ตอนที่ 10 : Aria 9 : I wish I were as brave as you.
Aria 9
I wish I were as brave as you.
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูถี่ๆ ปลุกอายาเมะให้ลืมตาตื่น
ดวงตาสีน้ำทะเลปรือๆ กะพริบขึ้นลงสักพักเพื่อจะปรับภาพตรงหน้าให้ชัดเจนมากขึ้น ก่อนที่เธอจะยันตัวขึ้นมานั่งบนเตียง
“ไอจัง!”
เสียงตะโกนคุ้นเคยจากหน้าห้องทำให้อายาเมะยกมือขึ้นสางผมสีบลอนด์สว่างให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้น ก่อนจะลากร่างของตัวเองไปที่ประตูห้อง
ซาโยริยืนรออยู่ข้างหน้านั่นในชุดนอน แต่ท่าทางกลับดูสดใสกว่าคนเพิ่งตื่นแบบเธออย่างชัดเจน
“อย่าลืมล่ะว่าวันนี้มีนัดไปช้อปปิ้งกันน่ะ!”
“อะ...” อายาเมะหลุดอุทานออกมาเบาๆ “เผลอลืมไปแล้วล่ะ”
ซาโยริไม่เปลี่ยนสีหน้าไปสักนิดกับคำตอบของเธอ
“เพราะรู้ว่าเธอจะลืมเลยมาปลุกก่อนไงล่ะ! รีบไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว เจอกันข้างล่างนะ”
พูดจบ เพื่อนของเธอก็วิ่งกึ่งกระโดดหายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้อายาเมะได้แต่กะพริบตาปริบๆ มองตามหลังไป แล้วจึงปิดประตูลงอีกครั้ง
คนบางประเภทดูจะมีพลังงานเหลือล้นเหลือเกิน ทำเอาอายาเมะอดรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนแก่ไม่ได้
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าวันนี้เธอสัญญาว่าจะไปช่วยซาโยริซื้อเสื้อผ้าสำหรับไปงานแต่งงานของลูกพี่ลูกน้อง แถมยังทำเรื่องขอออกนอกโรงเรียนไปแล้ว อายาเมะก็คงจะใช้ช่วงเวลาวันหยุดหมกตัวนั่งเขียนเพลงอยู่ในห้องเงียบๆ ตลอดทั้งวัน
การใช้เวลาว่างอย่างเงียบสงบเพียงลำพังนี่แหละคือสุดยอดของวันหยุดในฝันเลย
แต่สัญญาก็ต้องเป็นสัญญา
อายาเมะแอบถอนหายใจกับตัวเองขณะที่เดินไปหยิบคลิปหนีบผมบนโต๊ะเพื่อจะเอามาเกล้าผมขึ้นระหว่างอาบน้ำ
ในตอนที่เธอกำลังมองหาของที่ต้องการอยู่ ดวงตาสีน้ำทะเลก็สะดุดเข้ากับสมุดแต่งเพลงพอดี
ที่ขอบสมุดลายก้อนเมฆยังมีรอยไหม้นิดๆ เป็นหลักฐานบ่งบอกว่าเหตุการณ์เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อที่เธอคิดไปเอง
หลังจากช่วงเวลาห้าวันที่เธอถูกลงโทษกับบาคุโก อายาเมะก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติของเธอ
ตื่นมาเรียนตอนเช้า กินข้าวกับซาโยริตอนเที่ยง เปิดล็อกเกอร์มาเจอจดหมายรักสักฉบับ ไปปฏิเสธเจ้าของจดหมายตอนเย็น และนั่งเขียนกับอัดเพลงลงแชนเนิลตอนค่ำ
ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมเลย จนเกือบจะเหมือนว่าช่วงเวลาห้าวันนั้นเป็นความฝันชั่วขณะเท่านั้น
แล้วตอนนี้เธอก็แค่ตื่นกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
ดวงตาสีน้ำทะเลจ้องมองสมุดเล่มนั้นอีกสักพัก ความรู้สึกที่อธิบายได้ยากแล่นเข้ามาในใจ แต่เพียงไม่นาน อายาเมะก็สะบัดหัวไปมาราวกับพยายามจะไล่ความคิดพวกนั้นออกไป
แล้วเธอก็ละสายตาจากมันไปในที่สุด
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวกว่าครึ่งชั่วโมง อายาเมะก็เดินลงมาเจอเพื่อนของเธอที่ห้องนั่งเล่นรวมข้างล่าง
“ไปกันเถอะ!” ซาโยริพูดชวนด้วยน้ำเสียงสดใสร่าเริง ก่อนจะลากเธอวิ่งออกไปจากหอพัก 1-C อย่างรวดเร็ว
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เพื่อนของเธอกลับแวะมาที่โรงอาหารก่อน
อายาเมะยืนรอซาโยริเลือกซื้ออาหารเช้าอย่างใจเย็น ตอนแรกเธอหยิบมือถือขึ้นมากดเล่นแก้เบื่อ แต่สักพักก็เปลี่ยนมากวาดสายตามองไปรอบๆ โรงอาหารที่มีคนอยู่แค่ประปรายแทน
จนกระทั่งดวงตาสีน้ำทะเลสะดุดเข้ากับกลุ่มคนสี่คนที่เพิ่งจะเดินเข้ามา
พวกคลาส 1-A…
อายาเมะจำพวกเขาได้ในทันที และเธอก็สะดุดตาคนๆ หนึ่งในกลุ่มนั้นเป็นพิเศษ
บาคุโก คัตสึกิกำลังเดินล้วงกระเป๋ากางเกงเข้ามาพร้อมกับเพื่อนๆ ของเขาด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ดวงตาสีแดงคู่นั้นยังดูขวางโลกอยู่ตลอดเหมือนสองสัปดาห์ก่อนที่เธอเจอเขาไม่มีผิด
เขาหันไปพูดอะไรบางอย่างกับเพื่อน ก่อนจะตวาดใส่อีกฝ่าย แต่เพื่อนทุกคนของเขากลับหัวเราะราวกับว่านี่เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
เธอเผลอยืนมองเขาอยู่อย่างนั้นสักพัก จนกระทั่งดวงตาสีแดงคู่นั้นตวัดมาเห็นเธอ
มันไม่เหมือนกับในโชโจมังงะที่ให้ความรู้สึกเหมือนเวลาเดินช้าลง หรือในโลกใบนี้มีเพียงแค่เขากับเธอ
อันที่จริงมันห่างกับเรื่องพวกนั้นไปไกลโขเลย
ท่าทางภายนอกของบาคุโกดูไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย แต่เขาเองก็มองเธออยู่ครู่หนึ่ง
สีหน้าของเขาเรียบเฉย มองไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่เพียงไม่นานเขาก็หันกลับไปคุยกับเพื่อนของตัวเอง เหมือนกับที่อายาเมะหันกลับไปมองเพื่อนของเธอที่กำลังเลือกซื้อข้าว
บาคุโกเดินผ่านเธอไปกับกลุ่มเพื่อนของเขา ราวกับว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย
นี่ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เปลี่ยนไปหลังจากที่เธอได้รู้จักกับบาคุโก
เขาและเธอเป็นแค่ ‘คนแปลกหน้า’ เหมือนก่อนที่จะถูกลงโทษด้วยกัน เป็นนักเรียนต่างห้องที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย ไม่เคยมีคำทักทายหรือบทสนทนาอะไรเวลาที่เจอกันตามทางเดิน
แต่ทุกครั้งที่เดินผ่าน แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ หรืออยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย อายาเมะก็มักจะสะดุดตากลุ่มเส้นผมสีทองซีดยุ่งเหยิงนั่นก่อนเสมอ
บางครั้งในตอนที่อายาเมะมองเขา เธอเองก็รู้สึกได้ว่าเขากำลังมองเธออยู่เหมือนกัน
ถึงช่วงเวลาพวกนั้นมันจะสั้นมากจนเรียกได้ว่าเป็นการเหลือบมองกันมากกว่าก็เถอะ
แต่จากแค่คนแปลกหน้า ก็กลายเป็นตัวตนที่โดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางใบหน้าของผู้คนนับร้อย
แต่บาคุโกมีโลกของเขา
อายาเมะก็เช่นกัน
ถึงจะอยู่โรงเรียนเดียวกัน แต่พวกเขาก็ใช้ชีวิตอยู่ในโลกคนละใบ ดังนั้นพอไม่มีช่วงเวลาที่ถูกบังคับให้ใช้ร่วมกันแล้ว เธอกับเขาก็คงไม่มีโอกาสได้วนมาเจอกันอีก
อายาเมะรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยเหมือนกันที่ไม่ได้ยินเสียงตะโกนตวาดด่าเธออีกแล้ว
อันที่จริง พอคิดไปถึงบาคุโกแล้ว อายาเมะก็รู้สึกดีใจอยู่เหมือนกันที่เธอได้รู้จักกับผู้ชายคนนั้น แม้ว่ามันจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ
แต่เขาก็เป็นคนที่ทำให้เธอรู้ว่าเธอมีความคิดตื้นเขินขนาดไหน
ถ้าเป็นอายาเมะเมื่อหนึ่งเดือนก่อน คงไม่กล้าทำอะไรอย่างการพิมพ์จดหมายขู่เพื่อนร่วมห้องของเธอแน่ ถึงมันจะเป็นแค่จดหมายนิรนามก็เถอะ
แต่ก็เพราะบาคุโก...เขาทำให้เธอเปลี่ยนความคิดไปอยู่เหมือนกัน
ผู้ชายคนนั้นทำให้เธอเข้าใจว่าการทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้องมันให้ความรู้สึกที่ดีมากจริงๆ
แม้ช่วงเวลาพวกนั้นมันจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับเป็นแค่ความฝัน แต่อย่างน้อยมันก็เป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดี
เธอเผลอหันไปมองบาคุโกที่กำลังยืนต่อคิวอาหารของลันช์รัชเป็นครั้งสุดท้าย รอยยิ้มบางๆ ที่ผุดขึ้นบนริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัวทำให้ซาโยริที่เดินเข้ามาหาพอดีมองด้วยสีหน้างุนงง
“มีอะไรหรือเปล่า ไอจัง”
อายาเมะส่ายหน้าไปมาอย่างรวดเร็ว
จนถึงตอนนี้ เธอก็ยังไม่ได้เล่าให้ใครฟังเรื่องที่รู้จักกับบาคุโก และท่าทางเขาเองก็ไม่ได้อยากจะแสดงออกว่ารู้จักกับเธอ ถ้าพูดไปแล้วอาจจะทำให้เขาโกรธเอาเปล่าๆ
ที่เป็นอยู่แบบนี้ก็ดีแล้ว
“ไม่มีอะไรหรอก เราไปกันเถอะ”
เรื่องบางเรื่องก็คงเหมาะจะเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำต่อไปก็พอ เพราะโลกของเธอกับเขาคงจะไม่โคจรมาเจอกันอีกแล้วล่ะ
_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_
อายาเมะนั่งแกว่งขาอยู่ในร้านเสื้อผ้าผู้หญิง ดวงตาสีน้ำทะเลกวาดมองไปรอบๆ อย่างเชื่องช้าไล่ดูเสื้อผ้าแต่ละตัว ในขณะที่เธอกำลังรอให้ซาโยริออกมาจากห้องแต่งตัว
“เป็นไงบ้าง” ซาโยริตะโกนออกมาก่อนที่ตัวเธอจะโผล่ออกมาเสียอีก เด็กสาวเปิดม่านออกมาก่อนจะยืนโพสท่าเท้าเอวหันมาหาอายาเมะ
อายาเมะส่งยิ้มบางๆ ให้เพื่อนของเธอ “เข้ากับซาโยริมาก แต่ตัวสีขาวเมื่อกี้ก็ยังสวยกว่าอยู่ดี”
ซาโยริได้ยินความเห็นจากเพื่อนสนิทสาวแล้วก็หมุนตัวกลับไปมองกระจกในห้องแต่งตัว เธอขมวดคิ้วขณะที่พยายามเพ่งมองว่ามีตรงไหนที่แตกต่างจากเสื้อตัวก่อนหน้านี้บ้าง
“อันที่จริงฉันไม่ค่อยจะเห็นความต่างหรอกนะ แต่จะเชื่อใจความเห็นของไอจังก็แล้วกัน! เธอถนัดเรื่องอะไรพวกนี้นี่นา”
ถ้ามีเรื่องอะไรสักอย่างที่อายาเมะมั่นใจในตัวเอง...ก็คงจะเป็นเรื่องการแต่งตัว
แม่ของเธอจริงจังกับการรักษาภาพลักษณ์มาก ดังนั้นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เครื่องสำอาง เครื่องประดับ ไปจนถึงกระเป๋าและรองเท้าจะต้องดูดีอย่างไม่มีที่ติแล้วเท่านั้น อายาเมะจึงจะก้าวเท้าออกจากบ้านได้
การโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้ตั้งแต่เด็กทำให้อายาเมะต้องเรียนรู้ที่จะเลือกใส่เสื้อผ้าที่ดีและเข้ากับเธอมากที่สุด
จะแต่งตัวอย่างไรให้เหมาะสมกับตัวเอง
เสื้อผ้าแบบไหนควรจะใส่คู่กับรองเท้าและกระเป๋าแบบใด
จะแต่งหน้าอย่างไรให้เข้ากับสถานที่และสถานการณ์ที่จะไป
อย่างวันนี้เองก็เหมือนกัน
เธออยู่ในชุดเดรสแขนตุ๊กตาสีขาวที่รัดตรงช่วงเอวเน้นให้เห็นทรวดทรง กระโปรงสีน้ำเงินไล่สีจากอ่อนไปเข้มที่ปลายประโปรงและมีกากเพชรประปรายให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นทะเลของดวงดาว ก่อนจะสวมทับด้วยเสื้อกันหนาวสีเข้ากัน
ผมสีบลอนด์สว่างถูกถักเปียครี่งหัว ก่อนจะรวบเอาไว้ด้วยโบว์สีขาวอันใหญ่แล้วปล่อยปลายผมที่เหลือให้ทิ้งตัวลงถึงกลางหลัง
ซาโยริชมว่าเธอแต่งตัวน่ารักอย่างกับตุ๊กตา
แม้แต่เด็กห้าขวบยังวิ่งเข้ามาขอถ่ายรูปกับเธอเพราะนึกว่าเธอเป็นดาราสักคน อายาเมะลำบากใจนิดหน่อยเหมือนกัน แต่ก็ไม่อยากให้เด็กๆ ต้องเสียใจ เธอจึงยอมย่อตัวถ่ายรูปคู่กับเด็กคนนั้น
ก็ยังดีที่เป็นแค่เด็กเล็กๆ
อายาเมะเคยผ่านประสบการณ์ถูกจีบแบบที่ไม่ค่อยพึงประสงค์มาก่อน และคนพวกนั้นนั่นล่ะที่น่าเหนื่อยใจมากที่สุดจริงๆ
พวกเธอเดินเข้าออกเสื้อผ้าเกือบสิบร้าน เสียเวลาไปเกือบสองชั่วโมง กว่าจะได้ชุดเดรสสีหวานตัวหนึ่งที่เข้ากับซาโยริมาจนได้
“ไปดูเครื่องสำอางกัน!” ซาโยริพูดชวนต่อทันทีพร้อมกับคว้ามือของอายาเมะให้เดินตามเธอไปด้วย
พวกเธอลองสีลิปกับแขนของตัวเองอยู่พักใหญ่ ซาโยริบ่นอุบอิบว่าลิปสติคสีไหนๆ ก็เข้ากับสีผิวของอายาเมะไปหมด ทำให้เธอได้แต่ยิ้มแห้งส่งไปให้
ถึงจะไม่ใช่คนชอบเที่ยว แต่พอได้ออกมาเที่ยวกับเพื่อนสนิทแล้ว อายาเมะก็รู้สึกว่าเวลาในหนึ่งวันนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน
การได้ออกมาช้อปปิ้งกับเพื่อนมันดีแบบนี้นี่เอง
หลังพวกเธอออกมาจากร้านรองเท้าก็เป็นเวลาเกือบจะบ่ายโมงแล้ว อายาเมะกำลังจะชวนเพื่อนของเธอไปกินข้าว แต่โทรศัพท์ของซาโยริก็ดังขึ้นก่อนพอดี
น้ำเสียงที่สุภาพลงของซาโยริตอนที่รับสายทำให้อายาเมะรู้ว่าที่ปลายสายของโทรศัพท์นั่นคงจะเป็นญาติผู้ใหญ่สักคนของเธอ
ยิ่งเห็นสีหน้าขอโทษขอโพยของซาโยริในตอนที่วางสายแล้ว อายาเมะก็ยิ่งมั่นใจ
เพื่อนของเธอพนมมือขอโทษ ก่อนจะพูดว่า “ขอโทษนะไอจัง! พอดีแม่ของฉันอยากให้ไปกินข้าวกับครอบครัวน่ะ คงจะไปด้วยไม่ได้แล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอก” อายาเมะโบกมือไปมาอย่างไม่คิดมาก “ซาโยริไปเถอะ ไม่ได้ออกมาข้างนอกกันบ่อยๆ นี่นา”
“เธอกลับเองได้แน่นะ”
คำถามเหมือนกำลังถามเด็กตัวเล็กๆ ทำให้อายาเมะหันไปมองค้อนเพื่อนของเธอทันที
“ได้สิ แค่กลับยูเอเอง”
แต่ซาโยริก็ยังมองเธอด้วยสีหน้าไม่สบายใจ เพื่อนสนิทของเธอหันมากำชับเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินแยกออกไปว่า “กลับถึงหอพักแล้วส่งข้อความมาบอกด้วยนะ”
“อืม จะส่งไปแน่นอน”
อายาเมะพูดตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทำให้ซาโยริรู้สึกวางใจในที่สุด เด็กสาวเดินแยกตัวออกไปอีกทางพร้อมกับโบกมือลา ทำให้อายาเมะโบกมือตอบกลับไปนิดๆ ขณะที่มองดูเพื่อนของเธอเดินหายไปในกลุ่มฝูงชน
ในที่สุดก็เหลือเพียงแค่เธอคนเดียวในถนนคนเดินย่านใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คน
จะทำอะไรดีล่ะ
ดวงตาสีน้ำทะเลกวาดมองไปรอบๆ อย่างไม่มั่นใจ
อันที่จริงจะกลับยูเอเลยก็ได้ แต่ไหนๆ ก็ทำเรื่องขอออกมาข้างนอกแล้ว อายาเมะจึงอยากจะใช้เวลาให้คุ้มค่ากว่านี้อีกหน่อย
เธอไม่ชอบที่ๆ คนพลุกพล่านก็จริง แต่ถ้าแค่มาเดินเล่นคนเดียวก็ไม่เลวเหมือนกัน
อายาเมะสวมหูฟัง ก่อนจะเปิดเพลงคลอไว้ ตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
เธอเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย พอเห็นร้านอะไรที่อยากแวะก็ค่อยแวะ ซื้อขนมสำหรับไปฝากเพื่อนในห้อง ก่อนจะนั่งอยู่ในร้านกาแฟเกือบชั่วโมงเพื่อจะหามุมสงบสำหรับแต่งเพลง
ถึงจะเป็นวันที่ผ่านไปแบบไม่มีประโยชน์นัก แต่ตอนที่ออกมาจากร้านกาแฟ อายาเมะก็รู้สึกว่าเธอใช้วันนี้ได้คุ้มค่ามากพอแล้ว
ได้เวลากลับแล้วล่ะมั้ง
เธอถอดหูฟังเก็บใส่กระเป๋าสะพายใบเล็กแล้วตรวจสอบให้มั่นใจเป็นครั้งสุดท้ายว่าของทุกอย่างอยู่ในกระเป๋าหมดแล้ว ก่อนจะเริ่มออกเดินอีกครั้ง
บนใบหน้าหวานมีรอยยิ้มบางๆ อย่างอารมณ์ดีในขณะที่เธอเดินฮัมเพลงไปตามย่านร้านค้าที่ยังคงมีคนอยู่อย่างแน่นขนัดเพื่อจะมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟฟ้า
ก่อนจะเดินไปถึงหน้าสถานี อายาเมะก็หันไปเห็นร้านเค้กหน้าตาน่ากินร้านหนึ่งพอดี เธอยืนคำนวณแคลอรี่ในใจแล้วก็รู้สึกว่าวันนี้ยังเหลือพื้นที่พอให้กินน้ำตาลได้อีกหน่อย
ถือเป็นชีทเดย์ของเธอก็แล้วกัน!
เด็กสาวยืนเกาะขอบตู้กระจกรอพนักงานขายห่อเค้กเลม่อนใส่กล่อง ระหว่างนั้นดวงตาสีน้ำทะเลก็กวาดมองไปรอบๆ แก้เบื่อ จนเธอหันไปเห็นผู้หญิงอีกคนที่กำลังซื้อของจากร้านด้านข้างเธอพอดี
อายาเมะคงไม่ได้สะดุดตาผู้หญิงคนนั้น หากไม่ใช่เพราะว่าเส้นผมสีทองซีดชี้ไปมานั่นดูคุ้นเคยมากเหลือเกิน
เหมือนกับบาคุโกเลย
อายาเมะอดยิ้มออกมาด้วยความขบขันไม่ได้เมื่อคิดว่าผู้หญิงคนที่เธอกำลังมองอยู่นี่...ดูจากด้านหลังแล้วเหมือนบาคุโกที่แต่งชุดแม่บ้านอยู่ไม่มีผิด
แค่คิดภาพก็รู้สึกว่าตลกมากแล้วสิ
ภาพในหัวทำให้รอยยิ้มของเธอขยับกว้างขึ้น แต่เพราะไม่อยากเสียมารยาทหัวเราะออกมาแบบไม่มีสาเหตุ อายาเมะจึงรีบหันกลับมามองกล่องเค้กที่ถูกยื่นมาให้เธอพอดี
หลังจากจ่ายเงินเสร็จ เธอก็เตรียมจะเดินมุ่งหน้ากลับไปทางสถานีแล้ว หากไม่ใช่เพราะว่ามีเสียงตะโกนดังลั่นจากร้านด้านข้างเสียก่อน ทำให้เธอชะงักฝีเท้าแล้วหันไปมองอย่างงุนงง
“จะบอกว่าฉันจำผิดหรือไงว่าตัวเองจ่ายเงินไปเท่าไรน่ะ!?”
“ก็ใช่น่ะสิ! คุณน่ะจ่ายแบงค์พันเยนมาชัดๆ ทอนเท่านั้นก็ถูกแล้วไม่ใช่หรือไง”
“พันเยน? เมื่อกี้น่ะมันแบงค์ห้าพันเยนต่างหาก!”
“คุณใจเย็นๆ ก่อนเถอะนะ เราค่อยๆ พูด...”
“ไม่ค่อยแล้ว! นี่มันจงใจโกงเงินกันชัดๆ!”
ผู้หญิงที่ดูเหมือนบาคุโกคนนั้นทำท่าเหมือนพร้อมจะถกแขนเสื้อหาเรื่องอย่างเต็มที่ แม้ว่าผู้ชายผมสีน้ำตาลที่ยืนข้างๆ จะพยายามดึงแขนเธอเอาไว้อยู่ก็ตาม
อายาเมะกะพริบตาปริบๆ มองเหตุวุ่นวายตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจนักว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่แค่ยืนฟังเสียงตะโกนทะเลาะพวกนั้นได้ไม่นาน ก็พอจะจับใจความได้ว่าแม่บ้านที่ทรงผมเหมือนบาคุโกคนนั้นกำลังทะเลาะกับคนขายเรื่องเงินทอนอยู่
เหมือนทางคุณแม่บ้านจะยืนยันว่าจ่ายแบงค์ห้าพันเยนไป ในขณะที่อีกฝ่ายก็ยืนกรานว่าเป็นแบงค์พันเยน
แต่เมื่อกี้อายาเมะก็คิดว่าเธอเห็นแบงค์สีออกม่วงในมือของผู้หญิงคนนั้นนะ
ระหว่างที่อายาเมะยืนคิดทบทวนความทรงจำของตัวเอง เสียงทะเลาะกันของทั้งคู่ก็เริ่มโวยวายใหญ่โตยิ่งกว่าเดิม
รู้ตัวอีกที เธอก็เห็นแม่บ้านคนนั้นตบตู้กระจกด้วยท่าทางเกรี้ยวกราดที่ดูคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
“ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องก็ไปโรงพักด้วยกันเลยนี่ล่ะ!”
“พวกเราค่อยๆ คุยกัน...”
ผู้ชายผมสีน้ำตาลยังคงพยายามห้ามคุณแม่บ้าน ถึงแม้ว่ามันจะดูไม่ได้ผลเลยก็ตาม เขาจึงเปลี่ยนไปคุยกับคนขายแทนว่า “ผมว่าคงจะมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันแน่ๆ ครับ แต่ภรรยาของผมจ่ายเงินไปห้าพันเยน...”
แทนที่มันจะเป็นการช่วยไกล่เกลี่ย พ่อค้าคนนั้นกลับชักสีหน้าขึ้นมายิ่งกว่าเดิม
“คุณจะหาว่าผมโกหก? ก็พวกคุณมาด้วยกันนี่! จะถือเป็นพยานได้ยังไงล่ะ!?”
คำพูดนั้นทำให้คนเป็นสามีหันไปมองรอบๆ ราวกับว่าเขากำลังพยายามมองหาพยานคนอื่นอีกสักคน
พวกเขากำลังยืนอยู่ในย่านร้านค้าบนถนนคนเดิน มีผู้คนเดินพลุกพล่านไปมา ไม่มีทางหรอกที่จะไม่มีใครเห็นเหตุการณ์เลย
แต่คนรอบๆ ต่างพากันหลบตาหรือรีบเดินหลบออกไป คงไม่มีใครอยากหาเรื่องใส่ตัวกับปัญหาของคนอื่น
ถึงจะดูแล้งน้ำใจ แต่อายาเมะก็เห็นเรื่องแบบนี้มาจนเคยชินแล้ว
มือของเธอเผลอกำถุงเค้กในมือแน่นขึ้นขณะที่ดวงตาสีน้ำทะเลกวาดมองผ่านผู้คนไปทีละคน
ไม่มีใครสักคนเลยที่คิดจะออกตัวช่วยพูดแทนสามีภรรยาคู่นั้น
อายาเมะเม้มปากแน่น ในใจของเธอรู้สึกสับสนอย่างไม่แน่ใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
เธอรู้ตัวเองดีว่าเธอไม่ใช่ฮีโร่
อย่าว่าแต่ไม่ใช่ฮีโร่ แค่ความกล้าหาญแบบคนธรรมดายังไม่มีเลย
ทั้งคิดมาก ขี้กลัว กังวลกับสีหน้าของคนอื่นอยู่ตลอดจนทำให้ไม่กล้าทำหรือพูดในสิ่งที่คิดเป็นประจำ
ถึงจะไม่มีใครเคยว่าเธอตรงๆ แต่อายาเมะก็รู้ตัวดี เธอเป็นคนแบบที่พอใจกับการใช้ชีวิตเงียบๆ เป็นแจกันประดับห้องที่ไม่มีใครสังเกตเห็น เพราะแบบนั้นถึงได้ยืนหลบอยู่หลังคนอื่นมาตลอด
ตอนเด็กๆ ก็เลือกหลบอยู่ข้างหลังพี่ชาย พอมีซาโยริก็เปลี่ยนมาหลบหลังเพื่อนสนิทของตัวเองแทน
ไม่เคยมีความกล้าพอจะออกไปยืนอยู่ข้างหน้านั่นเลย
แม้แต่ในตอนนี้เองก็เหมือนกัน
ทั้งที่อายาเมะรู้ว่าคำพูดของเธอน่าจะช่วยพลิกสถานการณ์ได้ แต่ขาทั้งสองข้างกลับแข็งทื่ออยู่ที่เดิมในขณะที่เธอทำได้แค่มองดูเรื่องราวทั้งหมดดำเนินต่อไป
เธอกำลังกลัวอะไรกันแน่
อายาเมะอดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้
เป็นความกลัวที่มากพอให้ละเลยสิ่งที่ถูกต้องและควรทำอย่างนั้นเหรอ
คำถามที่แล่นขึ้นมาในใจทำให้เธอขยับขาก้าวไปข้างหน้าก่อนที่จะทันได้หยุดคิด อยู่ๆ เธอก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าร้านขายของนั่นก่อนที่เธอจะทันรู้ตัวเสียอีก
ในตอนนั้นเธอแทบไม่รู้สึกถึงเล็บของตัวเองที่จิกลงไปบนฝ่ามือด้วยความกังวลปนกับความประหม่าในขณะที่ขยับปากพูดออกไปด้วยเสียงที่ดูมั่นใจกว่าความรู้สึกจริงๆ ของเธอเอง
“ถ้าคุณพูดแบบนั้นล่ะก็...หมายความว่าหากหนูที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกคุณเลยเป็นพยานให้คุณผู้หญิงคนนี้ได้ คุณจะยอมเชื่ออย่างนั้นสินะคะ?”
สายตาของคนทั้งสามหันมามองเธอเป็นทางเดียวในทันที
สามีภรรยาสองคนนั้นมองเธอด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ในขณะที่พ่อค้าคนนั้นหรี่ตามองเธอด้วยความโกรธขึงอย่างชัดเจน
“นี่ยัยหนู อย่ามายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่ให้มันมากนัก”
เสียงกดต่ำอย่างไม่พอใจของคนขายทำให้อายาเมะเผลอกำถุงเค้กแน่นขึ้น แต่ดวงตาสีน้ำทะเลก็ยังมองตรงไปทางพวกเขาอย่างไม่หลบเลี่ยง
เธอไม่รู้จริงๆ ว่าเธอไปเอาความกล้าในตอนนั้นมาจากไหน
อาจจะเพราะเธอชอบความรู้สึกมีความสุขที่เกิดขึ้นในตอนที่ตัดสินใจทำสิ่งที่ถูกต้อง เหมือนตอนที่เธอทำให้เพื่อนร่วมชั้นไปขอโทษบาคุโก
หรืออาจจะเพราะคุณแม่บ้านที่ทำให้เธอนึกถึงเด็กหนุ่มคนนั้น...คนที่เดินตรงไปข้างหน้าอย่างไม่เคยเกรงกลัวเสียงต่อว่าหรือสายตาของใครก็ได้
ช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่เธอได้เฝ้ามองบาคุโกทำให้อายาเมะเข้าใจเขามากขึ้นอีกนิดหน่อย
บาคุโกอาจจะเป็นคนปากเสียที่ชอบทำตัวหยาบคายใส่คนอื่น แต่เขาไม่ได้ทำไปเพราะเขาเกลียดชังใคร
มันก็แค่ว่านั่นคือตัวตนของเขา
เขาก็แค่เป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่โดยไม่เกรงกลัวสายตาของคนอื่นก็เท่านั้นเอง
คงเพราะแบบนั้น...เรื่องของเขาถึงติดอยู่ในใจเธอมากนัก
เพราะอายาเมะรู้สึกว่าเขาคือตัวตนแบบที่เธอไม่มีทางจะเป็นได้เลย
แต่อย่างน้อย...แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพียงเท่านี้...อายาเมะก็อยากจะมีความกล้าพอที่จะทำมันให้ได้
เพราะถ้าเป็นบาคุโกล่ะก็...เขาคงจะตะโกนออกไปอย่างมั่นอกมั่นใจแน่ๆ
“หนูมั่นใจใช่ไหมว่าเห็นฉันจ่ายเงินไปห้าพันเยนจริงๆ”
คุณแม่บ้านคนนั้นหันมาถามเธออย่างเอาจริงเอาจังโดยไม่ได้สนใจสีหน้าของคนขายที่เริ่มจะเปลี่ยนป็นสีม่วงคล้ำด้วยความโกรธแล้ว ทำให้อายาเมะพยักหน้าขึ้นลงอย่างหนักแน่น
แม้แต่รอยยิ้มเหยียดบนริมฝีปากของคุณแม่บ้านคนนั้นก็ทำให้อายาเมะนึกถึงบาคุโกมากจริงๆ
“ว่าไงล่ะ ทางฉันมีพยานด้วยหนึ่งคนแล้วนะ ถ้าจะไปโรงพักล่ะก็...”
“ช่างมันเถอะ!” พ่อค้าคนนั้นแค่นเสียงพูดอย่างไม่พอใจก่อนจะหยิบเงินออกมาเพิ่ม “เรื่องแค่นี้ทำไมต้องทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ด้วยนะ!”
คำบ่นนั้นเหมือนจะทำให้แม่บ้านที่เหมือนบาคุโกมากๆ คนนั้นโมโหขึ้นมาอีกรอบ แต่เธอก็ถูกสามีของตัวเองจับแขนเอาไว้พลางพูดปลอบใจให้สงบสติอารมณ์ลง
“เอาน่า ถ้าไปโรงพักมันจะเสียเวลามากนะ นานๆ ทีคัตสึกิจะได้ทำเรื่องออกมาจากหอพัก...”
“หึ!”
คุณแม่บ้านทำเสียงขึ้นจมูกด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกในตอนที่รับเงินทอนที่เหลือมา
เรื่องวุ่นวายเหล่านั้นจึงจบลงอย่างรวดเร็วราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คนที่ยืนมุงด้วยความสนอกสนใจเมื่อครู่ค่อยๆ สลายตัวไปเมื่อเห็นว่าเรื่องน่าสนุกตรงหน้าจบลงเสียแล้ว
อายาเมะอดถอนหายใจอย่างโล่งอกไม่ได้เมื่อเหตุการณ์ทั้งหมดจบลงโดยที่ไม่บานปลายไปกว่าเดิม
มือที่กำถุงเค้กแน่นค่อยๆ คลายลงเมื่อเธอเริ่มจะรู้สึกสบายใจแล้ว เมื่อครู่นี้มีคนมองมาทางเธอเต็มไปหมดจนเธอรู้สึกอึดอัด แต่พอสายตาพวกนั้นหลบเลี่ยงไปแล้วค่อยหายใจได้ทั่วท้องหน่อย
อายาเมะกำลังจะหมุนตัวเดินยังไปสถานีรถไฟอันเป็นเป้าหมายเดิมของเธอ ในตอนที่ถูกเรียกเอาไว้ก่อนพอดี
“เดี๋ยวก่อน! หนูน้อยคนนั้นน่ะ!”
เสียงเรียกของคุณแม่บ้านคนนั้นจากทางด้านหลังทำให้อายาเมะหันกลับไปมองอย่างงุนงง คู่สามีภรรยาสองคนนั้นเดินมาหาเธอด้วยรอยยิ้มขอบคุณในขณะที่พูดกับเธอว่า
“ขอบใจมากนะที่ช่วยออกปากให้ฉัน”
คำขอบคุณอย่างจริงใจนั่นทำให้อายาเมะรู้สึกละอายใจด้วยซ้ำที่เธอมัวแต่ยืนลังเลอยู่ตั้งนาน
แต่เด็กสาวก็ยิ้มบางๆ ตอบกลับในขณะที่พูดว่า “ไม่หรอกค่ะ แค่ทำในสิ่งที่ควรจะทำก็เท่านั้นเอง”
สองสามีภรรยาหันไปมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ฝ่ายชายจะยิ้มออกมาอย่างผู้ใหญ่ใจดีแล้วเอ่ยปากชวนเธอว่า “ถ้ายังไงก็ให้พวกเราเลี้ยงข้าวตอบแทนสักมื้อเถอะนะ”
อายาเมะไม่ได้คิดว่าสองสามีภรรยาคู่นี้ดูเป็นคนไม่ดีหรอก และพวกเขาก็คงจะอยากเลี้ยงข้าวขอบคุณเธอจริงๆ
แต่เรื่องแค่นี้ไม่ควรจะถูกเอามาคิดเป็นบุญคุณอย่างจริงจังด้วยซ้ำ และอายาเมะก็ไม่ชอบบรรยากาศอึดอัดเวลาต้องอยู่กับคนที่ไม่คุ้นเคยด้วย
กับเพื่อนร่วมห้องที่อยู่ด้วยกันมาเทอมหนึ่ง เธอยังต้องพยายามหาเรื่องมาคุยกับพวกเขาอย่างยากลำบาก แล้วนี่เป็นสามีภรรยาวัยกลางคนที่เธอแทบจะไม่รู้จักเลยสักนิด…
มีหวังกลายเป็นมื้ออาหารที่อึดอัดแย่
“ขอบคุณมากเลยนะคะ แต่มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากจริงๆ ค่ะ ไม่อยากจะต้องรบกวนพวกคุณเลย แล้วหนูก็ต้องรีบกลับโรงเรียน...”
อายาเมะยังพูดไม่ทันจบประโยค ก็มีเสียงที่คุ้นเคยพูดแทรกขึ้นมาอย่างที่ทำให้ดวงตาสีน้ำทะเลเบิกกว้างขึ้น
“ยัยป้า! ไปทำอะไรมาวะ เสียงดังไปถึงท้ายถนนแล้ว”
อายาเมะรู้สึกได้ว่าเธอเผลอยืนตัวแข็งทื่อไปในตอนที่บาคุโกเดินมาหยุดยืนอยู่ด้านข้างสองสามีภรรยาคู่นั้น
เขาอยู่ในชุดไปรเวทสีดำสนิททั้งตัว สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง ใบหน้าบึ้งตึงเหมือนทุกครั้งที่เธอเห็นในขณะที่ดวงตาสีแดงขวางโลกตวัดมามองเธอ
“บะ...บาคุโก?”
เขาหรี่ตามองเธอ “ยัยวูดู”
“รู้จักกันด้วยเหรอ?” คุณแม่บ้านถามขณะที่มองดูเด็กหนุ่มสาวสองคนสลับไปมา
อายาเมะชักจะเข้าใจแล้วสิว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงทำให้เธอนึกถึงบาคุโกนัก
ยิ่งพอเจ้าตัวมายืนเปรียบเทียบอยู่ด้านข้างแบบนี้ยิ่งทำให้เห็นความเหมือนชัดเจนเข้าไปใหญ่
บาคุโกไม่ได้ตอบคำถามนั้นในขณะที่เขาขมวดคิ้วมองเธออย่างเดาอารมณ์ไม่ออก ท่าทางนั้นทำให้อายาเมะเผลอกำกระโปรงของเธอเอาไว้ในขณะที่พยายามคิดหาทางออกจากสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนแปลกๆ นี่
ทั้งที่คิดว่าคงไม่ได้มาข้องเกี่ยวกันอีกแล้ว แต่ความบังเอิญก็ยังทำให้โลกของเธอกับบาคุโกโคจรมาเจอกันอีกจนได้
____________________________
ขอโทษนะคะที่มาอัพช้า ทำงานเพลินเลย TAT
ขอบคุณทุกไลค์และเม้นท์ของทุกคนมากนะคะ! เป็นกำลังใจให้เรามากๆ เลยค่ะ ฮึบๆ
วันพ.ของดอัพนะคะ ช่วงนี้เวรเยอะ คืวแน่นนิดนึง ปั่นไม่ทัน ขอสลับไปอัพคุณฮอว์กส์แทนก่อนค่ะ
น่าจะเจอกันอีกรอบในวันศ.ค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมามากนะคะ ><
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

โลกของเธอ2คนมันชนกันเว้ย ไม่ต้องแปลกใจ เดี๋ยวมันก็รวมกัน555
เอ็นดุ้ว
แงไม่รู้จะเม้นว่าอะไรแต่สนุกมากเหมือนเดิมเลยค่ะ ;—; ขอบคุณสำหรับตอนนี้นะค้า ♡
นิยายสนุกมาก รอตอนต่อไปนะคะ