ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สนพ.Onederwhy _คนรักของผมเป็นงูเผือก *จบแล้ว*

    ลำดับตอนที่ #19 : บทที่ 18 แด่รัก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 750
      54
      22 พ.ย. 63

    บทที่ 18 แด่รัก




            ข้าหาหนทางที่จะออกจากที่คุมขังแห่งนี้ ภายในตู้กระจกข้าไม่สบายตัวนัก มันแคบ ข้าได้แต่เลื้อยวนเวียนเพื่อขยับกายเท่านั้น ข้าสังเกตว่าพฤติกรรมของชายคนนี้ตลอดสามคืน เพื่อวางแผนออกจากที่นี่โดยที่ไม่ต้องถูกจับกลับที่เดิม ข้าทำตัวเชื่องให้เขาลดการระวังตัวลง ระหว่างนั้นข้าพูดคุยกับเจ้าหลามเผือก ได้ข้อมูลมาว่าชายคนนี้จะเข้ามาในห้องช่วงเช้ากับเย็นเพื่อมาให้อาหารพวกเรา คุยเล่นไม่กี่นาที บางครั้งข้าไม่ชอบให้เขามาจับตัวข้านักแต่ก็ต้องกลั้นใจยอม ภายในห้องแห่งนี้ จะมีแค่เขากับหญิงนางหนึ่งที่เข้ามาพบปะกัน บ้างก็ทำบัดสีกันสองคน จนข้ากับหลามเผือกระอาไปแล้ว

    "คิดหนีรึ"

    "ใช่...เจ้าล่ะ"ข้าถาม อีกฝ่ายหัวเราะทันที

    "ข้าอยู่มาหลายปี เจ้าไปเถิด ตามหามนุษย์นั้นไม่ง่ายนัก"

    "ข้าหวังว่าจะเจอเขาเร็ววัน"

    เย็นวันนั้น ชายแก่หน้าแหลมเดินลงมาให้อาหารข้า เป็นหนูสองตัว แต่ข้าไม่ชอบนักเพราะมันยังไม่ตาย ตอนที่ข้าเขมือบหนูน้อยลงท้องมีสายตาของอีกฝ่ายจ้องมองอยู่ตลอด น่าแขยงจริงเชียว พันตรีไม่เคยเอาหนูเป็นๆมาให้ข้ากินมาก่อน คงเพราะเขาไม่ชอบเห็นข้าเขมือบของสดต่อหน้าต่อตานัก

    "อิ่มแล้วสิ ถึงนอนนิ่งเลย"ชายคนดังกล่าวเอ่ยเสียงนุ่ม ข้าจ้องเขา ไม่ขยับร่างแค่นอนดังเดิม จนกระทั่งฝ่ายนั้นเปิดกระจกทางด้านบนออก แล้วยื่นมือมาอุ้มข้าไปเล่นตามเคย อีกฝ่ายชอบมาจับข้าไปคล้องคอเสมอ ข้ารอจังหวะ ขณะที่กำลังประมวลผลว่าหากกัดชายคนนี้แล้ว อีกฝ่ายจะสะบัดข้าออกทันที แล้วทุบข้าหรือว่าวิ่งแจ้นออกไปด้านนอก มีคำถามตามมาอีกว่าแล้วเขาจะเปิดประตูทิ้งไว้หรือไม่ ซ้ำเรื่องการมองเห็นของข้ายังเป็นอุปสรรคพอสมควร เหลียวมองไปทางประตูห้องที่ปิดสนิท ความหวังของข้าดับมอดเมื่ออีกฝ่ายวางตัวข้าลงในกระจกแล้วปิดทางออก

    "วันพรุ่งนี้เดี๋ยวจะพาไปโชว์ตัวนะสโนว์"

    ฟังไม่ผิด ชายคนนี้มีนามใหม่ให้ข้า ชื่อแปลกประหลาดกว่าอักษราภัคเสียอีก ข้าเบื่อที่ต้องเป็นของเล่นของชายคนนี้เหลือเกิน เสียงทุ้มต่ำฟังแล้วเหมือนเก็บอาการตื่นเต้นไม่อยู่

    "นอกจากจะได้โชว์ตัวแล้ว ยังมีเพื่อนๆมาโชว์ด้วยกันอีกนะ"อีกฝ่ายพึมพำ จ้องมองจากนอกตู้กระจก แววตาประกายวิบวับ ข้าเบือนหน้าหนี เลื้อยไปนอนมุมตู้ เสียงของชายคนดังกล่าวค่อยๆเบาลง พร้อมกับเสียงปิดประตู ข้าผงกหัวมองเจ้าหลามเผือก

    "โชว์ตัวคือสิ่งใด"

    "งานสังสรรค์ของเขาไงเล่า มีคนแปลกหน้ามาก้มมองเจ้า จ้องมองชี้นิ้วมาหา ก็แค่งานประหลาดของมนุษย์ผู้นี้"

    "อา...จัดที่ใดรึ"

    "ที่โล่งกว้าง...เท่าที่ข้าจำได้ เหมือนว่าจะอยู่ที่ชั้นล่างข้างใต้เรานี่เอง"

    "ข้าอาจมีเวลาหนี"ข้าพึมพำ เจ้าหลามเหลียวมองวางหน้าลงกับลำตัวอ้วน

    "เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไปได้ตลอดรอดฝั่ง"

    "ข้าต้องเสี่ยง ไม่อาจทนอยู่ที่นี่ได้นาน"ข้าบอก

    "ตามใจเจ้า...ข้าเคยโดนโชว์ตัวอยู่หลายครั้ง เป็นวันที่คนมากมาย เจ้าอาจใช้เวลาหนีตอนที่มนุษย์ตกใจ ข้าอาจจะล้อเล่นกับพวกเขาดูเพื่อให้เจ้าได้ใช้เวลาหนี"

    "นี่เจ้า...ไปด้วยกันหรือไม่"

    "ฮ่ะๆ ตัวข้าใหญ่เทอะทะเพียงนี้ คงไปได้ไม่ไกล ข้าคงถูกพบเห็น อาจโดนทุบตีจนตาย ไม่รู้หรือข้าเป็นที่หวาดกลัวของพวกเขา"เจ้าหลามเอ่ยอย่างเศร้าใจ ข้าได้แต่เงียบรู้สึกขอบคุณเขาในใจ ข้าคิดวางแผนการในใจเมื่อได้ฟังคำอธิบายเพิ่มเติมจากเจ้าหลามเผือก ชายแก่คนนี้ เป็นคนมั่งคั่ง เขามักจัดงานรื่นเริงสังสรรค์ประมูลเพชรพลอย ทว่ากลับใช้การประดับประดาจากสัตว์ โดยเฉพาะงู ข้านึกภาพไม่ออกนักว่าตนเองจะหลายเป็นตัวตลกพันธุ์นั้นได้อย่างไร แต่เอาเถิด ข้าจะยอมเชื่องให้เขาตายใจ

    หากว่าในงานรื่นเริงนั่น มนุษย์กำลังมัวเมา เจ้าหลามเผือกจะชิงจังหวะสร้างความวุ่นวายให้คนแตกตื่นเนื่องด้วยรูปร่างใหญ่ ข้าจะอาศัยจังหวะนั้นหนีออกจากที่คุมขังแห่งนี้ ข้าได้แต่ภาวนาว่าอย่าได้มีคนเฝ้าระวังมากนัก ไม่เช่นนั้นข้าอาจกลับมาอยู่ในที่แคบเช่นเดิม

    กว่าจะผ่านไปอีกหนึ่งคืน ข้าร้อนใจนัก รู้สึกใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยากออกจากที่นี่เต็มแก่แล้ว ข้ารอคอยเวลาอาหารเช้า ก่อนจะนอนขดอย่างเบื่อหน่ายเพื่อรอเวลาอาหารเย็นมาถึง หามีสิ่งใดน่าสนใจอีก จนใจข้าวกถึงพันตรีอีกครั้ง



    งูกับเพชรพลอย

    ข้าไม่คิดเชื่อว่าในเพลานี้กำไลวงเล็กกำลังคล้องอยู่ที่ลำคอของข้าสองวง วาววับด้วยเพชรหลายกระรัต ข้าหนักหัวพอควร ในเวลานี้ข้าถูกย้ายมาอยู่ที่โถงกว้าง เหนือศีรษะของข้ามีเครื่องประดับห้อยระย้าลงมา มองไปแล้วคงทำจากของมีค่าเช่นเคย เสียงเพลงเชื่องช้าขับกล่อมจนข้าชักง่วงซึม

    ข้ากับงูตัวอื่นๆถูกจัดตกแต่งอยู่ใจกลางห้องโถง อยู่ในตู้กระจกคนละแห่ง คราวนี้ข้าสามารถเหยียดยาวได้เต็มตัว กระจกสูงถูกปิดด้วยแผ่นตาข่ายผืนบางหากข้าจะโผล่หัวชนมันหล่นก็คงทำได้ง่ายดาย เพราะตาแก่นั่นคิดว่าข้าเชื่องและรักสงบ ข้าจึงทำใจเย็นไม่รีบร้อนนัก ภายในห้องกระจกแคบ ข้ามีขอนไม้เรียวหนึ่งชิ้นให้เลื้อยเกี่ยวเกาะ ราวกับว่าอวดเรือนร่าง ข้าเข้าใจเช่นนี้ แต่ความจริงแล้วเอาไว้อวดเพชรพลอยบนตัวข้า แต่ข้ายังโชคดีกว่าเจ้าหลามที่มีริบบิ้นสีแดงผูกที่หัว

    ทั้งชายหญิงแต่งตัวรุ่มร่ามคลุมทั้งกาย บ้างโชว์ท่อนบน บ้างโชว์ท่อนล่าง ขายาวๆของหญิงสาวโผล่พ้นกระโปรง บนตัวของพวกเธอมีสร้อยเพชรเช่นกัน ในมือถือแก้วพูดคุยกันสนุกสนาน บ้างก็มายืนคุยอยู่ตรงหน้าข้า ชี้ไม้ชี้มืออย่างสนใจ บางคนยื่นหน้ามาใกล้ ส่งเสียงเรียกชื่อใหม่ของข้าอยู่หลายหน

    "คืนนี้สโนว์เป็นพระเอกเอกของงาน งูตัวนี้โชคดีที่ผมเจอเข้า เขาสวยงามมากใช่ไหม ยิ่งประดับกำไลไพลินล้อมเพชรยิ่งดูสง่า ผมยังไม่ได้เอาเขาไปตรวจสอบว่ามีความเป็นมายังไง ไม่แน่ ผมอาจได้แจ็คพอต เป็นงูสปีชีย์ใหม่ของไทย"เจ้าของบ้านเอ่ยอย่างยกยอตนเอง ข้าเหลือบมองบรรดาแขกเรื่องของเขาที่ส่งเสียงตื่นเต้น จับจ้องมาที่ข้ากันหมด ข้าตกเป็นที่สนใจอีกครั้ง มีเสียงปรบมือดังก้องโถงกว้าง ข้าเหลือกตาอย่างอดทน หันมองเจ้าหลามเผือกที่ผงกหัว จากนั้นก็เริ่มแผน

    "ส่วนพระรองของเรา  Heart & Arrow..."

    ไม่ทันที่เจ้าของงานพูดจบประโยค เสียงหวีดร้องของหญิงสาวในงานดังขึ้น พร้อมกับเจ้าหลามที่ขู่ดังฟ่อ พยายามพุ่งออกมาจากแผ่นตาข่ายสีดำที่คลุมไว้ เกิดการชุลมุนชั่วคราว บางคนตกใจจนวิ่งหนีไปอีกทางเพราะเจ้าหลามตัวใหญ่ท่าทางการอ้าปากขู่ทำให้ดูดุร้าย ทั้งๆที่ไม่ใช่งูมีพิษสงร้ายแรง


     ข้าได้โอกาส พุ่งออกจากตาข่ายที่น่ารำคาญ แม้ว่าจะติดขัดอยู่บ้างแต่ผืนตาข่ายนั้นไม่ได้หนักจนขยับไม่ออก ข้าพุ่งตัวออกจากแผ่นตาข่ายได้ร่างหล่นลงพื้น มีเสียงร้องบอกให้จับข้าไว้ ชายร่างสูงใหญ่หมายเข้ามาจับข้า วินาทีนั้นข้าโหยงตัวไปอ้าปากฉกกัดเข้าที่ฝ่ามือของชายร่างใหญ่ทันที มีเสียงร้องตามมาด้วยเสียงสบถ

    "เวรเอ้ย"มันร้องลั่น สะบัดข้าออกทันที ข้ารีบเลื้อยหลบหนีออกไปจากโถงใหญ่ เสียงวุ่นวายดังขึ้น เบื้องหน้าข้าคือทางออก มีบันไดไม่กี่ขั้นบรรยากาศภายนอกมีแต่แสงไฟ ในยามนี้คงเป็นช่วงค่ำแล้ว มนุษย์ชายสองคนที่เฝ้าทางลังเลที่จะเข้ามาจับข้า เพราะเมื่อครู่ข้ากัดคนไปหนึ่ง รอยแผลคงมีไม่น้อย พิษของข้านั้นจะทำให้ปวดและบวมเป่ง  หากเข้าสู่กระแสเลือดก็ทำให้ถึงชีวิตได้ แต่ข้าเลือกที่จะกัดเขาแค่บาดแผลภายนอก

    ข้าขู่พวกมัน  รสเลือดคาวยังอยู่ในปากของข้า ทางด้านหลังมีเสียงตึงตังตามมา

    "จับสโนว์ไว้ อย่าให้หนีไปได้ กำไลเพชรอยู่ที่มัน"

    ข้าผงกหัวมองหาทางหนีทีไล่ ใจเต้นระรัว ข้าเลื้อยผ่านลานหน้าบ้าน เคลื่อนตัวหลบเข้าผ่านสวนที่มีไม้พุ่มและไม้ยืนต้นเตี้ยๆประดับสอดแทรก ข้ารำคาญกำไลที่คล้องไว้พอดีกับลำคอ พยายามสะบัดให้หลุดแต่ไม่เป็นผล ข้าไม่อยากเสียเวลา เลื้อยหลบซ่อนร่าง มีเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา ดวงตาของข้าพร่ามัวอีกครั้ง เมื่อครู่ข้าหนีตามสัญชาติญาณเอาตัวรอดทำให้ลืมเลือนความบกพร่องไปชั่วขณะ ยื่นหน้าขึ้นมองผ่านลำต้นเพื่อหาทางออกอื่น ไม่ไกลเกินสองวาข้าเห็นรั้วบ้านสูงอยู่ไม่ไกล

    ข้าหมอบต่ำ ลังเลใจอยู่บ้าง ไม่แน่ใจว่ามนุษย์ที่ตามมามีอาวุธหรือไม่ ทันใดนั้นข้าได้ยินเสียงเห่า ข้าจึงเลิกคิด รีบเลื้อยให้เร็วที่สุด ทันทีที่ข้าขยับเลื้อยเคลื่อนไหว มีเสียงวิ่งไล่ตามมาจนข้าตระหนก

    "จับงูให้ได้ นั่นเพชรเป็นแสนเลยนะโว้ย"เสียงโวยวายลั่นดังตามมา ข้าไม่มีจังหวะหันไปมองทางด้านหลัง ในหัวข้าคิดได้อย่างเดียวคือข้าต้องรอดออกไป เพื่อไปหาพันตรีให้ได้ กล้ามเนื้อที่หน้าท้องคล้ายเครียดเขม็งเลื้อยปรี่ไปที่ช่องว่างของรั้วสูงท่วมศีรษะ เสียงหอบแฮ่ก เสียงฝีเท้ากระทบพื้นดังตามมาพร้อมกับเสียงเห่าลั่น

    เจ้าสุนัขมันงับเข้าที่หางของข้าซ้ำแผลเดิมไปฉิวเฉียด แต่ข้ารู้สึกว่าชาไปทั้งร่าง เมื่อโผล่พ้นรั้วออกมาได้ ข้ารีบเลื้อยข้ามถนนโดยไม่สนใจว่าจะโดนรถใหญ่เหยียบเอาหรือไม่ เสียงอื้ออึงดังมาจากถนนหนทาง ข้าเลื้อยไปริมถนนมองหาป่าเขียวข้างทางเพียงเท่านั้น แต่ที่นี่มีแต่ต้นไม้แต่งข้างทางเท่านั้น ข้าเสี่ยงเลื้อยต่อไป

    โฮ่ง

    สุนัขดำยังไล่ตามมา ข้าตัดสินใจเลื้อยลงน้ำสีไม่น่าลงสัมผัสแต่ไม่มีทางเลือกนัก ให้ตายสิ ข้าไม่เคยอับจนหนทางมากเท่านี้มาก่อน ข้าจมลงสู่ห้วงน้ำสีขุ่น ใต้น้ำไร้แสงนำทาง ข้าพยายามเพ่งมองในมวลน้ำรอบกาย มีแต่ใบหญ้ายาวเกี่ยวพันไปหมด ไม่นับสิ่งแปลกปลอมอื่น ข้าแหวกว่ายตรงไปเท่านั้น เมื่อครู่ก่อนที่ข้าจะลงน้ำ ฝั่งตรงข้ามมีตลิ่ง หากข้ามไปอีกฝั่งได้ ข้าคงปลอดภัย


    ตาแก่นั่นต้องตามล่าข้าเป็นแน่ เพราะเพชรพลอยติดตัวมาด้วย คงไม่ถือว่าข้าเป็นหัวขโมยหรอกนะ


    . . . . .


    ฝนยังคงตกหนักตลอดทั้งคืน ภายในห้องพักของพันตรี เด็กหนุ่มซุกตัวนอนอยู่บนเตียงห่มผ้าคลายให้ความหนาวเย็นจากไอฝน แสงไฟในห้องเรืองรองจากโคมไฟ เด็กหนุ่มนอนไม่หลับ เป็นเช่นนี้มาตลอดตั้งแต่อักษราภัคไม่อยู่ เขาเหมือนคนนอนไม่เต็มตื่น ยิ่งได้พูดคุยกับนนท์แบบนั้นทำให้ตลอดหลายสัปดาห์เขาคิดมาก บางครั้งมีฝันร้ายมากร้ำกราย เป็นภาพงูเผือกโดนทำร้ายจนบาดเจ็บ เขาตื่นขึ้นมาด้วยใจเต้นรัว รู้สึกหนาวขึ้นมาจับใจ

    "หวังว่าคุณจะปลอดภัยนะ"พันตรีพึมพำ หยิบกำไลขึ้นมาจับอีกครั้ง อยากสื่อสารกับอักษราภัคอีกสักครั้ง ให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายยังปลอดภัยดี ตลอดคืน เด็กหนุ่มไม่สามารถข่มตานอนได้อีกเลย เขาจึงลุกออกมานั่งทำงานไปพลางๆ

    นั่งมองสวนหน้าหอพักด้วยใจเหม่อลอย

    ช่วงเช้า พันตรีเตรียมตัวเข้าไปทำงานที่คณะตามปกติ ทุกอย่างยังคงเงียบสงบเหมือนเคย เด็กหนุ่มแวะซื้อหมูปิ้งติดมาด้วย วันนี้เขาเบื่อจึงสะพายกระเป๋าเดินไปรอรถเมล์ เหตุการณ์ที่อักษราภัคทำป่วนบนรถยังไม่ลืม แต่คนบนรถคงลืมไปหมดแล้ว รอไม่ถึงห้านาทีรถเมล์ก็เทียบจอดทิ้งเสียงดังแช่ เขาเดินขึ้นไปนั่งติดริมหน้าต่าง จ่ายเงินค่าตั๋ว ตั๋วรถเมล์มองหน้าเขานิ่ง แต่พันตรีไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะต่อล้อต่อเถียง เขามองไปยังข้างทางรับลมยามเช้าให้ชำระความหม่นหมองออกจากใจ

    เขาทำงานศิลปะสื่อผสม หลังจากที่ร่งผลงานคร่าวๆไว้เมื่อคืนเพื่อมาเสนอไอเดียกับอาจารย์ เขาเจอนนท์กับจ่อยที่ห้องปั้นชั้นล่างแหล่งรวมเพื่อนในสาขา เขาเดินเข้าไปหาทั้งสองคน เอ่ยทักทายไม่กี่ประโยค หยิบสมุดสเก็ซออกมาวาดเล่นอย่างเคยชิน เหลียวมองไปยังป่าข้างๆเมื่อได้ยินเสียงดังกรอบแกรบ เด็กหนุ่มจ้องมองไปที่พื้นหญ้าเขม็ง

    "อะไรวะ"นนท์ถาม ตายังคงจดจ้องกับโทรศัพท์อยู่

    "เปล่า"เขาบอก หันมาสนใจภาพสเก็ซต่อ เนื่องจากที่สนใจเรื่องพารหมณ์ไปมากแล้วเขาเลยเอาลวดลายแบบพารหมณ์ หรืออาหรับเข้ามาผสมในผลงานด้วย ออกแบบให้คล้ายกับกระจกโมเสคแต่ยังไม่ได้คิดเรื่องวัสดุที่ใช้ จ่อยไม่ทันจะหยิบหมูปิ้งเข้าปาก อีกฝ่ายโพล่งออกมา

    "งูเขียวว่ะ"

    "ไหน"เขารีบหันขวับไปมองตามสายตาของอีกฝ่ายทันที แต่เขาไม่เห็นอะไรนอกจากต้นหญ้า จ่อยรูดไม้ทิ้ง

    "ไปแล้ว เร็วจริง"

    "โม้อะสิ"นนท์ว่าพร้อมหัวเราะ แล้วหันมาหาพันตรีก่อนจะพูดเสียงกระซิบ "ทำมันประสาทไปด้วย ไม่รู้เหรอว่ามันคลั่งงู"

    เด็กหนุ่มเลิกคิ้วสูง เหลียวมองไปรอบกายอย่างละเอียด ไม่รู้ว่าจ่อยพูดจริงหรือแค่แกล้งเล่น ไม่ก็ตาฝาดไปเอง เจ้าตัวไหวไหล่ เขาคิดว่าไวทินไม่น่ามาแวะเวียนมาแถวนี้อีก ต่อให้มาก็ไม่มีประโยชน์อะไร

    "เออ มึงว่างูที่มึงหายสีขาวๆใช่ปะ"

    "อืม มึงเจอแล้วเหรอ"พันตรีรีบถาม ขยับตัวไปหานนท์ทันที

    "เปล่าหรอก พอดีพี่กูเขาพูดถึงว่ามีเศรษฐีเจ้าของแบรนด์จิวเวอรี่ออกปะกาศตามหางูกับเพชรน่ะ เห็นว่าให้ค่าเจอตั้งหลายหมื่น"นนท์เอ่ยท่าทางอารมณ์ดี พันตรีใจกระตุก

    "ขอดูประกาศได้ไหมวะ"เขาขอ เจ้าตัวมองก่อนจะยื่นโทรศัพท์าให้ เอ่ยเล่าไปด้วย

    "แต่งูตัวนั้นอยู่กับเศรษฐีแถวอีสานเลยนะเว้ย ไม่น่าจะใช่ตัวเดียวที่มึงตามหา"

    คำพูดนั้นทำให้ผมมีความหวังขึ้นมา ก้มมองประกาศที่ทำแบบลวกๆ เหมือนแชร์ตามโซเชียลเท่านั้น ผมอ่านข้อความในประกาศ รางวัล 50,000 น้องสโนว์ งูเผือกพร้อมกำไลไพลินล้อมเพชร 


    เขามอง 'สโนว์'ที่นอนซบกับลำตัวในตู้กระจก ใบหน้านั้นไม่ต่างจากอักษราภัค แต่ผมซูมเข้าไปที่โคนหางของอีกฝ่ายที่มีรอยแผลอยู่แม้ว่าจะไม่เสียหายมาก แต่เห็นว่าบริเวณนั้นมีรอยถลอก เขาจ้องไปที่ใบหน้าของอักษราภัค ไม่พบสิ่งผิดปกติใดจนเบาใจขึ้นมาได้ คิดว่านี่คืองูเผือกของตัวเองแน่ๆ ภาพถัดมาคือรูปกำไลไพลินล้อมเพชร ลักาณะเรียวท้องแบนทว่าที่ตรงกลางมีเพชรสีม่วงเม็ดกลมประดับเด่น

    พันตรีแปลกใจที่อีกฝ่ายประกาศตามหากำไลเพชร ซ้ำยังบอกว่าแจ้งความไว้แล้วหากใครคิดจะเอากำไลเก็บไว้เอง เขาเงยมองนนท์

    "อยู่ที่ไหนนะ"

    "ที่โคราช"คำตอบของนนท์ทำให้เด็กหนุ่มใจหล่นหาย

    "เหรอวะ..."เด็กหนุ่มคิดไม่ตกว่าจะไปหาอักษราภัคจากที่ไหน เหมือนเป็นการงมเข็มในมหาสมุทรจริงๆ นนท์เป่าปาก จากนั้นก็คว้าโทรศัพท์คืน

    "ตกลงว่าใช่หรือเปล่า...แต่งูจากที่นี่ไปอยู่โคราชไม่มีทางเป็นไปได้ใช่ไหมวะ แต่งูตัวนี้คล้ายกับงูของมึงจริงๆนั่นแหละ"เจ้าตัวเอ่ย เขาเงียบ "ทำไมงูหายไปกับกำไลวะ"จ่อยถามออกมา สีหน้างงงวย นนท์หัวเราะ

    "ก็คนตามหาเป็นเจ้าของแบรนเพชรไง ก็คงจะเอาไปใส่ให้น้องสโนว์ไงวะ พวกชอบอะไรหรูหราก็แบบนี้ แต่ไม่น่าบื้อปล่อยให้งูหนีออกมาได้เลย"

    พันตรีปล่อยให้เสียงตอบโต้ของสองคนนั้นลอยผ่านหูไป เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา เสิร์จหาข้อมูลของเศรษฐีเมื่อครู่ ไม่นานกูเกิ้ลก็พาเขามาสู่การเปิดบ้านเศรษฐีร้อยล้านอย่างเสี่ยโชค เจ้าของ Chohk ่jewelry ที่ผลิตเครื่องประดับชายหญิง มีสกรู๊ปที่เข้าไปถ่ายภาพในคฤหาสน์ของเจ้าตัวด้วย และมีหัวข้อที่เอ่ยถึงเสี่ยโชคกับการสะสมงูสวยงาม เขาเห็นว่าอีกฝ่ายเลี้ยงงูหลายพันธุ์สำหรับโชว์ตามงานสังสรรค์ งานเลี้ยงคอกเทล

    อักษราภัคคงไปโผล่ที่โคราชแล้วคงมีเหตุให้เจอกับชายคนนี้ เขากังวลใจ ต่อให้เขาไปโคราชจริง เขาจะหางูเผือกได้จากที่ไหน ยิ่งมีประกาศตามหาแบบนี้แล้ว ผู้คนยิ่งให้ความสนใจมากขึ้น อักษราภัคต้องยิ่งหลบซ่อน พันตรีเหมือนคนไม่มีประโยชน์ ทำอะไรไม่ได้จริงๆ


    วันทั้งวันพันตรีไม่มีสมาธินัก เขาใจลอยไปหาอักษราภัคบ่อยๆ หาหนทางเพื่อตามหางูเผือก เขาตัดสินใจจองตั๋วไปโคราช ไปเริ่มต้นที่บ้านของเศรษฐีคนนั้น เพื่อตามหาอักษราภัค หากให้นอนรออย่างเดียวเขาทำไม่ได้ นนท์กับจ่อยชวนเขาไปในเมือง แต่เขาปฏิเสธไป เลยตรงกลับหอพัก

    พันตรีหยิบกำลไลออกมา เพ่งจิตอธิษฐานไปที่กำไล อย่างน้อยขอให้นาคาสักตนตอบรับคำขอของเขา เด็กหนุ่มกำมือแน่น ก้มมองกำไลสีทองด้วยความนิ่งเฉย จากนั้นก็ถอนหายใจ รู้สึกหมดเรี่ยวแรง เขาโทรหาย่าเพื่อคุยเรื่องของงูเผือก ไม่อย่างนั้นเขาคงไร้ที่พึ่ง

    “ผมเจอเขาแล้ว แต่ว่าไม่รู้จะหาเขาได้ตรงไหน”เด็กหนุ่มเอ่ย กำโทรศัพท์แน่น เสียงของย่ายังคงใจดีไม่คลาย

    [ใจเย็นๆลูก เดี๋ยวก็มีทางออกนั่นแหละ...จำคำย่าได้ไหม ว่าตรีมีสิ่งมีค่าอยู่กับตัวเอง]

    “อะไรล่ะครับ”เขาถาม เพราะไม่รู้จริงๆ สิ่งมีค่างั้นหรือ คืออะไรกัน กำไลใช้งานไม่ได้แล้ว เขาไม่มีอะไรเลยต่างหาก

    [ย่าพอจะเข้าใจตรีนะ ย่าเพิ่งเข้าไปเก็บห้องของเรา รูปปั้นของตรียังอยู่บนหิ้งเหมือนเดิม]

    “...ผมลืมเอามาด้วยครับ ถ้าย่าไม่สบายใจย่าเอาออกเลยก็ได้ครับ”

    [แล้วไม่คิดจะทำพิธีอีกครั้งเหรอลูก]

    “มันจะได้ผลหรือครับ...ผมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ...”พันตรีเงียบเสียงลงเมื่อรู้ตัวว่าพูดมากเกินไป ย่าถอนหายใจออกมา

    [เอาเถอะ คิดดูให้ดีๆ ว่าสิ่งที่ตรีมีอยู่มันคืออะไร ย่าเองไม่สามารถรู้ได้เท่าตัวเรานะ]

    “แล้วย่าทราบได้ยังไงครับ”เขาแปลกใจ

    [...มีผู้ชายคนหนึ่งเขาบอกย่ามาแบบนั้น]เสียงของย่าดูมั่นคงไม่เหมือนว่าพูดปด เขาขมวดคิ้วตาม ก่อนจะนึกไปถึงไวทิน….คืนก่อนที่อีกฝ่ายจะกลับแดนนาคา เขาปล่อยให้เจ้าตัวนอนใต้เตียง

    “ผมสั้นเท่าบ่าใช่ไหมครับ”พันตรีเอ่ยเบาๆ จำหน้าไวทินได้ขึ้นใจ

    [ใช่จ้ะ ใส่เสื้อสีดำ เขาบอกมาแบบนี้]

    “แล้วย่าไม่สงสัยเหรอครับว่าเขาเป็นใคร”

    [มาถึงตอนนี้สงสัยไป ย่าก็หาคำตอบให้ตัวเองได้อยู่ดี คงไม่พ้นคนที่มาคุ้มครองตรีมั้ง]ย่าบอก เขานิ่งไป นึกถึงคำพูดของพันตรีที่บอกว่าหากโชคดีจะได้พูดคุยกันอีก

    “ครับ….คงจะอย่างนั้น”พันตรีพึมพำ

    จากนั้นย่าก็วางสายไป ทิ้งให้เขาคิดวกวน ‘สิ่งมีค่างั้นเหรอ’ คืออะไรกัน พันตรีไม่คิดไปถึงพวกเพชรพลอย นอกจากกำไลของหมั้นแล้วเขาไม่มีอิทธิฤทธิ? อะไรอีก ตั้งแต่ดึงมณีออก….มณีนาคาของอภันตี…

    อยู่ที่ไหนกัน

    ในตอนแรกพันตรีไม่คิดถึงมณี เพราะตามคำขององค์ศิวะ ท่านบอกว่าเขาเป็นแค่มนุษย์ไม่เกี่ยวข้องกับแดนนาคาอีก ดวงจิตส่วนนี้กลายเป็นอีกคนที่ไม่ใช่อภันตี ถ้าหากเป็นเช่นนั้น มณีก็ไม่ใช่ของเขาอยู่ดี….ไม่ใช่หรือ?

    พันตรีพยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา คิดให้ออกถึงจุดเชื่อมโยงของมณี

     จำได้แค่ว่าอักษราภัคใช้มณีให้เขาจำเรื่องราวในอดีตได้ และเขามีการตอบสนองต่อมณีทำให้รู้สึกถึงความเป็นนาคาของอภันตี ทั้งเรื่องเกล็ด เรื่องการลอกคราบ กระทั่งดวงจิตเสี้ยวน้อยของอภันตีแตกสลายไป มณีก็หายไป นั่นคือคำตอบที่ชัดเจนไม่ใช่หรือไง


    ‘ชิงคืนมณีแก่เจ้าของเดิม’

    เจ้าของเดิม….อภันตี

    พันตรีเศร้า ของที่ไม่ใช่ของตัวเอง ดิ้นรนอย่างไรไม่อาจเอามาได้


    “ท่านผิดแล้ว”

    ทีแรกเขาคิดว่าหูฝาดไป เด็กหนุ่มหันรีหันขวาง มองไปรอบห้องแต่ไม่เจอกับงูสักตัว จนกระทั่งเงยมองไปที่หน้าต่างบานเกล็ด งูเขียวเลื้อยเกาะอยู่ตามบานเกล็ดที่เปิดอ้าไว้ พันตรีเข้าไปหาอย่างตกใจระคนดีใจ

    “หมายความว่าไง”

    “ถูก เจ้าของแท้จริงของมณีคืออภันตี ส่วนท่านเป็นมนุษย์ นั่นย่อมถูก ทว่าท่านลืมไปแล้วหรือ ว่ากำเนิดมาจากจิตของพระโอรสด้วยเช่นกัน แม้วาจาสิทธิ์ขององค์ศิวะกล่าวไว้ว่าเจ้าไม่ข้องเกี่ยวกับแดนนาคาอีก...แต่ถ้าหากมณีไม่ได้อยู่แดนนาคาเล่า ท่านยังสามารถใช้มันได้...”

    “แสดงว่ามันอยู่กับผมเหรอ”เขาถาม งูเขียวยังคงไม่ขยับไปไหน  พันตรีได้แต่ก้มมองอีกฝ่าย ดวงตาสีเหลืองมองไม่กะพริบ

    “ใช่...องค์เหนือหัวซ่อนมณีตอนที่ดวงจิตของอภันตีสลายไป เจ้าดึงดันไม่ให้ทำโทษอักษราภัค เหมือนว่าพระองค์รู้ว่าจะเกิดสิ่งใด จึงส่งมณีมากับเจ้า”งูเขียวเอ่ยเสียงต่ำ เหลือกตามองเขาโดยตลอด พันตรีไม่สบายใจนัก

    “ตอนแรกผมนึกว่ามณีถูกดึงไปซะอีก”

    “เปล่า ถูกนำคืนสู่ท่านต่างหาก”ไวทินบอก พันตรีชะงัก เผลอลูบหน้าผากโดยไม่รู้ตัว แสดงว่าเขามีมณีมาโดยตลอดเลยงั้นเหรอ เด็กหนุ่มเปิดประตูระเบียงออก แล้วเข้าไปจับงูเขียวเข้ามาไว้ด้านใน รู้สึกผิดอยู่บ้างที่เคยคิดใจร้ายกับเจ้าตัว

    เหมือนว่างูเขียวจะหายเป็นปกติแล้ว เขาพางูเข้ามาในห้องก่อนจะวางลงบนเตียง

    “ถ้าอย่างนั้นจะเรียกมณีมาได้ยังไง”เด็กหนุ่มไม่มีอาคมใด มณีไม่ตอบสนองต่อเขามานานแล้ว ไม่ว่าจะพิธีบูชานาคา หรือแม้แต่การที่อักษราภัคส่งนาคาอธิษฐานมาหา งูเขียวเลื้อยขดเข้าหากัน

    “ท่านเข้าใจผิด มณีไม่ใช่อาวุธ แต่เป็นสิ่งที่แสดงถึงวรรณะและเกียรติ ทว่าอิทธิฤทธิ์ของมณีคือสิ่งที่ปรากฏขึ้นภายหลัง อภันตีเมื่อร้อยปีก่อน เขาไม่ได้มีอาคมมาแต่กำเนิด นาคาทุกตนเป็นเช่นนั้น แต่เพราะมณีคือสิ่งที่ติดตัวเรามา คล้ายกับที่กักเก็บพลัง...”

    “พอจะเข้าใจแล้ว...”

    พันตรีเอ่ย เหมือนโทรศัพท์ที่ไม่มีแบตฯ นาฬิกาไม่มีถ่าน ก็ไม่สามารถทำอะไรได้

    “ข้าจะช่วยท่าน”

    “เพราะอะไร คุณออกมาเมืองมนุษย์ ไม่ผิดกฏหรือ”พันตรียังคงไม่เข้าใจไวทินอยู่ดี อีกฝ่ายเดี๋ยวเหมือนหวังดี แต่ก็ทำให้คิดว่าเจ้าตัวไม่ได้มาดี

    “เจ้าว่าข้าออกมาโดยพละการหรือ เพียงองค์เหนือหัวอาจทำตาพร่าเลือนเสียบ้าง”ไวทินกล่าวเรียบ เลื้อยเชื่องช้าเปลี่ยนท่านอน

    “...”

    พันตรีไม่คิดจริงๆว่าท้าวปุณมนัสจะคิดเมตตาเขา

    “ขอบคุณมาก”พันตรีบอก มองงูเขียวด้วยความขอบคุณ เจ้าตัวมองไปทางอื่น

    “อักษราภัคบาดเจ็บ…. ข้าคิดว่าเช่นนั้น ท่านต้องรีบใช้มณี”งูเขียวบอกเสียงแผ่วเบา เด็กหนุ่มกัดปากแน่น ไม่ถามเซ้าซี้ว่าอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไร เพียงแค่นึกถึงอักษราภัคในคืนนั้น คืนที่เขาตื่นอยู่ในที่ไม่รู้จัก อีกฝ่ายใช้มณีเดินทางข้ามเวลาได้ น่าเหลือเชื่อแต่เป็นเช่นนั้น

    “ผมพร้อมแล้ว”เขาบอก ขณะที่งูเขียวชูคอ

    “เจ้าจงนึกถึง5สภาวะของนาคา เจ้าไม่มีจิตนาคาแล้ว ฉะนั้นต้องใช้พลังความคิดมากหน่อย เมื่อมณีปรากฏ ถึงตอนนั้นข้าจะช่วยท่านเอง”ถ้อยคำของไวทินตกค้างในใจ เขาลืมเลือนเรื่องไม่ดีที่อีกฝ่ายทำไว้จนสิ้น 


    พันตรีหลับตาพยายามหวนถึงความทรงจำในอดีตกับสภาวะทั้ง5ของนาคา มันยาก เขาเห็นร่างจริงของอภันตี นาคาสีทองเกล็ดทองพริ้วพรายสวยสะท้อนตา หากมองจากในน้ำ เขานึกถึงความทรงจำที่อภันตีเล่นน้ำกับอักษราภัค เขาจำได้ชัดเจน เพราะในวันนั้นทั้งสองต่างมีความสุข อภันตีดูจะตกอยู่ในห้วงเสน่หาของอักษราภัค ราวกับว่ากำลังหลอกล่อให้หลงกล

    อักษราภัคเจ้าเล่ห์เสมอ

    เขาเห็นนาคาสองตนแหวกว่ายในธารน้ำ


    ฉับพลันร่างเรืองรองของอภันตีปรากฏในห้วงความคิด ก่อนที่อีกฝ่ายจะสลายไป รอยยิ้มหนึ่งปรากฏขึ้น ดูไม่เสียใจกับการต้องจากไป… เพราะรู้ดีว่า ดวงจิตที่เหลือยังอยู่และเป็นของอักษราภัคไม่เปลี่ยน…

    ‘อยู่เพื่อข้าและใช้ชีวิตของเจ้าไปกับอักษราภัค’

    รอยยิ้มสุดท้ายของอภันตีบอกเช่นนั้น พันตรีเศร้าใจขึ้นมา นึกถึงคำบอกเล่าของอักษราภัคกับรอยยิ้มสุดท้ายที่ก่อนโดนชิงมณีไป อีกฝ่ายยังคงเรียกชื่ออักษราภัค

    อภันตีรักอักษราภัค

    ความจริงนี้ไม่เปลี่ยน

    พันตรีรักอักษราภัค

    ความจริงนี้ไม่เปลี่ยน แต่ผันผ่านมาร้อยกว่าปี และแม้จะเป็นมนุษย์


    ‘ครั้งสุดท้าย ขอเพียงช่วยประคองจิตใจของอภันตีไว้ทั้งปวงด้วยเถิด จงช่วยอักษราภัค’ พันตรีร้องขอ 


    เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าคำอธิษฐานนั้นสามารถบรรลุผลหรือไม่ ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นเหมือนสูญเสียกำลังกายไปมาก ชาไปทั้งร่างโดยเฉพาะที่แขนและปลายนิ้วมือ เขาไม่เห็นงูเขียวแล้ว


    ภายในห้องพักเงียบกริบไร้ความเคลื่อนไหว ได้แต่ฝากความหวังไว้ที่ไวทินแล้ว…

    พันตรีคิดเช่นนี้ เขาเข้าใจ ในเมื่อเขาใช้อาคมไม่ได้ มีเพียงไวทินที่สามารถช่วยอักษราภัคได้ เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนช้าๆ เอื้อมไปหยิบกำไลออกมากำไว้แน่น

    ระหว่างนั้นราวกับมีอาเพส ฟ้าฝนกระหน่ำตกลงมาไร้เค้าลางบอกเหตุ แม้ว่าจะมืดครึ้มอยู่บ้าง แต่เขาคิดว่าน่าจะตกตอนดึกมากกว่าช่วงเย็น เขายืนมองม่านฝนพร่ามัวอยู่ริมหน้าต่าง ลูบแขนทั้งสองข้างด้วยอาการร้อนๆหนาวๆ พันตรีคิดเข้าข้างตัวเองว่าเพราะใช้อิทธิฤทธิ์ของมณีสำเร็จผล

    พันตรีเชื่อว่ามณีจะนำไวทินไปหาอักษราภัคได้ เช่นเดียวกับที่อักษราภัคใช้มันเพื่อตามหาเด็กหนุ่ม

    เวลาผ่านไปยาวนานในความรู้สึกยังคงไร้วี่แววของไวทิน กระแสลมแรงพัดเข้าผ่านช่องบาดเกล็ด เด็กหนุ่มลุกไปหมุนบานเกล็ดให้ปิด ขณะนั้นฟ้าสว่างวาบตามมาด้วยเสียงกัปนาท พันตรีสะดุ้งตกใจ 


    เสียงฟ้าผ่าไม่น่าตกใจเท่าเงาร่างที่ปรากฏตรงหน้าต่าง คล้ายกับวันแรกที่เจออักษราภัคไม่มีผิด แต่คราวนี้กลับเป็นร่างสูงกำยำของไวทิน เส้นผมประบ่าเปียกลู่แนบศีรษะ เสื้อสีดำทั้งตัวยืนอยู่ตรงหน้าต่าง

    พันตรีตั้งสติรีบเปิดประตูให้ ทั้งที่ไวทินคงสามารถเข้ามาได้เอง

    “เป็นยังไงบ้าง”เขารีบถาม กวาดสายตามองไปทั่วร่างของไวทิน แต่ไม่พบอักษราภัค พันตรีหน้าเจื่อนเมื่อไม่เห็นงูเผือก

    “...”ไวทินไม่ตอบ ใบหน้าเรียบเฉยราวกับรูปปั้น เขามองอีกฝ่ายอย่างไร้ความรู้สึก

    “เกิดอะไรขึ้น เจออักษราภัคไหม”พันตรีถาม เสียงสั่นเครือ พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ตะโกนใส่ไวทิน ท่าทีของอีกฝ่ายไม่ทำให้เขาคลายใจลงได้แม้แต่น้อย ไวทินเก็บงำความรู้สึกอีกครั้ง

    “ข้าคิดเสมอว่าท่านทำได้ทุกสิ่งเพื่อเขา… ทว่าแน่ใจรึ กับการที่ได้เขาคืนมา”ไวทินเอ่ยถ้อยคำชวนสับสน พันตรียืนมองร่างสูง ไวทินสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ดวงตาสีอำพันหรี่ลง

    “หมายความว่ายังไง”

    “หมายความตามนั้น การแลกเปลี่ยนของท่านในฐานะมนุษย์”

    “ผมคิดว่าผมแลกไปแล้ว...ตอนนี้ผมไม่เข้าใจภาษางูไม่ใช่เหรอ”เขาเอ่ยอย่างไม่มั่นใจนัก มองไวทินที่ยืนนิ่ง เด็กหนุ่มกวาดสายตามองหาอักษราภัค งูเผือกของเขาหายไปไหน

    “เมื่อครู่ก่อน ท่านลืมหรือว่ายังพูดกับข้าในร่างงูเขียวได้”ไวทินบอก พันตรีนิ่ง ใช่ เขาลืมคิดถึง

    “อธิบายมาสิ ตกลงผมต้องแลกอะไร”เด็กหนุ่มถาม จ้องมองคนตรงหน้าไม่วางตา เขาเริ่มโกรธอีกครั้ง ไม่เข้าใจไวทินเลยสักนิด เหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังปั่นหัวเขา

    “ไม่ใช่ชีวิตหรอก….อักษราภัคสูญเสียดวงตาไปหนึ่งข้าง ท่านสูญเสียความสามารถในการพูดคุยกับงู นั่นเป็นเรื่องที่ควรเป็น ในเมื่อท่านไม่ใช่คนของแดนนาคาจึงไม่แปลก...แต่หนนี้ท่านต้องสูญเสีย มือของท่าน”

    อะไรนะ

    พันตรีตกใจ ก้มมองมือของตนเอง หลายความคิดประดังประเดเข้ามา เขาใช้มือทำงานศิลปะและต้องใช้เรียนจนจบ เขาหัวสมองว่างเปล่า คิดอะไรไม่ออก ไวทินแค่ขยับเดินมาหา

    “หมายถึงผมจะใช้มือไม่ได้งั้นเหรอ”เขากุมมือเข้าหากันแน่น ปลายนิ้วเย็นเฉียบ ไม่ต่างจากหัวใจที่สั่นสะท้าน

    “...ข้างซ้าย ถือว่าพญานาคายังปรานีท่าน”ไวทินเอ่ย มองหน้าเขาอยู่นาน ราวกับว่าภายในห้องหายใจได้ลำบาก เด็กหนุ่มมองไวทินอย่างระแวง คนตรงหน้าแค่ผุดยิ้ม ดวงตาไม่กะพริบไหว อีกฝ่ายยื่นมือมาหาเขา สายตาหลบต่ำ เด็กหนุ่มสูดจมูกยื่นมือไปแตะปลายมือของไวทิน

    คล้ายกับโดนสูบวิญญาณออกจากร่าง พันตรีสบตาไวทินชั่วขณะ เหมือนว่าอีกฝ่ายเสียใจ

    “ถือว่าข้ากับท่านหมดพันธะซึ่งกันและกัน ขอให้ท่านมีความสุข”ไวทินเอ่ย มือซ้ายของพันตรีราวกับโดนกระตุกวูบ ก่อนที่โลกทั้งใบจะดับวูบ เขาเซ ราวกับว่ากำลังเป็นลม สองตามองเห็นแต่ความมืดที่คืบคลานเข้าหา

    พันตรีคิดว่าไม่เป็นอะไร หากอักษราภัคกลับมาหา ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องแลกอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง



    “พันตรี! ตรี!”

    เสียงเรียกดังอยู่รอบกาย เด็กหนุ่มราวกับร่วงหล่นอยู่ในอากาศ จนกระทั่งมีมืออุ่นเข้ามาเขย่าร่างของเขาไม่หยุด จนเริ่มได้สติขึ้นมาบ้าง ทั้งตัวชาไปหมดก่อนจะเริ่มรับรู้ว่าเขากำลังนอนอยู่บนที่แข็ง

    “...ใครน่ะ...อักษราเหรอ”พันตรีถาม ค่อยๆลืมตาตื่น ภาพตรงหน้าพร่าเลือน แสงสว่างไปหมด เขาเห็นเงาตะคุ่มเป็นร่างคนสองคนก้มมอง

    “นนท์ไง”เสียงของอีกฝ่ายแจ่มชัดในความรู้สึก พันตรีเหมือนโดนน้ำเย็นสาดหน้า รีบผุดลุกขึ้นนั่ง แต่มีนนท์จับประคองไว้

    “ระวังดิ”เสียงของจ่อย

    “มาได้ไงวะ”เด็กหนุ่มถาม พยายามมองไปรอบห้อง เพื่อหาร่องรองของงูเผือก ต่อมาเขาถึงรู้สึกว่าแขนซ้ายเหมือนอ่อนแรง มือชาไปหมด เขาก้มมองก่อนจะค่อยๆกระดิกนิ้ว

    “เป็นอะไร”จ่อยเข้ามาถาม ก่อนจะคว้าเข้าที่แขนข้างซ้ายขึ้นมาบีบ พันตรียังคงรู้สึกจึงส่ายหน้าผุดยิ้มให้ทั้งสองคนเพื่อให้คลายใจ นนท์มีสีหน้ากังวลใจ เขาเพิ่งเห็นว่าร่างกายทั้งคู่เปียกปอน

    “ตากฝนมาเหรอ”เขาถาม

    “เออ ไปซื้อของในเมืองมา ระหว่างทางกลับเจอฝนพอดีเลยแวะมาหลบที่หอพักมึงก่อน แต่เรียกยังไงก็ไม่ออกมาเปิดประตู เลยลองเปิดเข้ามา ประตูไม่ได้ล็อก เห็นมึงนอนอยู่ตรงนี้ สงสัยจะเป็นลม”

    “อ้อ...”เด็กหนุ่มพูดอะไรไม่ออก เหลือบมองไปรอบห้องพักอยู่ตลอด

    “ไม่ได้กินข้าวเย็นเหรอ”จ่อยถามอย่างเป็นห่วง เขาส่ายหน้า

    “แค่เพลียๆน่ะ เอาผ้าเช็ดตัวหน่อยไหม กินอะไรอุ่นๆก่อนกลับก็ได้นะ”พันตรีบอก เพราะตอนนี้เหมือนว่าฝนหยุดตกแล้ว เด็กหนุ่มค่อยๆลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาสองผืนที่ตู้เสื้อผ้า แล้วโยนให้เพื่อนสองคน

    “ไปหาหมอไหมวะ มึงดูซึมๆมาตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายแล้ว”นนท์เอ่ย

    “กูไม่เป็นอะไรหรอก”เขาบอก แต่นนท์กับจ่อยยังหน้าไม่สู้ดี เขานั่งซึม เหมือนข้างในว่างเปล่า กลวงโบ๋

    “มึงอยู่ได้แน่นะ ให้กูพาไปหาหมอดีไหม มึงหน้าซีด”

    “ไม่เป็นอะไรจริงๆ ขอบใจนะที่แวะมา”พันตรีบอก ส่งยิ้มให้สองคนนั้นวางใจ เด็กหนุ่มชงโอวัลตินให้ทั้งคู่ดื่ม จากนั้นนนท์กับจ่อยไม่รั้งอยู่นาน รีบกลับไปอาบน้ำ ทิ้งท้ายไว้ว่าพรุ่งนี้ให้เขาไปหาหมอด้วย เขาปิดประตูห้องก่อนจะล็อก

    อักษราภัค

    พันตรีเดินไปที่เตียงเลิกดูใต้ผ้าห่ม ยกหมอนออกจนเตียงยุ่งเหยิงแต่ไม่เจอตัว “นี่อักษรา คุณอยู่ตรงไหน”

    เขาเรียก ก้มมองใต้เตียงแล้วนึกขึ้นได้ว่าเอากล่องงูไปทิ้งซะแล้ว เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน ได้ยินเสียงของหล่นมาจากห้องน้ำจึงรีบเข้าไปดู หัวใจเต้นตึกตัก  

    เมื่อเปิดประตูเข้าไป ร่างกายเหมือนว่าเบาหวิวไปหมด ราวกับว่าเนิ่นนาน พันตรีเห็นว่าที่อ่างล้างหน้าเต็มไปด้วยลำตัวสีเผือกขดอยู่ในนั้น ท่าทางเหมือนกำลังหลับอยู่ เขารีบเข้าไปหา มองดูอย่างไม่เชื่อสายตานัก

    “อักษรา!”เขาเอ่ยเรียก รีบเข้าไปจับตัวงูไว้ อีกฝ่ายเหมือนตากฝนมา ลำตัวเย็นไปหมด

    “กลับมานานหรือยัง”พันตรีถาม ขณะเดียวกันงูเผือกผงกหัวขึ้นมอง ดวงตาสีดำสนิทจดจ้องไม่วางตา เขาหลุดยิ้มออกมา ก่อนจะประคองหน้างูเอาไว้ด้วยสองมือ

    “ได้ยินหรือเปล่า...คุณกลับมาหาผมแล้ว ต้องเล่าให้ผมฟังด้วยล่ะ”พันตีสำทับอีก เสียงของตัวเองดังก้องในห้องน้ำก่อนจะเงียบหายไป เขาใจกระตุก นึกถึงคำพูดของไวทิน ไม่สามารถพูดคุยกับงูให้เข้าใจได้อีก

    งูเผือกแค่แลบลิ้นกลับมา ก่อนจะส่ายหน้าอยู่ในอุ้งมือของเขา

    “ไวทินบอกว่าคุณตาไม่ดี”พันตรีพูดกับงู จ้องตาไม่ห่าง ไม่มีเสียงพูดตอบกลับมาเหมือนเช่นเคย แต่เด็กหนุ่มรู้ว่าอักษราภัคเข้าใจ จ้องมองลงไปที่นัยย์ตาของงู เขาไม่รู้ว่าอักษราภัคสูญเสียดวงตาไปข้างไหน มองด้วยตาเปล่าเขาแยกไม่ออกเพราะดวงตาตรงหน้าเขายังคงจ้องมองงมาตามปกติของงู พันตรีค่อยๆช้อนร่างงูที่เปียกชุ่มออกจากอ่างล้างหน้า

     จากนั้นก็อุ้มงูออกจากห้องน้ำกลับมานอนบนเตียง หาเสื้อของเขามาห่มให้งูเผือก พันตรีทำอะไรไม่ถูกนักเหมือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นราวกับเป็นความฝัน

    เด็กหนุ่มนอนตัวงอข้างร่างของงูเผือก งูค่อยๆขยับเลื้อยเข้ามานอนใกล้ชิด เบียดตัวเข้ากับไออุ่นของพันตรี เขาลูบศีรษะของงู ก้มมองดูรอยเกล็ดเต็มสองตา เหมือนว่าจะมีรอยแผลจางๆแล้วเหมือนหัวใจโดนบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น

    “คุณปลอดภัยแล้ว”

    “เหมือนผมไม่ได้ช่วยอะไรคุณเลยนะ”พันตรีบอก ก้มมองงูที่เลื่อนมางับนิ้วเขาเบาๆ ราวกับรู้เรื่อง เด็กหนุ่มขยับไปหา ยื่นหน้าไปจ้องดวงตาสีดำทั้งสองข้าง

    “ผมรักคุณ”

    พันตรีเอ่ยทั้งน้ำตา กอดงูเผือกที่เขารักไว้แน่น เอาเถอะ หากสวรรค์อยากให้เขาต้องแลกเพื่ออักษราภัค เขาคงไม่อาจร้องโวยวายหาความยุติธรรม เขาเชื่อว่าอักษราภัคเหนื่อยมามากแล้ว ต่อจากนี้เขาจะดูแลงูเผือกเอง  แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่างูพูดอะไร แต่ภาษากายของงูต้องพูดบางอย่างกับเขาได้เหมือนกัน

     

    ตลอดคืนพันตรีวางมือลงสัมผัสร่างของอักษราภัคเสมอ ราวกับให้รู้ว่าเขาอยู่ข้างกาย และเพื่อย้ำกับตัวเองว่าอักษราภัคกลับมาแล้ว ไออุ่นจากผิวเกล็ดขาวสะอาดทำให้เขาสงบใจลงได้ ในใจได้แต่ร่ำร้องบอกว่า ‘ไม่เป็นอะไร’



    [Talk]

    เจอกันแล้วจ้า T...T

    ไม่พูดไรมากแค่น้ำตาคลอ

    ขอบคุณทุกการติดตามจ้ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×