คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ep.2
ฮ่องกง
หลังจากที่เดินทางมาจนถึงโกดังสินค้าของตระกูลลี ไทเลอร์ก็สั่งให้บอดี้การ์ดไล่เช็กจำนวนพนักงานก่อนจะเดินตรวจตราความเรียบร้อยด้วยตัวเองจนพบความผิดปกติบางอย่างที่โกดังเก็บเครื่องดื่มซึ่งปกติแล้วจะมีบอดี้การ์ดดูแลอยู่ตรงโกดังแห่งนี้น้อยกว่าที่โกดังสินค้าประเภทอื่นๆ เนื่องจากสินค้าจำพวกนี้ไม่ต้องมีการตรวจเช็กรายละเอียดอะไรมากมายเท่ากับสินค้าประเภทอาหารและอาวุธ อีกทั้งจำนวนเครื่องดื่มที่ส่งออกในแต่ละวันก็มีจำนวนที่แน่นอน ไทเลอร์จึงสั่งให้บอดี้การ์ดของเขาคอยตรวจตราตรงจุดนี้เพียงแค่5-6 คน จากปกติที่จะมีบอดี้การ์ดคุมโกดังแต่ละแห่งอยู่ราวๆ10-15 คนเลยทีเดียว
"มีพนักงานหายไปงั้นเหรอ?!"
"ครับนาย ไอ้เจมส์มันบอกว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วมีเด็กใหม่มาทำงานที่นี่ครับ แต่ตอนที่ผมเรียกรวมพลมันกลับหายตัวไปครับ ตอนนี้ผมกำลังให้บอดี้การ์ดของเราไปตามจับตัวมันมาอยู่ครับนาย"
"แล้วฝ่ายบุคคลมีข้อมูลของมันอยู่รึเปล่า"
"มีครับนาย แต่ว่า...."
"แต่ว่าอะไร!?"
บิลลี่เม้มปากแน่น ข้อมูลที่เขากำลังจะรายงานเจ้านายออกไปนั้นมันอาจจะทำให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อาจจะต้องตกงานกันระนาวเลยก็ว่าได้
"กูถามว่ามีอะไร??!!"
"คะคือว่า รูปบนบัตรประชาชนของพนักงานคนใหม่ พอเอามาให้เด็กที่โกดังดู พวกมันบอกว่าเป็นคนละคนกันครับนาย"
เหมือนไทเลอร์จะเดาทางออกอยู่แล้วตั้งแต่แรก เพราะการสวมรอยเพื่อเข้ามาสืบข้อมูลในโกดังของเขามันไม่ได้พึ่งจะเกิดขึ้นครั้งนี้เป็นครั้งแรก ชายหนุ่มผิวขาวแต่ทว่าจิตใจมืดดำสนิท เขาค่อยๆหันหน้ามามองบอดี้การ์ดคู่ใจที่กำลังยืนก้มหน้าตัวสั่นเทา ก่อนจะเอ่ยคำสั่งอันแสนเด็ดขาดออกมาแบบไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
"ไล่ออกให้หมด ทั้งฝ่ายบุคคล ฝ่ายดูแลคลัง และบอดี้การ์ดที่คลุมอยู่ที่โกดังเครื่องดื่มทั้งหมด"
"ตะแต่ว่านายครับ..."
"ถ้ามึงมีปัญหาก็ออกไปด้วยเลย กูขี้เกียจเก็บคนที่เห็นต่างกับกูเอาไว้ใกล้ตัว"
บิลลี่ที่ถูกเจ้านายขู่ เขาจำต้องยอมรับคำสั่งของไทเลอร์แต่โดยดี บอดี้การ์ดหนุ่มรีบติดต่อหาจีน่าเพื่อขอให้เธอช่วยทำเรื่องปลดพนักงานตามที่ไทเลอร์ต้องการก่อนที่จะได้รับข่าวดีจากลูกน้องว่าตอนนี้พวกเขาได้ตามจับตัวสายของซัน กรวิตรได้ที่สถานีรถไฟและกำลังนำตัวกลับมาที่โกดังเพื่อให้ไทเลอร์สำเร็จโทษคนของฝ่ายตรงข้ามด้วยตัวเองทันที
หลังจากที่รออยู่ไม่นานนัก ไทเลอร์ก็ได้เจอตัวคนของศัตรูเบอร์หนึ่งของเขาอย่างที่เจ้าตัวต้องการจนได้ คนที่ซันส่งมาทำงานในโกดังของเขาชื่อว่า เฉิน เป็นเด็กหนุ่มวัย21ปีที่มีหน้าตาแก่กว่าอายุอยู่นิดหน่อย บิลลี่สั่งให้คนมัดมือมัดขาของศัตรูให้แน่นหนา ก่อนจะลากตัวมานั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเจ้านายที่ตอนนี้พร้อมแล้วสำหรับการลงโทษซึ่งเป็นสิ่งที่ไทเลอร์ถนัดและทำได้ดีมากพอๆกับการบริหารงานแบบอื่นๆเลยทีเดียว
"ไอ้ซันมันเคยบอกมึงไหม ว่าถ้าถูกกูจับได้ขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของมึงบ้าง?"
เกริ่นทักทายคนของคู่อริด้วยน้ำเสียงน่ากลัวจนน่าขนลุก เฉินที่ถูกฝึกให้คุ้นชินกับสถานการณ์ตึงเครียดมาเป็นอย่างดี เขายกยิ้มท้าทายก่อนจะเอียงหน้าหัวเราะแล้วตอกกลับคำของไทเลอร์ด้วยประโยคที่ทำให้มาเฟียหนุ่มรู้สึกปั่นป่วนในใจขึ้นมาอยู่ไม่น้อย
"หึ นายท่านไม่ต้องบอกกูก็พอจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่กูรู้แต่มึงไม่รู้แม่งโคตรตื่นเต้นกว่าการตายของกูเป็นไหนๆเลยหล่ะหว่ะ ฮ่าๆๆ"
"มึงพูดเหี้ยอะไร ยังมีเรื่องอะไรที่กูยังไม่รู้อีกงั้นเหรอ" ไทเลอร์เป็นคนประเภทที่ไม่ชอบความค้างคา เขาเกลียดการต่อรองที่ไร้ประโยชน์และถ้าสิ่งไหนทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดมากๆไทเลอร์ก็สามารถจบทุกปัญหาได้ด้วยการฆ่าทิ้งแทนการเจราจาที่ตัวเขาดูจะไม่ค่อยถนัดมันสักเท่าไหร่
"การที่มึงจับกูได้มันอาจจะเป็นความสำเร็จของมึง แต่การที่มึงอยู่กับกูที่นี่ตอนนี้ มันก็คือความสำเร็จของกูเหมือน ฮ่าๆๆ" เฉินพ่นหัวเราะกลบเกลื่อนความกลัวที่ลึกๆในใจก็รู้ดีว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่มีทางรอดจากเงื้อมมือของไทเลอร์ไปได้แน่
"ลีลาฉิบหาย พอดีกูตีความไม่ค่อยเก่งซะด้วยสิ บิลลี่งั้นมึงช่วยพาตัวไอ้เศษสวะนี่ไปเค้นข้อมูลทุกอย่างให้เรียบร้อย ได้เรื่องยังไงค่อยมารายงานกูอีกที" พูดจบก็ทำท่าจะเดินกลับออกมาเพราะตามนิสัยของพวกปลายเเถวพอเห็นเป้าหมายไม่สนใจคำพูดของตัวเองเข้าหน่อยก็มักจะยอมคายความลับออกมาแบบไม่ต้องเสียเวลาคาดคั้นให้เหนื่อยเปล่า
"มึงคิดว่ามึงฉลาดนักสินะ คุณซันหน่ะเขาไม่เคยมีจุดอ่อนอย่างที่มึงมีหรอกไทเลอร์ จุดอ่อนที่ใครก็รู้ว่ามึงหวงแหนมากแค่ไหน กูตายวันนี้แต่อีกไม่นานมึงได้ตายทั้งเป็นของจริงแน่"
"ฆ่ามันทิ้งซะ" แทนที่จะเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายเปิดปากพูด ไทเลอร์กลับฟิวขาดจนเลือกที่จะสั่งฆ่าเจ้าหนูสกปรกที่กำลังทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดจนทนยืนฟังเสียงพร่ำอันน่ารำคาญของมันต่อไปอีกไม่ไหว
"นายครับ แต่เรายังไม่รู้เลยนะครับว่ามันหมายความว่ายังไง"
"ช่างแม่มันประไร กูขี้เกียจฟังคำพูดเพ้อเจ้อของมันแล้ว ฆ่ามันแล้วส่งศพไปที่บ้านไอ้ซันให้กูด้วย เผื่อเจ้านายของมันอยากจะจัดงานศพให้ลูกน้องของตัวเอง" ยกยิ้มร้ายใส่คนของศัตรูก่อนจะเดินออกมาโดยไม่สนใจเสียงโหวกเหวกโวยวายที่ดังขึ้นมาหลังจากนั้นอีก
เช้าวันต่อมา
ฝรั่งเศส
วันนี้นับดาวตื่นแต่เช้าเพราะแพลนที่เธอวางเอาไว้คือจะต้องไปหาซื้อรองเท้าสำหรับใส่ในวันงานและล่ามสาวคนสวยที่นอนอยู่ห้องข้างๆก็ส่งรายชื่อร้านอาหารมาให้เธอเลือกเพราะร้านอาหารบางร้านอาจจะต้องจองล่วงหน้า และบางครั้งอาจจะต้องเผื่อเวลาสำหรับการชอปปิ้งให้เพียงพอสำหรับการเดินทางไปที่ร้านอาหารด้วยเช่นกัน
ในระหว่างที่หญิงสาวกำลังเดินเลือกดูของอยู่บริเวณร้านค้ากลางเมือง จู่ๆชายหนุ่มร่างสูงก็วิ่งเข้ามากระชากกระเป๋าของเธอแล้ววิ่งหนีออกไปทางถนนใหญ่ด้วยความรวดเร็วราวกับรู้จักเส้นทางที่กำลังใช้หลบหนีอยู่เป็นอย่างดี
นับดาวร้องขอความช่วยเหลือเสียงดังลั่น ดีดี้ที่วิ่งตามมาเธอรีบตะโกนขอความช่วยเหลือเป็นภาษาฝรั่งเศสก่อนที่ทั้งคู่จะวิ่งตามโจรกระชากกระเป๋าไปโดยไม่ทันได้สังเกตุว่ามีใครบางคนที่พวกเธอรู้จักบังเอิญเดินผ่านมาทางที่คนร้ายกำลังวิ่งสวนทางไปอย่างพอดิบพอดี
อุก!!
กระเป๋าสะพายใบใหญ่ปลิวมาจากอีกซีกของทางเดินริมฟุตบาท โจรร่างสูงล้มกลิ้งลงไปนอนกับพื้นก่อนที่เจ้าของกระเป๋าจะวิ่งตามมานั่งคร่อมตัวคนร้ายเอาไว้พร้อมกับล็อกมือของมันด้วยเข็มขัดหนังจนแน่นหนาและแน่ใจแล้วว่าคนร้ายจะดิ้นไม่หลุด จึงได้ลุกขึ้นหยิบกระเป๋าของนับดาวขึ้นมาแล้วยื่นส่งให้กับเธอด้วยสายตาที่ดูอ่อนโยนกว่าตอนที่ทั้งคู่เจอกันก่อนหน้านี้เป็นไหนๆ
"คุณซัน!"
นับดาวเอ่ยเรียกด้วยความตกใจ ดวงตาคู่สวยฉายแววหวาดระแวง แม้จะเอื้อมมือออกไปรับกระเป๋าจากชายหนุ่มแต่ทว่าดวงตากลับแสดงความไม่ไว้ใจออกมาอย่างชัดเจน
ซัน กลั้วหัวเราะออกมาทันทีที่เห็นแววตาหวาดระแวงของนับดาวแบบนั้น เขาคงดูเหมือนตัวร้ายในละครที่สร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อหวังประโยชน์บางอย่างจากเธอ และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันก็ล้วนบ่งชี้ไปทางนั้นอย่างช่วยไม่ได้จริงๆ
"ผมแค่เดินผ่านมาหน่ะครับ คุณอาจจะไม่เชื่อนะแต่ถ้าผมจะจัดฉากทำเรื่องแบบนี้จริงๆผมคงทำตอนที่ตัวเองแต่งตัวดีกว่านี้ซะหน่อย ฮ่าๆ" เขาผุดยิ้มเขิน จริงอย่างที่ซันพูด สภาพของชายหนุ่มในตอนนี้ไม่ต่างไปจากนักท่องเที่ยวคนหนึ่งที่แต่งตัวง่ายๆสบายๆ เหมือนพึ่งเดินออกมาจากโรงแรมและกำลังจะไปที่ไหนสักที่ ซึ่งซัน กรวิตรในสภาพเช่นนี้ช่างแตกต่างกับมาเฟียหนุ่มคนเมื่อวานราวฟ้ากับเหว ทุกอย่างในวันนี้ดูไม่ได้ปรุงแต่ง เขาดูเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่งซึ่งนับดาวออกจะชอบบุคลิกของเขาในตอนนี้มากกว่าตอนก่อนหน้านี้เสียด้วยซ้ำ
"ยังไงก็ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉัน อย่างน้อยๆให้ฉันเลี้ยงข้าวตอบแทนคุณสักมื้อได้ไหมคะ"
"อย่าดีว่าครับ ถึงเราจะอยู่ไกลจากฮ่องกงมาก แต่ยังไงผมก็ยังคงเป็นศัตรูของคู่หมั้นคุณอยู่ดีนะ ผมจะขอรับเอาไว้แค่คำขอบคุณของคุณก็แล้วกันนะครับ"
เขาพูดก่อนจะดึงตัวคนร้ายส่งให้ตำรวจที่กำลังวิ่งเข้ามาหลังจากที่ดีดี้โทรแจ้งความไปเมื่อหลายนาทีก่อน
"ถ้าคุณไม่ยอมไป งั้นฉันก็จะไม่ขอรับชุดที่คุณซื้อให้นะคะ"
ดวงตาคมคายของชายหนุ่มฉายแววความลังเลอยู่เล็กน้อย เขาอยากให้นับดาวเห็นถึงความลังเลเหล่านั้นก่อนจะยอมตอบตกลงยอมรับคำเชิญชวนของอีกฝ่ายไปตามเกมส์ของเจ้าตัวจงใจที่จะให้เรื่องราวมันดำเนินไปแบบนี้ตั้งแต่แรก
หลังจากที่ทั้งสองกินอาหารกันที่ร้านอาหาร ล่ามสาวที่ถูกนับดาวปิดปากด้วยเงินสดก้อนหนึ่งก็ปลีกตัวออกมาเดินซื้อของรอเจ้านายก่อนจะได้รับข้อความว่าคืนนี้หญิงสาวจะกลับโรงแรมเองและบอกให้เธอกลับห้องไปก่อนเพราะคืนนี้คนทั้งคู่คงจะยังดื่มด่ำกับมื้ออาหารค่ำไม่เสร็จกันง่ายๆเป็นแน่
เมื่อกินข้าวเสร็จ ซัน ก็เอ่ยปากชวนนับดาวไปดื่มไวน์ต่อที่บาร์บนชั้นสูงสุดของตึกสูงแห่งหนึ่ง เขาพยายามทำตัวให้เข้ากับเธอทุกอย่าง พยายามเข้าใจความคิดของเธอหมดทุกเรื่อง และเมื่อแอลกอฮอร์เข้าปาก หญิงสาวก็ดูจะยอมเปิดใจให้กับเขาได้อย่าง่ายดาย ซันใช้ความอบอุ่นเติมเต็มส่วนที่ขาดให้กับหญิงสาว เขาแสดงท่าทีที่เอาใส่ใจและคอยรับฟังเธอเสมอไม่ว่าเธอจะระบายเรื่องอะไรออกมาให้เขาฟังก็ตาม ซันจะรับฟังทุกอย่างอย่างตั้งใจและเป็นที่ปรึกษาที่ดีให้นับดาวจนก่อให้เกิดความรู้สึกดีๆขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อยในหัวใจของคนขี้เหงาอย่างเธอได้สำเร็จ
มันคงเป็นเพียงจุดอ่อนไหวที่นับดาวเผลอไผลปล่อยให้ใครอีกคนเข้ามาเติมเต็มในส่วนที่ขาด เธอหลงลืมคนข้างหลังไปชั่วขณะ นับดาวปล่อยให้แสงสีและบรรยากาศอันแสนโรแมนติดชักนำเธอกับเขาเข้าสู่ห้วงอารมณ์ที่แสนอ่อนไหวโดยไม่คิดที่จะหักห้ามใจจากความผิดพลาดในครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย
ความสัมพันธ์ที่ไม่สมควรเกิด กลับเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนในค่ำคืนที่ปกคลุมไปด้วยเสน่หาและความสุขสมจนเหมือนร่ายรำอยู่ในวิมารแห่งความฝัน นับดาวปลดปล่อยอารมณ์ให้ดำดิ่งลงสู่ห้วงอารมณ์ที่แสนสุขก่อนที่สุดท้ายความสุขจอมปลอมทั้งหมดจะมลายหายไปในเช้าของวันถัดมา....
สนามบินปารีสออร์ลี
09.00 น.
ไทเลอร์ ลี ปรากฏตัวอยู่ในสนามบินของกรุงปารีส เขาเดินทางมาพร้อมกับบอดี้การ์ดนับสิบและมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่โรงแรมโฟร์ซีซัน ซึ่งตอนนี้คู่หมั้นของเขากำลังนอนหลับสนิทอยู่กับใครอีกคนและเธอก็ยังไม่ได้รับรู้ถึงการมาของไทเลอร์ในวันนี้เลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มจงใจที่จะไม่บอกใครเอาไว้ก่อนเลยสักคน มันเป็นแผนการเซอร์ไพรส์นับดาวหลังจากที่เขาผิดคำพูดกับเธอมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ไทเลอร์สั่งให้ลูกน้องสั่งดอกไม้แถวๆโรงแรมเอาไว้รอก่อนที่ตัวเองจะขึ้นรถแล้วรีบมุ่งหน้าไปยังโรงแรมที่นับดาวอาศัยอยู่ในทันที
30 นาทีผ่านไป
หญิงสาวที่รู้สึกตัวตื่น เธอกำลังเรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในค่ำคืนที่ผ่านมา ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อความทรงจำฉายย้อนให้รับรู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันรุนแรงและจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของเธอกับไทเลอร์ในอนาคตมากขนาดไหน
นับดาวรีบลุกขึ้นนั่งแล้วหันมองคนข้างตัวก่อนจะพบว่ามีเพียงแค่เธอเท่านั้นที่กำลังนั่งงัวเงียอยู่ภายในห้องแห่งนี้ตามลำพัง
สายตาคู่สวยเหลือบเห็นกล่องของขวัญที่วางอยู่ตรงบริเวณปลายเตียง นับดาวค่อยๆเอื้อมหยิบกล่องของขวัญใบใหญ่ขึ้นมาถือก่อนจะเปิดฝากล่องออกดูแล้วพบการ์ดใบหนึ่งที่วางทาบทับอยู่บนถุงสีแดงที่ดูเหมือนจะใส่อะไรบางอย่างเอาไว้อยู่ข้างในนั้นอีกที
' อรุณสวัสดิ์ครับที่รัก
ตื่นเช้ามาความสัมพันธ์ของเราสองคนก็เปลี่ยนไปแล้วนะครับ ผมกลัวว่าคุณจะลืมเลยอัดคลิปช่วงเวลาแห่งความสุขของเราสองคนเอาไว้ให้คุณดูย้อนหลัง ขอโทษนะที่ในคลิปไม่ค่อยเห็นหน้าผมสักเท่าไหร่ พอดีผมอยากให้มันโฟกัสแค่คุณหน่ะครับฮ่าๆ ถ้าถึงวันหมั้นของคุณผมจะส่งคลิปๆนี้ให้ไทเลอร์เป็นของขวัญอีกทีก็แล้วกันนะครับ ผมว่าไทเลอร์น่าจะชอบของขวัญของผมมากแน่ๆเลยหล่ะ คุณเองก็น่าจะรู้จักแฟนของคุณดี น่าจะจินตนาการออกนะว่าถ้าเขาได้ดูคลิปนี้ในงานหมั้นของตัวเองมันจะเกิดอะไรขึ้น?
ปล.ผมมีข่าวดีอีกอย่างที่อยากจะบอกคุณนับดาวนะครับ สายของผมบอกว่าตอนนี้ไทเลอร์มันกำลังมาที่ปารีส ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณจะมีความสุขกับของขวัญของผมในวันนี้นะครับ
ซัน กรวิตร'
ทันทีที่อ่านการ์ดจบ นับดาวก็รีบเปิดวีดีโอออกดูและพบว่าคำขู่ของซัน กรวิตร มันเป็นความจริงอย่างที่เขาเขียนบอกในการ์ดหมดทุกอย่าง
หญิงสาวเหมือนคนสติหลุด เธอลุกพรวดออกมายืนตรงระเบียงและก็พบว่าบอดี้การ์ดของไทเลอร์กำลังเดินถือช่อดอกไม้ออกมาจากร้านดอกไม้ที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามของโรงแรมจริงๆ เจ้าของใบหน้าซีดเผือดกำการ์ดใบน้อยกับถุงผ้าที่มีกล้องวีดีโอใส่เอาไว้อยู่ในมือแน่น นับดาวใจสั่นกับความโง่เง่าของตัวเอง เธอไม่น่าไว้ใจคนสารเลวอย่างซัน กรวิตรเลยจริงๆ ไม่น่าเอาตัวเฉียดเข้าไปใกล้กับคนเจ้าเล่ห์แบบนั้นเลย แค่คิดก็อยากจะตายหนีความอัปยศให้มันรู้แล้วรู้รอดไปซะ
ทางด้านของไทเลอร์ เมื่อเดินทางมาถึงโรงแรมที่นับดาวพักอาศัยอยู่ เขารับช่อดอกไม้จากบอดี้การ์ดก่อนจะยืนคิดคำขอโทษดีๆหลังจากที่ตัวเองปล่อยให้แฟนสาวเดินทางมาฝรั่งเศสตามลำพัง แม้จะรู้ว่านับดาวขี้เหงาและไม่ชอบเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียว แต่สุดท้ายเขาก็ยังเลือกที่จะอยู่กับงานและปล่อยให้เธอเดินทางมาที่นี่โดยไม่มีเขามาด้วยอยู่ดี
และในวินาทีที่ไทเลอร์กำลังจะก้าวเข้าประตูโรงแรม ร่างของใครบางคนก็ล่วงหล่นลงมากระแทกเข้ากับพื้นถนนข้างๆเขาจนทำให้ผู้คนที่กำลังเดินผ่านไปผ่านมาส่งเสียงกรีดร้องกันจ้าละหวั่น
ไทเลอร์หันมองร่างของหญิงสาวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงสด ดวงตาคู่คมชะงักมองค้างก่อนจะใจหล่นวูบเมื่อคนที่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่ตรงหน้าของเขาในตอนนี้ ก็คือร่างของนับดาว คู่หมั้นสาวที่ไทเลอร์รักสุดหัวใจ
"นับดาว!"
ตัดภาพมาที่ร้านอาหารไทยในฝรั่งเศส
14.30 น.
"เดินทางมาเหนื่อยไหมคะ?"
ซัน กรวิตร เอ่ยถามข้าวตู เด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักที่กำลังวิ่งดุ๊กดิ๊กๆเข้ามากอดเขาหลังจากที่อีกฝ่ายใช้เวลาเดินทางนานหลายชั่วโมงและนี่ก็ยังเป็นการเดินทางโดยเครื่องบินครั้งแรกของเด็กหนุ่มอีกด้วย
"ไม่เหนื่อยเลยครับ ข้าวตื่นเต้นมากกว่าที่จะได้มาเที่ยวประเทศนอก"
เจ้าเด็กแก้มกลมฉีกยิ้มหวาน คำว่าประเทศนอกของข้าวตูมันทำให้มาเฟียหนุ่มหลุดขำจนเผลอหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาโดยไม่รู้ตัว
"พี่ซันหัวเราะอะไรกันครับ ข้าวพูดอะไรผิดไปอย่างงั้นเหรอ"
"ป่าวครับๆ พี่แค่ชอบคำศัพท์แปลกๆของข้าวหน่ะ มันน่ารักดี" หยอกล้อคนน้องจนข้าวตูแก้มแดงเป็นลูกตำลึง ซันยื่นมือออกไปช่วยข้าวตูถือกระเป๋าก่อนจะเป็นคนอาสาเข็นรถใส่กระเป๋าของเด็กหนุ่มให้ด้วยตัวเองเช่นกัน
"มาเหนื่อยๆเดี๋ยวพี่ช่วยถือกระเป๋านะครับ"
"ขอบคุณครับพี่ซัน"
แค่เพียงรอยยิ้มของข้าวตูก็ทำให้ซัน กรวิตร มีความสุขจนหัวใจพองโต เขาลืมเรื่องราวหนักๆที่เกิดขึ้นชั่วข้ามคืนไปอย่างง่ายดาย แค่มีข้าวตูอยู่เคียงข้างเขาชีวิตของซันก็ดูเหมือนจะไม่ต้องการสิ่งใดมาเติมเต็มให้กับหัวใจที่แสนอ้างว้างดวงนี้อีกต่อไปแล้ว
หลังจากพาข้าวตูมากินข้าวและเดินเที่ยวไปทั่วกรุงปารีส มาเฟียหนุ่มก็จับมือน้อยๆของคนตัวเล็กก่อนจะเอ่ยขอบางอย่างกับข้าวตูซึ่งคำขอนั้นก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกใจขึ้นมาอยู่ไม่น้อย
"ข้าว สัญญากับพี่อย่างนึงได้ไหม ถ้าไม่ใช่พี่ ข้าวอย่าเชื่อใจใครง่ายๆได้ไหมครับ อย่าไว้ใจใคร แล้วก็อย่าเอาชีวิตของตัวเองมาแลกกับชีวิตของพี่เด็ดขาดเลยนะรู้ไหม"
ข้าวตูขมวดคิ้วแน่นทันทีที่ได้ยินคำพูดของซันแบบนั้น หากเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นกับผู้มีพระคุณของเขาจะให้ข้าวตูยอมทนดูอยู่เฉยๆและปล่อยให้ซันตายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไรกัน
"พี่ซันห้ามพูดแบบนี้อีกนะครับ ข้าวจะไม่ยอมให้พี่ซันเป็นอะไรไปแน่ๆ"
ซันอมยิ้มเอ็นดูเข้าเด็กแก้มกลม คนอะไรช่างน่ารักสดใสจนเผื่อแผ่ความสดใสเหล่านั้นเข้ามาในชีวิตที่แสนมืดมนของเขาให้สว่างไสวขึ้นจากแต่ก่อนจนเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน
"ดื้อจริงๆนะเราหน่ะ อย่าลืมสิครับว่าถ้าข้าวเป็นอะไรไป พี่ก็คงจะอยู่ไม่ได้เหมือนกันนะ"
"งั้นก็ไม่ต้องมีใครเป็นอะไรสิครับ เราอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไปไม่ได้เหรอ" ออดอ้อนคนพี่ด้วยแววตาวิงวอน ซันแพ้ลูกอ้อนแบบนี้ของข้าวตูเป็นที่สุด นอกจากจะไม่เคยชนะเจ้าลูกแมวตัวเล็กแล้ว เขายังพ่ายแพ้ให้กับความน่ารักของเด็กคนนี้หมดทุกอย่างอีกด้วย
"ได้สิ ถ้าข้าวตูของพี่ต้องการ พี่ก็จะพยายามทำให้ได้นะ"
--------------------------------------------
ชอบฝากกดไลค์ + เม้น และแอดใส่ชั้นกันเยอะๆนะค้าา ความเจ้มจ้นกำลังมาเยือนแน้ว
ความคิดเห็น