ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สะพานสายรุ้ง

    ลำดับตอนที่ #4 : สะพานสายรุ้ง ๐๔

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 42
      0
      24 ธ.ค. 51

    ๔.

    ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๑ หรือเมื่อราวๆสี่สิบปีก่อน จังหวัดเชียงรายยังถือว่าเป็นบ้านป่าเมืองดอย แม้จะมีความเจริญจากบางกอกเข้ามาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก วิถีชีวิตที่เป็นมาอย่างไร ก็ยังคงเป็นไปอย่างนั้น... เรียบง่าย และร่มเย็น

    ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ดวงดาวผุดพราวขึ้นมาบ้างแล้ว และทางน่านฟ้า ตรงที่ตะวันตกลงลับขุนเขา ก็เห็นเป็นสีแดงฉานดุจเลือดนก ท้องฟ้าอย่างนี้เองที่เป็นฉากหลังให้กับเรือนหลังน้อย ซึ่งตั้งอยู่หลังรั้วไม้ไผ่สานขัดแตะ และมีต้นไม้ต้นหมากแวดล้อม ร่มรื่น

    ตัวเรือนยกใต้ถุนเตี้ยๆ นั้นสร้างด้วยไม้ ด้านหน้ามีบันไดทอดขึ้นสู่ชานเรือนโล่งๆ ส่วนที่เป็นห้องหับมิดชิดแยกออกจากกันเป็นสองส่วน แต่ก็อยู่ใกล้ๆ กัน ส่วนหนึ่งวางตัวตามแนวลึก อีกส่วนวางตัวตามแนวขวาง เมื่อมองดูไกลๆ จึงคล้ายกับเอาบ้านหลังเล็กสองหลังมาตั้งเรียงเคียงไว้ และแต่ละส่วนนั้น ก็ซอยย่อยอีกเป็นสองสามห้อง

    ลมหนาวเดือนกุมภาพันธ์พัดวูบ อีกไม่นานนักหรอก ลมเหนือนี้ก็จะจางหาย

    มีควันไฟลอยออกมาจากทางด้านหลังของตัวเรือนซึ่งเป็นส่วนของครัวไฟ กลิ่นของแกงหน่อไม้ลอยอวลอยู่ทั่วบริเวณ คละเคล้าไปกับเสียงสับป๊อกๆ เป็นจังหวะเร็วๆ สม่ำเสมอ

    “ผ่อไว้เน่อ ฟ้างาย เผื่อแต่งงานกับบ่าหล้า จะได้เยียะหื้อมันกิน”

    ฟ้างายคนแกงหน่อไม้ในหม้อ แล้ววางทัพพีลง พลางหันไปมองพี่สร้อย พี่สาวของเธอของเธอเป็นคนอวบ ผิวขาว หน้ากลม และตอนนี้ก็ตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว

    “ปี้สร้อยก็ อู้จะอี้ได้จะใด”

    พี่สร้อยยิ้มเบาๆ มือก็สับหมูบนเขียงอย่างทะมัดทะแมง

    “อู้แท้หนา บ่ใช่ว่าฟ้างายจะดำขี้เมี่ยงอะหยังลอ งามอย่างเทพี ไผหันไผก็รัก แต่ก็อย่างคำเปิ้นว่านั่นเนาะ เลือกนัก ระวังเทอะ จะบ่มีไผเอา”

    ฟ้างายรู้ดีว่า ในสังคมล้านนาก็เป็นอย่างนี้แหละ สตรีมักจะออกเรือนกันไปตั้งแต่อายุสิบห้าสิบหก ซึ่งเป็นช่วงวัยที่เหมาะสม แต่ถ้าใครมีอายุมากถึงยี่สิบปีแล้ว ยังไม่ได้แต่งงาน นั่นจะถือเป็นเรื่องผิดปกติ เป็นเรื่องน่าอับอายของพ่อแม่ เพราะจะถูกกล่าวหาว่ามีลูกสาวที่บกพร่องจนไม่มีใครมาขอ

    ฟ้างายอายุยี่สิบปีแล้ว และยังไม่ได้ออกเรือน

    แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่ได้วิตกกังวลกับเรื่องปากคำของชาวบ้านเท่าไหร่นัก เธอรู้ดีว่า ครอบครัวคือสิ่งสำคัญ เพราะอย่างนี้เอง เธอจึงต้องเลือกให้ดี

    “บ่หันจะเป็นอะหยังเลย ดีเสียอีก ข้าเจ้าจะได้เป็นครู”

    “อย่างแม่ญิงชาวใต้น่ะก๋า” พี่สาวของเธอว่า ตอนนี้พี่สร้อยสับหมูเสร็จแล้ว และกำลังจะเติมเลือดลงไป “ฟ้างาย ปี้ว่า เรียนจบแล้วแต่งงานกับบ่าหล้าเทอะ มันก็จ๊าดรักขนาด เพื่อนฝูงมันมีเมียมีลูกกันหมดละ มันก็ยังท่าสูอยู่คนเดียวนั่นเนาะ”

    เป็นเรื่องจริงที่อ้ายหล้าคอยเธอมาตลอด เป็นห่วงเป็นใย เอาใจใส่ดูแลไม่ได้ขาด ใครๆก็พูดกัน หรือแม้กระทั่งพ่อกับแม่ และพี่สาวกับพี่เขยก็คอยย้ำเรื่อยๆ แต่ถึงจะรู้อย่างนี้ หัวใจของฟ้างายก็ยังไม่โอนเอียงไปหาอ้ายหล้าสักนิด

    “คงจะบ่แม่นจะอั้นหรอกอี่ปี้ อ้ายหล้าเปิ้นคงมีเหตุผลอื่น”

    “แท้อี้” พี่สร้อยถาม เขม็งจ้องจนฟ้างายต้องหลบสายตา “เอาเทอะ ไว้ปี้ถามตอนมันมากินข้าวบ้านเราก็ได้”

    “อี่ปี้!” ฟ้างายส่งเสียงแหลมเมื่อถูกยั่ว “ห้ามถามหนา”

    “บ่ถามแล้วเราจะรู้ก๋า”

    “อี่ปี้แน บ่เอาละ ข้าเจ้าบ่อู้ตวยอี่ปี้แล้ว”

    พี่สร้อยหัวเราะคิกคัก ฟ้างายแสร้งทำไม่สนใจแล้วหันไปจัดการกับงานตรงหน้าอย่างขะมักเขม้น

    พออาหารทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย พี่สร้อยก็ลุกไปปูเสื่อตรงชานบ้าน เยื้องเข้าใต้ชายคาเพื่อป้องกันน้ำเหมยน้ำค้างยามหัวค่ำ ในขณะที่ฟ้างายก็จัดการตระเตรียมขันโตก วิธีเตรียมนั้นก็ต้องปูใบตองลงไปชั้นหนึ่งก่อน จึงค่อยนำภาชนะใส่อาหารวางลงไปได้

    อาหารในวันนี้ก็มีง่ายๆ มีน้ำพริกตาแดงกับผักนึ่ง แกงหน่อไม้ จะมีพิเศษหน่อยก็คือลาบหมูดิบ เพราะว่าแขกหนุ่มคนสำคัญของบ้านจะมาร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วย

    ขณะที่ฟ้างายยกขันโตกมาตั้งบนเสื่อ พี่สร้อยก็ลุกไปหน้าเรือนเพื่อจุดไฟในตะเกียง ที่บ้านเล็กหลังนี้มีตะเกียงเจ้าพายุแค่คู่เดียว เนื่องจากตะเกียงเป็นของแพง ส่วนใหญ่แล้วจึงนิยมใช้ตะเกียงซึ่งประดิษฐ์ด้วยกระป๋องอะลูมิเนียมอย่างกระป๋องนมข้นหวานมากกว่า แต่เพราะพ่อเห็นว่าจำเป็นต้องใช้ พ่อจึงได้ปันเงินจากค่าขายข้าวเมื่อปีก่อนมาซื้อ

    พี่สร้อยยกตะเกียงมาดวงหนึ่ง แขวนไว้ใกล้ๆกับบริเวณที่จะรับประทานอาหารกัน ฟ้างายจ้องดูดวงไฟสีส้มเหลืองที่ลุกโชติ รู้สึกว่าเปลวไฟนี้งามเหลือเกิน มันส่องแสงสว่างไสวเป็นรัศมีโดยรอบ ขอแค่มีตะเกียงนี้ แม้ตะวันจะลับขอบฟ้าไปแล้วก็ไม่น่ากลัว

    “วันนี้หยังมาปิ๊กบ้านค่ำก็บ่รู้เนาะ” พี่สร้อยบ่น พลางเดินกลับไปชะเง้อคอยที่หน้าบ้าน

    ฟ้างายลอบยิ้มอยู่คนเดียว พ่อ แม่ และพี่เขยพากันไปทำไร่มันสำปะหลังตั้งแต่เช้ามืด ฤดูนี้ไม่ใช่ฤดูทำนา จึงต้องปลูกมันสำปะหลังแทน

    “เป็นห่วงอี่พ่ออี่แม่ ก๊ะว่าเป็นห่วงอ้ายสมเจ้า” ฟ้างายถามยั่วโมโหพี่สาว อ้ายสมนี้คือชื่อพี่เขยของเธอ

    “ก็เป็นห่วงตึงหมดนั่นเนาะ เป็นห่วงบ่าหล้าตวย”

    พี่สร้อยย้อนกลับทันควัน พร้อมตวัดสายตามายังฟ้างาย หญิงสาวรีบทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วเดินหนีเข้าไปในครัวเพื่อเอากล่องข้าว

    ได้ยินเสียงหัวเราะมาแต่ไกล เสียงหัวเราะเปิดเผยอย่างนี้ จะเป็นใครไปเสียไม่ได้นอกจากพ่อ

    ฟ้างายเอากล่องข้าวมาวางไว้ใกล้ๆกับขันโตก แล้วไปยืนร่วมกับพี่สร้อย เห็นพ่อกับแม่ และอ้ายสมเดินแบกจอบมาแต่ไกล เห็นอ้ายหล้าด้วย อ้ายหล้าเดินตามหลังรั้งท้ายสุด แล้วยังโบกมือให้เธออีก

    “เฮ้อ... บ่าหล้า น่าสงสาร”

    พี่สร้อยพูดเปรยๆแล้วหนีลงบันไดไป ทิ้งให้ฟ้างายค้อนลมค้อนแล้ง ... พี่สร้อยนะพี่สร้อย ไม่เข้าใจน้องสาวตัวเองบ้างเลย

    ฟ้างายตามลงมา ก็พอดีกับที่อ้ายสมรีบวิ่งมาประคองพี่สร้อยด้วยความทะนุถนอม อ้ายสมเป็นคนรูปร่างสันทัด หน้าแป้น และดูท่าทางเป็นคนรื่นเริงอยู่ตลอดเวลา

    “ม่วนใจนักแท้ มีอะหยังก๋าอ้าย” พี่สร้อยถาม

    “อ้ายบ่รู้ อ้ายหันอี่พ่อใคร่หัว อ้ายก็เลยใคร่หัวตวย” อ้ายสมตอบแกมหัวเราะ จนพี่สร้อยค้อนใส่ อ้ายสมก็เลยต้องง้อ “เอาไว้หื้ออี่พ่อเล่าเองละกัน อ้ายหิวแล้ว...”

    และยังไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไรต่อ พ่อ แม่ และอ้ายหล้าก็มาถึง ฟ้างายรีบเข้าไปรับจอบของพ่อกับแม่เพื่อจะนำไปเก็บ

    และแวบหนึ่งนั้น ฟ้างานก็ได้เห็นดวงตายิ้มๆ ของอ้ายหล้า แววตาสดใสดั่งดวงดาวทำให้เธอไม่กล้าที่จะสบตรงๆ

    “เดี๋ยวข้าเจ้าเอาไปเก็บหื้อเน่อ”

    ฟ้างายบอก ซึ่งก็เป็นปกติอยู่แล้วที่เธอต้องทำ เพราะความรู้สึกที่ว่า การเธอไปเรียนในขณะที่คนอื่นต้องทำไร่ทำนานั้น เป็นเรื่องที่ค่อยเหมาะสมนัก พอได้ช่วยเหลืออะไรอย่างนี้บ้าง ฟ้างายก็ยินดีที่จะทำให้

    แต่วันนี้ เหตุผลหลักๆอีกข้อหนึ่ง ก็คือ เธอไม่อยากเผชิญหน้ากับอ้ายหล้านัก

    “ขะใจโวยๆ เน่อ พ่อมีเรื่องจะอู้ตวย” พ่อพูด

    ฟ้างายเห็นใบหน้าแจ่มใสที่แต้มบนใบหน้าพ่อและใบหน้าของแม่แล้วก็นึกสงสัย ยิ่งพอมองไปเห็นแววตาของอ้ายหล้าด้วยแล้ว ก็ทำให้ใจคอปั่นป่วนมากขึ้น

    ...หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องของเธอกับอ้ายหล้านะ

    ++++++++

    ฟ้างายและครอบครัว รวมทั้งแขกหนุ่มคำสำคัญต่างพากันล้อมวงรอบขันโตก

    พ่อกับแม่นั่งติดกัน ใกล้ๆกับพ่อนั้นเป็นอ้ายหล้า ตามด้วยอ้ายสม แล้วถึงจะเป็นพี่สร้อย กับฟ้างาย และด้วยตำแหน่งการนั่งอย่างนี้เอง ทำให้หญิงสาวไม่สบายใจนัก คำข้าวฝืดเฝือนคอ เพราะถูกชายหนุ่มที่พ่อแม่ถูกใจนั่งจ้องชนิด แทบจะไม่ละวางสายตา

    “แกงหน่อนั่นฟ้างายเป็นคนเยียะเน่อ” พี่สร้อยบอก อ้ายสมจึงเป็นลูกคู่

    “เปิงล่ะ บ่าหล้าถึงจ้ำกะแกงหน่ออยู่นั่นเนาะ ลำขนาดแต้”

    “ครับ” อ้ายหล้ารับคำ จึงทำให้วงรับประทานอาหารครึกครื้นขึ้นมาได้ จะมีก็แต่ฟ้างายคนเดียวที่ไม่ยอมร่วมด้วย เพราะอายและรู้สึกว่าไม่ถูกไม่ควร

    เหลือบไปเห็นข้าวในจานตรงหน้าพ่อกับแม่หมดพอดี จึงหันไปคดข้าวไปใส่ให้ แล้วก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสีย

    “หันอี่พ่อว่า มีเรื่องจะอู้บ่ใช่ก๋า เรื่องอะหยังเจ้า”

    “ฟ้างาย ปล่อยหื้อพ่อกินข้าวก่อนเทอะ แล้วค่อยอู้ก็ได้” แม่ปราม แต่พ่อหันมายิ้มให้เธอ

    “บ่เป็นหยังหรอก... อั้น พ่อจะถามว่า ลูกพอจะว่างก่ พ่ออยากหื้อลูกไปเชียงใหม่ตวยกัน”

    “ไปเยียะหยังเจ้า” ฟ้างายถาม พี่สร้อยเองก็ทำท่าอยากรู้เหมือนกัน

    “พอดีพ่ออู้กับหล้าไว้เนาะ ว่าใคร่ได้พันธุ์ไม้มาปลูกยามหน้าแล้ง ตอนที่บ่ได้เยียะนาจะอี้น่ะ หล้าก็บอกว่าที่เชียงใหม่เปิ้นมีพันธุ์ไม้ของหลวง น่าจะลองไปผ่อกัน พ่อก็เลยใคร่หื้อลูกไปตวย จะได้ไปช่วยพ่อ”

    ฟ้างายทั้งโล่งอกและดีใจที่ธุระที่พ่อต้องการคุยด้วย เป็นเรื่องพันธุ์ไม้ไม่ใช่เรื่องของเธอกับอ้ายหล้า และที่สำคัญ เธอจะได้ไปเชียงใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นเมืองที่มีความเจริญแล้ว

    ในยุคสมัยนี้ เชียงใหม่ ถือเป็นศูนย์กลางของภาคเหนือเลยทีเดียว

    แต่ถึงจะดีใจขนาดนั้น ฟ้างายก็ต้องเก็บอาการของตัวเองไว้ ไม่ให้มากเกินไป เพราะแม่อาจจะว่าเอาได้ว่าไม่เรียบร้อย

    “แล้วจะใดบ่หื้ออ้ายสมไปล่ะอี่พ่อ” ฟ้างายถาม

    “หื้อมันผ่อสร้อยเทอะ แล้วแห๋มอย่าง สูก็เรียนมานัก ไปอู้ไปจากับคนใต้คงรู้เรื่องกว่า” แม่ตอบแทนพ่อเสร็จสรรพ ทำให้ฟ้างายยอมรับโดยดุษณี

    “แล้วอี่พ่อจะไปวันใดเจ้า” ฟ้างายถาม พ่อจึงหันไปขอความเห็นจากอ้ายหล้า

    ชายหนุ่มส่งยิ้มมาให้เธอ รอยยิ้มนั้นแลดูสว่างสดใส

    “ฟ้างายหยุดวันใด ค่อยไปวันนั้นก็ได้ครับ” อ้ายหล้าตอบ “ไปรถเมล์รอบเช้า แล้วก็พักที่นั่นเสียคืนหนึ่ง แล้วแห๋มเช้าค่อยปิ๊กเชียงรายกัน”

    พ่อพยักหน้าเห็นด้วย แต่ฟ้างายยังไม่สิ้นสงสัย

    “หื้อข้าเจ้า ไปตวยอี่พ่อแม่นก่อ”

    “แม่น ไปตวยกันกับพ่อ กับหล้า” พ่อตอบสั้นๆง่าย แล้วจัดการข้าวเหนียวและกับตรงหน้าต่อ ถือเป็นการยุติข้อซักถามใดๆ จากฟ้างายอีก

    รู้สึกว่า เรื่องของเธอ จะต้องคอยเกี่ยวพันกับอ้ายหล้าอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลย

    ++++++++

    ค่ำมืดคืนดึก พ่อกับแม่บอกให้ฟ้างายออกมาเดินเล่นกับอ้ายหล้า ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดประเพณีเลย เพราะในกรณีที่หนุ่มสาวชอบพอกัน พ่อแม่ก็จะเปิดโอกาสช่วงค่ำหลังจากรับประทานอาหารเสร็จให้คู่รักได้อยู่ด้วยกันภายใต้กรอบสายตาของผู้ใหญ่ เพื่อดูนิสัยใจคอ

    แต่กับกรณีของฟ้างาย เธอรู้สึกเหมือนถูกยัดเยียดมากกว่า

    อ้ายหล้าเป็นคนโครงหน้าสวย รูปร่างดี ไม่หนา ไม่บาง จนเกินไป ดูแล้วสง่าผ่าเผย ยิ่งเมื่อใครได้มองตาของเขาแล้ว ก็จะยิ่งรู้สึกว่ามีอะไรพิเศษ ดวงตาของอ้ายหล้าจะบอกถึงอารมณ์ เวลายิ้ม ตาของอ้ายหล้าก็จะยิ้ม เวลาเศร้า ดวงตาของอ้ายหล้าก็ทำให้คนที่พบเจอต้องรู้สึกเศร้าตาม

    ฟ้างายเดินเคียงอ้ายหล้ามาจนถึงแคร่ซึ่งอยู่แถวหน้าบ้าน แล้วนั่งลง โดยเว้นระยะห่างกันไว้พอประมาณ

    “แห๋มสองปี ฟ้างายก็จะเรียนจบแล้วเนาะ” อ้ายหล้าเปรยขึ้น

    “เจ้า”

    “ฟ้างายยังอยากจะเป็นครูก่”

    ฟ้างายปรายตาไปยังยอดไม้ เวิ้งฟ้ากว้างไกลดำมืด ดื่นดาษไปด้วยดวงดาวที่บ้างก็พราวกระพริบ วูบๆ วาบๆ บ้างก็นิ่งแช่เป็นแสงเย็นๆ

    “ข้าเจ้าเรียนก็เพราะว่าอยากจะเป็นครูเจ้า” ฟ้างายตอบ แล้วก็ได้ยินเสียงถอนใจเบาๆ ของอ้ายหล้า

    “ถ้าเป็นจะอั้นแท้ บ่รู้ว่าอ้ายจะเหมาะสมกับฟ้างานก่เนาะ”

    ฟ้างายดึงสายตากลับมายังใบหน้าของชายหนุ่ม เห็นรอยยิ้มหมองๆของเขาแล้วสะท้อนใจ รู้สึกผิดอย่างไรบอกไม่ถูก

    “ข้าเจ้าบ่ได้ดีขนาดนั้นหนาอ้ายหล้า ถ้าจะว่าไปแล้ว ยังมีแม่ญิงแห๋มตั้งหลายคนที่เหมาะสมกับอ้ายหล้ามากกว่าข้าเจ้า”

    “แต่แม่ญิงที่อ้ายใคร่อยู่ตวยมีเพียงคนเดียว”

    คำตอบของอ้ายหล้าทำให้ฟ้างายนิ่งทื่อ เธอไม่สันทัดในเรื่องแบบนี้เลย ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรเพื่อให้เขาไม่เสียใจ และก็ไม่ผูกมัดตัวเธอเองด้วย

    “แห๋มสองปี ถ้าเรียนจบแล้ว อ้ายมาขอฟ้างายได้ก่”

    “อ้ายหล้า!” ฟ้างายอุทานเบาๆด้วยความตกใจ ไม่นึกเลยว่าเขาจะกล้าถามกับเธอตรงๆ

    “แห๋มสองปี ถ้าหากว่าฟ้างายยังบ่มีไผ ฟ้างายจะมีอ้ายได้ก่”

    “อ้ายหล้าเจ้า ข้าเจ้ากึดว่า...”

    “ก๋าว่า ฟ้างายรังเกียจที่อ้ายไม่ได้มียศมีตำแหน่งอย่างนายร้อย บ่มั่งมีเหมือนคนร่ำคนรวย และบ่ได้มีความรู้นักพอจะหื้อเทียบหน้าเทียมตากับไผได้”

    “มันบ่แม่นจะอั้นเจ้า” ฟ้างายตอบ ร้อนรนในใจ “ข้าเจ้าใคร่หื้ออ้ายหล้ากึดผ่อดีๆ บ่แม่นว่าอ้ายหล้าบ่เหมาะสมกับข้าเจ้าหนา เป็นข้าเจ้าต่างหากที่บ่เหมาะควรกับอ้ายหล้าเลย”

    อ้ายหล้าไม่ได้ตอบกลับมาทันทีทันใด แต่กลับเอื้อมมากุมมือเธอไว้ ไออุ่นๆ จากฝ่ามือแข็งแรงนั้นส่งผ่านเข้ามา หากฟ้างายก็รีบปิดกั้นเสียก่อนที่จะเข้าถึงหัวใจ

    “ฟ้างาย อ้ายรักฟ้างายแท้ๆเน่อ”

    คำบอกรัก ภายใต้แสงเดือนแสงดาว ภายใต้ลมหนาวที่โบกพัด น่าจะสะเทือนหัวใจเธอได้บ้าง แต่น่าแปลก ที่ฟ้างายไม่หวั่นไหวไปกับคำรักของอ้ายหล้าสักนิด

    จะมีก็เพียงแต่ความรู้สึกอื่นๆ ความสงสารอ้ายหล้า ความซึ้งใจที่มีต่อความรักมั่นใจเดียวของเขา ความคิดเมื่อนึกถึงว่า พ่อแม่จะสบายใจขึ้นหากเธอได้ออกเรือนไปกับผู้ชายคนนี้ เหล่านี้เองคือสิ่งที่เกิดขึ้นในมโนสำนึก ไม่ใช่ความรัก หรืออย่างน้อยๆ ก็ไม่น่าจะใช่ความรัก

    ฟ้างายเงียบไปพักใหญ่ๆ ตรึกตรองถึงความสมควรทุกอย่าง สองปี เธอมีเวลาเรียนอีกสองปี และเมื่อจบแล้ว แม้จะแต่งงาน เธอก็ยังเป็นครูได้ และถ้าจะว่าไป เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการที่ไม่ตกลงปลงใจเสียที เป็นเพราะเธอรอคอยอะไรกันแน่

    ใช่! ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ เธอต้องเลือกให้ดี ซึ่งอ้ายหล้าก็เหมาะสมดีแล้ว

    “ก็ได้เจ้า แห๋มสองปี”

    สิ้นคำตอบ ฟ้างายก็ได้เห็นดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความดีใจของอ้ายหล้า ความสุขใจล้นออกมายังใบหน้าและรอยยิ้มกว้างของเขา ฟ้างายคลี่ริมฝีปากเบาๆ

    ครอบครัวที่ดี มันต้องเกิดจากการที่เธอ รักครอบครัวนั้นด้วย...

    ++++++++
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×