ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สนพ.Onederwhy _คนรักของผมเป็นงูเผือก *จบแล้ว*

    ลำดับตอนที่ #6 : RE : บทที่ 5 งูชีกอ

    • อัปเดตล่าสุด 17 ส.ค. 61


    บทที่ 5 งูชีกอ



              กลิ่นหอมอวลของหมู่ผกาชูช่ออยู่เบื้องหลัง แท่นศิลาริมธารใสมีสองนาคาประทับอยู่เคียงคู่ หนึ่งนาคารูปร่างขาวผ่อง สูงสง่า หนึ่งนาคาผู้วรรณะสูงกว่า ทว่ากลับทอดกายนอนสุนทรีย์อยู่บนตักของนาคาเผือก ทำประเจิดประเจ้อ  แต่สองนาคาไม่หวั่น เมื่อเป็นพระคู่หมั้น ไยถึงต้องเอียงอาย
         อักษราภัคก้มมองนาคาหนุ่มที่กำลังนิทรา รอบข้างสรรพเสียงแห่งป่าเขาขับกล่อมอภันตีให้ไม่รู้ตื่นมากขึ้น แม้เป็นเพียงโอรสองค์เล็กแห่งอัตรคุปต์ ต้นกำเนิดไม่สูงส่งแต่ทว่าความสง่างามของชาติบุรุษไม่ได้มลายหาย ผิดกับเครื่องหน้าที่งามตามคำเลื่องลือของบริวารในเมืองด่านหน้าแห่งนี้

     อักษราภัครู้แจ้งว่าผู้อื่นมองมาที่พระองค์เช่นไร เพราะรูปโฉมงดงาม ส่งผลให้นาคาบางกลุ่มคิดเลว ปรามาสว่าไม่เหมาะสม นาคาสีดำหรือได้เป็นถึงพระคู่หมั้นของอภันตี ไม่คู่ควรแม้สักน้อยเดียว บ้างติฉินท้าวปุณมนัสว่ามิควรยกนาคาด้อยวรรณะให้เป็นพระคู่หมั้น เพียงมีตำแหน่งสนมต่ำๆจึงเพียงพอ

    มีผู้ใดเล่าจะชมชอบการตีตราเช่นนี้ อักษราภัคไม่ชอบให้ผู้ใดเอ่ยหยามเหยียดอย่างด้อยค่า เห็นเป็นเพียงสิ่งบำเรอ กระทั่งตำแหน่งพระคู่หมั้น แต่แรกพระองค์ไม่ใคร่ชอบนัก แต่ท้วงกับเสด็จพ่อไปก็ไร้ประโยชน์ บุรุษกับบุรุษนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกในแดนภพนี้ สรวงสวรรค์ยังมีเทพเทวดาครองคู่กัน


    ทว่า อักษราภัคไม่คิดจะถวายตัวให้ผู้อื่น ‘เพราะต่ำต้อยกว่าจึงเป็นได้แค่ผู้น้อยงั้นรึ’ ผู้น้อยในทัศนะของอักษราภัคหมายถึงการถือยศชายา ยิ่งตำแหน่งสนมไยไม่ชัดเจนอีก 


     กระทั่งคนบนตักลืมตาตื่นจากห้วงนิทรา ภาพแรกที่เห็นเป็นใบหน้าของบุรุษที่ปักใจเสน่ห์หา อักษราภัคก้มมองด้วยรอยยิ้ม ในดวงตาปรากฏซึ่งความอ่อนโยน จึงทำให้อภันตียื่นมือไปเกลี่ยแก้มขาวอย่างใจลอย


    “เจ้าฝันถึงสิ่งใดเล่า หลับไปเสียนาน”นาคาเผือกเอ่ยถาม


    “เป็นฝันที่เปี่ยมสุข ข้าจึงไม่อยากตื่นนัก”อภันตียิ้มกว้างเอ่ยตอบด้วยทีท่าหยอกล้อ


    “เจ้าช่างเยินยอ”อักษราภัคหัวเราะ จากนั้นจึงเอ่ยต่อไปว่า “ข้าว่าจะพาเจ้าไปที่แห่งหนึ่ง”


    “...หมายความว่าอย่างไรกัน”อภันตีกุลีกุจอลุกขึ้นยืนตาม พระคู่หมั้นเมื่อยืนเทียบเคียงข้างกันแล้ว ความสูงของนาคาเผือกเลยพ้นศีรษะของอภันตีไปเกือบคืบ


    “เรือนหอของเจ้าไง อภันตี ต้องรีบพาไปดูก่อนเจ้ากลับอมรานคร”นาคาสีทองเหลียวมองคนรักด้วยความอึ้ง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายเอ่ยเล่นหัวเช่นนี้มาก่อน จึงอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้


    “นี่ข้าเพิ่งถูกเจ้าเชิญชวนให้ผิดธรรมเนียมหรอกรึนี่”อภันตีก้มหน้ายิ้ม ทว่าในใจเหมือนโดนเหล็กแหลมทิ่มแทง จ้องมองอักษราภัคที่ยังคงแย้มยิ้ม นัยน์ตาประกายอย่างมีเล่ห์กล


    “...ถ้ำแห่งนั้น ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ มีแค่เจ้า แต่ผู้เดียวจะได้ยล”ถ้อยคำและดวงตาที่ทอดมองมาที่อภันตีมีเพียงความจริงใจ


    “ความลับหรอกรึ”อภันตีพึมพำ ลึกในใจยินดีนิ่งนักที่เป็นหนึ่งในดวงใจของอักษราภัค


    “บางครา ข้าเพียงต้องการที่สงบใจ ปราศจากสายตาจับจ้องจากผู้อื่น”อักษราภัคเอ่ย สบตากับพระคู่หมั้นอย่างมีความหมาย

    “ข้ายินดี ที่เจ้าให้ข้าเข้าไปที่แห่งนั้นเป็นคนแรก”

    สองนาคาเดินเคียงคู่ ห่างออกจากแท่นหินไปไม่กี่ก้าว เจอกับตลิ่งริมธาร มองดูแล้วตื้นเขินกว่าลานน้ำตกบริเวณอื่น น้ำใสจนเห็นผืนทรายและก้อนหินสีดำขนาดคละกันไป บางส่วนโผล่พ้นผืนน้ำออกมาสำหรับรองรับการเหยียบก้าวข้ามธารา

    โอรสแห่งอัตรคุปต์ก้าวนำหน้า โอรสแห่งอมรานครเดินตามหลัง เจ้าถิ่นวังด่านหน้ายื่นมือไปรับประคอง เกรงว่าจะลื่นล้มเมื่อเหยียบลงศิลาที่มีวัชพืชเขียวเกาะ 


    “ระวังด้วย”อักษราภัคกล่าวนุ่มนวล อภันตียิ้มยื่นมือไปเกาะกุมก่อนจะก้าวตามไปอย่างระแวดระวัง พ้นจากธารธาราอีกฝั่งได้ ทั้งสองเดินลัดเลาะไปตามสนทุมพุ่มไม้ใหญ่ จากที่มีแสงจรัสค่อยๆเลือนหาย เมื่อสองนาคาหนุ่มย่างก้าวผ่านแนวป่าสูง ลับตาซ่อนตัวจากคนภายนอกได้ไม่ยากนัก ทั่วสรรพางกายเริ่มเย็นชื้นจากบรรยากาศที่โอบล้อมด้วยป่าไม้สูงจนไร้แสงตะวันสอดส่อง


    อักษราภัคยังคงไม่ปล่อยมือจากพระคู่หมั้น ยิ่งย่ำก้าวลึกเข้าไป ทิวทัศน์รอบบริเวณยิ่งเปลี่ยน ไม้เลื้อยเกาะพันเกี่ยวจนสูงรกชัฏท่วมศีรษะคนทั้งคู่ อักษราภัคร่ายอาคมไม่นาน เถาวัลย์สีเขียวเข้มทางด้านหลังค่อยๆขยับเลื้อยผสานกันเป็นหนึ่งคล้ายกำแพงสีเขียว อภันตีหันมองด้วยความประหลาดใจ


    “เมืองลับแลจริงด้วย”สองหูเริ่มได้ยินเสียงน้ำสาดกระเซ็น


    “วังของข้า แม้นไม่สง่าตระกรานตา ทว่าภายในก็งามไม่น้อย”อักษราภัคเดินมาจนถึงริมน้ำตก ลักษณะต่างจากทางเข้าเมืองแรกลิบ น้ำตกแห่งนี้เป็นแอ่งเรียบ มีผาสีดำใหญ่อยู่หลังม่านน้ำห่าใหญ่ ศิลาดำเรียบน่ากริ่งเกรง อักษราภัคนำทางเลาะไปตามตลิ่งช้าๆ จนสามารถขึ้นไปเหยียบบนแท่นศิลาที่ยื่นจากผาหินทางด้านหลังม่านน้ำตก หากต้องเข้าไปด้านในผาหิน จำต้องรอดใต้ม่านน้ำตกลงไป สงผลให้ร่างกายประเปื้อนไปด้วยละอองใสจนพราวไปทั้งกาย


    “เจ้าเข้าไปได้หรือไม่”อักษราภัคเอ่ยถามทันที เมื่อรอดผ่านม่านน้ำเป็นที่เรียบร้อย เบื้องหน้าเป็นทางเข้าวังลับของนาคาเผือก ทว่าร่องแคบจากผาหิน คะเนด้วยตาเปล่านั้นที่จะสามารถผ่านเข้าไปได้คงจะมีแต่นาคาตัวเล็กเช่นอักษราภัค อภันตีนึกตระหนักไม่นาน ก่อนจะยิ้มอย่างไม่วิตก


    “ดูท่าคงต้องใช้ร่างจริงให้รอดเข้าไป ข้าอาจใช้อาคมสักเล็กน้อย อย่าห่วงไปใย เจ้านำไปก่อนเถิด”


    อักษราภัคได้ฟังแล้วจึงคลายกังวล ลืมไปชั่วขณะว่าอีกฝ่ายเป็นถึงนาคาสีทองมีอิทธิฤทธ์ยิ่ง

    อักษราภัคคืนร่างเดิม นาคาสีเผือกโหยงตัวขึ้น เหลียวมองคนรัก แล้วเลื้อยไปเข้าไปยังรอยแยกของผาศิลาที่แคบไม่ถึงคืบ พ้นปลายหางสีเผือก ปรากฏเป็นร่างของนาคาสีทอง เกล็ดสีส้มประกายทอง มีขนาดเล็กกว่าแต่เดิม เพราะอาคมที่อภันตีใช้เพื่อเข้าไปยังวังประทับ นวยนาดเลื้อยตามเข้าไป

    ภายในผาศิลามืดและแคบ ทว่าเลื้อยไปไม่ไกลเท่าไร เจอกับโถงถ้ำกว้างปรากฏสู่สายตา สังเกตอยู่นาน พบว่าผิวถ้ำเรียบ แหงนมองด้านบน พบหินย้อยหินงอกสะท้อนต้องแสงคบเพลิงเป็นระยิบระยับ นาคาเผือกหยุดรอเบื้องหน้า เพื่อเลื้อยเคียงคู่กันไป ไม่ไกลเจอกับทางแยก ซุ้มโค้งมีลายสลักบนแผ่นศิลาเป็นนาคาตัวใหญ่

    พอเคลื่อนตัวผ่านประตูโค้งต้องพบความวิจิตรแห่งธรรมชาติ แสงสว่างจรัสไปทั่วบริเวณสะท้อนกับผิวน้ำจากบ่อมรกตใหญ่สีเขียวคราม แหงนมองไปด้านบนพบว่าถ้ำศิลานี้มีรูกว้างเป็นวงกลมเผยรับแสงสว่าง บ่อน้ำผุดท่ามกลางถ้ำศิลา


         เหลียวมองไปริมบ่อไม่ถึงสองก้าว มีบันไดหินทอดไปอีกทาง


     “ที่แห่งนี้ คือแหล่งเก็บขุมทรัพย์ของเจ้าหรอกหรือ”อภันตีเอ่ยหยอกล้อ เมื่อเคลื่อนไหวไปใกล้จนอยู่ริมบ่อมรกต แล้วมองเห็นก้นบ่อมีอ่างศิลาใหญ่ ในนั้นเห็นเพชรพลอยทับทิมสะท้อนอยู่ที่ก้นบึ้ง


    “ธารมรกตบ่อนี้ บริสุทธิ์กอบเกิดโดยธรรมชาติ...แรกเห็นข้ายังทึ่งไปชั่วขณะ”อักษราภัคเอ่ย

    “ใต้ธารบ่อนี้ มีวังประทับของเจ้าหรือไม่”อภันตีแปลกใจ ผิวน้ำเรียบนิ่ง สีครามเขียวงามจนอยากจะแหวกว่ายในธารน้ำ

    “ไม่มี ข้าเพียงแต่ใช้เก็บรักษาของล้ำค่าและมีไว้เพื่อเล่นน้ำบางครา...อภันตี...เจ้าตามข้ามาอีกห้องดีกว่า...ข้าว่าเจ้าต้องชอบ”อักษราภัคผงกหัวเรียวมน ดวงตาสีดำจ้องไปหาพระคู่หมั้น ลาบเลื้อยอย่างเชื่องช้า เคลื่อนไหวไปหาทิศบันไดศิลาทางขวามือ นาคาสีทองเลื้อยตามไป พอพ้นบันไดขั้นสุดท้าย เห็นประตูโค้งของศิลา แสงเรืองรองส่องมาจากในนั้น ทำให้ใจของอภันตีเต้นรัวอย่างนึกคาดหวัง


    พอเข้าไปเห็นได้ยลกับตา ทำให้หัวใจระส่ำไม่หยุด เบื้องหน้ามีเชิงเทียนอันเล็กอันน้อยวางประดับนำทางและรายล้อมไปจนถึงแท่นประทับตัวยาว เบื้องหลังมีเถาวัลย์สีน้ำตาล สอดแทรกบุปผชาติหลากสีมิต่างจากแพรม่าน รูปลักษณ์มิสามารถพบเห็นได้บ่อยในแดนเหนือ อภันตีจึงยินดีปรีดาเอ่ยรำพึงออกมา


    “งามนัก”


    “เป็นเรือนหอของเจ้า”อักษราภัคกระซิบบอก ชูคออย่างสง่า ดวงตาสีดำสะท้อนแสงเทียนรอบกาย อภันตีจึงหลุดหัวเราะ


    “ฮ่าๆ หากเจ้าไปอมรานคร เชื่อเถิด เรือนหอของเจ้าคงงดงามยิ่งกว่าที่แห่งนี้เสียอีก”เห็นพระคู่หมั้นเอ่ยเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยสำทับด้วยความทะนงในยศศักดิ์


    “อ้อ ข้าลืมไปเสียได้ หากข้าคิดจะแต่งกับองค์อภันตีแห่งอมรานคร ข้าต้องถวายตัวเข้าตำหนักเจ้า...”สิ้นเสียงปั้นบึงจากอักษราภัค อภันตีถึงได้รู้ว่าฝ่ายนั้นโกรธเข้าแล้ว


    “ข้าเพียงอยากให้สมเกียรติเจ้า ไม่คิดดูแคลนหรือทำให้เจ้าด้อยค่า”ร่างของนาคาสีทองพลันเลื้อยเข้าหา


    “ชั่วชีวิตข้าผ่านถ้อยคำบริภาษมามิน้อย บางครา ข้าคิดว่าการเกิดเป็นงูต่ำต้อยแล้วอย่างไร ข้ามิมีจิตใจงั้นหรือ ทั่วสี่ทิศต่างหัวเราะเรื่องของข้า เสด็จพ่อ และแม่ของข้า ยิ่งอมรานครของเจ้านั้น ถือตนว่าสูงส่งกว่านาคาชั้นต่ำเช่นข้า ได้ดองกับเจ้าก็เพราะเมืองอัตรคุปต์ไร้น้ำยา เจ้าว่า ข้าควรรู้สึกเช่นใด”อักษราภัคเอ่ยถ้อยคำอย่างเย็นชา ลำตัวสีขาวเด่นท่ามกลางแสงเรืองรองขัดกับบรรยากาศในระหว่างสนทนา


    “การรับเจ้าเข้าวัง คือการให้เกียรติแก่เจ้าไม่ใช่หรืออักษราภัค”นาคาสีทองเอ่ยอย่างมีเหตุผล ทว่านาคาเผือกส่ายหน้า


    “ข้าไม่ปรารถนาเป็นสนมหรือมเหสีของผู้ใด เจ้าเข้าใจรึไม่ ข้าไม่ชมชอบการตกเป็นเบื้องล่างให้ผู้อื่นย่ำยีหยามหยัน”อักษราภัคตอบ

    อภันตีนิ่งเงียบ ไม่คิดว่าความในใจของคู่ของตนจะน่าเศร้าเพียงนี้ แต่ถูกเช่นอักษราภัคเอ่ย ไม่ว่าจะผ่านพ้นไปอีกกี่สิบปี ลำดับวรรณะไม่สามารถแก้ไขได้โดยง่าย หรือไม่อาจแก้ได้เลย ด้วยพระองค์เองไม่ต้องการเห็นนาคาผู้เป็นที่รักต้องถูกหยามเหยียดเช่นกัน เกียรติของอักษราภัคก็ถือเป็นเกียรติของพระองค์ด้วย

    “ข้ารู้ ข้ากำลังคิดหาหนทาง”


    นาคาทั้งสองต่างเงียบงัน


    อักษราภัคจึงเลื้อยขึ้นไปยังแท่นประทับ บนนั้นมีขันโตกใหญ่พร้อมด้วยเครื่องเสวย ฉับพลันร่างนาคาเผือกเปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์ของมนุษย์ดังเดิม อภันตีคืนร่างมนุษย์เช่นกัน ย่างก้าวเข้าหาเพื่อคุยให้เข้าใจ


    “ข้าอยู่กับเจ้าจนเข้าฤดูใหม่ ไม่ทำให้เจ้าเชื่อมั่นในข้าหรือ”


    “หาได้คิดเช่นนั้น เพียงแค่เอ่ยสิ่งติดค้างในใจ ไม่ใช่ไม่ปรารถนาอยู่เคียงคู่กับเจ้านะ”


    “ข้าเข้าใจ...เช่นนั้น ข้าควรร้องขอเสด็จพ่อ...ให้จัดพิธีอภิเษกที่อัตรคุปต์ดีหรือไม่”


    “หากทำเช่นนั้น คงต้องรอไปอีกฤดูนัก ตัวข้ายังมิเคยไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเจ้าเลยสักครา อมรานครหน้าตาเป็นเช่นไรยังไม่เคยเห็น...คงไม่ง่ายที่โอรสของท้าวปุณมนัสจะต้องเข้าพิธีอภิเษก ณ เมืองใต้อาณัติ”

    ความวิตกของอักษราภัคไม่ใช่เรื่องไร้สาระ มันเป็นเช่นนั้น เสด็จพ่อคงไม่ยอมเดินทางมาประทับที่อัตรคุปต์เป็นแน่ อภันตีขยับเข้าไปนั่งลงที่แท่นประทับ


    “ช่างเถอะ...อย่างไรเสียก็เปลี่ยนโลกนี้มิได้ ข้าเข้าใจ”องค์อักษราภัคถอนหายใจ ส่ายศีรษะอย่างนึกปลง ต่อให้แค้นใจจะทำสิ่งใดได้เล่า


    “ถ้าเช่นนั้น...”


    “ช่างเถิดอภันตี ข้าไม่คิดใส่ใจ เพียงแค่เจ้าดีต่อข้าก็เพียงพอ”อักษราภัคแย้มยิ้มออกมา


    “เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าข้ารักเจ้าเพียงใด ข้าประทับอยู่กับเจ้ามานับแรมเดือนเช่นนี้...เพียงเจ้ารู้ความในใจข้า ข้าไม่ปรารถนาสิ่งใดอีก”


    “ข้ารู้ ข้าเองก็รู้สึกไม่ต่างจากเจ้า”อักษราภัคเอ่ยยิ้ม นาคาทั้งสองจึงสบตากันในความเงียบงัน เป็นนาคาสีทองที่เอื้อนเอ่ยออกมาก่อน

    “ข้ารักเจ้า” ในทีแรกพระองค์ไม่คิดว่าอักษราภัคจะเป็นที่ต้องตาต้องใจ ทว่าความคิดกลับเปลี่ยนเมื่อได้สนิทชิดเชื้อ นาคาเผือกไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้อื่นใด


    อักษราภัคมองอย่างนึกตระหนก รู้ดีแก่ใจว่าอภันตีปักใจต่อพระองค์เช่นกัน แต่ไม่คิดว่าจะแม่นมั่นเพียงนี้ พลันเปลี่ยนแย้มยินดี

    "ข้าเองก็รู้สึกเช่นเดียวกับเจ้า"ต่างรู้หัวใจของกันและกัน





    พันตรีสะดุ้งตื่นจากห้วงฝันเมื่อรับรู้ความเจ็บที่ศีรษะ ปรากฏว่าเขานั่งสัปหงกจนศีรษะไปชนกับขอบเตียง มองงูเผือกที่นอนขดเป็นม้วน บาดแผลที่ส่วนลำตัวเริ่มดีขึ้น แผลเริ่มสมานทว่ายังเห็นเนื้อด้านใน พอมองไปที่ถ้วยพลาสติกในกะละมังแล้วเห็นน้ำสีใสอยู่ในถ้วยจำนวนหนึ่ง

    พิษงูงั้นเหรอ

    เขาถึงกับตาสว่าง ลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าเพื่อคลายอาการเหน็บชา แล้วเอื้อมไปลูบลำตัวของงูอย่างแผ่วเบา ความอุ่นจากผิวหนังทำให้เขาสบายใจ จากนั้นก็ลุกไปอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน ทว่าจิตใจยังคงพะว้าพะวงกับความฝัน..

    ถ้ำของอักษราภัคเป็นที่เดียวกัน เหมือนในฝันไปคราวก่อน ก้นบ่อมรกตมีอ่างศิลาที่เก็บมณีสีแดงเม็ดนั้นไว้  แต่อักษราภัคไม่ยอมบอกอะไรให้เขารู้มากไปกว่านั้น ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ
    อะไรที่อีกฝ่ายสบายใจ พันตรีไม่ไปขัดหรอก

    หลังอาบน้ำเสร็จ เขาลงไปเก็บผ้าที่ทิ้งไว้ที่เครื่องซักผ้าชั้นล่าง จนกลิ่นของมันเริ่มไม่หอมอย่างที่ควรจะเป็น พอกลับมาบนห้อง จึงรีบจัดการเอาเสื้อผ้าไปตาก วกกลับมาดูงูเผือกอีกครั้ง เห็นว่ายังไม่มีท่าทีว่าจะตื่นเลยปล่อยไว้แบบนั้น เขาเดินไปปิดไฟในห้อง แล้วกลับไปนอนบนเตียง


    ล้วงไปหยิบกำไลใต้หมอนออกมากุมไว้ นึกถึงความรักความหลงในครั้งอดีตนั้นยังไม่ส่งผ่านมาถึงหัวใจเขาได้มากนัก แต่ก็รับรู้ผ่านในฝันว่าอักษราภัคมีความรักให้มากมายจริง ๆ


    ยื่นมือไปลูบไล้บริเวณหัวนาคาไปด้วย ความอุ่นวาบลามเลียมาถึงหัวใจอย่างประหลาด จ้องมองกำไลก่อนจะขยับมาจูบไว้อย่างเผลอตัว นำไปซุกไว้ใต้หมอนดังเดิม เขาเดินนอนลงเตียงอย่างเหนื่อยเพลีย ด้านนอกยังคงลมแรงและเสียงฟ้าที่เกรี้ยวกราดจนน่ากลัว



    ในระหว่างที่เคลิ้มหลับ ไม่แน่ใจว่าหูแว่วหรือว่าฝันไปเอง


    ‘ข้าทำเพื่อเจ้าได้ทุกสิ่ง เพียงแค่เจ้ากลับมาหาข้าเช่นเดิม’ พร้อมกับสัมผัสอุ่นแผ่วเบาที่รับรู้บริเวณหน้าผาก เขาอยากลืมตาดูว่าใช่อักษราภัคหรือเปล่า ทว่าร่างกายอ่อนล้าจนไม่อาจขยับตัวได้ ผล็อยหลับไปกับความอุ่นสบายทีละนิด



    พันตรีตื่นขึ้นมาอีกครั้ง พบว่าภายในห้องยังคงมืดสลัว ก้มมองที่ตัว มีท่อนแขนสอดมากอดจากด้านหลัง เหลียวหน้าไปมองคนที่นอนซ้อนอยู่อย่างแปลกใจ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บ จึงพลิกตัวไปสำรวจร่างกายของเจ้างูทันที ตอนนั้นเองถึงรู้ว่าอักษราภัคไม่ได้สวมเสื้อผ้าสักชิ้น กะจะร้องโวยวายให้ตื่น แต่พอเข้าไปจับตัว รู้สึกว่าร่างกายจะอุ่นกว่าปกติ เขากำลังลุกขึ้น แต่คนที่นอนอยู่กลับรั้งตัวให้นอนลงต่อ

    “ขอกอดอีกสักพัก”อักษราภัคพูด คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน เพิ่งสังเกตว่าอีกฝ่ายแกะผมที่มัดรวบไว้ เรือนผมแผ่กระจายบนหมอนเป็นแพสีดำ ศีรษะของเจ้าตัวขยับมานอนบนหมอนใบเดียวกัน


    “...แต่ว่า”เขาอ้ำอึ้ง เพราะว่าอักษราภัคเปลือยไปทั้งตัวแบบนี้ ทำให้ใจของพันตรีไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก


    “ข้าคายพิษไปจนหมด บาดแผลก็สมานดีแล้ว เจ้าจะไม่ปลอบข้าหน่อยรึ”

    ปลอบงั้นเหรอ? หันไปจ้องใบหน้าเรียวของงูเผือกแล้วถอนหายใจ ไม่ได้ขยับตัวหนีห่าง แรงกอดรัดแน่นขึ้นพร้อมๆกับร่างกายอุ่นเข้ามาใกล้

    “ทำไมไม่ใส่เสื้อผ้าล่ะ”


    เจ้าตัวย่นจมูก ก่อนจะพึมพำเสียงต่ำๆ


    ”มีกลิ่นประหลาดติดอยู่ ข้าไม่ชอบ อีกอย่าง นอนเช่นนี้ก็สบายตัวไม่น้อย”


    “เอาแต่ใจจังนะ”เขาจ้องเจ้างูที่ยังคงนอนหลับตาพริ้ม


    “ข้าแค่อยากให้เจ้าเอาใจข้าบ้าง”คำพูดของอักษราภัคยิ่งทำให้เขาแทบหมดคำโต้แย้ง แม้ว่าจะเป็นคำหวานหูแต่ฟังแล้วมันก็จักจี้อยู่ดี เขามองคนที่กอดแน่นไม่ปล่อย


    “นี่ผมยังไม่เอาใจคุณอีกเหรอ”


    “อืม...เจ้านี่ไม่อ่อนโยนเอาเสียเลย”


    อักษราภัคลืมตาขึ้นมองผม นัยน์ตาสีนิลเข้มจดจ้องไม่ห่าง เขาเหลือบมองไปที่จมูก ริมฝีปากของเจ้างูแล้วอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายช่างหน้าตาดี ต่างจากเขาที่ไม่มีอะไรโดดเด่น มองสำรวจใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่นาน จนหวนนึกถึงความฝัน ที่ถ้ำลับแลของอักษราภัค ถ้ำเดียวกับที่ฝันไปเมื่อครั้งก่อน มันเก็บซ่อนสิ่งล้ำค่าอย่างมณีสีแดง


    “คุณมาที่นี่ได้ยังไงกันแน่...เพราะโดนเนรเทศจริงๆเหรอ”เขาถามด้วยใจสับสน อักษราภัคไม่คลายอ้อมกอด เพียงแค่ยิ้ม


    “ก็เพราะว่าถูกเนรเทศมาเมืองมนุษย์ ข้าถึงได้ตามหาเจ้าจนเจอ...ในแดนนาคา ข้าทำผิดพลาดไปหลายสิ่ง”น้ำเสียงที่ใช้บอกเล่าไม่ปรากฏความรู้สึกอะไร เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสองคู่ตรงหน้า


    “ใครเนรเทศ”


    “ก็ต้องผู้เป็นใหญ่ในแดนสวรรค์ หนึ่งในตรีมูรติ องค์ศิวะไงเล่า ถึงมีอำนาจบัญชาได้เพียงนี้...มันเนิ่นนานนับร้อยปีที่กว่าจะหาเจ้าเจอ...ไม่สิ กว่าเจ้าจะลงมาเกิดต่างหาก”


    “นานขนาดนั้นเลยเหรอ”พันตรีใจเต้นตุบตับ แม้รู้ว่าอักษราภัคตามหาและรอคอย แต่ไม่คิดว่าจะนานขนาดนั้น คนข้างกายแค่ยิ้ม ดวงตาฉายแววเศร้าสลดออกมา


    “ใช่...ข้าหวังว่าเจ้าจะรอข้าเช่นกัน”อีกฝ่ายพึมพำ

    พันตรีสบตาอักษราภัคอยู่นาน ก่อนจะยอมแพ้ให้กับเจ้างู เอาเถอะ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาคงต้องยอมรับ

    “คุณตัวอุ่นๆนะ ไม่สบายหรือเปล่า”รีบเปลี่ยนเรื่องทันที ยื่นมือไปแตะหน้าผากของเจ้าตัว ริมฝีปากโค้งเผยยิ้ม ก่อนจะคว้าข้อมือของเขาดึงไปจูบ ทำเอาเด็กหนุ่มทำอะไรไม่ถูก


    “เป็นห่วงข้าหรือ”อักษราภัคตาเป็นประกาย น้ำเสียงนุ่มนวลจนชวนให้เคลิ้มไปด้วย


    “ก็...คุณบาดเจ็บนี่”


    “ข้าหายดีแล้วจริงๆ”อักษราภัคยิ้ม เขาเบนหน้าหนีสายตาระยิบระยับของเจ้างู ขยับตัวออกห่างจากอ้อมแขนของอักษราภัค


    “วันนี้ผมมีเรียนนะ”พูดจบ แรงกอดคลายลง อีกฝ่ายโน้มหน้ามามองด้วยแววตาละห้อย


    “เหรอ...อยู่เป็นเพื่อนข้าสักวันไม่ได้หรือ”เจ้าตัวยอมขยับออกห่าง ปล่อยให้เขาเป็นอิสระ


    พันตรีมองอักษราภัค ลุกขึ้นมานั่งในท่าถนัดมากขึ้น ผ้าห่มผืนบางคลุมร่างกายขาวเนียนแค่ช่วงล่าง ท่อนบนยังคงอวดความขาวให้มอง


    “ทำไมล่ะ”


    “ข้า...ข้ารู้สึกไม่ดี อาจจะป่วยอย่างที่เจ้าว่าก็ได้”อีกฝ่ายพึมพำเสียงแผ่ว พันตรีเลิกคิ้วสูง ก่อนจะยื่นมือไปแตะหน้าผากเจ้างูอีกครั้ง


     “ไหนว่าไม่ได้เป็นอะไรไง”เด็กหนุ่มบ่นพึมพำ อักษราภัคมองนิ่งๆ แล้วตอบเบาๆ


    “ก็...ข้าแค่อยากให้เจ้าดูแลข้า แต่ข้าไม่ใคร่สบายเท่าไหร่จริงๆนะ คัดเนื้อคัดตัว คงเพราะคายพิษของนาคาตัวนั้นไปทำให้ร่างกายเสียพลังไปมาก”งูเผือกเอ่ยมีเหตุผลก็จริง แต่ไม่อยากเชื่อนัก รู้อยู่แก่ใจว่าอักษราภัคแค่ทำเป็นอ่อนแอให้เขาเห็นใจ สบตากับอักษราภัค มีแววอ่อนล้าแฝงอยู่


    “ก็ได้ ๆ ผมจะอยู่ดูแลก็แล้วกัน”


    พันตรีใจอ่อนจนได้ เพราะเรื่องราวในชาติก่อนแท้ ๆ อักษราภัคถึงกับยิ้มกว้าง กระชับมือของเขาแน่นขึ้น


    “เจ้าช่างดีต่อข้าเหลือเกิน”พูดไปก็ดึงมือพันตรีไปจูบอีก  ชอบทำตัวน้ำเน่าอยู่เรื่อย สมัยนี้ใครเขาพูดจากันแบบนี้


    “พอได้แล้ว คุณนอนพักเถอะ เดี๋ยวผมต้องออกไปซื้อข้าวเช้า คุณจะกินหรือเปล่า”เด็กหนุ่มถาม ขยับตัวลงจากเตียง คนที่นอนอยู่บนเตียงส่งเสียงในลำคอ


    “ไม่ล่ะ ข้ามีหนูของเจ้าแล้วนี่”


    “นั่นสินะ ถ้าจะเอาออกมากิน ก็ไปกินมุมอับ อย่ามากินต่อหน้าต่อตาผมก็แล้วกัน”อีกฝ่ายหัวเราะกับคำพูดของพันตรี ยื่นหน้ามามองด้วยสายตาเป็นประกาย


    หลังจากที่จัดแจงธุระในห้องน้ำเสร็จเรียบร้อย พันตรีออกจากห้องเพื่อไปซื้อข้าวต้มที่ร้านป้าจิตตามเคย หยิบเอาโทรศัพท์ติดมาด้วย ส่งข้อความบอกนนท์ว่าวันนี้จะขาดเรียน


    นนท์/เป็นอะไรวะ
    พันตรี/ รู้สึกไม่สบายนิดหน่อย เลยไม่เข้าเรียนช่วงเช้านะ
    นนท์/เออ ๆ เดี๋ยวบอกอาจารย์ให้ แล้วมึงไปหาหมอหรือเปล่าจะได้มีใบรับรองแพทย์
    พันตรี/ แค่พักอยู่ห้อง โดนเช็คขาดก็ไม่เป็นไรหรอก

    เขาพิมพ์ตอบไป นานๆครั้งเขาจะขาดเรียน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก


    พันตรีเดินมาถึงที่หน้าร้าน ก่อนจะสั่งโจ๊กปลากะพงมาสองถุง นั่งรอที่เก้าอี้หน้าร้าน หยิบโทรศัพท์ออกมากดเล่นฆ่าเวลาไปพลางๆ


    ‘พันตรี...’


    ระหว่างนั้นมีเสียงกระซิบเรียกชื่อ พันตรีเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ เหลียวมองไปรอบบริเวณหน้าร้านซึ้งติดกับริมถนน ไม่มีคนสัญจรหรือใครที่เขารู้จัก เด็กหนุ่มงง มองไปทางป้าจิตที่กำลังมัดถุงข้าวต้มอยู่

    หรือว่าหูฝาด

    รีบเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า แล้วจ่ายเงินค่าอาหารแล้วเร่งเดินกลับหอพัก กลัวว่าจะเป็นพวกงูศัตรู พอเดินออกจากร้าน เลาะไปตามถนน สอดส่องหางูตามข้างทาง เพราะไม่ใช่เสียงเรียกไม่คล้ายของอักษราภัค


    ‘ทางนี้ ๆ ด้านบน’


    พันตรีชะงัก ก่อนแหงนมองไปที่ต้นไม้ที่สูงท่วมศีรษะ บริเวณกิ่งก้านที่แตกออกไปมีงูสีเขียวตัวเล็ก เลื้อยพาดอยู่บนนั้น ด้วยสีเขียวกลืนไปกับใบของลำต้นจนทำให้ไม่เป็นที่สังเกต เมื่อเห็นว่าปลอดคน จึงเข้าไปพูดด้วย


    “ตามมาทำไม”จำได้ว่างูตัวนี้เคยไปส่องผมที่ต้นไม้ ตรงลานหญ้าตรงข้ามกับห้องของเขาพอดี งูตัวน้อยยกหัวแลบลิ้นสองแฉกไปมา


    “ใช่ ท่านจริงๆ ด้วย”งูพูด เขาแปลกใจ ที่อีกฝ่ายเหมือนจะรู้จักกัน นึกถึงคำพูดของอักษราภัคที่บอกว่างูตัวอื่นตามมาเพื่อดูเขา เลยนึกระวังตัวขึ้นมา


    “หมายความว่าไง”


    “นามเก่าท่านชื่ออภันตี โอรสองค์เล็กแห่งท้าวปุณมนัส”งูสีเขียวเอ่ยบอก เขาเย็นวาบไปทั้งร่าง รู้สึกแปลกๆที่อีกฝ่ายพูดถึงเรื่องราวในครั้งอดีต


    “แกต้องการอะไร ถ้าคิดร้ายล่ะก็ ฉันจะกำจัดแกทิ้ง”พันตรีขู่ ทีแกคิดว่างูตัวนี้จะเป็นศัตรู แต่ทว่างูเขียวส่ายหน้า เลื้อยไปตามกิ่งไม้ เกี่ยวไว้เป็นขด ยื่นหัวมาคุย จนต้องถอยห่าง


    “เปล่า ข้าแค่มาเฝ้าระวังให้ท่าน”


    “เป็นบริวารของอักษราภัคงั้นเหรอ”


    “ไม่ใช่ อักษราภัคก็ส่วนอักษราภัค ข้าแค่เป็นห่วงท่านก็เท่านั้น”งูเขียวบอก เด็กหนุ่มรู้สึกตงิดในใจขึ้นมา คำเรียกแทนตัวเขา นึกสงสัยว่างูตัวนี้มาจากแดนไหนกันแน่ งูเขียวธรรมดาหรือว่าเป็นนาคาจากแดนนั้น


    “แกเป็นใคร”


    “...บอกไปท่านต้องไม่เชื่อแน่ เอาเป็นว่าข้าเป็นมิตร ไม่คิดร้ายต่ออักษราภัครวมถึงท่าน เพียงมาเฝ้าระวังให้ อย่าห่วงเรื่ององค์อักครา คนผู้นั้นไม่ได้เก่งกล้าเพียงนั้นหรอก”งูเขียวบอก ก่อนจะเลื้อยกลับไปเกาะกิ่งไม้ เคลื่อนตัวปราดเปรียวหายไปในพุ่มใบไม้ของต้นไม้ใหญ่ ทิ้งให้เด็กหนุ่มยืนงงอยู่กับที่ พอได้สติเลยรีบกลับเข้าหอพัก


    เมื่อเข้ามาในห้อง เห็นว่าอักษราภัคยังคงหลับอยู่ เด็กหนุ่มเอาข้าวต้มไปเก็บที่มุมครัวขนาดเล็ก แล้วเดินเข้าไปดูเตียงนอน ยื่นมือไปแตะหน้าผากอีกครั้ง พบว่าตัวยังอุ่น ๆ ไปเปิดลิ้นชัก หยิบยาแก้ไข้หวัดธรรมดาออกมา


    ‘ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรหรือเปล่า’ เขายืนมองร่างที่กระเพื่อมเป็นจังหวะการหายใจ เอื้อมไปดึงผ้าห่มมาคลุมให้ถึงหน้าอก


    “มีงูเขียวมาคุยกับผมด้วยล่ะ”พันตรีบอก แม้รู้ว่าอีกฝ่ายจะหลับอยู่ แต่ไม่อยากจะปิดบังอะไรเจ้าตัว เพราะไม่สบายใจ คงมาจากคำพูดของอักษราภัคในคราวนั้น ที่ว่ามีงูตัวอื่นสนใจ แต่งูเขียวเหมือนแค่มาสอดส่องธรรมดาเท่านั้น แถมยังรู้สถานการณ์ของอักษราภัคด้วย


    อีกหนึ่งเหตุผล เพราะอักษราภัคเป็นคู่หมั้นในกาลก่อน พอไปคุยเรื่องลับหลังกับงูตัวอื่น พลอยรู้สึกไม่ดี จิตใจมันไม่สงบ ‘เฮ้อ อ่อนไหวง่ายอย่างกับเด็ก’


    “ไม่รู้ว่ามาคุยด้วยทำไม”


    ยืนมองอยู่สักพัก เด็กหนุ่มยื่นหน้าไปดูพิษงูในถ้วย แต่ไม่เห็นอะไรนอกจากความว่างเปล่า สงสัยอักษราภัคจะเอาไปทิ้งแล้ว กลับมานั่งบนเตียง มองเจ้างูที่สงบเงียบ


    จู่ๆ ก็จำได้ว่านาคาจะคืนร่างตอนหลับไม่ใช่หรือไง งั้นแสดงว่าอักษราภัคไม่ได้หลับงั้นสิ...


    “ตื่นอยู่หรือเปล่า”เขาเสียงดัง แต่อักษราภัคไม่ขยับ อดหมั่นไส้ไม่ไหว เข้าไปดึงอีกฝ่ายให้ตื่นขึ้นมา แต่อักษราภัคไหวตัวทัน มือนุ่มคว้าเข้าที่แขนของพันตรี แล้วดันลงเตียงอย่างง่ายดาย เด็กหนุ่มไม่ทันตั้งตัว รู้สึกว่าผ่านไปวูบเดียวก็ถูกผลักลงเตียง มีร่างเปลือยของอักษราภัคอยู่ด้านบน


    “ปากแข็งนักนะ เจ้าห่วงข้าน่าดู ในใจคงร้อนรุ่มที่เห็นข้าบาดเจ็บ”อีกฝ่ายเอ่ยไปเรื่อยเปื่อย เขานิ่วหน้าทันที จริงอยู่ที่เป็นห่วง แต่ไม่มีอาการในอกร้อนรุ่มอย่างที่เจ้างูพูดแน่ๆ


    “ลุกสิ หนักนะ!”ไม่วายผลักตัวอักษราภัคออกห่าง แต่อีกฝ่ายฝืนไว้ ใบหน้าผุดรอยยิ้ม ก้มมองเขา โดยใช้สายตาสอดส่องไปทั่วตัว


    “งูเขียวที่เจ้าเอ่ยถึงเป็นผู้ใดเล่า”ร่างเปล่าเปลือยด้านบนเอ่ยถาม พันตรีจ้องหน้าเขานิ่งๆ


    “...เอ่อ ไม่รู้เหมือนกัน”


    “สงสัยจะแอบตามเจ้ามา ข้าสังหรณ์ใจได้ถูก มีงูที่หมายปองเจ้าด้วยจริง”อักษราภัคพึมพำเสียงขุ่น ใบหน้าแสดงความไม่พอใจออกมา ดวงตาสีดำขยับมาจ้องพันตรี


    “เขาเป็นมิตรของผม งูตัวนั้นรู้จักคุณ รู้จักผม...หมายถึงชื่อในสมัยนั้น”


    อักษราภัคเงียบ เอียงคอมองเขา ราวกับว่ากำลังไตร่ตรองอยู่ จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ทำจมูกฟุดฟิดราวกับดมกลิ่น เส้นผมของอีกฝ่ายเลื่อนลงมาคลอเคลียทั่วใบหน้าของเขาจนต้องย่นจมูก


    “อืม...คงเป็นคนของเจ้า ไวทินกระมัง”คำตอบของเจ้างูสร้างความประหลาดใจ เด็กหนุ่มพยายามนึกถึง ชื่อของไวทิน เคยได้ยินผ่านเรื่องเล่าจากเจ้างูเผือกนี่แหละ


    “...ไวทิน?”ผมชะงัก คน ๆ นี้ คือสหายสนิทของอภันตีในชาติก่อน แต่ไม่คิดว่าไวทินคนนี้จะเป็นงูเขียวเลย และมาปรากฏตัวที่เมืองมนุษย์ 


    “ใช่ ก็ดี มีคนของเจ้ามาคุ้มครองก็ถือว่าเราปลอดภัยแล้ว”อักษราภัคเอ่ยอย่างไม่คิดอะไร เขานอนนิ่ง เหลียวมองไปรอบห้องอย่างอึดอัดใจ


    “ลุกออกไปได้แล้ว”ดันไหล่ของเขาไปให้พ้นตัว สองขาดีดดิ้นเพื่อผลักให้ร่างของเจ้างูเผือกออกห่าง ทว่าอีกฝ่ายไม่สะทกสะท้าน คว้าแขนของเขาไว้ในกำมือ ก่อนจะโน้มตัวลงมาใกล้ จนกลั้นหายใจไปชั่วขณะ


    “ไม่ต้องห่วง อย่างไรซะ เจ้าก็เป็นของข้าอยู่ดี”อักษราภัคยิ้มแย้มออกมา ยอมลุกออกจากตัวพันตรีไปเอง ยืนนิ่งอยู่ข้างเตียง ทิ้งให้เขานอนงงอยู่สักพัก


    ทำไมถึงพูดแบบนี้กัน เขาขยับตัวลุกขึ้นมานั่ง และยังเห็นว่าอักษราภัคไม่ได้สวมใส่อะไร จนต้องเบือนหน้าหนี หน้าไม่อายจริงๆ งูตัวนี้


    “ผ้าถุงของคุณอยู่นอกระเบียง ไปเอามาใส่ได้แล้ว”เขาบอก แต่อักษราภัคมองหน้าเขาด้วยความงงงวย ไม่ขยับกายไปไหน พันตรีเหนื่อยหน่ายใจ ลุกออกจากเตียงช้า ๆ มองผ่านร่างเปลือยของอีกฝ่าย เดินไปเปิดประตูระเบียงที่อยู่ติดกับห้องน้ำ ออกไปหยิบผ้าถุงสีน้ำตาลเข้มที่ตากบนราวไม้


    พอกลับเข้ามา เห็นอักษราภัคนั่งลงบนเตียงทำเหมือนว่าร่างกายมีสิ่งปกปิดมิดชิด นึกไปถึงบ้านเมืองของเจ้าตัวที่นุ่งน้อยห่มน้อยแล้วอดเอือมไม่ได้ งูตัวนี้มันชีเปลือยจริงๆ


         พันตรีโยนผ้าถุงไปที่ตักของเขาเพื่อปกปิดสิ่งไม่น่ามอง อีกฝ่ายจ้องมอง ก่อนจะลูบผ้าผืนยาวที่คลุมตักเบาๆ


    “มีกลิ่นด้วย”เจ้าตัวว่า ก่อนจะหยิบชายผ้าขึ้นดม


    “ใช่สิ ผมเอาไปซักให้สะอาดไง รีบๆใส่ด้วยล่ะ อย่าทำเป็นชีเปลือยไม่เข้าเรื่อง”


    เด็กหนุ่มเลิกสนใจเจ้างูชีก แล้วเดินไปที่ครัว แกะถุงข้าวต้มที่วางไว้ เหลือบมองไปที่เจ้างูตัวนั้น เห็นกำลังพับจับจีบผ้านุ่งอย่างใจเย็น ไอ้การนุ่งผ้าในแบบของอักษราภัค เขาก็ไม่เข้าใจนัก ไม่ใช่โจงกะเบน แต่คล้ายๆกับผ้าถุงมีจีบเรียงตัวสวยห้อยลงมาด้านหน้า หันไปมองอีกรอบเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังรัดเข็มขัด


    “ไม่ต้องแต่งเต็มยศหรอกน่า”รีบบอกทันที เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังสวมรัดเกล้า ทว่าชะงัก ก่อนจะย่างก้าวเข้ามาหา ทำเอาเด็กหนุ่มเลิ่กลั่ก


    “จะทำอะไร”พันตรีผงะถอย เพราะอักษราภัคเข้ามาประชิดตัว สีหน้าคล้ายยิ้มไม่ยิ้ม ดวงตาวาววับจดจ้องไปทั้งร่าง  


    “เจ้าอายข้ารึ จะว่าไปแล้ว แต่ก่อนเจ้าไม่ใช่คนเคยอายนะ”


    “ก็ผมไม่ใช่คนก่อนไง”เขาแย้ง รีบผลักอักษราภัคออกห่าง แต่คนตรงหน้ายื้อตัวไว้ เข้ามาขวางปิดทางหนี สองมืออุ่นเข้ามากุมหัวไหล่ทั้งสองข้างของพันตรี


    “งั้นเจ้าใยต้องเอียงอาย หรือต้องให้ข้า...”เจ้างูเอ่ยเนิบนาบ ทิ้งจังหวะเอาไว้ สีหน้าตอนดูมีนัยยะแปลก ๆ เขามองอย่างหวาดระแวง


    “อะไร”


    “หรือให้ข้าเล่าถึงวันที่เจ้าเป็นของข้า”สิ้นคำพูดของอีกฝ่ายทำเอาเด็กหนุ่มเลือดลมสูบฉีด รู้สึกว่าร้อนไปทั้งหน้า เอาเข้าไป พูดจาน้ำเน่าอีกแล้ว ไอ้งูตัวนี้


    “เรื่องเก่านานนม แล้วยังเก็บมาพูดอีก”พันตรีโวยวาย ผลักเจ้างูตัวขาวไปให้พ้นทาง รู้แบบนี้ไม่น่าเห็นใจยอมขาดเรียน เพื่อมาดูแลไอ้งูชีกอตัวนี้เลยจริง ๆ คิดผิดมหันต์สุดๆ


    “งั้นเรามาทำให้ไม่เป็นเรื่องเก่านานนมดีรึไม่ พันตรี”อักษราภัคโถมแรงเข้ามากอด เขาเกร็งไปทั้งตัว เพราะความอุ่นจากหน้าอกเปลือยของอีกฝ่าย เส้นผมเป็นลอนหยักขยับไปมา เขาถองศอกเข้าที่เอวของอีกฝ่ายไปเบาๆ เจ้าตัวนิ่วหน้าเจ็บปวด


    “นี่...อะ”ไม่ทันจะด่าว่า อักษราภัคดันตัวออกทว่าสองแขนเลื่อนมือลงมาจับที่บั้นท้ายของเขาพอดี ทำเอาสะดุ้งโหยง  “ข้าว่าเจ้านุ่มนิ่มกว่าแต่ก่อนนะ”


    ได้ยินเต็มสองหู พันตรียืนนิ่ง


    “ไอ้งูทุเรศ”เขาว่า ทำท่าเงื้อมือหมายจะตีให้เต็มแรง ทว่าเจ้างูฉลาดเฉลียวแปลงกายหนี เป็นงูเผือกดังเดิม เลื้อยหนีไปอีก สองหูได้ยินเสียงหัวเราะพอใจจากอักษราภัค


    พันตรีคว้าถ้วยข้าวต้มไปนั่งทานที่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ แม้จะโกรธจนหน้าดำหน้าแดง แต่เลือกไม่สนใจ ก้มหน้าก้มตาทานข้าวต้ม มารู้ตัวอีกที มีบางอย่างปัดมาโดนที่ขาทั้งสองข้าง ก้มลงมอง พบงูสีเผือกกำลังเลื้อยเกาะเกี่ยวมาตามท่อนขา


    “ชู่...อย่าโกรธไป ข้าหยอกล้อ เพราะนึกถึงวันวาน...”เจ้างูเผือกเอ่ยกระซิบ ในสุ่มเสียงนั้นมีความหรรษาอยู่ไม่น้อยเลย ทำให้เขาควันออกหู


    “นี่!”เด็กหนุ่มคว้าลำตัวของเจ้างูไว้ แต่อีกฝ่ายกลับเลื้อยเกี่ยวขึ้นมายังข้อมือ และไล่ลามมาถึงท่อนแขนแทน น้ำหนักของงูก็ไม่ใช่เบาเป็นปุยนุ่นด้วย


    “ให้ข้าเล่นสนุกกับเจ้าบ้างไม่ได้เลยหรือ”คำพูดของงูเผือกทำเอาพูดไม่ออก ไม่ใช่เพราะสงสารหรอกนะ แต่ฟังจากน้ำเสียงฟ่อแฟ่ๆของงู อีกฝ่ายต้องยิ้มอย่างเป็นสุขที่แกล้งเขาได้สำเร็จ นึกอยากจะบีบงูให้ตาย แต่ก็ใจอ่อนอยู่เรื่อย ก้มมองลายเกล็ดสามเหลี่ยมเรียงตัวสวย ดวงตาสีดำของงูจดจ้องอยู่ หน้าของเจ้างู ผงกมองอยู่ที่หัวไหล่


    ถึงอักษราภัคจะเป็นคู่หมั้นที่อภันตีรักใคร่หัวปักหัวปำ แต่เขา...พันตรีคนนี้จะไม่ยอมให้งูเผือกตัวนี้มาวอแวง่าย ๆแบบนี้นะ ไม่ได้การ เห็นที พันตรีต้องซื้อกล่องเลี้ยงงู มาให้อักษราภัคนอนแล้วล่ะ


    นอนแยกเตียงไปเลย!


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×