเจ๊ภัทรดูเหมือนเพิ่งคิดอะไรบางอย่างออก หล่อนพุ่งตัวกระแทกประตูกระจกอย่างรุนแรง วิ่งสุดฝีเท้ากลับเข้าไปในร้านของเธอ ก่อนจะกลับออกมานอกร้านด้วยความรวดเร็ว
“มีอะไรเหรอครับ พี่ภัทร” นาคาเลิกคิ้วถาม
เจ๊ภัทรยืนหอบแฮ่กสักพักหนึ่ง ก่อนจะยื่นกระดาษบางอย่างที่เธอเพิ่งไปให้ที่มือเขา
“นี่ไง พี่ให้ เผื่อหนูจะสนใจ”
มันเป็นแผ่นพับสี่สีจากกระดาษคุณภาพสูงที่ถูกเขียนกลางหน้าไว้ว่า ‘ERROR Online’ ตามด้วยข้อมูลรายละเอียดในตัวเกมแบบเข้าใจง่าย
“แผ่นพับนี่เป็นส่วนลดเวลาซื้อเครื่อง 20 เปอร์เซ็นต์น่ะ” เธอชี้นิ้วไปที่ตัวหนังสือสีแดงบริเวณซ้ายล่าง “ปกติเขาจะแจกให้แต่คนที่ไปงานเปิดตัวของเกมนี้ พอดีว่าอันนี้เพื่อนพี่เอามาฝากเพราะนึกว่าพี่ไม่ได้ไป”
“สุดท้ายก็ไปเหมือนกันแต่ก็ดันไม่เจอกันน่ะนะ” เธอยกกำปั้นทุบหัวตัวเองพร้อมกับหัวเราะแหะๆ
นาคาไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ยิ้มรับอย่างเคย
“แล้วก็ ถ้าเกิดคิดจะเล่นเมื่อไหร่ก็มาบอกชื่อตัวละครให้พี่ด้วยละ เดี๋ยวพี่จะได้ส่งคำขอเป็นเพื่อนไป” เจ๊ภัทรพูดทิ้งท้ายด้วยการแลบลิ้นพร้อมกับขยิบตาให้เขาหนึ่งที
นาคาพยักหน้าช้าๆ ก้มหน้าขอบคุณเจ๊ภัทรเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะก้าวเท้าจะมุ่งหน้าไปตามทางกลับบ้าน
เขากลับถึงบ้านในเวลาราวๆ หนึ่งทุ่มจากสภาพพื้นถนนที่ย่ำแย่และน้ำเสียจำนวนมากที่เอ่อล้นท่อมาเกือบฟุต เขาจึงเสียเวลาไปกับการเดินทางในระยะแค่ไม่กี่กิโลเมตรไปร่วมครึ่งชั่วโมง
บ้านของเขาเป็นคฤหาสน์สไตล์โมเดิร์นสามชั้น มี่ที่ดินใช้สอยกว้างขวางจนเรียกได้ว่าสามารถอยู่กันได้ราวๆ สี่ถึงห้าครอบครัว นอกจากนั้นยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน จนบางครั้งเขาก็คิดว่ามันหรูหราจนเกินพอดี
“กลับสายนะ นาคา”
ทันทีที่เขาเดินผ่านประตูบ้าน เสียงแหบต่ำของสตรีผู้เป็นมารดาก็พุ่งตรงมาที่ตัวเขาทันที
น้ำเสียงของเธอเย็นยะเยือก สายตาคมกริบของหญิงหม้ายผู้เป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แปดสิบเปอร์เซ็นต์ในซอยจ้องเขม็งมาที่ตัวเด็กหนุ่มอย่างเต็มไปด้วยความกดดัน
“ขอโทษครับ” นาคาพูดขึ้นในขณะที่ทั้งสองมือก็ขยับถอดแว่นสายตาคู่ประจำพับเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ แล้วจึงหันไปยิ้มบางๆ ให้กับผู้เป็นมารดา “พอดีวันนี้ฝนตกหนัก ผมเลยพักรอฝนหยุดที่ร้านพี่ภัทรก่อนน่ะครับ”
ได้ยินดังนั้น สุภาพสตรีคนนั้นจึงไม่คิดจะซักไซ้อะไรต่อ เธอเลื่อนความสนใจไปยังกระดาษสีสดที่นาคากำแน่นอยู่ในมือแทน “แล้วนั่นกระดาษอะไร”
“กระดาษ…”
นาคาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจถึงสิ่งที่แม่ของตนบอก ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวถึงบางสิ่งที่เขายังคงกำมันแน่นอยู่ที่มือซ้ายของตัวเอง จึงค่อยๆ ยกมันขึ้นมาดู
มันคือแผ่นพับโฆษณาเกมที่เจ๊ภัทรให้เขามาตั้งแต่เมื่อตอนเย็น แผ่นพับที่ยังคงฝังแน่นอยู่ในฝ่ามือของเขาแม้จะมีรอยยับปรากฎขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากน้ำหนักมือที่เขากำมันมาตลอด แต่ก็ไม่ได้ทำให้มันต้องตกอยู่ในสภาพขาดรุ่งริ่งเกินจะอ่านได้แต่อย่างใด
เขาหลุบตาลงต่ำ เลื่อนสายตาไปจับที่ลายพื้นแกรนิตสีดำภายในห้องรับแขกอย่างไร้ความหมาย
“เกม...ไม่สิ”
นาคาชะงัก เขายืนนิ่งไปสักพักก่อนที่ริมฝีปากบนใบหน้าจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มจางๆ
“ก็แค่ขยะครับ”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

กลับมาเริ่นต้นไหม่ดีกว่า
อัพยาวๆน่ะ ไหว้ล่ะ อย่าทิ้งน่ะ นิยายคนไทยสนุกๆแค่ไม่กี่เรื่องคุณคือ1ในนั้น กราบ!
ไรต์กลับมาแล้วววววววววว คิดถึงมากกกกกกกกก
โคตรคิดถึงเลยเรื่องนี้(คิดถึงนาคากลับชุดขุนนางเก่ากับตุ๊กตาเด็กเปรต(?))
ไม่คาดคิดเลยว่าไรท์จะกลับมาแล้ว(-เราก็ได้แต่อ่านตอนเดิมซ้ำๆ)
ขอบคุณครับที่ยังไม่เลิกเขียนเรื่องนี้นะไรท์ซัง//ซาบซึ้ง
ยินดีต้อนรับกลับค่าาา