Milky’ BUNNY
ถ้าพวกเรายืนจับมือกันใจกลางเมืองแล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้า ~
ผมนอนฟังเพลงของไอดอลสาวจากไอพอดพร้อมอ่านหนังสือการ์ตูนในมืออย่างสำราญใจ ถัดไปไม่ถึงเมตรมีถ้วยราเม็งที่เส้นอืดจนบานเต็มถ้วยวางคู่กับแก้วน้ำเย็นชืด ไม่ไกลกันเท่าไหร่มีจานผสมสีกับกระดาษเอสี่ที่ถูกผมขยำทิ้งกองพูนเป็นยอดดอยตั้งเด่นสง่าอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก
“เซฮุนเสร็จหรือยังลูก พี่เค้ามารอแล้วนะ”
พี่ไหน ..แล้วรอกูทำไมวะ?
ทันทีที่หญิงวัยกลางคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่เปิดประตูเข้ามาเห็นสภาพของผมในตอนนี้ก็ทำหน้าตกใจอย่างกับภูเขาไฟฟูจิกำลังจะประทุขึ้นอีกรอบ ผมได้แต่ทำหน้างงเกาหัวแกรกๆ กับปฏิกิริยาที่ดูท่าทางโอเวอร์เสียเหลือเกิน
“รออะไรกันแม่”
ถ้าผู้มีพลังรับรู้อนาคตคงจะไม่พูดประโยคนี้ออกไปแน่ๆ จากผู้หญิงวัยกลางคนที่แสนอบอุ่นกำลังกลายร่างเป็นคุณครูสุดโหดที่คอยไล่ตีเด็กนักเรียนที่หลับในห้องเรียนไปในทันที
“ลืมไปแล้วหรือไงว่าลูกต้องกลับเกาหลี รีบเก็บของได้แล้ว!!”
ในขณะที่ผมกำลังตกอยู่ในภาวะช็อคเข้าขั้นโคม่า แม่ก็เดินมาดึงคอเสื้อจากทางด้านหลังให้ผมลุกขึ้นพร้อมหยิบกระเป๋าเดินทางโยนมาให้แล้วยืนกอดอกมองท่าทีของผมนิ่งๆ
อยากจะบอกว่ากูไม่อยากกลับ แต่ดูจากสายตาแม่ตอนนี้คงต้องเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าให้เร็วไว
“แล้วแม่ซื้อบ้านที่นู่นไว้ให้ผมแล้วหรอ”
ผมทำเป็นถามถ่วงเวลาพยายามใช้เวลากับการพับเสื้อแต่ละตัวให้นานที่สุดเพื่อยื้อเวลากับการใช้ชีวิตในประเทศญี่ปุ่นที่รักสักวินาทีหนึ่งก็ยังดี
“แม่กลัวลูกอยู่คนเดียวไม่ได้ จงอินเค้าเลยให้ลูกไปอยู่ด้วยน่ะ”
ใครวะ ..
เหมือนแม่จะเห็นสีหน้ามึนงงของผมซึ่งไม่เข้าใจว่า จงอิน ที่ตัวเองพูดมาคือใคร เลยเริ่มเปิดปากอธิบายให้ผมกระจ่างแจ้งในทันใด
“ก็เพื่อนบ้านเราตอนอยู่ฟุกุโอกะไงจ๊ะ”
เดี๋ยว .. คิมจงอิน รักแรกของเขาน่ะหรอ!
Milky’ BUNNY
ตึกรามบ้านช่องยามค่ำคืนของประเทศเกาหลีไม่ค่อยแตกต่างจากประเทศญี่ปุ่นมากเสียเท่าไหร่ เพียงแต่คนมักใช้รถยนต์ส่วนตัวกับรถไฟฟ้าใต้ดินมากกว่าการเดินเท้าเท่านั้น ผมมองดูทัศนียภาพใหม่ผ่านทางกระจกสีใส ของรถมินิคูเปอร์คันหรูที่เพื่อนของคิมจงอินขี่มารับ
“เป็นจิตกรหรอ เจ๋งแฮะ!”
ปาร์คชานยอลเบนสายตาจากถนนหันมายกนิ้วโป้งให้ผมพร้อมยิ้มชอบใจ ผมได้แต่พยักหน้ารับเป็นทำนองขอบคุณ ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะชอบทำอะไรโอเว่อร์ไปเสียทุกอย่างแถมยังพูดมากเป็นต่อยหอยอีกด้วย
“หุบปากแล้วขับไปเถอะมึงน่ะ”
บุคคลที่แทบจะไม่มีตัวตนเลยเอ่ยขัดขึ้นด้วยความรำคาญ สารถีจำเป็นจิ๊ปากขัดใจนิดหน่อยแต่ก็ยอมทำตามคำสั่งของอีกคนอย่างว่าง่าย พอบรรยากาศเริ่มเงียบพาลทำให้หนังตาผมแทบจะปิดอยู่รอมร่อ ไม่รู้ว่าเส้นทางอีกยาวไกลแค่ไหนแต่สติของผมก็ได้เลือนหายไปกับแอร์เย็นๆ ของรถคันนี้ซะแล้ว
พอรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนชานยอลหันมาปลุก ส่วนอีกคนที่รับคำกับแม่ผมว่าจะดูแลน่ะหรอ สะพายกระเป๋าเดินหายเข้าไปในคอนโดนู่นแล้ว
“ขอบคุณที่มาส่งนะครับ”
จำใจต้องรีบบอกลาอีกคนอย่างเร็วไวแล้วลากกระเป๋าเข้าไปให้ทันคนตัวสูงที่ไม่รู้จะรีบจ้ำอ้าวไปไหน คอนโดมันไม่หนีไปไหนหรอกเว้ย!
“รอผมด้วย จงอินฮยอง!”
พอเริ่มก้าวขาตามไม่ทันก็แหกปากสกัดทางไว้แม่งเลย ได้ผลครับ เจ้าตัวหยุดชะงักแล้วหันมามองผมที่วิ่งมาหยุด เป็นหมาหอบแดกอยู่ข้างหลัง มือสองข้างเต็มไปด้วยอุปกรณ์ประกอบอาชีพมากมายแถมกระเป๋าเป้ขนาดใหญ่ที่สะพายอยู่ข้างหลังนี่ใหญ่อย่างกับเก็บบ้านทั้งหลังใส่มาได้
“ไม่เรียกโอป้าเหมือนเมื่อก่อนหรอ”
“อะ..ไอ้บ้า”
อยากจะต่อยหน้าหล่อๆ ที่กำลังหัวเราะชอบใจให้มันเสียโฉมซะจริง ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้มือไม่ว่างคงได้มีเรื่องกันตรงทางเดินนี่ล่ะวะ
“หืม โอเซฮุนโตเป็นสาวแล้วนี่นะ คงไม่วิ่งมาดึงชายเสื้อแล้วเรียกโอป้าๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว”
“ใครจะโตเป็นสาวกัน ผมเป็นผู้ชายนะ”
ไม่รู้ว่ามีอะไรน่าขำนักหนา คิมจงอินถึงเอาแต่หัวเราะตั้งแต่เมื่อกี้จนตอนนี้ได้อันเชิญตัวเองเข้ามาในห้องแล้วก็ยังไม่หยุดขำ พอโดนผมมองค้อนก็ทำเป็นยกมือขึ้นมาปิดปากกลั้นเสียงขำท่าทางกวนตีนไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนแม้แต่น้อย
“คืนนี้ก็นอนกับพี่ไปก่อนแล้วกัน”
หมายถึงนอนด้วยกันงั้นหรอ .. ถ้าผมเกิดหวั่นไหวเหมือนเมื่อก่อนขึ้นมาใครจะรับผิดชอบวะ
“จะบ้าหรือไง!”
“เห็นไหม โตเป็นสาวแล้วจริงๆ ด้วย ถึงไม่ยอมนอนกับผู้ชายสินะ~”
“โธ่เอ๊ย! ก็..ก็ห้องฮยองสกปรกจะตายชัก ใครจะอยากเข้าไปนอนด้วย”
“ห้องตัวเองสะอาดตายล่ะ แม่สาวน้อยโอเซฮุน”
“ใครเป็นสาวน้อยไม่ทราบ!”
แล้วก็หันมายักคิ้วหลิ่วตาก่อนจะเดินผิวปากเข้าห้องน้ำไป ผมเลยหยิบหมอนอิงบนโซฟามาทุบเป็นการระบายอารมณ์ซะเลย จะว่าไปไม่ได้เจอกันมาเกือบสิบปีคนๆ นี้ดูจะไม่เปลี่ยนไปเลย ทั้งนิสัย การพูดจา และสีผิวที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่รู้ว่าตอนนี้จงอินฮยองทำอาชีพอะไรอยู่แต่ดูท่าทางจะต้องเป็นอาชีพที่รายได้ดีแน่ๆ ดูจากสภาพคอนโดแล้วคงจะราคาแพงหูฉี่เลยล่ะ
ความคิดเห็น