ตอนที่ 123 : Error : 0x00000117 จดหมาย
ERROR Online : Overkill
“สวัสดีครับ”
นาคาพูด เอนหลังพิงม้านั่งหินอ่อน ในมือเอื้อมไปแกะห่อแซนวิชทูน่าแล้วจึงยกขึ้นมากัด เคี้ยวไปสักพักก่อนจะกลืนมันลงลำคอพร้อมกับเอ่ยถามออกมาว่า
“วันนี้ไม่ได้พกร่มมาด้วยเหมือนเมื่อวานเหรอครับ คุณฟรานเชสก้า”
เธอชะงัก ขณะที่ทางฝั่งคริสต์ที่ดูเหมือนจะไม่เข้าใจเหตุการณ์ดังกล่าวก็เพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นช้าๆ
“พยากรณ์อากาศบอกว่าบ่ายนี้ฝนจะไม่ตกน่ะ” เธอพูด
เขาพยักหน้า ก่อนที่จะหันไปคุยกับคริสต์ที่ยืนทำหน้าสับสนอยู่ข้างๆ ว่า
“เมื่อวานพี่สาวนายมา ‘คุย’ กับฉันที่ห้องสมุดโรงเรียนน่ะ”
“พี่ฟรานไปคุยกับนายเมื่อวาน?”
คริสต์เบิกตาขึ้นกว้าง ก่อนที่จะหันไปสบตากับพี่สาวในชุดเสื้อยืดสีขาวลายกุหลาบแขนสั้น คนที่เพียงแค่มองสบตาตรงๆ โดยที่ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา
“ก็ตามนั้น” เธอพูด ก่อนที่เขาจะเอ่ยเสริมไปว่า
“จะว่าไปแล้ว พี่สาวนายเป็นคนน่าสนใจดีนะ กับคนที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรก ถึงกับใช้ร่ม…”
ทว่า ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรต่อไป มันก็ถูกหยุดด้วยนัยน์ตาสีฟ้าที่คมกริบของฟรานเชสก้า กับเสียงกระแอมไอออกมาเบาๆ ของเธอ
“นายรู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับ ‘เด็กคนนั้น’ มากแค่ไหน นาคา”
คำพูดที่ถูกเปลี่ยนไปซีเรียสกว่าเดิมเรียกเอานัยน์ตาสีดำของเขาหันขวับไปสบตาที่ใบหน้าของเธอพร้อมกับแซนวิชทูน่าในมือที่ถูกกลืนลงลำคอไปช้าๆ
“เคยได้ยินข่าวลือจากผู้เล่นในเกม แล้วก็เรื่องเล่าผ่านหูมาบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วเพราะเธอไม่ค่อยอยากจะพูดถึง ทางนี้ก็เลยเลือกที่จะไม่ถามมากกว่าน่ะครับ”
เขาพูดขณะที่นัยน์ตาก็ยังคงสังเกตไปยังปฏิกิริยาตอบรับของอีกฝั่งที่เปลี่ยนไปทันทีที่เขาพูดจบ
มือเรียวถูกยกขึ้นกุมศีรษะ ดวงตาสีฟ้าของเธอก็เผยแววสั่นไหวขณะที่ใบหน้าของเธอก็เริ่มเปลี่ยนไปเศร้าหมองกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่บ่งบอกว่าคำพูดดังกล่าวนั้นกระทบกระเทือนไปถึงเบื้องลึกภายในจิตใจของเธอ
“เพราะจดหมายพวกนั้นจริงๆ สินะ”
เธอพูด กัดลงที่ริมฝีปากคู่งามเช่นเดียวกับฝ่ามือขาวของเธอที่เริ่มกำแน่นจนปรากฏรอยช้ำ
จดหมายพวกนั้น...?
ครั้งที่สองที่เขาได้ยินเกี่ยวกับมัน และจนถึงตอนนี้เขาก็พอจะเดาแล้วว่ามันน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของบางอย่างในเรื่องราวที่เกี่ยวพันกันอย่างยุ่งเหยิงระหว่างทั้งสองคนนี้
“พอจะเล่าให้ทางนี้ฟังได้ไหมครับ เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างคุณกับอลิซ”
ดวงตาสีฟ้าหันมาสบตากับเขา นาคาสังเกตเห็นได้ถึงความชื้นที่เริ่มเกาะตัวอยู่ที่ใบหน้าก่อนที่จะเหลือบกลับมายังรอยยิ้มบางๆ ที่ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของเธอ
“ที่ฉันตั้งใจจะมาคุยกับนาย...ไม่สิ ที่ฉันตั้งใจจะมาคุยกับ ‘เด็กคนนั้น’ ตั้งแต่แรกก็เป็นเพราะเรื่องนั้นอยู่แล้ว”
เขาพยักหน้า
มันเป็นเรื่องที่นาคาพอจะเดาออกได้ตั้งแต่แรก เพราะถึงอย่างไรฟรานเชสก้าก็ตัดสินใจเลือกที่จะส่งคริสต์มาเป็นหินถามทางกับหยกดูก่อน
“ช่วงราวๆ หนึ่งเดือนก่อนที่กิลด์วันเดอร์แลนด์จะล่มสลาย...เด็กคนนั้นได้รับจดหมายจากฉันส่งไปที่บ้านของเธอน่ะ” เธอพูด หยุดชะงักชั่วขณะก่อนที่จะเป็นฝ่ายคริสต์ที่เดินเข้าไปยกมือจับไหล่พี่สาวของตัวเองเบาๆ แทนการให้กำลังใจ แล้วจึงพูดออกมาว่า
“จดหมายพวกนั้น...เป็นจดหมายที่ถูกจ่าหน้าซองว่า ‘จากฟรานเชสก้า’ น่ะ” คริสต์พูด ก่อนจะเป็นฝั่งฟรานเชสก้าที่เอ่ยเสริมมาว่า
“ทั้งหมด 24 ฉบับถูกส่งให้กับ ‘อลิซ’ โดยที่ใจความช่วงแรกจะเป็นการเล่าถึงชีวิตประจำวันประมาณต้องการจะรู้จักกันมากขึ้น...ซึ่งทางฝั่งเด็กคนนั้นก็เลือกที่จะเขียนตอบกลับ”
เป็นอีกครั้งที่นัยน์ตาสีฟ้าของฟรานเชสก้าเผยแววเจ็บลึกไปถึงภายในจิตใจเช่นเดียวกับฝ่ามือของเธอที่เริ่มสั่นเทา
ปฏิกิริยาอันน่าประหลาดจากเรื่องเล่าในอดีตที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นของเพื่อนสองคน
“เพียงแต่...ปัญหามันอยู่ที่จดหมายฉบับที่ 14 กับการหยุดเขียนกลับของเด็กคนนั้นที่เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหันน่ะ”
เธอพูด ก่อนที่จะเอื้อมมือไปหยิบอะไรบางอย่างในกระเป๋าถือที่ติดตัวมาด้วยวางลงบนโต๊ะม้านั่ง
14…?
เบื้องหน้าคือซองจดหมายเก่าๆ ที่ถูกเขียนบนตัวมันไว้ด้วยเลข 14 ซองจดหมายที่ถูกใส่อยู่ในซองใสกันรอยนิ้วมือ พร้อมกับคำพูดที่ถูกเอ่ยออกมาว่า
“เนื้อความข้างในถูกเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ มันถูกเขียนด้วยข้อความพร่ำพรรณาว่า ‘เธอคือคนเพียงคนเดียวที่ฉันรัก’ ‘ฉันคอยมองเธอมาตลอด’ พร้อมกับลงท้ายว่า ‘ฉันกำลังจะไปหาเธอบนโลกจริง’ น่ะ...“
เนื้อความที่แม้แต่นาคาเองก็รู้สึกได้ถึงขนในกายที่ลุกชันขึ้นมา
ข้อความที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีถึงความผิดปกติทางจิตใจของผู้ที่เขียนจดหมายดังกล่าว
เพียงแต่ว่า...
เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดบนใบหน้ายามที่ฟรานเชสก้าพยายามจะพูดออกมา
ปฏิกิริยาตอบสนองต่อเรื่องราวที่เขาพอจะเรียบเรียงได้ว่าถ้าไม่ใช่เธอรู้สึกผิดกับมันแล้วละก็
มันก็หมายความว่า...
“คุณไม่ได้เขียนจดหมายฉบับที่ 14 ส่งไปหาเธอใช่ไหมครับ”
คำตอบคือการฝืนยิ้มออกมาบางๆ พร้อมกับการส่ายหน้าช้าๆ
ก่อนความเป็นจริงที่ทำเอาเขาได้แต่เบิกตาขึ้นกว้างจะถูกเอ่ยออกมาว่า
“ฉันไม่เคยเขียนจดหมายไปถึงเด็กคนนั้นตั้งแต่แรกแล้ว”
เรื่องเล่าที่มักจะไม่ตรงกับความเป็นจริง
ตำนานที่มักจะเป็นเพียงแค่บทพูดที่ผ่านการปรุงแต่ง
เรื่องราวที่ถูกเสริมสร้างส่วนประกอบให้ออกมามีรสลึกล้ำยากที่จะหยั่งถึง
“อย่างที่คิด...”
นาคาพึมพำกับตัวเอง ขณะที่นัยน์ตาสีดำก็แหงนขึ้นมองดูไปยังภาพของเชือกที่ถูกร้อยบนกิ่งก้านสาขาของต้นโพธิ์ขนาดใหญ่
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นดันแว่นสายตาของเขาเบาๆ เงาสีดำของใบไม้บนกิ่งก้านของต้นโพธิ์ที่น่าจะมีอายุหลายร้อยปีสยายปกคลุมอาณาเขตไปทั่ว
ความมืดที่ทำเอาเรื่องเล่าในตำนานดูเริ่มมีเค้าโครงจากบรรยากาศสลัวๆ แม้จะเป็นในตอนบ่ายสาม
เชือกที่ถูกแขวนเป็นชิงช้า กับสภาพพังทลายของแผ่นไม้ที่ห้อยต่องแต่งอยู่บนพื้นคงจะทำให้เข้าใจผิดได้ไม่ยากว่ามันคือเชือกที่มีคนใช้เพื่อปลิดชีวิตตัวเอง
เดาว่าตำนานเรื่องผีต้นโพธิ์หลังโรงเรียนก็คงจะเริ่มมาจากตอนหัวค่ำที่มีใครเข้าใจผิดเห็นเข้ากับเงาของอะไรบางอย่าง
ถ้าจำไม่ผิดที่ต้นโพธิ์นี่…ตัวเขาในสมัยก่อนเคยสัญญาอะไรบางอย่างกับใครไว้
เขาคิด เลื่อนศีรษะมองไปยังแผ่นไม้ผุๆ ไปสักพักแล้วจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ
แต่บางทีมันคงจะไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะไม่งั้นเขาคงจะจำมันได้
นาคาคิด ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากอาณาเขตต้นโพธิ์ เงยหน้าขึ้นมองดูก้อนเมฆที่เริ่มเข้าปกคลุมท้องฟ้าบริเวณสุดสายตา
“คืนนี้ฝนน่าจะตก…”
เขาพึมพำออกมาเบาๆ ขณะที่ภายในหัวก็ย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องราวที่เขาพูดกับคริสต์และฟรานเชสก้าในตอนบ่ายโมง
บุคคลปริศนาที่แอบอ้างใช้ชื่อ ‘ฟรานเชสก้า’ เพื่อ ‘ทำความรู้จัก’ กับเพื่อนร่วมห้องของเขา
เจ้าของตัวตนลึกลับที่รู้อยู่บนโลกจริงของเธอ และยังสามารถที่จะเขียนจดหมายส่งไปถึงเธอได้
ต้นเหตุ...ที่นำไปสู่ความล่มสลายของกิลด์วันเดอร์แลนด์
“สมาชิกทั้งหมดภายในกิลด์วันเดอร์แลนด์ในตอนนั้น มีกี่คนนะครับ”
“60 คนน่ะ”
ฟรานเชสก้าตอบ ขณะที่เด็กหนุ่มก็พยักหน้าลงช้าๆ
“หยก...ไม่ได้แจ้งความกับตำรวจเรื่องนี้สินะครับ”
เขาพูด ก่อนจะเป็นฝ่ายฟรานเชสก้าที่หันมาพยักหน้าให้กับเขา
จนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปราวๆ 7 เดือนหมายความว่าเรื่องน่าจะขาดอายุความแล้ว
จริงๆ ก็สามารถจะอ้างได้ว่าไม่เข้าใจว่าเรื่องดังกล่าวสามารถแจ้งความได้ แต่เดาว่าหยกคงจะไม่ยอมทำแบบนั้นอยู่แล้ว
อันที่จริง นาคาเองก็พอจะรู้ว่าเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขา...น่าจะยังคงคิดว่าฟรานเชสก้าเป็นคนส่งจดหมายไปให้เธออยู่น่ะนะ
“จดหมายนั่น ตามที่เล่ามาคุณยายของหยกเป็นคนเก็บไว้ใช่ไหมครับ”
ฟรานเชสก้าพยักหน้า ก่อนที่เธอจะอธิบายต่อว่า
“ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ฉันรู้ มาจากลุงของฉันที่เป็นนักสืบเอกชนน่ะ” เธอพูดพร้อมกับหยิบนามบัตรของลุงตัวเองขึ้นมาให้เขา “เห็นว่าคุณยายของเธอ...สนิทกับเด็กคนนั้นมาก แล้วก็เป็นคนที่เธอมักจะปรึกษาเรื่องทุกอย่างด้วยเป็นประจำ”
“แต่เรื่องในคราวนั้นเป็นเรื่องเดียวที่เธอไม่พูดอะไรออกมา ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนอกจากเด็กคนนั้นที่เงียบลงไปกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด” ฟรานเชสก้าเล่า “หลังจากนั้นได้ไม่นานคุณยายก็เจอจดหมายพวกนั้นถูกมัดรวมอยู่กับขยะเผาได้ เห็นว่าตอนแรกเธอตกใจมาก แล้วก็ตั้งใจที่จะเอาไปแจ้งความกับตำรวจ แต่สุดท้ายแล้วคุณยายก็เลือกจะเผชิญหน้ากับเด็กคนนั้นแทนน่ะนะ”
“ผลสุดท้ายก็คือคุณยายของเธอบอกว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอเห็นเด็กคนนั้นร้องไห้น่ะ เธอไม่ได้พูดอะไรออกมาต่อนอกจากเข้าไปกอดแล้วก็ลูบหัวเด็กคนนั้นเบาๆ เรื่องราวหลังจากนั้นก็คือจดหมายพวกนี้ไม่ได้พูดถึงอีกเลย ก่อนที่คุณลุงของฉันจะเข้าไปถามน่ะ เห็นว่าสาเหตุที่คุณยายเลือกจะเก็บมันไว้ก็เพราะว่าเธอต้องการจะใช้เป็นหลักฐานเผื่อจะใช้สืบตามตัวผู้เขียนได้น่ะ เรื่องทั้งหมดก็ประมาณนี้ละ”
พูดมาจนถึงตอนนี้ ฟรานเชสก้าก็ยกมือที่เริ่มสั่นเทาขึ้นกุมศีรษะของตัวเองอีกครั้ง ขณะที่ทางฝั่งคริสต์ก็เพียงแค่เลื่อนมือไปกระชับที่ไหล่ของพี่สาวตัวเอง
เช่นเดียวกันกับคุณยายของหยกในอดีต นี่คงจะเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเข้ากับหยาดน้ำใสๆ ที่เริ่มพรั่งพรูออกมาบนใบหน้างามของหญิงสาวที่มีชื่อว่าฟรานเชสก้าผู้นี้
ถึงแม้จะเป็นเพียงครั้งที่สองที่เขาเผชิญหน้ากับเธอ แต่นาคาก็สามารถที่จะเดาได้ว่าฟรานเชสก้าเป็นผู้หญิงที่ไม่มีทางจะหลั่งน้ำตาออกมาให้กับเรื่องลำบากอะไรก็ตามในชีวิตของตัวเธอเองได้อย่างง่ายๆ
นอกเสียจากว่ามันจะเป็นเรื่องที่เธอไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่กับมันได้จริงๆ
“คุณเอง คงจะแค้นใครก็ตามที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้อยู่มากเลยใช่ไหมครับ ฟรานเชสก้า"
“แค้นสิ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ฉันคิดมาตลอด...ฉันเข้าใจมาตลอดว่ามันเป็นความผิดของฉันเองที่เด็กคนนั้นห่างออกไป คิดว่ามันเป็นความผิดของตัวเองมาตลอด” ฟรานเชสก้าพูด ใบหน้าขาวของเธอเริ่มปรากฏรอยเส้นเลือดฝาด จากอารมณ์อึดอั้นตันใจที่เธอเก็บอยู่กับตัวมาเป็นเวลานาน “ถ้าเป็นนายจะสามารถยอมรับมันได้ไหมล่ะ นาคา หกเดือนที่ฉันเอาแต่ย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องนั้น ถามตัวเองทุกวันว่าฉันทำอะไรผิดไป...อะไรที่ฉันทำให้เด็กคนนั้นเปลี่ยนไป เรื่องราวที่วนอยู่ในหัว แม้กระทั่งกิลด์วันเดอร์แลนด์...ครอบครัวที่ฉันสร้างขึ้นมาเองกับมือก็พังทลายลงไปอย่างไม่เหลือชิ้นดี อลิซ...คนที่ฉันรักเหมือนน้องสาวและพร้อมที่จะทุ่มเททุกอย่างให้ ความสัมพันธ์ที่สุดท้ายกลับกลายเป็นแค่สิ่งที่ใครบางคน...บางคนที่เสแสร้งปลอมตัวเป็นฉัน คนโรคจิตที่แอบอ้างชื่อฟรานเชสก้าแถมยังป่นปี้ทำลายทุกอย่างที่สำคัญกับชีวิตฉันจนไม่เหลือชิ้นดีน่ะ เป็นนายจะรับเรื่องพรรค์นี้ได้หรือไง นาคา!”
ความเงียบเข้าปกคลุมอาณาเขตโดยรอบที่บริเวณหน้าตึกเรียนมัธยมปลายโรงเรียนธารา
เขาสบตากับฟรานเชสก้า หญิงสาวในชุดเสื้อยืดแขนสั้นลายดอกกุหลาบที่นัยน์ตาสีฟ้าของเธอยังคงถูกปกคลุมไปด้วยหยดน้ำ
“จากเรื่องทั้งหมดที่คุณเล่ามาฟรานเชสก้า”
นาคาพูด เขาเลื่อนนิ้วขึ้นดันไปที่แว่นสายตาของตัวเขาเอง ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะเอ่ยตอบด้วยฝ่ามือที่ยังคงกำแน่นจนเริ่มมีเลือดไหลซิบๆ ออกมาว่า
“ผมเองก็ไม่ค่อยจะสบอารมณ์กับคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้สักเท่าไหร่หรอกครับ”
ครืน…
ก้อนเมฆสีดำทะมึนเข้าปกคลุมไปทั่วอาณาเขตเนินเขา
ซู่...
เสียงใบไม้พริ้วไหวไปกับสายลมส่งเสียงบ่งบอกว่าอีกไม่นานหยาดฝนจะตกลงมาให้ความชุ่มชื้นสู่อาณาเขต
ภาพของต้นโพธิ์ใหญ่สยายกิ่งก้านในยามที่พระอาทิตย์ตกดินนั้นค่อนข้างดูสะพรึงกลัวมากกว่าตอนกลางวัน
บรรยากาศในความมืดกับสายลมพายุที่ไหวไปมายิ่งทำให้มันดูเหมือนกับเงาวิญญาณสีดำขนาดใหญ่ที่โบกไม้โบกมือขอส่วนบุญ
กึก...กึก
คือเสียงที่ดังขึ้นพร้อมกับเงาสีดำด้านล่างของต้นโพธิ์ที่เริ่มขยับตัว
ภาพที่หากใครได้มาเห็นก็คาดว่าน่าจะคิดไปในทางเดียวกันว่าเงาดังกล่าวคือตำนานเรื่องเฮี้ยนของต้นโพธิ์หลังเนินเขาธารา
เงาดังกล่าวเพียงแค่หันหน้าไปทางต้นไม้ดังกล่าว มองดูมันด้วยแววตาที่ดูแฝงไปด้วยความเศร้าสร้อย
“ฝน...กำลังจะตกแล้ว”
คำพูดถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากในความมืด เจ้าของสีดำแหงนหน้าขึ้นมองไปยังเชือกที่แขวนชิงช้าอยู่สักพัก แล้วจึงพูดทิ้งท้ายเพียงแค่ว่า
“วันนี้ ก็ยังไม่มาสินะ”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หรือผมคิดไปเอง
ขอบคุณมากครับผม
นาคาสเน่ห์แรงกับเรื่องลึกลับจริงๆน๊า~~~