คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #47 : ภาค 12 นินจาองครักษ์ ตอนที่ 4
ในขณะที่เรนยะกำลังจะลงมือนั้นจู่ๆนินจาองครักษ์คนอื่นๆที่คอยระวังอยู่นอกรอบก็ได้มาสมทบหลังจากที่พวกเขาสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ
แต่พอพวกเขามาถึงก็ต้องตกใจกับตะขาบตัวอ้วนที่ทะลุออกมาจากร่างกายของขุนนางไดมารู
แต่ด้วยความที่พวกเขาเคยเจอเหตุการณ์แปลกประหลาดอย่างศพเดินได้มาแล้วนั้นก็ทำให้พวกนินจาองครักษ์คนอื่นๆตั้งสติกันได้อย่างรวดเร็ว
“นี่พวกนายถ้าเป็นไปได้ช่วยจับเป็นนะฉันจะได้ตรวจสอบเพิ่มเติมได้” เซงาว่าได้ร้องบอกกับสมาชิกทุกๆคนให้ช่วยจับเป็นขุนนางไดมารู
ทุกคนต่างก็พยักหน้ารับแต่ก็พบว่าขุนนางคนนี้นั้นมีแรงเยอะอย่างมากทำให้ซามูไรอย่างกามาจิกับโยดะถึงกับถูกกดดันจนต้องถอยออกมาแม้กระทั่งนินจาอย่างเซงาว่ากับเรโอะนั้นก็ยังเอาขุนนางคนนี้ไม่อยู่
“จับเป็นสินะแต่แรงเยอะแบบนั้นโซ่เอนคิดูจะเอาอยู่ไหมเนี่ย” ด้วยคำร้องขอของเซงาว่า ทำให้จากที่ตอนแรกเรนยะคิดจะทำการเผาเจ้าตะขาบที่อยู่ภายในร่างขุนนางไดมารูให้สิ้นซากต้องล้มเลิกความคิดนั้นไปอย่างช่วยไม่ได้
แต่เดิมแล้วเรนยะนั้นเขามีความเชื่อว่าวิธีที่จะกำจัดตัวน่าขยะแขยงอย่างตะขาบให้สิ้นซากได้อย่างสมบูรณ์นั้นก็คือเผามันให้วอดวายไปซะ
เรนยะได้เริ่มลงมือเปิดเกทสีทองขึ้นมารอบๆตัวของขุนนางไดมารู เสียงของโซ่ได้ดังขึ้นพร้อมกับโซ่ที่มีออร่าสีทองพุ่งเข้ารัดตัวของของขุนนางคนนั้นแทบทุกส่วนของร่างกายไม่ว่าจะเป็นแขนขาลำตัว
ขุนนางไดมารูที่ถูกตะขาบยึดร่างนั้นถึงจะถูกโซ่เอนคิดูรัดเอาไว้ก็ดูเหมือนจะยังไม่สิ้นฤทธิ์เพราะตะขาบภายในร่างของขุนนางคนนี้พอมันรู้ว่าร่างนี้ใช้ขยับไม่ได้อีกแล้วนั้นพวกตะขาบที่อยู่ในร่างก็ค่อยๆเลื้อยออกมาตามรูทวารทั้ง 7 จำนวนมาก
“เฮ้ย !!!” พวกนินจาองครักษ์ถึงกับตกใจอย่างมากที่เห็นภาพดังกล่าวแถมยังไล่ใช้เท้าเหยียบตะขาบกันอย่างจ้าละหวั่น
ส่วนตัวเรนยะนั้นดูเหมือนว่ากำลังจะช็อคกับภาพตรงหน้าอยู่ถึงตัวเขานั้นจะไม่กลัวตะขาบก็ตามแต่เล่นเลื้อยกันยั้วเยี้ยเต็มพื้นแบบนี้เขาก็รู้สึกขนลุกอยู่เหมือนกัน
แต่หน้าที่ก็คือหน้าที่พอเห็นว่าพวกนินจาองครักษ์คนอื่นๆกำลังไล่กระทืบตะขาบอยู่นั้นเรนยะก็รีบพาตัวท่านไดเมียวกับเหล่าขุนนางทุกคนหนีออกจากห้องประชุมนี้ไปในทันทีปล่อยให้นินจาองครักษ์คนอื่นๆใช้อาวุธในตำนานที่ชื่อว่าส้*ตีนต่อสู้อย่างห้าวหาญกับเหล่าตะขาบไป
----------- -------------
หลังจากที่เหล่านินจาองครักษ์ทุกคนเก็บกวาดทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วนั้นพวกเขาก็ได้กลับขึ้นไปชั้นบนของปราสาทเพราะว่าไดเมียวได้เรียกตัวนินจาองครักษ์ทุกคนขึ้นไปพบ
“เฮ้ย ! เรนยะนายหายหัวไปเชียวนะตอนที่เจ้าพวกตะขาบมันออกมาน่ะ” เรโอะได้พูดขึ้นด้วยความเคืองนิดๆที่เรนยะทิ้งให้พวกเขาจัดการตะขาบกันด้วยเท้าของตัวเองกันแค่ 4 คน
“ผมคุ้มกันท่านไดเมียวกับพวกขุนนางคนอื่นอยู่ต่างหากเล่า” เรนยะได้พูดขึ้นอย่างไม่รู้ไม่ชี้
“เอาน่าเรนยะเขาก็ทำตามหน้าที่แล้วนี่” กามาจิพูดขึ้นมาในขณะที่กำลังจะนั่งลง
“ฮะแฮ่ม ! พวกท่านทุกคนนั่งลงก่อนเถอะ” ไดเมียวกลัวว่ามันจะนอกเรื่องก็เลยบอกให้ทุกคนนั่งลง
เมื่อทุกคนได้นั่งลงพร้อมฟังกันแล้วนั้นจู่ๆเรนยะที่ไม่เห็นตัวเซงาว่าก็ได้เอ่ยถามขึ้น
“แล้วคุณเซงาว่าละครับ ?”
“เอาซากตะขาบกับร่างของท่านไดมารูไปพิสูจน์น่ะแต่กว่าจะได้รับอนุญาตก็นานพอดู” โยดะได้พูดขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์
“ฮะ ฮะ ทางตระกูลของผู้ตายคงจะไม่ยอมให้สินะครับ” เรนยะได้พูดขึ้นอย่างขำๆ
ก็นะคนในตระกูลชั้นสูงตายไปแบบนี้ทางตระกูลก็คงอยากจะจัดงานศพให้อย่างสมเกียรติละนะจู่ๆไปขอผ่าพิสูจน์ศพทางตระกูลก็คงจะทำใจลำบากเพราะพวกคนชั้นสูงก็ยังคงมีความเชื่อว่าอยู่ว่าการผ่าศพเป็นการลบหลู่คนตายก็เลยคุยกันนานนิดหน่อย
“ก็ตามนั้นแหละ” กามาจิได้พูดขึ้นอย่างเหนื่อยใจกับนิสัยความเอาแต่ใจของพวกตะกูลขุนนางพวกนี้
“แต่พอเจ้าเซงาว่าพูดว่า พวกตะขาบอาจจะยังออกมาจากตัวท่านไดมารูไม่หมดก็ให้พวกท่านจัดงานศพระวังหน่อย เท่านั้นแหละพวกญาติๆถึงกับตอบตกลงกันอย่างไวเลย” เรโอะก็ได้พูดอย่างยิ้มๆ
“เอาละมาเข้าเรื่องกันเถอะจากเรื่องที่เกิดขึ้นพวกเราได้ไปทำการสอบถามทางตระกูลของผู้ตายมาก็พบว่าก่อนการประชุมวันนี้ผู้ตายพึ่งกลับมาจากการท่องเที่ยวนอกเมืองหลวงเราคาดว่าเขาคงโดนเล่นงานตอนนั้นอย่างแน่นอน” กามาจิได้เริ่มพูดอธิบาย
“แล้วเขาไปที่ไหนมาละ” เรโอะได้ถามกามาจิกลับไป
“เมืองซากะน่ะเพราะแบบนั้นในระหว่างที่รอเซงาว่าชันสูตรศพเพื่อไม่ให้เวลาเสียเปล่าเราก็จะไปที่เมืองนั้นแล้วก็สืบเรื่องของขุนนางไดมารูไปด้วยเผื่อว่าเราจะได้เบาะแสอะไรมาบ้าง” กามาจิได้พูดแผนการออกมา
เพราะเซงาว่าเขาบอกมาว่าการพิสูจน์ศพทั้งหมดจะใช้เวลา 2 วันเพราะฉะนั้นในระหว่างที่รอผลตรวจนั้นเหล่านินจาองครักษ์จะแบ่งกันออกเป็น 2 ทีมโดยทีมแรกจะมีเรโอะกับเรนยะแค่ 2 คนออกไปสืบเรื่องราวของผู้ตายที่เมืองซากะเพราะงานสืบข้อมูลเหมาะสมกับนินจาแบบพวกเขาทั้ง 2 อยู่แล้ว
ส่วนทีมที่ 2 จะมีกามาจิกับโยดะที่เป็นซามูไรคอยคุ้มกันท่านไดเมียวอยู่ที่เมืองหลวงกับเซงาว่าที่กำลังตรวจสอบข้อมูลจากซากศพตะขาบเพิ่มเติม
“เรโอะและก็เรนยะเราฝากพวกเจ้าจัดการเรื่องนี้ด้วยนะ” ไดเมียวได้พูดกับทั้ง 2 คนซึ่งเรโอะได้พยักหน้าตอบรับคำท่านไดเมียวอย่างหนักแน่น
เมื่อจัดสรรหน้าที่กันเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้นทุกคนก็ได้แยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ของตนโดยเรโอะกับเรนยะได้นัดเจอกันที่ประตูทางออก
“เรารีบเดินทางกันดีกว่าเมืองซากะนี่อยู่ไม่ไกลนักเดินทางวันหนึ่งก็น่าจะถึง” เรโอะได้พูดขึ้น
“ไม่ละแค่ชั่วโมงเดียวก็ถึงแล้วละครับ” เรนยะได้ทำการเปิดเกทเรียกยานเหาะวิมารออกมา
เรโอะที่เห็นยานเหาะสีทองนี้ก็ถึงกับอ้าปากค้างส่วนเรนยะก็ได้ขึ้นไปนั่งบนยานเหาะโดยที่ไม่สนสายตาอึ้งทึ่งเสียวของเรโอะเลยสักนิด
“ขึ้นมาสิครับจะได้ออกเดินทางเสียที” เรนยะได้ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สีทองปูด้วยพรมแดงอย่างสบายใจ
เมื่อถูกเรนยะเรียกทำให้เรโอะเขาได้สติขึ้นก่อนจะรีบขึ้นไปยืนบนยานเหาะวิมารอย่างรวดเร็ว
“ไอ้นี่เจ๋งดีแฮะ” เรโอะได้สำรวจด้านหลังของยานเหาะวิมารเขาก็พบว่าด้านในมีห้องนอนอันหรูหราอยู่ด้วย
“คุณไปนอนเล่นก่อนก็ได้นะครับเดี๋ยวพอถึงแล้วผมจะเรียกเอง” เมื่อเรนยะพูดเสร็จเขาก็ได้ทำการสั่งให้ยานเหาะวิมารออกเดินทางไปที่เมืองซากะทันที
----------- -------------
1 ชั่วโมงผ่านไปไม่ขาดไม่เกินยานเหาะวิมารก็ได้เดินทางมาถึงเมืองซากะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยเรนยะได้นำยานลงจอดห่างจากตัวเมืองเพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวาย
“ถึงแล้วนะครับคุณเรโอะ” เรนยะได้เรียกเรโอะที่นอนเตียงนุ่มนิ่มสบายใจให้ตื่นขึ้น
“เอ๋ ? ถึงแล้วเรอะ !!!” เรโอะที่กำลังงีบเอาแรงได้ลุกขึ้นมาอย่างตกใจ
เรนยะได้ทำการเก็บยานเหาะวิมารกลับไปในคลังสมบัติทันทีที่เขากับเรโอะได้ลงมาจากยาน
“สุดยอดเลยแฮะมาถึงเมืองซากะได้เร็วสุดๆเลยนะเนี่ย” เรโอะดูจะตกใจสุดๆที่พวกเขามาถึงที่หมายได้เร็วขนาดนี้เพราะจากเมืองหลวงแคว้นไฟมาถึงเมืองซากะนั้นเดินทางไปกลับก็ต้องใช้ระยะเวลา 1 วันเต็มเลยทีเดียวต่อให้เป็นนินจาก็ตามที
แตกต่างจากเรนยะที่สามารถเดินทางไปกลับเมืองซากะได้โดยใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งวันเพราะว่าตัวเขามีการฟื้นฟูจักระที่เร็วกว่านินจาทั่วไปด้วยสกิล Independent Action A
แต่เดี๋ยวนี้มันต่างกันเพราะเรนยะเขามียานเหาะวิมารที่มีความเร็วเสียงทำให้การเดินทางของเขาสะดวกและรวดเร็วกว่าเมื่อก่อนอย่างมากทำให้การเดินทางมาเมืองซากะใช้เวลาไปแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น
“แล้วเราจะสืบจากที่ไหนก่อนดีละครับ” เรนยะได้เอ่ยถามเรโอะว่าจะเอายังไง
“ก็ . . ลองไปสอบถามที่โรงแรงดูก่อนเป็นไง” เรโอะได้เสนอขึ้น
“งั้นเอาตามนั้นก็แล้วกัน” เรนยะได้ตกลงเอาตามที่เรโอะบอก
เมื่อตกลงกันได้แล้วเรโอะกับเรนยะก็ได้เดินเข้าเมืองซากะและตรงเข้าไปสอบถามเบาะแสกับทางโรงแรมต่างๆทันทีแต่ก็ดูเหมือนว่าทั้งสองจะไม่ได้เรื่องอะไรมากนัก
“เฮ้อ ! แทบไม่ได้เรื่องอะไรเลยแฮะ” เรโอะถึงกับมานั่งเครียดเพราะถึงพวกเขาจะไปสอบถามทางโรงแรมแล้วก็ตามแต่ก็ไม่ได้รู้อะไรมากนัก
“งั้นผมก็มีอีกสถานที่หนึ่งที่น่าจะมีเบาะแสที่พวกเราต้องการ” เรนยะได้พูดขึ้นสร้างความประหลาดใจให้กับเรโอะพอสมควร
“ที่ไหนงั้นเหรอเรนยะ ?” เรโอะได้ถามขึ้นมาเพราะว่าพวกเขาก็ตามหาเบาะแสจนจะทั่วทั้งเมืองซากะแล้วยังจะมีที่ไหนเหลืออีก
“ก็พวกแก๊งใต้ดิงยังไงละครับ” ซึ่งสิ่งที่เรนยะพูดสร้างความสับสนให้กับเรโอะอย่างมาก
“นายจะบ้าหรือไงเรนยะ ! จะให้ 12 นินจาองครักษ์ลงไปในดงแก๊งใต้ดินที่ตั้งค่าหัวพวกเราเนี่ยนะ !!!” เรโอะถึงกับคัดค้านหัวชนฝาที่จะไปที่นั่น
“ไม่เอาน่าคุณเรโอะลองคิดดูสิขุนนางที่ตายไปน่ะคงจะมาที่เมืองซากะนี้เพราะว่าเขามาหาอะไรสนุกๆทำที่แก๊งใต้ดินแน่นอน” สิ่งที่เรนยะพูดก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ก็นะนิสัยคนรวยน่ะเดาไม่ยากหรอกพอคนเรามีเงินก็มักจะใช้เงินซื้อความสุขให้กับตัวเองต่อให้สิ่งที่ซื้อมันจะผิดก็ตาม
ถึงเรโอะอยากจะคัดค้านก็ตามแต่ตอนนี้พวกเขาไม่มีเบาะแสอื่นเหลืออีกแล้วทำเรโอะต้องยอมรับที่จะไปตามสืบกับพวกใต้ดินตามที่เรนยะเสนออย่างช่วยไม่ได้
เรนยะที่เห็นว่าเรโอะยังคงรู้สึกไม่สบายใจก็เลยอาสาที่จะไปคนเดียวเองซึ่งนั่นก็ทำให้เรโอะไม่เห็นด้วยเข้าไปใหญ่
“ไม่ต้องห่วงผมหรอกครับผมเคยมาทำภารกิจที่เมืองนี้มาก่อนฉะนั้นสบายหายห่วง” เรนยะได้พูดขึ้นอย่างสบายๆเพื่อคลายความกังวลของเรโอะ
“แต่ถึงแบบนั้น . . ไปซะแล้ว” เรโอะที่กำลังจะพูดให้เรนยะเปลี่ยนใจก็พบว่าเรนยะหายตัวไปซะแล้ว
เพราะว่ายิ่งคุยก็ยิ่งนานเรนยะก็เลยใช้สกิลลบตัวตนหลบออกมาและมุ่งหน้าไปหาริวที่องค์กรใต้ดินทันที
ที่ใต้ดินของเมืองซากะภายในห้องทำงานของริวเจ้าพ่อใต้ดินที่เป็นคนรู้จักกับเรนยะกำลังเคร่งเครียดกับเรื่องบางอย่าง
“สวัสดีครับคุณริว” เรนยะได้พูดขึ้นในระหว่างที่ริวกำลังก้มหน้าก้มตาจัดการกับเอกสารสร้างความตกใจให้แก่ตัวริวพอสมควร
ริวได้เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงก็พบว่าเป็นเรนยะเจ้าประจำนั่นเอง
“อะไรกันเธอเองหรือเรนยะทำเอาฉันตกอกตกใจหมดเลย” ริวได้ถอนหายใจเล็กน้อยโดยเขาค่อนข้างจะแปลกใจนิดๆที่เรนยะมาหาตัวเขาถึงที่แบบนี้
“ต้องขอโทษด้วยพอดีว่าตัวผมมีค่าหัวอยู่ก็เลยต้องมาเงียบๆแบบนี้หวังว่าจะไม่โกรธกันนะครับ” เรนยะได้พูดอย่างยิ้มๆ
“ฉันเข้าใจ . . ว่าแต่ที่เธอมาหาฉันนี่มีธุระอะไรหรือเปล่า ?” ริวเชื่อว่าเรนยะไม่ได้มาเยี่ยมเยียนตัวเขาเฉยๆแน่
“ผมอยากสอบถามอะไรบางอย่าง” เรนยะได้พูดอย่างจริงจัง
“ว่ามาได้เลยพ่อหนุ่ม” ริวที่เห็นท่าทางจริงจังของเรนยะก็พักเรื่องเอกสารแล้วรอฟังคำถามทันที
“คุณริวพอจะรู้จักขุนนางของแคว้นไฟที่ชื่อว่าไดมารูไหมครับ ?” เรนยะได้เริ่มถามคำถามเกริ่นนำ
“อ้อ ! แน่นอนรู้จักสิเขาคนนั้นน่ะเป็นแขกประจำเลยละนะเมื่อวานนี้เขาเข้ามาชมการประลองด้วยแต่ดูเหมือนว่าเขาจะแพ้พนันก็เลยขอตัวกลับเมืองหลวงไปน่ะ” ริวได้บอกเรนยะไปเท่าที่เขาจะนึกออก
เรนยะได้พยักหน้าก่อนที่เขาจะคิดอะไรบางอย่างกับตัวเองจนริวเริ่มจะทนสงสัยไม่ไหวจึงถามออกไป
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ?” ริวได้ถามไปอย่างไม่เข้าใจเพราะว่าข่าวเรื่องที่ขุนนางถูกสังหารภายในเมืองหลวงถูกปิดเป็นความลับจะมีแค่ไม่กี่คนในเมืองหลวงเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้
เพราะว่าถ้าเกิดเรื่องนี้หลุดออกไปมันจะกระทบกับความมั่นคงของแคว้นไฟเอาได้
“คุณพอจะรู้จักนินจาผู้ใช้ตะขาบบ้างไหม ?” เรนยะได้รีบเปลี่ยนเรื่องในทันทีเพราะถ้าถามเรื่องขุนนางไดมารูมากเกินไปมันจะดูน่าสงสัยเอาได้
“อืม ~ ขอฉันนึกสักครู่นะ” ริวได้กอดอกหลับตาใช้ความคิดอย่างหนักก่อนที่เขาจะนึกอะไรบางอย่างออกแล้วลุกขึ้นไปหยิบม้วนคำภีร์เล่มหนึ่งออกมากางอ่านดู
“เจอแล้วละนี่ไงดูสิ” เมื่อหาเจอแล้วริวก็ได้ทำการกางคำภีร์บนโต๊ะให้เรนยะได้ดูอย่างเต็มตา
โดยภายในคำภีร์นั้นเขียนถึงตระกูลนินจาที่เคยโด่งดังในสมัยสงครามโลกนินจาครั้งที่ 2 ซึ่งตระกูลนี้มีชื่อว่าตระกูล มุซัน เป็นตระกูลนินจาแห่งแคว้นไฟที่มีวิชาพิเศษในการเพาะพันธุ์ตะขาบจักระที่มีความสามารถในการแฝงร่างสิงสู่และควบคุมสิ่งมีชีวิตต่างๆได้แต่ตระกูลมุซันนี้ก็ได้ถูกกวาดล้างไปจนสิ้นด้วยสาเหตุบางอย่างซึ่งรายละเอียดภายในคำภีร์ก็มีแค่นี้เท่านั้น
“ข้อมูลก็มีแค่นี้ละนะ” ริวได้พูดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เพราะเรื่องราวของตระกูลมุซันมันราวกับถูกลบหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์เลย
“ขอบคุณนี่ค่าข่าวผมไปละ” เรนยะได้เปิดเกทแล้วเรียกก้อนทองคำจำนวนมากออกมาก่อนที่จะใช้ลบตัวตนหายตัวไปทิ้งให้ริวอ้าปากค้างที่เห็นกองทองคำอยู่แบบนั้น
“สงสัยค่าใช้จ่ายเดือนนี้เราคงไม่ต้องกังวลแล้วละนะ” ริวได้โยนกองเอกสารทิ้งอย่างไม่ใยดีก่อนที่จะเรียกลูกน้องมาช่วยเก็บกองทองคำเข้าคลังไป
เรนยะที่เดินออกมาจากชั้นใต้ดินแล้วนั้นก็ได้ใช้ตาเหยี่ยวมองหาเรโอะทันที
“ถ้าเป็นในสมัยสงครามโลกนินจาครั้งที่ 2 ปู่รุ่นที่ 3 คงพอจะรู้อะไรบ้างละนะเอาไว้ค่อยไปถามดูก็แล้วกัน” เรนยะได้พูดเสียงเบากับตัวเองก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในร้านเครื่องดื่มแห่งหนึ่งภายในเมืองซากะ
“มาแล้วเหรอได้เรื่องอะไรบ้างไหม ?” ทันทีที่เรนยะเข้าร้านมาเรโอะก็ได้พูดทักเรนยะเลยโดยในตอนนี้เรโอะใช้วิชานินจาแปลงร่างเป็นตาลุงขี้เมาคนหนึ่งนั่งทานอาหารอยู่
“ก็ได้มาไม่มากก็น้อยละครับ” เรนยะได้พูดบอกอีกฝ่ายไปก่อนที่พวกเขาจะจ่ายเงินแล้วออกจากร้านและมุ่งหน้าออกจากเมือง
ซึ่งทันทีที่ออกห่างจากตัวเมืองมาได้เรนยะก็ได้พูดบอกข้อมูลที่เขาได้รับมากับเรโอะทันที
“คุณพอจะรู้รายละเอียดเกี่ยวกับตระกูลมุซันบ้างไหม ?” เรนยะได้ลองถามเรโอะดูเผื่อว่าเขาจะรู้อะไรบางอย่าง
“ไม่เลยนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินชื่อมุซันเหมือนกัน” เรโอะได้ส่ายหัวอย่างจนปัญญา
แต่ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นจู่ๆเอมิยะก็ได้พูดเตือนกับเรนยะว่ามีคนกำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเขาทั้ง 2 คนเพราะนิสัยของเอมิยะนั้นเขามักจะสอดส่องระวังรอบตัวเป็นระยะอยู่แล้วเป็นปกติของ Servant Class Archer ทำให้เรนยะที่กำลังเรียกยานเหาะวิมารออกมาจากคลังสมบัติต้องหยุดชะงักลงก่อนที่เขาจะใช้เนตรพันลี้กับตาเหยี่ยวมองสำรวจตามทิศทางที่เอมิยะบอก
และสิ่งที่เรนยะเห็นก็คือคนสวมชุดคลุมสีดำปกปิดทั่วทั้งตัวที่เหมือนกับพวกผู้บุกรุกที่เคยบุกโจมตีปราสาทไดเมียวจำนวน 7 คนกำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเขา
“มีอะไรรึเปล่าเรนยะ” เรโอะที่เห็นเรนยะเงียบไปก็เลยพูดถาม
“มีแขก 7 คนกำลังมาทาง 8 นาฬิกาน่าจะเป็นพวกเดียวกับที่บุกโจมตีปราสาทไดเมียว” เรนยะได้พูดบอกเรโอะไป
หลังจากที่เรนยะบอกเรโอะแล้วพวกเขาทั้ง 2 ก็เตรียมตัวรับแขกทั้ง 7 คนที่กำลังจะมาถึงทันที
(ลงจ้า)
ที่แท้แล้ว . . . ตั๋วสุ่มกาชามันก็คือ . . .
ความคิดเห็น