ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : RE : บทที่ 7 เผชิญหน้า
บทที่ 7 เผชิญหน้า
หลังจากที่อักษราภัคทำให้พันตรีวุ่นวายไปพักใหญ่ เพราะตอนกลับดันต้องมาคอยตอบคำถามคนที่สอดรู้สอดเห็น บอลด้วย รายนี้ทำหน้าเหมือนเสียดาย เขาแทบไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าอีกฝ่ายคิดจะมาจีบ พอกลับมาถึงหอพัก สิ่งแรกที่อักษราภัคถามคือ
“หมูกระทะคืออะไร”ขณะที่พยายามดึงเสื้ออกจากตัวแต่ติดตรงซิป เห็นทำท่าติดๆขัดๆอยู่นานจนเด็กหนุ่มทนดูไม่ไหว เข้าไปช่วยดึงซิปรูดลงจนเปิดเสื้อได้ อักษราภัคจึงยิ้ม มองเขาด้วยสายตานุ่มนวล พันตรีไม่ได้สบตากับอักษณาภัคอีก เดี๋ยวเผลอตัว เพราะแพ้ลูกอ้อนกับความอ่อนโยนของงูตัวนี้จริงๆ
“อะ ดูภาพในนี้นะ”พันตรียื่นโทรศัพท์ให้เจ้างูดู เห็นสีหน้าที่ไม่ปรากฏอารมณ์ใด ดวงตาสีดำจ้องมองภาพในโทรศัพท์เขม็ง ทำเหมือนว่าเป็นของกินจริง ๆ
“อืม แปลกนัก เจ้าไม่ต้องการให้ข้าไปด้วยหรือ”
“ก็เปล่า...แค่กลัวว่าคุณจะไปทำเงอะงะหรืออะไรแปลกๆเข้า เดี๋ยวคนอื่นคงหัวเราะใส่คุณ”เขาบอก ไม่อยากให้อักษราภัคเป็นตัวตลกของใคร อีกอย่างมีเจ้าตัวไปด้วยก็ดี เขาจะได้มีคนคุยด้วย
“ข้าไม่สนใจ ข้าสนใจแค่เจ้า”
“พูดไปเรื่อย”เด็กหนุ่มว่า แต่ไม่อาจปกปิดรอยยิ้มได้ อักษราภัคทำหน้าจริงจังก่อนจะวางโทรศัพท์ลงแล้วก้าวมาหา เอื้อมมาจับไหล่ของเขาเอาไว้
“มองดวงตาข้าสิ เจ้าเห็นหรือไม่ว่าข้าจริงใจเพียงใด”เอ่ยด้วยรอยยิ้มโน้มหน้าลงมาหาเพื่อให้พันตรีสบตามองได้ง่ายๆ เขาขมวดคิ้ว รู้สึกชินกับการเล่นหูเล่นตาแบบนี้ของอักษราภัคไปแล้ว เงยสบตาสีดำของเจ้างู
“ทำน้ำเน่าไปได้”ได้ยิ้มไม่หุบ ปัดมืออีกฝ่ายออก แล้วเดินไปนอนเล่นที่เตียงแทน หยิบโทรศัพท์ติดมือมาด้วย เห็นว่านนท์มันส่งรูปกล่องเลี้ยงงูมาให้ กล่องใหญ่พอสำหรับงูเผือกเลย เหลือบมองอักษราภัคที่เดินมานั่งข้างๆ ยื่นหน้ามามองจอโทรศัพท์ด้วยสีหน้าสนใจ
“เจ้าอยากให้ข้าเป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าจริงหรือ”
“แค่เป็นที่นอนใหม่ไง เผื่อว่าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คุณบาดเจ็บ จะได้มีบ้านดีๆนอนหน่อยไง”เด็กหนุ่มกดรูปภาพให้ดู อักษราภัคไม่ปรากฏอารมณ์ใด สายตาจับจ้องกล่องงูเขม็ง
“หากเจ้าพอใจ ข้าก็ไม่ขัด”อีกฝ่ายหันมาพูดด้วยรอยยิ้ม เด็กหนุ่มตกลงกับนนท์ว่าจะซื้อกล่องใบนั้น พร้อมกับถ้ำขอนไม้สำหรับเอาไว้นอน นนท์ยังคงย้ำเหมือนเดิมว่าอยากเห็นงูที่เขาเลี้ยงว่าจะตัวใหญ่แค่ไหน เขาได้แต่ถอนหายใจ หากว่านนท์มันไม่เคยเห็นงู มันคงเซ้าซี้ไปเรื่อยๆแบบนี้แน่นอนพันตรี/ เป็นงูนอกน่ะ ได้มาจากญาติ เป็นสีเผือกขาวนะ สวยดีเลยเอามาเลี้ยง
นนท์/มันดุไหม มึงรู้ว่าพันธุ์อะไรรึเปล่า
พันตรี/อืม คล้ายๆงู Slaty grey แต่คงเพราะมียีนส์ด้อยล่ะมั้งเลยผ่าเหล่าออกมาสีขาว
นนท์/ เออๆ ไงก็ขอแวะไปดูบ้างนะ
พันตรี/บอกไว้ก่อนว่างูขี้อาย รักสงบมากๆ ไม่ค่อยโผล่มาจากที่ซ่อนตัวหรอก ถ้าจะมาก็บอกก่อนนะ
นนท์/ ได้ๆ แล้วพี่เผือกนี่ก็ชอบงูด้วยเหรอ
พันตรี/รักเลยแหละ
พันตรีตอบกลับไป ถือว่าเป็นการสิ้นสุดบทสนทนาระหว่างเขากับเพื่อนคนนี้ อักษราภัคค่อยๆเอนตัวมาพิงไหล่ ใบหน้าเหนื่อยล้า สองตาปรือๆจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่
“ง่วงแล้วเหรอ”
“อืม ข้าคงอยู่ในร่างมนุษย์นานเกินไป...”อักษราภัคขยับศีรษะออกจากไหล่เลื่อนขึ้นมาหอมแก้มเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็วแทน พลันเปลี่ยนเป็นงูสีเผือกดังเดิม ค่อยๆเลื้อยวนหาที่นอนข้างหมอนของเขาแล้วขดตัว พันตรีวางโทรศัพท์ยกมือแตะแก้มข้างที่โดนหอมไป ความอุ่นยังคงติดอยู่ในความรู้สึก เด็กหนุ่มขยับตัวไปหาเจ้างู เอื้อมไปลูบช่วงลำตัวของอักษราภัคอย่างแผ่วเบา ส่วนเจ้างูเองก็ไม่ได้ขยับตัวอีกเลย
เป็นอีกค่ำคืนที่พันตรีนอนหลับไปพร้อมกับงูเผือกตัวนี้ แต่ที่เปลี่ยนคงจะมีแต่หัวใจของเขา ที่มีงูเผือกเจ้ามาอยู่ในใจ
เช้าวันถัดมา เด็กหนุ่มต้องเข้าคณะเพื่อทำงานปั้นต่อให้เสร็จ แต่คราวนี้อักษราภัคไม่คิดจะตามมาด้วย ทำเอาประหลาดใจปะปนความกังวล เดินเข้าไปดูเจ้างูบนเตียง
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
งูเผือกที่ยังคงนอนนิ่งไม่ได้ชูคอขยับตัวมาคุยด้วย นอนนิ่งซะจนต้องเอื้อมไปแตะลำตัวยาวๆ ขณะนั้นงูเผือกขยับส่วนหัว
“ข้าอยากพักมากกว่า ไม่อยากไปอึดอัดในกระเป๋าของเจ้า”งูตอบ ทำเอาเขาใจแกว่ง
“ยังป่วยอยู่หรือไง”
งูเผือกส่ายหน้า “ข้าเพลียน่ะ เก็บแรงเอาไว้ใช้ตอนออกไปข้างนอกกับเจ้าจะดีกว่า”
“ตามใจ แต่ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายต้องบอกผมนะ จะได้รู้”เด็กหนุ่มบอก เป็นห่วงอักษราภัคเหมือนกัน พอฟังเขาพูดจบ เจ้างูเผือกเริ่มเลื้อยเคลื่อนตัวราบมาหาที่ปรายเตียง
“หึๆ เป็นห่วงข้าขนาดนี้เชียวหรือ”งูเผือกโหยงตัวสูงชูคอขึ้นมาทันที พันตรีเบือนหน้าหนี ได้แต่หัวเราะแห้งๆ
“กลัวคุณเป็นอะไรไปเพราะว่าผมเป็นต้นเหตุต่างหาก”เขาตอบ อย่างเช่นป่วยจากพิษนาคาตัวนั้น เพราะการมาช่วยเขา พอเห็นงูเผือกมีอาการแบบนี้ก็อดกังวลไม่ได้ เพราะอักษราภัคไม่คิดจะห่าง หรือแยกจากเขาเลยนี่นา แต่คราวนี้กลับต้องการพัก มันเลยผิดวิสัย
“ข้าทำเพื่อเจ้า”งูเผือกเอ่ยช้าๆ เด็กหนุ่มจ้องมองใบหน้าเรียวมนกับดวงตาสีดำที่เหมือนเมล็ดนุ่น
“...ผมรู้”ได้แต่พึมพำ มองเจ้างูที่ชูคออยู่ตรงหน้า
“ปากไม่ตรงกับใจ ถือเป็นนิสัยของเจ้าในชาตินี้”คำพูดของอักษราภัคทำให้เด็กหนุ่มเงียบ งูเผือกถอยตัวกลับไปนอนราบกับเตียงตามเดิม
“ถ้าอย่างนั้น เจอกันตอนเย็นนะ อย่าลืมว่ามีนัดกัน”เขาย้ำเตือน งูเผือกนอนขดตัวเป็นขด ส่งเสียงพึมพำตอบกลับมา
“อืม อย่าเถลไถลที่ไหนล่ะ ข้าหวง”อีกฝ่ายทิ้งท้ายไว้
พันตรีเข้าคณะไปทำงานก็เจอกับกลุ่มเพื่อนหน้าเดิมๆ พวกนนท์ประจำอยู่ที่ฐานปั้นของตัวเอง เขาแค่ส่งยิ้มให้พวกเขาก่อนจะเริ่มจัดการงานของตัวเองต่อ งานวันนี้คือการปั้นใบหน้าคนเหมือนนูนสูง เป็นงานต่อจากการขึ้นดินเตรียมพื้น ระหว่างนั้นจ่อยก็คอยชวนคุยสำเพเหระไปเรื่อยตามประสาคนที่อัธยาศัยดี เขาแค่อือออไปด้วยกับเจ้าตัวด้วย
“ว่าแต่พี่เผือกนี่เขาเรียนอยู่ปีไหนวะ”อยู่ๆจ่อยก็ชวนคุยเรื่องนี้ พันตรีมองหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆ
“ปีสามน่ะ จริงๆกว่าจะได้เรียนที่นี่ ก็ซิ่วมาหลายที่นะ”
“โห แบบนี้ก็เป็นพี่เราหลายปีเลยสิ”อีกฝ่ายเหลียวมองมาทางเขา หยิบผ้าเช็ดมือมาเช็ดแรงๆ เขานิ่งคิดคำตอบ ใช้เวลาไม่นานนัก
“อือ จริงๆก็อายุ 23นั่นแหละ”เหมือนว่าพวกนี้จะสนใจเรื่องของพี่เผือกเป็นพิเศษ รูปลักษณ์ภายนอกของอักษราภัคก็ไม่ได้ดูเฟรชชี่เท่าไหร่
“แสดงว่ามึงก็รู้จักพี่เขานานแล้วอะดิ”อีกฝ่ายตั้งคำถาม พันตรีชะงักขณะกำดินเหนียว แล้วเริ่มเพิ่มดินไปตามขึ้นรูปที่กำหนดขอบเขตเขตไว้
“ใช่ ก็หลายปีแล้ว...รู้จักมาตั้งแต่เด็กๆ”ในหัวย้อนไปถึงเรื่องในอดีตด้วย จึงเผลอยิ้มออกมา
“น่าอิจฉาจริ๊ง”อีกฝ่ายหัวเราะ ก่อนจะหันไปทำงานต่อ พันตรีส่ายหน้า แล้วหันมาสนใจที่กระดานปั้นต่อ ระหว่างที่กำลังจดจ่อกับการขูดดินปรับระนาบตามสัดส่วนของโครงสร้างใบหน้า เสียงขู่ดังฟ่อเบาๆ แต่มันทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้ง หันไปมองยังทิศทางของเสียง บริเวณสวนหญ้ามีเพียงเครื่องมืออุปกรณ์ที่ชำรุดกับ โต๊ะหินอ่อนเท่านั้น กวาดสายตามองหาที่มาของเสียงอยู่นานก็ไม่เจอ
เขาเหลียวไปมองรอบตัว คนอื่นๆไม่ได้ทำอะไรนอกจากยืนอยู่หน้ากระดานปั้น สะบัดศีรษะไล่ความฟุ้งซ่านออกไป ก่อนจะลงมือทำงานต่อ
ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง งานปั้นของผมก็ผ่านไป 70% แล้วเหลือแค่เก็บรายละเอียดตำแหน่งบนใบหน้าให้ชัดมากกขึ้น เขาบิดขี้เกียจไล่ความขบเมื่อย ก่อนจะหิ้วถังน้ำไปเปลี่ยนทิ้งที่ห้องน้ำ หมุนก๊อกล้างมือจังหวะที่เงยหน้าขึ้นมองกระจก เขาตัวแข็งทื่อ
ภาพสะท้อนในกระจกปรากฏเป็นผู้ชายรูปร่างสูง ผิวขาวลักษณะคล้ายกับอักษราภัค พันตรีรีบหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้าทันที แต่ทว่าต้องผงะ เมื่อมีคนเดินเข้ามาในห้องน้ำพอดี และเงาร่างนั้นก็หายไปแล้ว
“เฮ้ย นนท์”เขาร้องตกใจ เหลียวมองไปรอบห้องน้ำ เดินไปดูที่ห้องน้ำด้านในที่เรียงรายกันอยู่ แต่ไม่พบใคร
“มองหาอะไรวะ”นนท์ทำหน้างง พันตรีตั้งสติ แล้วหันมองเพื่อน ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่มีอะไรหรอก”เขาเดินไปเปิดน้ำใส่ถังต่อ
นั่นคืออักครางั้นเหรอ... ต้องใช่อยู่แล้วเพราะใบหน้าคล้ายกันมาก ยกเว้นเส้นผมที่สั้นประบ่า อีกฝ่ายตามเขามา เพราะมณีงั้นเหรอ?
“มึงดูเหม่อๆนะ เป็นอะไรหรือเปล่า”นนท์ถามอย่างเป็นห่วง ยืนสังเกตเขาอยู่นาน พันตรีไหวไหล่ เลิกคิดเรื่องอักคราอะไรนั่นไป
“คิดอะไรเพลินๆน่ะ”เขายกถังน้ำแล้วเดินออกจากห้องน้ำไป
“มึงไม่ได้ทะเลาะกับพี่เผือกใช่ไหม”นนท์ถามเบาๆ
“ฮ่ะๆ ไม่ใช่ กูก็ชอบเหม่ออยู่ตลอดไม่ใช่เหรอ”เขาบอก รีบเดินหนีนนท์เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเคลือบแคลงใจอะไรมาก จะว่าไปนนท์ก็เป็นเพื่อนที่ดี ...นึกถึงคำพูดของอักษราภัคขึ้นมา ที่บอกว่านนท์ดูสนใจเขาแล้วต้องหลุดขำออกมาเบาๆ
เฮ้อ คนอะไรจะหวงไปซะทุกอย่าง เด็กหนุ่มเดินกลับไปที่กระดานปั้นของตัวเอง และทุ่มสมาธิให้กับงาน แต่ในหัวก็วกกลับไปเรื่องอักคราทุกทีไป จนต้องวางไม้ปั้นลงกับโต๊ะ เพราะห่วงเรื่องศัตรู และเป็นห่วงอักษราภัคด้วย
ช่วงก่อนห้าโมงเย็น อาจารย์มาตรวจงานของพวกเขาทีละคน ทำให้ต้องใช้เวลาในการตรวจพอสมควร พันตรีอยู่ลำดับท้ายๆ พวกนนท์ รวมถึงบอล มานั่งสุ่มหัวนั่งคุยกันที่โต๊ะหินอ่อนข้างตึกแทน ส่วนพันตรีหยิบโทรศัพท์มากดเล่นฆ่าเวลาอย่างไม่มีอะไรทำ ทั้งที่ใจจริงอยากกลับไปหอพักจะแย่ เพราะกังวลเรื่องอักครา
“เออ นนท์กล่องที่กูสั่งไปน่ะ เดี๋ยวเข้าไปรับนะ”หันไปบอกนนท์ เพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ อีกฝ่ายพยักหน้า มองเขาอย่างสังเกต เขาไม่หลบสายตานั้นของอีกฝ่าย สายตาเหมือนจับผิด หรือบางทีเขาอาจคิดมากไปเองก็ได้
“เอ้า นึกว่าลืมไปแล้ว ไปเอาที่ร้านตอนกลับจากหมูกระทะก็ได้”มันยิ้ม พันตรีพยักหน้า เหลียวมองไปรอบๆตึกอย่างสังเกตสังกา เพราะรู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองอยู่ตลอด บางทีอาจจะมีงูสักตัวที่คอยมองเขาผ่านต้นหญ้าหรือตามกิ่งก้านต้นไม้ก็ได้
ลางสังหรณ์ของพันตรีมันบอกว่าอักครากำลังจะมาวุ่นวายกับอักษราภัคในเร็วๆนี้
กว่าที่เด็กหนุ่มจะกลับมาถึงหอพัก เวลาก็ล่วงมาถึงหกโมงครึ่ง เขาเข้าห้องมาเจออักษราภัคกำลังเปิดตู้เสื้อผ้าออกกว้าง กำลังคุดคู้อยู่หน้าราวผ้าและกองผ้าที่ไม่ได้พับไว้ในลิ้นชักที่ถูกดึงออกมา ร่างสูงในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยเช่นเคย แต่ไม่ได้สวมเครื่องประดับอะไร เรือนผมสีดำแผ่กระจายเต็มกลางหลัง เขาชะงักทันที
“ทำอะไรน่ะ”เขาวางกระเป๋า ก่อนจะตรงหรี่ไปหาอักษราภัคทันที คนที่นั่งอยู่หันหน้ามามองก่อนจะส่งยิ้มให้ มือข้างถนัดดันลิ้นชักอันบนสุดกลับเข้าที่ มีเสียงดังกริ๊กพร้อมกับเสียงซ่าสั้น ๆ เขาขมวดคิ้วสงสัย ท่าทางของอักษราภัคดูแปลกๆ
“ข้าแค่เห็นว่าเสื้อผ้าของเจ้าดูแปลกตานัก”พอได้ฟังคำตอบแล้วต้องเลิกคิ้วสูง อีกฝ่ายยืนขึ้นจนเต็มความสูงยกแขนขึ้นกอดอก เหมือนเป็นท่าประจำไปแล้ว พันตรีเลื่อนสายตาไปมองลิ้นชัก
“คุณใช้อาคมไม่ใช่เหรอ?”
“อา...ก็แค่ช่วยเจ้าเก็บของนิดหน่อย อย่าไปใส่ใจเลย”
“ผมเห็นอักครา”พันตรีรีบบอกเพราะร้อนใจ นาทีนั้นอักษราภัคมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา พร้อมกับถอนหายใจยาว
“แสดงว่าเขาคงเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว คงมาดูเจ้า”
“เพื่อเอามณีคืนใช่ไหม”เขาพูด มองไปรอบห้องอย่างหวาดระแวง อักษราภัคขมวดคิ้ว เดินเข้ามาหา ก่อนจะจับไหล่ไว้ น้ำหนักมืออุ่นกระทบร่าง
“ไม่ต้องกังวล ข้าปกป้องเจ้าได้ อักคราแค่คนโง่งม ไม่กล้าเข้ามาทำร้ายข้าหรือเจ้าแน่ๆ คราก่อนข้าเล่นงานสมุนของเขา อักคราก็น่าจะรู้ว่าไม่ควรเข้ามาวุ่นวาย”
“ตกลงเรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่ มณีอะไรนั่นมันสำคัญมากหรือไง ทำไมคุณถึงต้องไปแย่งมันมา จนทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายแบบนี้ ผมไม่ชอบใจนักหรอกที่เจอเรื่องประหลาด”เด็กหนุ่มเอ่ยไม่สบอารมณ์นัก ทำเอาคนตรงหน้าชะงักไปก่อนจะมีสีหน้าเจื่อนลง
“ข้าขอโทษ หากทำให้เจ้าวุ่นวายใจ เรื่องมณี มันไม่ใช่เหตุที่ข้าถูกเนรเทศมา เพียงแต่มันเป็นเรื่องของบ้านเมืองของข้า เจ้าเข้าใจหรือไม่ ความเป็นไปในเมืองนาคาได้ผันผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว การที่อักคราต้องการชิงมณีเม็ดนี้จากข้าก็เพื่อพลังอำนาจ...”
เขามองลึกไปในดวงตาของคนตรงหน้า ที่ดูเคร่งขรึมต่างจากเวลาปกติ เขาสงบลง รู้สึกว่าเรื่องของอักษราภัคคงมีอีกมากที่เขาไม่รู้ ก่อนหน้านั้นตัวเขาไม่คิดถาม อันที่จริงพันตรีแค่รอเวลาให้อีกฝ่ายบอกกันบ้าง
“ผมไม่รู้ด้วยหรอก แต่ถ้าหากอักคราเข้ามาทำร้ายผม ทำร้ายคุณ หรือใครก็ตาม...ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นหรอกนะ”พันตรีบอก ขณะนั้นดวงตาสีดำของอีกฝ่ายสั่นไหว พยายามจะยิ้มออกมา มือของอักษราภัคเข้ามาจับกุมมือของเขาไว้ทั้งสองข้าง
“เชื่อใจข้าได้หรือไม่พันตรี”อีกฝ่ายพูดด้วยความเว้าวอน
เด็กหนุ่มไม่มีคำตอบให้
“ข้าเคยให้สัญญาไว้กับเจ้าว่าจะทวงคืนชีวิตให้แก่เจ้า...เพราะฉะนั้น ข้าไม่มีวันให้เจ้าโดนทำร้ายเด็ดขาด”อักษราภัคเอ่ยเสียงหนักแน่น พันตรียังคงเงียบ รับรู้อยู่ในใจว่าคนตรงหน้าพูดจริง พออีกฝ่ายเอ่ยถึงเรื่องในอดีตมันทำให้เขาสั่นไหว เหมือนว่าความรู้สึกเหล่านั้นมันเปราะบาง ได้แต่พยักหน้าเงียบ ๆ สายตาหลุบต่ำ เขาเองก็อยากจะเชื่อใจอักษราภัคเหมือนกัน
“ถ้าเช่นนั้น มองข้าสิ”เสียงทุ้มของอักษราภัคดังอยู่ใกล้ๆ เด็กหนุ่มเงยมอง รู้สึกว่าหายใจได้ยากขึ้น เมื่ออีกฝ่ายกำลังจดจ้อง และโน้มหน้าลงมาหา
“ข้ารักเจ้า”
ราวกับเวลาได้หยุดนิ่ง คำบอกรักนี้แม้เอ่ยถึงอภันตีในอดีตก็ตาม...แต่มันยังส่งมาถึงเขาได้เช่นกัน เพราะพันตรีคนนี้มีอักษราภัคอยู่ในหัวใจแล้ว ต่างจากครั้งก่อนสิ้นเชิง
“อักคราเคยปกครองอัตรคุปต์แทนเสด็จพ่อข้า...แต่เขาไม่ใช่นักปกครองที่ดีนัก...ดังนั้นเขาไม่ใช่คนฉลาด”อักษราภัคยังคงไม่ปล่อยมือเด็กหนุ่มไปไหน อีกฝ่ายลูบคลำไปทั่วฝ่ามือ ใช้ความอ่อนโยนเข้าประโลม พันตรีเลียริมฝีปากตัดสินใจสบตาคนตรงหน้าอีกครั้ง
เขาแทบไม่กล้าหายใจแรงเลยด้วยซ้ำ อักษราภัคยิ้ม ดึงเขาเข้ามากอดไว้ สองแขนโอบล้อมลำตัวไว้ กอดปลอบให้วางใจ
“อย่าสงสัยในตัวข้าอีกเลยพันตรี”น้ำเสียงที่แฝงความอ้อนวอนทำให้เขาใจสั่นคลอน
พันตรีคงไปไหนไม่รอดจริง ๆ ไม่ว่าจะอดีต หรือภพปัจจุบัน
“อือ รู้แล้ว...”เขาตอบ เหมือนว่าลำคอตีบตันไปหมด เขากลืนน้ำลายลงคอ อักษราภัคผละออกมามอง จากนั้นก็ยิ้มออกมา
“...เลิกพูดเรื่องเครียด ๆ เถอะ นี่ก็ได้เวลาแล้ว รีบแต่งตัวดีกว่า”เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะรู้สึกว่าไม่อาจมองหน้าอักษราภัคได้นานไปมากกว่านี้แล้ว คำบอกรักทำให้เขาหวั่นไหวจริง และครั้งนี้มันรู้สึกได้ชัดเจนจริง ๆ
เด็กหนุ่มขยับตัวหนีจากอีกฝ่าย เดินนำไปที่ตู้เสื้อผ้า แล้วกวาดตามองว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมบ้างหรือเปล่า
หลังจากที่พันตรีจับอักษราภัคอาบน้ำได้สำเร็จ แน่นอนว่าไม่ได้โป๊เปลือยล่อนจ้อน ยังดีที่เจ้าตัวไม่คิดพิเรนทร์อะไรขึ้นมา เขาให้เจ้างูสวมเสื้อผ้าธรรมดา ๆ อันที่จริง เขาไม่มีอารมณ์ไปกินหมูกระทะเท่าไหร่นัก ไม่อยากพูดเรื่องอักษราภัคบ่อย ๆ แต่คนพวกนั้นชอบวกมาคุยเรื่องของ‘พี่เผือก’อยู่เรื่อย ไม่เข้าใจว่าจะมาสนใจอะไรมากมาย
“ข้าดูเป็นเช่นไรบ้าง”เมื่ออักษราภัคแต่งตัวเสร็จ หันหน้ามาหาพันตรี ยืนนิ่งงันเหมือนรูปปั้น เจ้าตัวอยู่ในเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นสีครีมเสมอเข่า ดูเรียบง่าย
“ดูหล่อแบบเมืองมนุษย์”
อันที่จริงเขาอยากตอบว่าอักษราภัคออกจะสวยมากกว่าหล่อเข้ม ได้แต่เก็บไว้ในใจ เพราะเจ้าตัวดูจะพอใจกับคำเยินยอนี้ เห็นยิ้มกว้างจนเห็นฟัน
“เปียผมให้ข้าหน่อยสิพันตรี”อักษราภัคเรียก นั่งเก้าอี้ที่หน้าโต๊ะที่มีกระจกบานใหญ่ ยกมือสางผมที่พันกันมากขึ้น
“ผมทำไม่เป็นหรอก”เขาบอกอีกครั้ง จำได้ว่าบอกไปก่อนหน้านั้นแล้ว แต่อักษราภัคหันหน้ามอง คิ้วขมวดแน่น
“แค่ถักเปียธรรมดาเท่านั้น”อีกฝ่ายหยิบกระจกบานเล็กมาส่องดูความงามของตัวเอง เขาถอนหายใจ เดินเข้าไปหา หยิบหวีมาสางผมให้อย่างเบามือ เส้นผมของอักษราภัคไม่ได้พันกันจนรุงรัง เพราะไม่ได้มีผมหยิกขนาดนั้น เพียงแค่เป็นลอนคลื่น จึงหวีได้ง่าย เด็กหนุ่มแยกเส้นผมออกเป็นสามส่วนเพื่อถักเปียธรรมดา ก็พอเข้าใจอยู่บ้าง ใจจริงไม่อยากให้งูเผือกปล่อยผมไปแบบนั้นด้วยนั่นแหละ เลยอยากถักเปียให้ เพื่อเก็บผมให้เป็นระเบียบ พันตรีถักเปียอยู่หลายนาที จนกระทั่งไล่มาจนถึงปรายผมเล็กๆเหมือนหางม้า
อักษราภัคถือกระจกในมือส่องกระจกเงามาทางเขา สังเกตว่าเจ้าตัวกำลังยิ้มอยู่ พันตรีจ้องกลับไปที่กระจก
“ขอบคุณนะ”อีกฝ่ายเหลียวมอง ใบหน้ามีรอยยิ้มจนน่าหมั่นไส้ เด็กหนุ่มตบไหล่เขาเบาๆ
“เอาล่ะ คุณจำที่ผมบอกได้ไหมว่าเวลากินต้องใช้ตะเกียบ ปิ้งย่างหมูไก่ให้สุกก่อนจะเอาเข้าปากนะ”เขาย้ำเตือน เจ้าตัวย่นคิ้ว ส่งเสียงอยู่ในลำคอ
“อืม”
“ห้ามเอาของดิบเข้าปากเด็ดขาด”
“อืม ข้าไม่ใช่คนไม่รู้ความน่า”อักษราภัคเดินมาหาตรงหน้า เขาหัวเราะ
“ที่สำคัญ คุณพูดจาปกติกับผมได้ไหม คนที่นี่เขาไม่ชินกับการพูดจาโบราณๆ”ข้อนี้สำคัญมาก มันคงแปลกถ้าอักษราภัคพูดจาภาษาเก่าโบราณกับคนอื่น ๆ เขาไม่อยากให้เพื่อนๆมีข้องสงสัยในตัวของอักษราภัค
“ยากไป”อักษราภัครีบตอบในทันที มีสีหน้าเรียบเฉยขึ้นมาทันที
“ผมรู้ว่าคุณทำได้ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องพูดอะไรหรอก พวกนั้นแค่หาเรื่องคุยกับผมมากกว่า”บางครั้งอักษราภัคก็ดื้อดัง
“ทำไมล่ะ เขาสนใจมากหรือ”เจ้าตัวขมวดคิ้ว
“ก็...เขาเป็นเพื่อน เหมือนไวทินกับอภันตีไง”พันตรียกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายขึ้น เจ้าตัวนิ่งไป เหมือนคิดอะไรได้ก่อนจะพยักหน้าตาม
“เจ้าบอกเช่นนี้ ข้าก็พยายามเข้าใจ”
หลังจากที่นัดเวลากับพวกนนท์ไว้แล้ว เมื่อพันตรีพาอักษราภัคไปด้วย ในเวลานี้เจ้าตัวจึงมีชื่อว่า ‘พี่เผือก’ไปโดยปริยาย อักษราภัคก็ชื่นชอบชื่อนี้อยู่เหมือนกัน เขากับพี่เผือกเดินเข้าไปในร้าน กวาดสายตามองหาโต๊ะของเพื่อน จนเจอนนท์ที่โบกมือมาจากทางโต๊ะที่อยู่ด้านนอกชาน ติดกับริมสระน้ำใหญ่ บรรยากาศยามเย็นไม่ร้อนเหมาะแก่การนั่งชิลๆปิ้งย่างเข้าปากไปด้วย เสียงดนตรีสดกำลังเล่นเบาๆคลอกับบรรยากาศยามเย็นได้เป็นอย่างดี
พวกเขาเดินเข้าไปทักทายทุกคน หนึ่งในนั้นมีบอลรวมอยู่ด้วย รวมกันทั้งหมด 4 คน มี นนท์ จ่อย บอล ตั๊ก บนโต๊ะมีผักกับน้ำจิ้มวางไว้ครบเหลือแต่ของสดบางอย่างที่ยังไม่ได้ไปตัก
“นี่พี่เผือก พวกมึงน่าจะรู้จักกันบ้างแล้วนะ”เขาบอกพวกนั้น หันมองอักษราภัคที่ทำแค่พยักหน้าหงึกๆ
พวกเพื่อนๆเอ่ยทักทายอักษราภัคด้วยความยิ้มแย้ม บ้างก็ยกมือไหว้ตามปกติ ทว่าพี่เผือกไม่ตอบ เขาดึงเจ้าตัวมานั่งข้าง ๆ อักษราภัคมีสีหน้าเรียบเฉย แต่เขาคิดว่างูเผือกคงงงมากกว่า
“งั้นรออยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวผมไปเอาน้ำให้ ห้ามทำอะไรแปลกๆล่ะ”เด็กหนุ่มยื่นหน้าไปกระซิบ เจ้าตัวแค่ย่นคิ้ว แต่ก็ยอมพยักหน้าอย่างว่าง่าย เขาลุกไปตักน้ำแข็ง หยิบน้ำเปล่ามาหนึ่งขวด ก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะ เห็นว่าอักษราภัคนั่งนิ่ง มีนนท์นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพอดี กระทะกำลังร้อนได้ที่ พวกนั้นเอาหมูไปวางบนเตากันบ้างแล้ว เขาวางแก้วกับน้ำลงที่โต๊ะ
“หิว”พอพันตรีนั่งลงปุ๊บ อักษราภัคเอนมากระซิบ เหลือบมองเตาตรงหน้า เห็นว่ามีเนื้อที่สุกๆดิบๆย่างทิ้งไว้ กวาดตามองไปทั่วโต๊ะก็เห็นว่ามีของมาวางเกือบเต็มโต๊ะแล้ว เขาจึงไม่ได้ลุกไปหยิบของมาเพิ่ม พวกนั้นมานั่งจนครบ เริ่มพูดคุยตามปกติ เด็กหนุ่มยื่นช้อนไปให้อักษราภัคแทน คอยทำหน้าที่ย่างหมูย่างเนื้อไปโดยปริยาย คีบไก่ที่สุกแล้วให้อักษราภัคกิน
“เออ กล่องงูของมึงอยู่ที่รถกู อย่าลืมมาเอาก่อนกลับล่ะ”นนท์พูดเตือน เขาพยักหน้า คนข้างกายหันมองจนรู้สึกได้
“มึงเลี้ยงงูเหรอวะ”บอลถามทันที
“อือ เห็นว่ามันเชื่องดี”เขายิ้ม อักษราภัคขยับตัวยุกยิก พวกนั้นทำหน้าแปลกใจ
“งูจากร้านไอ้นนท์เหรอ”ตั๊กเพื่อนในกลุ่มเอ่ยถามบ้าง เขารีบส่ายหน้า
“เปล่า ได้มากจากคนรู้จักน่ะ ไม่เหมือนของนนท์หรอก”
อักษราภัคนั่งจ้องเตาหมูกระทะตาไม่กระพริบ “...ได้มาจากเราเอง”เจ้าตัวพูดแทรกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เขาหันมองหน้าพี่เผือกบ้าง ขยับไปกุมมืออีกฝ่ายไว้ใต้โต๊ะ เพื่อเอาไว้เรียกสติ ชักจะพูดมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วสิ นนท์ทำหน้าประหลาดใจ
“พูดแบบนี้ก็ชักอยากเห็นแล้วสิ พาไปดูบ้างไม่ก็ถ่ายรูปมาให้ดูบ้างสิ”นนท์พูด เขาย่นคิ้ว คันปากยิบอยากจะบอกออกไปว่า งูก็นั่งตัวเป็นๆอยู่ตรงหน้านี่ไง อักษราภัคยิ้มกริ่มกับตัวเอง คิดว่าอีกฝ่ายคงภูมิใจน่าดูที่มีคนสนใจงูต่อหน้าต่อตา
“อือ ไว้จะเอาให้ดู”เขาตอบไปแบบนั้นเพื่อจบเรื่องนี้
“แล้วพี่เผือกก็ชอบงูเหมือนกันเหรอครับ”ไอ้จ่อยหันมาคุยกับพี่เผือกบ้าง เจ้าตัวมีสีหน้าเหมือนลังเลว่าจะเปิดปากพูดด้วยหรือเปล่า เขาแตะมืออักษราภัคใต้โต๊ะ
“ชอบมาก เหมือนพันตรีนั่นแหละ”อักษราภัคตอบนิ่งๆ ก่อนจะหันมาสนใจชิ้นไก่ในจานต่อ
“แสดงว่างูของไอ้นนท์ไม่น่าสนใจเท่างูของพี่เผือกแน่ๆเลย คงสวยกว่าใช่ไหมวะ”บอลพูดติดตลก แต่เด็กหนุ่มไม่ขำ ได้แต่มองหน้านนท์ สงสัยว่ามันคิดอะไรอยู่ อักษราภัคขมวดคิ้วพ่นลมหายใจแรงๆ
“ไม่ต้องเทียบหรอก งูเลี้ยงพวกนั้นไม่สู้งูในน้ำหรอก”อักษราภัคเอ่ยอย่างหงุดหงิดขึ้นมา ดวงตาดำขวับตวัดมองไปที่บอล เลื่อนสายตาไปที่นนท์บ้างอย่างสังเกต ท่วงทีเหมือนงูที่มองเหยื่อ ฉับพลันบนโต๊ะเงียบไปครู่หนึ่ง
“งูน้ำนี่หายากเลยนะพี่ ปกติคนเลี้ยงแต่งูบนบกจริงๆนะ แสดงว่าเป็นงูดีหายากแหง”จ่อยว่า
“นั่นแหละ”เขาบอก หันมองอักษราภัคอีกครั้ง เจ้าตัวแค่ส่งสายตานิ่งเฉยมาให้
“เป็นคู่ที่แปลกกันดีเนอะ คบกันนานหรือยังครับ”ตั๊กถามบ้าง พันตรีลอบถอนหายใจโดยไม่ให้ใครรู้
“นานแล้ว ..รู้จักกับพันตรีมาตั้งนาน... ใช่ไหม”อักษราภัคหันหน้ามาคุย ซึ่งก็เป็นไปตามคาด พันตรีจะทำอะไรได้นอกจากเออออไปด้วย
“อืม นั่นแหละ”
“พี่เผือกออกจะน่ารัก ทำไมไม่พามาแนะนำตั้งแรกนะตรี”ตั๊กหันมาคุยกับเขา ก่อนจะหยิบผักใส่ลงไปในหม้อสุกี้ไปด้วย
“มาขั้นนี้แล้วก็ไม่ต้องเขินหรอก เป็นแฟนกันก็บอกมาเถอะ”นนท์เอ่ยขึ้นมา
“ไม่ใช่แบบนั้น”เขารีบพูด เมื่อทุกคนเหมือนยังคงสนใจเรื่องของเขามากขึ้น พวกนั้นมองพี่เผือกกันตาแทบหลุด อักษราภัคมีกลิ่นอายที่ไม่เหมือนคนปกติ หน้าตาสวย ผิวพรรณดี ท่าทางหยิ่งทะนง
“เป็นแฟนกัน?”อักษราภัคเอ่ยบ้าง น้ำเสียงดูไม่เข้าใจในประโยคเหล่านี้ ทว่าดวงตาวาววับ
“อะไร”เขาเสียงอ่อย
“เป็นแฟนกัน”อักษราภัคย้ำด้วยน้ำเสียงที่นุ่มขึ้น เขามองหน้าอีกฝ่ายอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจพยักหน้าแทนคำตอบ
“งั้นเราเป็นแฟนกันนั่นแหละ”พันตรีตอบ อย่างน้อยก็ไม่มีอะไรน่าเสียหาย ข้อดีคือจะได้สยบพวกปากมากอย่างบอลด้วย ส่วนนนท์มันแค่มองอยู่เงียบ ๆ ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ แต่คำพูดของอักษราภัคทำให้เขาคิดมากอีกแล้ว
ควันจากเตาหมูกระทะลอยอยู่เหนือโต๊ะ กลิ่นหอมของกุ้งที่เริ่มสุก เนื้อและหมูตีกันให้วุ่น อักษราภัคยื่นช้อนไปตักชิ้นไก่ดิบขึ้นมา คนบนโต๊ะส่วยใหญ่จะสนใจแต่คู่สนทนาไม่ก็เตาปิ้งย่าง
“บอกว่าไง”เขากระซิบเตือน
“มันแห้งไป ต้องการความชุ่มฉ่ำ”อีกฝ่ายเอนมากระซิบ แววตาเหมือนนึกสนุก พันตรีคิดว่าเขาแกล้งหาเรื่องให้มากกว่า
“กินดีๆน่า”เขาบอก แล้วคีบหมูบนเตามาให้อักษราภัค ท่ามกลางสายตาของเพื่อน ทำเหมือนเขาเป็นแฟนที่ดีคอยเอาใจพี่เผือกอยู่ตลอด แต่เขาไม่สนใจเท่าไร คอยคีบเนื้อให้เขาไปเรื่อย ๆ หันไปตอบคำถามเพื่อนในโต๊ะบ้าง
ระหว่างนั้น พันตรีลุกไปเข้าห้องน้ำ ยังมีอักษราภัคติดตามมาด้วย
“ข้ารู้สึกแน่นท้องไปหมด”เจ้าตัวลูบหน้าท้องไปมา คิ้วขมวดแน่น
“อิ่มแล้วเหรอ”เขาถาม เพราะอีกฝ่ายก็ไม่ได้ทานเยอะมากไปกว่ากันเท่าไร
“เปล่า อาหารมนุษย์ทำให้ข้าหนักท้องมากกว่า ข้าแค่ไม่ชิน”คำพูดของอักษราภัคทำให้เขาเงียบไป รู้สึกเห็นใจอยู่เหมือนกัน คอยตามติดเขา ก็เพื่ออยากอยู่ใกล้ชิด
ขณะที่พวกเขากำลังล้างมืออยู่ที่อ่างล้างหน้า ทันใดนั้นมีเสียงดังปัง พร้อมกับประตูห้องน้ำทางด้านหลังเปิดผางทั้งหมด ส่วนประตูห้องน้ำใหญ่ก็ปิดโดยอัตโนมัติ
พันตรีกับอักษราภัคสะดุ้งโหยง หมุนตัวไปเผชิญหน้ากับความเคลื่อนไหวทางด้านหลัง อักษราภัคเข้ามาบังเด็กหนุ่มไว้ทันทีเหมือนว่าเป็นสิ่งแรกที่เจ้าตัวคิดได้
บริเวณห้องน้ำตรงหน้าปรากฏชายร่างกำยำแต่งตัวคล้ายอักษราภัค รัดเกล้าสีทองมีมณีสีเขียวปรากฏอยู่ สังวาลสองเส้นใหญ่มีลวดลายของนาคา รวมไปถึงผ้านุ่งสีมรกตเข้มเหนือเข่า จีบพับเป็นระบายห้อยอยู่ตรงกลางเหมือนที่เคยเห็นอักษราภัคแต่ง มองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าคนๆนี้คืออักครา พี่ชายของอักษราภัค
“ข้าจะไม่เอ่ยมากความ คืนของเสด็จพ่อมาให้ข้า”ฝ่ายนั้นใช้น้ำเสียงแข็งกร้าว แววตาดุร้าย เขามองไปทั่วห้องน้ำกว้างไร้วี่แววของงูตัวอื่น ๆ จำได้ว่าผู้ติดตามของอักคราเองก็มีฤทธิ์เดชไม่น้อยทีเดียว หากโจมตีมาพร้อมๆกันคงไม่ง่ายที่จะป้องกัน
“รู้อยู่แก่ใจว่ามณีไม่ใช่ของเสด็จพ่อ...”อักษราภัคเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเฉยชา พันตรีขยับตัวเพื่อไปมองอักคราอีกครั้ง อักคราตัวเดินออกมาด้านนอกเผชิญหน้ากับน้องชาย ในมือปรากฏอาวุธประจำกายคือฉมวกอันใหญ่ ลวดลายนาคาสองตัวเลื้อยพันที่ด้ามฉมวกเหล็ก
“เจ้าช่างทรพีต่อแผ่นดินและบิดายิ่งนัก เสียแรงที่ข้านึกเอ็นดูเจ้าในฐานะน้องชายมาโดยตลอด ท่านแม่เตือนว่าเจ้านั้นร้ายไม่ต่างจากนาคาบนบกตัวนั้น”
“อย่ามาพูดให้ขำ เรื่องอัตรคุปต์ผันผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องเจ็บแค้น ทวงคืนให้เสด็จพ่อหรอก”อักษราภัคเอ่ยอย่างโกรธเคืองก่อนจะขยับตัวอย่างระมัดระวัง
“คืนมณีมาให้ข้า”อักคราเค้นเสียง เสือกปรายฉมวกสามง่ามเข้ามาหา
“เจ้าจะทำอะไรข้าได้ ส่งพวกลิ่วล้อมาก็ไม่ช่วยการใด เจ้าย่อมรู้ดี หากองค์อินทร์และนาคาทั้งสี่ทิศมีอิทธิฤทธิ์เพียงใด”ผู้เป็นน้องชายเพียงแค่เอ่ยไปเรื่อยๆไม่กริ่งเกรงต่อท่าทีคุกคามของพี่ชายนัก
“คิดว่าข้าสนด้วยหรือ....”ฉับพลันอักคราก็ตวัดฉมวกเหล็กเสือกมาทางด้านหน้าเตรียมการต่อสู้
“ถ้าเจ้าอยากต่อสู้ ข้ามิขัดหรอก...”อักษราภัคเอ่ยเย็นชา ก่อนจะหันมาหาเขาพร้อมพูดเบาๆ “เจ้าอยู่ใกล้ข้า ห้ามออกห่างข้าเด็ดขาด”
“อือ”เด็กหนุ่มพยักหน้า คอยอยู่ด้านหลังไม่ออกห่างจากอักษราภัค
“เหตุใดเจ้าถึงมีอาวุธเช่นนี้”อักคราขมวดคิ้วชะงักการจู่โจมทันที
“คำตอบก็ปรากฏอยู่ที่ตรีศูลเล่มนี้ไม่ใช่หรือ เจ้าคิดว่าข้ามาเดินเล่นที่เมืองมนุษย์หรือไร”ถ้อยคำของอักษราภัคชวนให้ขบคิด เด็กหนุ่มจ้องไปที่ผู้เป็นพี่ชายของอักษราภัคอีกครั้ง นึกถึงคำพูดของคนที่กำลังปกป้องเขาอยู่ อักคราไม่ใช่คนฉลาดนั้นดูจะเป็นดังว่า เพราะใบหน้าของอักครามึนงงท่าทางไม่กระฉับกระเฉงแน่วแน่เท่าไหร่นัก
“เป็นเพราะเจ้าไม่ใช่รึ ที่เสด็จพ่อรวมทั้งข้า ต้องมาเผชิญชะตากรรมเช่นนี้”อักคราเอ่ยอย่างเครียดแค้น แต่ไม่ได้ย่างกายเข้าหา
“ไปให้พ้นจากข้าเถิด ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า”
“หึ สายไปแล้ว ข้าต้องการมณีเท่านั้น!”อักคราประกาศกร้าว แววตาดุร้ายหมายเอาชีวิต เขาทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนนิ่งงัน อักษราภัคผลักเขาไปทางด้านหลังให้ห่างจากการโจมตีของคู่ต่อสู้ ในมือถือตรีศูลที่ในตอนแรกเป็นด้ามสั้น พลันเปลี่ยนเป็นด้ามยาว สองมือจับมั่น ลายนาคาสีทองเลื้อยเป็นระลอกไปตามความยามของด้ามจับราวกับมีชีวิตล้วนมาจากอาคมของอักษราภัค
ส่วนอักครามีฉมวกรูปร่างแปลกที่ไม่พบเห็นในเมืองมนุษย์ คนทั้งคู่ใช้อาวุธห้ำหั่นไม่ใช้ร่างจริง ซึ่งอักษราภัคจะเสียเปรียบทันที
“ถือว่าข้าเตือนแล้ว”อักษราภัคไม่พูดเปล่า โถมตัวเข้าหาศัตรูทันที ตรีศูลกับฉมวกเหล็กเป็นอาวุธที่แตกต่างกัน อีกฝ่ายแข็งแรง ส่วนอักษราภัคปราดเปรียวกว่า เจ้าตัวพยายามเข้าถึงร่างของศัตรู นอกจากใช้อาวุธทั้งสองยังใช้พิษงูอีกด้วย ไม่ได้ปล่อยออกมาโดยตรงแต่ผ่านการต่อสู้จากอาวุธ และอาคม สองพี่น้องแห่งอัตรคุปต์ไม่มีอาคมมากนัก คงเพราะโดนเนรเทศจากแดนนาคามา
กึก
เสียงปะทะของอาวุธดังเป็นระยะ อักษราภัคตวัดปรายตรีศูลเร็วพร้อมกับโถมแรงใส่ จนฉมวกเหล็กของอักคราเบนออกไปอีกทางเผยช่องให้อักษราภัคจู่โจมถึงเลือดเนื้อ บาดแผลเพียงเล็กน้อยยังสามารถใช้พิษให้เกิดความเสียหายแก่ศัตรูได้
“อั๊ก”อักคราผงะ เปล่งเสียงเจ็บปวด พลันถอยห่างออกไปหลายก้าว ดวงตาดุร้ายวาวขึ้นมาทันที มืออีกข้างที่ว่างอยู่ยกมาจับที่บาดแผล เลือดไหลย้อยตามซอกนิ้วมือไปหมด
“ระวังตัวนะ”พันตรีบอก อักษราภัคหันมาส่งยิ้มให้เพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่อักคราจะตั้งตัวได้
“ไม่นึกว่าเจ้าจะมีอาคมและอาวุธเช่นนี้...เป็นไปได้อย่างไรกัน เจ้าไม่ใช่คนแห่งอัตรคุปต์อีกต่อไปแล้ว”อักคราพูดเสียงเบา จากนั้นก็กวัดแกว่งฉมวกจนเกิดเสียงปะทะลมดังขวับๆให้ได้ยิน อักษราภัคถลาเข้ามาบังเขาไว้ ก่อนจะเปลี่ยนตรีศูลให้กลับมาเป็นดังเดิมคือด้ามสั้น พุ่งจู่โจมเข้าหาอักคราอย่างรวดเร็ว
ระหว่างนั้นเอง เด็กหนุ่มถึงกับสะดุ้งเฮือก เมื่อหันหลังไปเจอเข้ากับงูใหญ่ แม้ไม่เท่านาคาผู้ติดตามคราวก่อน แต่ก็ยังใหญ่เหมือนงูหลาม ลำตัวอ้วนสีดำทั้งตัว เกล็ดมันวาวกำลังชูคออยู่ตรงหน้า ทำให้ผงะถอยไปหาอักษราภัค
ฟ่อ
มันส่งเสียงขู่ดังลั่นพร้อมกับอ้าปากกว้างจนเห็นเขี้ยวฟันและกล้ามเนื้อในปากและลำคอ หัวใจเต้นระรัวเหมือนจะกระเด็นออกนอกอก ขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มรู้สึกว่าผิวหนังคล้ายคันยุบยับตามลำแขน
“ถอยห่างจากพันตรี!”เสียงอักษราภัคดังมาจากด้านหลัง งูเผือกถอยมาหาเขา ก่อนจะเหวี่ยงอาวุธ ที่ผุดมาจากความว่างเปล่า เป็นฉมวกเหล็กคล้ายกับของอักครา ทว่าเล็กกว่า สีเงินมันวาว พุ่งตรงเข้าหางูตัวใหญ่ที่กำลังจู่โจม พอดีกับที่ลำคอของมันกำลังโน้มลงมา เพียงพริบตาเดียวฉมวกเหล็กก็แทงทะลุลำคอของมัน เสียงร้องแปลกๆของงูทำให้เขาโหวงเหวงในใจ
“อยู่กับข้า”อักษราภัคกระซิบ จับมืออีกข้างของเขาไว้แน่น ร่างงูตัวนั้นนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น รีบหันไปมองอักคราที่กำลังเหงื่อตกกับการสู้รบกับเวธอาวุธของอักษราภัค
“เจ้าย่อมรู้ ว่าไม่มีทางชนะข้าได้ มณีไม่ใช่ของเสด็จพ่ออีกต่อไปแล้ว...มันเป็นของคนรักของข้า ไม่ใช่หรือเสด็จพี่”อักษราภัคเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
มณีเป็นของอภันตีงั้นเหรอ
พันตรีตกใจ ใจกระตุกไปด้วย อักษราภัคมีสีหน้าที่อ่านไม่ออก เขาเคยสงสัยเรื่องราวในความฝัน ความสำคัญของมณีนาคา และสาเหตุที่แท้จริงของอักษราภัคในการตามหาเขา
“หึ แล้วเจ้าก็เลือกคนรักมากกว่าบ้านเมืองงั้นเหรอ”อักคราตวาดกลับ จากนั้นก็ดึงเอาฉมวกเหล็กกลับคืน เช่นเดียวกับอักษราภัคอาวุธกลับมาอยู่ในมือแล้ว ดูจากท่าทีของอักครา คงเกรงกลัวตรีศูลของน้องชายไม่น้อย
“ในตอนนี้ข้าไม่ใช่นาคาในอัตรคุปต์แล้ว”อักษราภัคเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน เด็กหนุ่มขยับเข้ามาใกล้อีกฝ่ายทันที เมื่อสายตาโกรธเกรี้ยวตวัดมองมาหา
“ข้าไม่จบง่ายๆแน่”อักคราเอ่ยทิ้งท้ายไว้อย่างเครียดแค้น บาดแผลที่ลำคอเหมือนจะสมานกันเร็วขึ้น แต่ร่องรอยของพิษไม่ได้จางหายไปไหน สิ้นคำของศัตรู เงาร่างของอักคราก็สลายหายไป รวมทั้งซากงูบริวารที่แน่นิ่งเช่นกัน พันตรีถอนหายใจอย่างโล่งอก อักษราภัคเงียบและมีสีหน้ากังวลใจ
“คุณโอเคนะ”เด็กหนุ่มเข้าไปจับตัวอักษราภัคไว้ สอดสายตามองหาอาการบาดเจ็บของงูเผือก แต่ที่เห็นจะมีแค่อาการเหนื่อยล้าเท่านั้น เจ้าตัวยิ้มบางๆ ส่ายศีรษะไปมา
“ข้าไม่บาดเจ็บ เจ้าคงตกใจ...”
“ไม่คิดว่าพี่ชายคุณจะโผล่มาที่นี่ ไหนจะเรื่องมณีอีก”เขาพึมพำอย่างไม่สบายใจนัก อักษราภัคหุบยิ้ม
“ข้ามีคำอธิบาย... ตอนนี้เราออกไปข้างนอกดีกว่า”อักษราภัคเอ่ยเตือนขึ้นมา เขาพยักหน้า พยายามไม่คิดมาก แม้ในใจจะร้อนรน นึกสงสัยว่าจะมีใครได้ยินเสียงอึกทึกในห้องน้ำบ้างหรือเปล่า แต่เดาว่าคงไม่มีมนุษย์ธรรมดาได้ยินแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงแห่เข้ามาดูความวุ่นวายในห้องน้ำกันแล้ว
อักษราภัคใช้อาคมจัดการสภาพในห้องน้ำให้กลับมาดังเดิม หลังจากที่พวกเขาสองคนกลับมากลับโต๊ะ สถานการณ์ยังคงเดิม ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลองสังเกตปฏิกิริยาของคนในร้าน พบว่าทุกอย่างดูปกติ ไม่มีใครได้ยินเสียงการปะทะของนาคาทั้งสองเลย มีเพียงแค่เสียงไมค์หอนของนักดนตรีเท่านั้น
เมื่อล่ำลากลุ่มของนนท์เสร็จ พร้อมกับรับกล่องงูใบใหญ่ติดมาด้วย อักษราภัคไม่ได้พูดอะไรอีก จนกระทั่งมาถึงห้องพัก เจ้าตัวถึงกับหลับตาระบายลมหายใจยาวก่อนจะคืนร่างงู เลื้อยขึ้นเตียงไปอย่างช้า ๆ ก่อนจะม้วนตัวขดเข้าหากัน เด็กหนุ่มเดินตามอย่างเป็นห่วง
“เป็นอะไรไป”เขานั่งกับเตียง มองเจ้างูอย่างนึกห่วง
“ข้าแค่เหนื่อยล้าเท่านั้น พักผ่อนคงดีขึ้น...”อักษราภัคพึมพำ เขาเงียบ ยังจำคำพูดของอีกฝ่ายได้ดี ที่ว่าจะอธิบายเรื่องมณีให้ฟัง
“งั้นก็พักเถอะ”
“เจ้าอยากจะฟังเรื่องอักคราตอนนี้เลยหรือไม่”อักษราภัคเอ่ยถามในตอนท้าย ทำให้เด็กหนุ่มไม่มีทางเลือกอะไรนอกจากตอบปฏิเสธ เห็นท่าทางของงูแบบนี้แล้วคงไม่ใจจืดใจดำยื้อถามเอาคำตอบ
“พรุ่งนี้ห้ามเบี้ยวก็แล้วกัน”พันตรีบอก มองงูที่หดส่วนหัวไปวางที่ลำตัว
“ข้าสัญญา”เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง จากนั้นก็นิ่งไปเหลือแค่ดวงตาสีดำที่ไม่ขยับไหว พันตรีนั่งมองอยู่นานจนมั่นใจว่างูคงหลับไปแล้ว ถึงได้โน้มตัวลงไปจูบลงบนหัวของเจ้างูอย่างแผ่วเบา
ในตอนนี้เด็กหนุ่มคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าสามารถยอมรับอักษราภัคเป็นคู่ของตัวเองได้แล้ว อาจเป็นเพราะความหลังครั้งเก่าก่อนด้วย รวมถึงความพยายามของอีกฝ่ายที่ทำให้พันตรีใจอ่อนได้ง่าย
“หวังว่าจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงนะ”พันตรีพึม ล้มตัวนอนมองเจ้างูไปตลอดคืน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น