ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สนพ.Onederwhy _คนรักของผมเป็นงูเผือก *จบแล้ว*

    ลำดับตอนที่ #5 : RE : บทที่ 4 หรือจะหวั่นไหว?

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.ค. 61



    บทที่ 4 หรือจะหวั่นไหว?

    ช่วงเช้าของอีกวัน พันตรีตื่นแต่เช้าเป็นกิจวัตร แม้จะไม่มีเรียนก็ตาม และอีกเช่นเคย ไม่พบงูเผือกบนเตียงนอนในเวลานี้ หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว เด็กหนุ่มลงไปทานมื้อเช้าที่ร้านประจำเจ้าเดิมข้างหอพัก ระหว่างเดินดันใจลอยไปถึงเจ้างูอีกครั้ง พยายามไม่คิดมากเรื่องปริศนาการตามหาของอักษราภัค เขาเปิดแชทที่คุยกับนนท์ค้างไว้ ก่อนจะนัดแนะว่าจะออกไปดูกล่องเลี้ยงงูกับหนูแช่แข็งที่ร้าน  

    พันตรี/ เดี๋ยววันนี้จะเข้าไปหาที่ร้านนะ มึงอยู่หรือเปล่า
    นนท์/ อยู่ วันนี้ว่าง มาตอนไหนก็บอกนะ
    พันตรี/ อือ ช่วงสายๆหน่อย กูอยากได้หนูแช่แข็งสัก 3 แพ็ค

    เด็กหนุ่มพิมพ์บอก ยังไม่แน่ใจว่างูเผือกกินจุหรือเปล่า


    นนท์/ เคๆ เดี๋ยวเตรียมไว้ให้ เจอกันที่ร้านนะ

    ระหว่างที่ป้าจิตกำลังเสิร์ฟถ้วยต้มเลือดหมูกับข้าวสวยร้อนๆ อีกฝ่ายเอ่ยปากคุยเรื่องที่เจองูชุกชุมเป็นพิเศษ ทำเอาเขาเงียบกริบ ขมวดคิ้วทันที


    “ช่วงนี้เดินระวัง ๆนะตรี งูเยอะมากเลย เมื่อวานก็เจองูตัวเบอเร่อเลย ป้าไล่มันเข้าป่าไป ไม่อยากจะฆ่าจะแกงมัน”ป้าจิตบอก ขณะที่เขากำลังปรุงรสไปด้วย ก็พยักหน้ารับคำ


    “ผมไม่เห็นเจอเลยครับ แต่ก็ระวังไว้ก็ดี ช่วงนี้ฝนตกบ่อยๆด้วยครับ”พันตรีตอบ นึกสงสัยว่าเมื่อวานก็ไม่ได้มีงูมาเพ่นพ่านแถวหอพักเลยสักตัว บางทีอาจจะมาสอดส่องตอนเขาไม่อยู่ห้องแล้วดันเจอป้าแกเข้า


    ระหว่างที่กำลังซดต้มเลือดหมูตำลึงร้อน ๆ สายตาพลันเหลือบไปเห็น ใครคนหนึ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มสำลักจนแสบคอ รีบคว้าแก้วน้ำมาดื่มทันที


    นั่นมัน อักษราภัคในร่างมนุษย์นี่


    ขณะเดียวกันป้าจิตที่กำลังนั่งอยู่หลังครัวหน้าร้านเงยมองลูกค้าคนใหม่ที่เดินเข้ามาด้านในด้านอาการอึ้งกิมกี่


    เอาอีกแล้ว อักษราภัคทำให้เขามีเรื่องขายหน้าอยู่เรื่อย ร่างสูงและผิวขาว โดดเด่นพอๆกับผ้านุ่งสีมรกต


    “พันตรี เจ้ามาอยู่ที่นี่ ไม่บอกข้าสักคำ”เจ้าตัวพูด ก่อนจะเดินเข้ามาในร้าน เหลือบมองไปรอบร้านด้วยสายตาแปลกประหลาดใจ เครื่องแต่งกายที่ไม่เข้ากับบรรยากาศยามเช้า ผิวกายขาวเนียนมีรอยแดงเพราะเดินฝ่าแดดร้อน ๆ มา ด้วยเท้าเปล่าเปลือย เมื่อเดินเข้ามาในร้าน ก็มาพร้อมรอยดินจาง ๆ


    “ม...มาได้ยังไง”พันตรีถาม วางช้อนในมือลง ก่อนจะลุกขึ้นยืน อักษราภัคเดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะ แล้วเลือกนั่งทางฝั่งตรงข้าม สายตาหลุบมองอาหารตรงหน้า ก่อนจะย่นจมูกเล็กน้อย โน้มลำตัวลงมาเหนือถ้วยต้มเลือดหมูก่อนจะเงยหน้าตอบ


    “ตามเจ้ามาน่ะสิ...”ว่าแล้วก็ยกมือเสยผมหยักเป็นลอนออกไปให้พ้นไหล่ แย้มยิ้มมาให้


    “แล้วกินอะไรมาหรือยังล่ะ”เด็กหนุ่มถาม ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ หลังสงบสติอารมณ์ให้กลับมาเหมือนเดิม โบกมือให้ป้าจิตว่าไม่ต้องมารับออร์เดอร์จากอักษราภัค แกมีสีหน้างงงวยให้กับอักษราภัคจนน่าขำ


    “เรียบร้อยแล้ว...แต่อาหารของเจ้าก็น่าสนใจไม่น้อย”เจ้างูบอก พร้อมกับชี้มาที่ข้าวในจาน


    “อยากกินเหรอ เดี๋ยวผมสั่งให้”เขาทำท่าจะตะโกนสั่งอาหาร แต่แขนขาวเนียนของเจ้าตัวโบกมือไปมา พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง พร้อมกับจ้องมองไม่กระพริบตา ราวกับว่าเป็นนิสัยที่ติดมาจากงู


    “ไม่...เจ้าป้อนให้ข้า”


    “...จะดีเหรอ”พันตรีถาม เหลือบมองใบหน้าที่มีความคาดหวังของเจ้างู แต่ก็ใจอ่อนยวบเพราะถ้อยคำเมื่อคืน จึงยอมตักเนื้อหมูไปให้ 


    “เอ้า”


    ยื่นช้อนไปตรงหน้า อักษราภัคย่นคิ้ว แต่ก็อ้าปากรับอาหารจากช้อนของเขาไป ระหว่างปากขยับเคี้ยวหยับๆ สีหน้าไม่ปรากฏอารมณ์ แต่คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น เมื่อกลืนอาหารลงคอ เจ้าตัวจึงพูด


    “...ข้าว่ากลับไปกินแบบเดิม เป็นดีที่สุด”จากนั้นก็เลียปากพร้อมกับหยิบจับของบนโต๊ะขึ้นมาสำรวจอย่างสนอกสนใจ เด็กหนุ่มทานข้าวต่ออย่างไม่สนใจนัก รู้ตัวอีกทีก็ถูกคนตรงข้ามนั่งเท้าแขนมองอยู่ตลอด สีหน้าคล้ายกับนึกสนุก


    “เจ้าบอกจะหาชุดใหม่ให้ข้าไม่ใช่หรือ”


    “ใช่...ถ้าอย่างนั้น คุณอยากออกไปข้างนอกไหมล่ะ แต่ว่าต้องเปลี่ยนชุดก่อนนะ”เขาบอก อักษราภัคดึงกลุ่มผมมาม้วนเล่นไปมา ทำหน้าใคร่ครวญอย่างหนัก


    “ไปซื้อผ้าถุงของคุณ สมัยนี้มีแต่ผ้าสวยๆ”พันตรีกล่อม ในหัวเค้นหาร้านผ้าไทยว่ามีร้านไหนบ้างที่อยู่ใกล้กับมหา’ลัยบ้าง อีกฝ่ายได้ฟังแล้วมีท่าทีกระตือรือร้นขึ้นมาบ้าง


     “...ก็ได้ เจ้าไปไหน ข้าไปด้วย”อักษราภัคพูด มองพันตรีอีกครั้งเหมือนไม่เคยพบเจอ ก้มหน้าทานข้าวในจานให้หมด มีสายตาสีดำจ้องเขม็งตลอดมื้ออาหาร เขารีบจัดการอาหารจนหมด ก่อนจะลุกไปจ่ายเงินกับป้าที่หน้าร้าน มีอักษราภัคเดินตามมาติดชนิดที่ไม่ให้หนีห่างเกินกว่าสองเก้า เขายื่นแบงค์ร้อยให้ป้าจิต เจ้าตัวเอ่ยยิ้มๆให้คนที่อยู่ข้างๆ


    “นี่ใครล่ะตรี ไม่เคยเห็นหน้าเลย”ป้าจิตถามระหว่างที่ทอนเงินให้อยู่ คนข้างกายแค่ยืนนิ่ง ๆ เหลียวมองเด็กหนุ่มอยู่ตลอด เขาแค่แนะนำเหมือนที่เคยบอกกับนนท์


    “นี่เป็นพี่ของผมเองครับ ชื่อเผือก”เขาบอกป้าแก พอได้เรียกชื่อนี้แล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ชื่อออกจะน่ารัก


    “เผือก? คงเพราะว่าขาวสินะ”ป้าแกพึมพำ สายตามองพี่เผือกอย่างสนใจ เขารับเงินทอนกลับมา แล้วจูงมืออักษราภัคออกจากร้านก่อนที่จะมีคนเข้าร้านมากกว่านี้


    พอกลับมาถึงห้องพัก เด็กหนุ่มเข้าไปหาเสื้อผ้าให้อักษราภัคใส่ อีกฝ่ายสูงกว่า เลยต้องเลือกกางเกงตัวใหญ่ๆหน่อย ข้างกันมีงูเผือกมาป้วนเปี้ยนอย่างสนใจ ยื่นหน้ามองในตู้เสื้อผ้า ปากก็พึมพำ “ประหลาดนัก ๆ” ไปด้วย


    “ลองใส่สิ...”ในที่สุดก็เลือกเสื้อเชิ้ตสีขาวให้อีกฝ่ายได้ ยื่นไปให้อีกฝ่าย เจ้างูมีสีหน้าไม่ชอบใจเท่าไหร่


    “ข้าไม่ชอบสีของมัน”


    เขากลอกตาอย่างอดทน เป็นงูที่เรื่องมากจริงๆ


    เปิดลิ้นชักไปหาเสื้อที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน อย่างเสื้อสีสดใสสีแสบตาเกินไป เช่นเสื้อเชิ้ตแขนสั้นคอจีนสีแดง
    เลือดนกที่ได้มาจากพี่รหัส อีกฝ่ายบอกว่าอยากให้พันตรีมีชีวิตชีวามากขึ้น ผลสุดท้ายมันกลับมาซุกอยู่ก้นลิ้นชักแบบนี้ เด็กหนุ่มคลี่เสื้อออกแล้วเอาไปทาบกับลำตัวของอักษราภัค ผิวขาวๆตัดกับสีเสื้อได้ดี


    “ใส่ตัวนี้ก็แล้วกัน...ส่วนกางเกง...”เขาหนักใจนิดหน่อย เพราะเจ้างูต้องไม่ใส่กางเกงยีนส์แน่ จึงหยิบกางเกงสีขาวขาสั้นมาให้ อักษราภัคคงไม่เกี่ยงเพราะผ้านุ่งของเจ้าตัวก็สั้นพอกัน แต่คิดไปคิดมา อีกฝ่ายคงไม่ชินกับกางเกงแบบนี้ ผ้าถุงไม่ได้มีเป้ากางเกงนี่นะ พันตรีต้องค้นหากางเกงขาก๊วยให้อีกฝ่ายจนเจอ สมัยปีหนึ่งเขาได้ใส่บ่อยๆ


    เขายืนมองชายรูปร่างสูงสมส่วน ค่อยๆถอดสร้อยสังวาลออกอย่างเชื่องช้าราวกับว่าอาลัยอาวรณ์นักหนา เจ้างูไม่อายที่จะปลดผ้าต่อหน้าเขาด้วย


    “ช่วยข้าที”อักษราภัคเรียก มองมาด้วยสายตาอ้อนวอน เจ้าตัวถอดสังวาลออกค่อย ๆ วางลงบนเตียง ทับทิมบนสร้อยทำเอาแสบตา เด็กหนุ่มส่ายหน้าเดินเข้าไปหา มองหน้าอกที่มีรอยแดงจากแสงแดด กลิ่นกายผู้ชายของงูเผือกทำให้เขาแปลกใจ เพราะหอมเจือจาง ไม่ใช่กลิ่นแบบมนุษย์ผู้ชายทั่วไป


    “ให้ช่วยอะไร เข็มขัดนี่ คุณปลดออกก็จบเรื่อง”


    พันตรีมองเส้นเข็มขัดคาดเอวของเจ้างู เงยสบตากับอีกฝ่าย อักษราภัคย่นคิ้ว ก่อนจะก้มศีรษะลงมา เขามองท่าทีของอีฝ่ายอย่างพิจารณา แต่สุดท้ายก็ยื่นมือออกไปถอดรัดเกล้าบนหน้าผากออกให้อย่างเบามือเพราะกลัวอีกฝ่ายเจ็บ ผมดึงออกจนได้ อักษราภัคจับหน้าผากของตัวเอง


    พันตรีมองรัดเกล้าในมือ ลูบไล้รอยโบ๋ของมณีที่หายไป ดวงตาสีดำกำลังมองเด็กหนุ่มอยู่เหมือนกัน จึงรีบวางของในมือลง


    “เอ้า ใส่เสื้อ”


    พันตรีคว้าเสื้อเชิ้ตมาจากเขา แกะกระดุมที่คอออกทั้งหมด เพราะเป็นเสื้อแบบจีน ไม่ใช่เชิ้ตมีกระดุมทั้งตัว เอื้อมไปสวมเสื้อลงศีรษะให้ จนพ้นใบหน้าลงมา อักษราภัคทำหน้านิ่ง


    “ยุ่งยากเสียจริง”เจ้าตัวบ่นอุบเมื่อพยายามยัดแขนใส่เสื้อทั้งสองข้าง จนกระทั่งสวมเสื้อสำเร็จ เหน็บกระดุมให้อักษราภัคจนครบ สางผมออกจากตัวเสื้อให้หมด เส้นนุ่มมือมีกลิ่นแชมพูอยู่บางเบา


    “เจ้าใจดีกับข้า แสดงว่าใจอ่อนแล้วหรือ”


    “ไหนๆ คุณก็อยู่กับผมแล้ว อะไรที่ช่วยได้ผมก็ช่วยนั่นแหละ”


    อักษราภัคยิ้มกริ่ม ดวงตาเป็นประกาย พันตรีทำเมิน


    “ถอดผ้าถุงของคุณออก แล้วสวมกางเกง”เขาสั่ง อักษราภัคยิ้ม ปลดเข็มขัดออก ก่อนจะดึงชายผ้าที่จับจีบไว้ออกทีละปม ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจับจีบผ้าพวกนี้เองหรือเปล่า แต่มันไม่ใช่การนุ่งผ้าถุงแบบธรรมดา เมื่อถอดผ้าถุงออกให้พ้นช่วงขา ไม่คิดเลยว่าเจ้างูจะไม่ได้ใส่ชั้นใน


    “รีบใส่เร็วเข้า ยืนโชว์อยู่ได้”พันตรีทำไม่สนใจ คนที่เปลือยท่อนล่างตรงหน้า ได้ยินงูเผือกหัวเราะในลำคอ เด็กหนุ่มคิดว่าอีกฝ่ายต้องจงใจแกล้ง ในเมื่อเจ้าตัวออกตามหาเขาในโลกมนุษย์ แสดงว่าต้องพบเจอโลกที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วบ้าง


    ไม่ใช่ทำไร้เดียงสาได้หน้าซื่อตาใส เห็นจากหางตาว่าอักษราภัคกำลังยื่นขาสวมกางเกงทีละข้าง เนื่องจากกางเกงขาก๊วยตัวใหญ่ แต่ต้องผูกเชือกให้เป็น พันตรีจำต้องไปพับกางเกงแล้วผูกเชือกที่เอวให้ ก่อนจะจัดแจงกางเกงให้เข้าที่เข้าทาง


    และรู้สึกได้ถึงสายตาของอักษราภัค


    “เจ้าเปียผมให้ข้าได้หรือไม่”อีกฝ่ายถาม    


    “ทำไม่เป็น”


    “อืม ผมข้ายาวไปสำหรับผู้คนที่นี่หรือ”อักษราภัคพึมพำ ก้มลงไปเก็บผ้าถุงผืนยาวก่อนจะพับอย่างเรียบร้อยแล้ววางลงบนเตียงช้าๆ


    “แค่มัดรวบไว้ก็พอ”เขาพูด พาเจ้าตัวไปนั่งที่เก้าอี้ หยิบหวีมาสางผมให้อักษราภัคไปเรื่อยๆ อีกฝ่ายไม่ได้มีผมที่ยุ่งเหยิงหรือพันกัน เส้นผมนุ่มมือดี


    “เมื่อก่อน คุณมัดผมยังไง”พันตรีชวนคุย ขณะที่มือหวีลงบนศีรษะเบาๆกลัวว่าอักษราภัคจะเจ็บ


    “หากก่อนเจอเจ้า ข้ามีบริวาร แต่ในวันที่เจ้าลงมาอยู่กับข้าที่ใต้บาดาล มีเจ้าเป็นคนแต่งองค์ให้”อีกฝ่ายเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับโหยหาวันคืนเหล่านั้น พันตรีชะงัก ก่อนจะรวบเส้นผมไว้เต็มมือ เอื้อมไปเปิดลิ้นชักหาเส้นด้ายหรืออะไรสักอย่างมามัดผมให้อักษราภัค จนมาจบลงที่หนังยางมัดถุงแกง

    เอาเถอะ ใช้ไปก่อนก็แล้วกัน พันตรีมัดผมให้อักษราภัคเป็นปล้อง ๆ เพื่อไม่ให้เส้นผมมันพันกัน

    “เสร็จแล้ว”เด็กหนุ่มบอก ส่งยิ้มให้งูเผือก


    “ขอบคุณเจ้ามาก”เจ้าตัวเหลียวมอง ใบหน้าเหมือนมีร่องรอยความเศร้าให้เห็น เขาทำหน้าไม่ถูก คงเพราะอาจนึกถึงอดีตล่ะมั้ง เด็กหนุ่มหยิบกระจกให้อีกฝ่ายส่องดู


    “ดูสิ ผมคุณสวยนะ”


    ยื่นกระจกเงากลมๆไปให้ เจ้าตัวรับกระจกไปถือ ก้มมองภาพสะท้อนในกระจก ก่อนจะยิ้มบางๆ ลูบแผ่นกระจกไปด้วย


    “...ข้าสามารถอยู่กับเจ้าได้หรือไม่”อักษราภัคเอ่ยถาม สายตายังจับจ้องเงาสะท้อนในกระจก เด็กหนุ่มนิ่งไป ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเอ่ยคำถาม หรือว่าแค่รำพึงกับตัวเอง


    “คุณก็อยู่กับผมไม่ใช่เหรอไง”เขาตอบไปตามตรง การมีเจ้างูอยู่ข้าง ๆ ก็ไม่ได้แย่ไปซะหมด อย่างน้อยเขาก็มีเพื่อนคุย มีเรื่องที่อีกฝ่ายชอบทำให้เขาขำ


    “ข้าหมายถึงตลอดไปน่ะ”


    พันตรีเงียบ ขณะที่อักษราภัควางกระจกลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นยืนเดินมาหา เราประจันหน้ากัน เด็กหนุ่มกวาดสายตามองคนตรงหน้าอย่างค้นหา ดวงตาสีนิลสะท้อนใบหน้าของพันตรีออกมา หัวใจของเขาเหมือนทำงานหนัก


    ไม่อยากเห็นคนตรงหน้าเศร้าหมองเลยแม้แต่น้อย เขาชอบที่อีกฝ่ายเป็นงู ถึงแม้ว่าเจ้างูจะชอบสำรวจร่างกายเด็กหนุ่มบ่อยๆ แม้ในใจจะร้องบอกว่างูกับคนมันเป็นไปไม่ได้ แต่เรื่องของพันตรีกับอักษราภัคดูเหมือนจะเป็นโชคชะตา เขาคิดแบบนั้น


    “...ได้สิ”เขาตอบตกลง ถ้าหากว่าอักษราภัคอยู่กับเขาได้จริง...


     เจ้าตัวเผยยิ้มออกมา ก่อนจะโถมกายเข้ามากอดเด็กหนุ่มไว้แน่นจนเต็มอก เขาตั้งตัวไม่ทัน ยืนเซในอ้อมแขนของอักษราภัค ‘งูตัวนี้แรงเยอะขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย’


    พันตรียอมให้อักษราภัคกอดอยู่นาน


    “ออกไปได้แล้ว มัวแต่พิรี้พิไร”


    พันตรีดันร่างของงูเผือออกห่าง แล้วหันไปหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซต์ออกมาถือ ไม่ลืมหยิบเสื้อคลุมติดมาด้วย ไม่ทันเดินออกจากห้อง อักษราภัคก็เดินตามหลังมาพร้อมเอ่ยอย่างหนักแน่น


    “ข้าชอบเจ้า”


    “...รู้น่า”เด็กหนุ่มรับคำ รู้สึกดีที่อีกฝ่ายเอ่ยบอกตรงๆอย่างจริงใจ แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร


    “ข้าชอบเจ้า”อักษราภัคยังย้ำเหมือนเดิม


    “ผมรู้ครับ...”พันตรีหันมองอีกฝ่าย ใบหน้าของอักษราภัคฉายความรู้สึกชัดเจน นัยน์ตาสีนิลไม่เคยมองสิ่งอื่นนอกจากเขา ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ได้แต่ฟังคำพูดของชายคนนี้ไปเรื่อยๆ


    “ข้าเอ่ยจริง...และข้าปรารถนาให้เจ้าตอบแทนข้าด้วยรักเช่นกัน”เจ้าตัวบอก เดินเข้าหาจนชิดใกล้ รูปร่างที่สูงกว่าทำให้อักษราภัคก้มลงมองเขา ราวกับอยากให้พูดว่าคำรักตอบ พันตรีรู้ว่าอีกฝ่ายคงหวังอย่างนั้น แต่มันคงเร็วเกินไปสำหรับเด็กหนุ่มในโลกที่ไม่ได้รู้จักอักษราภัคเลยแม้แต่น้อย


    พันตรีสบตากับอีกฝ่าย


    “..งั้นก็ทำให้ได้สิ”เขาบอกเรียบๆ จากนั้นก็เอื้อมหยิบกระเป๋าสะพายที่แขวนอยู่ริมห้อง ล้วงหยิบโทรศัพท์แล้วส่งข้อความหานนท์เพื่อบอกว่าจะแวะไปที่ร้าน


    พอลงออกมาจากหอพัก เขาพาอักษราภัคซ้อนมอเตอร์ไซต์ แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เคยนั่งรถแบบนี้เลยก็ตาม แต่ก็ให้ความร่วมมือดี เสียแต่ว่าเกาะเอวแน่นไปหน่อยจนคนมองกันใหญ่ มันคงพิลึกแน่ๆ ผู้ชายสองคนกอดเอวกัน


    ร้านขายอุปกรณ์เลี้ยงสัตว์ของนนท์อยู่ไม่ห่างจากโซนหอพักรอบๆมหา’ลัย เป็นร้านในอาคารพาณิชย์สองชั้น ชั้นแรกเปิดขายอุปกรณ์ทั่วไป ตู้หรือกล่องเลี้ยงสัตว์ ชั้นบนเป็นสัตว์เลี้ยงอย่างงู เต่า กุ้ง กิ้งก่า เป็นร้านที่ทำร่วมกับพี่ชายของนนท์อีกที


    เมื่อมาถึงหน้าร้าน เด็กหนุ่มจอดรถ อักษราภัคหน้าบูดหนักกว่าเดิม


    “รอด้านนอกหรือว่าจะไปด้วยกัน”เขาถามอีกฝ่ายที่กำลังถอดหมวกกันน็อคอย่างทุลักทุเล จากนั้นก็วางลงกับเบาะ เจ้าตัวยืนนิ่งงัน ผิวขาวมีรอยฝาดที่แก้มเพราะอากาศร้อน


    “ไปกับเจ้า”


    พันตรีจับแขนอักษราภัคไว้เพราะกลัวไปทำทะเลอทะล่า พอผลักประตูเข้าไปในร้าน อากาศเย็นฉ่ำจากแอร์ทำให้เขาสบายตัว นนท์นั่งอยู่ที่โต๊ะหลังเคาเตอร์ใกล้ประตู พอเห็นพันตรีก็รีบเดินมาหา


    “อ้าว สวัสดีครับพี่เผือก”มันมอง‘พี่เผือก’อย่างแปลกใจ แล้วหันมาทักทายเขาตามประสาเพื่อน พี่เผือกได้แต่ยืนจ้องนนท์ตาเขม็ง เขาดึงแขนของอักษราภัคให้เดินไปดูของในร้านแทน


    “ตกลงอย่างได้กล่องแบบไหน”นนท์ถาม เขาส่ายหน้าเพราะกล่องในร้านมันเล็กไปสำหรับงูเผือก


    “มันเล็กไปว่ะ อยากได้ใหญ่กว่านี้”


    “โห งูบอลตัวนิดเดียวเอง ถ้าใหญ่กว่านี้มึงเลี้ยงงูหลามหรือไง”อีกฝ่ายหัวเราะ พันตรีหันมองพี่เผือกที่ยืนนิ่งจึงไม่ขยับตัวเลยสักนิด


    “อยากเอาไว้ให้เลื้อยเล่นน่ะ แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร”


     บางทีเด็กหนุ่มอาจหากล่องพลาสติกขนาดใหญ่เอง นนท์ยักไหล่ก่อนจะวางกล่องยากับถุงบรรจุหนูแช่แข็งที่สั่งไว้ให้ลงบนเคาร์เตอร์ พี่เผือกขยับหน้ามองถุงหนูแช่แข็งอย่างสนใจ 


    “นี่ยาอะไร”พันตรีถาม มองกล่องยาอย่างสงสัย อักษราภัคก้มมองตาม จนเข้ามาหน้าของอีกฝ่ายแนบลงมาใกล้ราวกับจะหอมแก้มเขามากกว่า นนท์จ้องเขม็ง พันตรีทำไม่รู้ไม่ชี้


    “ยาถ่ายพยาธิน่ะ ต้องถ่ายอาทิตย์ล่ะครั้ง”


    “เหรอ”


    แต่ยาตัวนี้คงไม่ได้ใช้ ที่ต้องซื้อมาเก็บไว้เพราะนนท์เข้าใจว่าเขาเลี้ยงงูจริงๆ


    “อือ ไม่เข้าใจอะไรก็ถามกูได้แหละ แต่ยานี่มันบอกวิธีใช้อยู่”นนท์พูด ก่อนจะเอายากับหนูแช่แข็งใส่ถุงใบใหญ่


    “อืม”


    “อยากไปดูงูตัวอื่นไหม อยู่ชั้นบน”มันพยักเพยิดไปทางบันไดริมห้อง พันตรีลังเล แต่‘พี่เผือก’ขมวดคิ้ว ตีแขนเด็กหนุ่มไปด้วยเหมือนจะย้ำเตือนถึงอะไรสักอย่าง เขาหันมองอักษราภัคที่ทำหน้าบูดไปแล้ว


    “ไม่ล่ะ”พันตรีตอบ


     “ตามใจ แล้วจะไปไหนต่อ”นนท์ถามต่อเมื่อจ่ายเงินค่าของทั้งหมด เสียไปเกือบพันเลยเหมือนกัน ทำเอากระเป๋าแฟบไปเยอะ เขาถือถุงหิ้วไว้ในมือ


    “เออ ว่าจะไปหาซื้อผ้าไทยน่ะ แถวมอเรามีขายที่ไหนวะ”พันตรีถาม


    “อืม...ผ้าไทยแบบไหนวะ”นนท์ทำหน้างง เหลือบมองพี่เผือกอย่างสงสัย


    “พวกผ้าถุงไง ของพวกนางรำ นาฏศิลป์ไง”


    “อ้าว แล้วพี่เผือกไม่รู้เหรอ น่าจะรู้จักนะ เรียนนาฏศิลป์นี่หว่า”คำตอบของนนท์ทำให้เด็กหนุ่มคิดอะไรไม่ออก


    ‘นั่นสิ ลืมคิดถึงข้อนี้ไปเลย’ คนที่ถูกเอ่ยถึงไม่ได้พูดอะไรแค่ทำหน้าเรียบเฉยมองหน้านนท์อย่างเดียว จนนนท์ละสายตามาหาเขาแทน


    “เออ พี่เขาไม่เคยไปซื้อเองน่ะ แล้วก็อยากได้ผ้าสวยๆ รายละเอียดปรานีตนิดนึง”พันตรีบอกไปแบบนั้น แถจนสีข้างถลอก


    “ลองไปร้านเพ็ญสิ มีผ้าไทยขายอยู่ แต่ไม่รู้จะมีผ้าถุงขายเป็นหลาไหมนะ”นนท์ให้คำตอบ เขาพยักหน้า ก่อนจะบอกลาเพื่อน แล้วเดินออกจากร้าน ไม่ลืมจะดึงอักษราภัคให้เดินตามมาด้วย


    เมื่อออกมานอกร้านแล้ว เด็กหนุ่มรีบเอาของวางไว้ที่หน้ารถทันที


    “เพื่อนเจ้า พูดจาไม่เข้าหูนัก”อักษราภัคตามมาบ่น


    “มีอะไรเข้าหูคุณบ้างเนี่ย”เขายิ้มอย่างไม่ถือสา อักษราภัคเหลือบมอง “มีแค่เจ้า”


    ความน้ำเน่าคงอยู่ในสายเลือดและทุกสถานการณ์จริงๆ



    พันตรีแวะไปซื้อผ้าไทยให้อักษราภัค พร้อมกับเงินที่ปลิวหายไปเกือบสองพัน ผ้าที่เจ้างูเผือกชอบก็ราคาสูงลิ่วเป็นของดี แม้ว่าจะเกลี้ยกล่อมให้ใช้ผ้าสำเร็จรูป แต่เจ้าตัวไม่ยอม เขาเลยต้องซื้อผ้าไทยมาสองสีผืนละสามหลา เห็นอักษราภัคท่าทางพอใจน่าดู


    เห็นที เด็กหนุ่มคงต้องเอาสร้อยเพชร เข็มขัดของอีกฝ่ายไปจำนำแล้วล่ะ มั่นใจว่าได้ราคาดีแน่  ตอนกลับหอพัก อักษราภัคเปลี่ยนร่างเป็นงูดังเดิม พร้อมบ่นว่าเสียพลังงานไปเยอะอยากกลับไปพักผ่อนแล้ว


    ช่วงเย็นหลังกลับมาจากการตะลอนหาซื้อผ้าไทยมาจนได้ งูเผือกกลับไปนอนขดบนเตียง ส่วนหนูแช่แข็งก็หายไปเกือบครึ่งถุง เขาเก็บแช่ในช่องฟรีซ เก็บผ้านุ่งผืนเก่าของอักษราภัคไปซักที่ชั้นล่าง ซึ่งห้องซักผ้ารวมอยู่ชั้นล่างนอกตัวอาคาร อยู่ติดกับโรงจออดรถ ทำให้เห็นทางเดินอ้อมไปยังทางด้านหลังหอพักได้ ระหว่างที่เอาผ้าลงเครื่อง หยอดเหรียญไปเรียบร้อยแล้ว


    ทันใดนั้นเด็กหนุ่มเห็นงูสีเผือกเลื้อยปราดเปรียวเลี้ยวหายไปทางมุมอาคาร ด้านหลังหอพักไปแวบ ๆ

    เขาคิดว่าตาไม่ฝาดแน่ นึกว่าเจ้างูจะนอนหลับอยู่ซะอีก เขาดูนาฬิกาข้อมือ ‘นี่ก็เกือบจะหกโมงเย็นแล้ว’ อีกฝ่ายออกหาอาหารก็ไม่น่าจะใช่ เพราะหนูก็อยู่ในตู้เย็น

    พันตรีตัดสินใจเดินตามไป พอถึงมุมตึกก็เจอกับทางเดินแคบ เพราะติดกับกำแพงตึก เมื่อพ้นช่วงอาคารมาได้ยังเจอกับลานหญ้ากว้างและมีแนวป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ เขาไม่รู้ว่าด้านในป่านั้นมีอะไร แต่ได้ยินป้าจิตบอกว่ามีสระบัว กับบ้านเก่า ๆ หลังหนึ่งของเจ้าของหอพักแต่ทิ้งร้างไว้


    พันตรีสอดส่องมองหาร่างของงูเผือก แต่ก็ไม่เจอ


    “หายไปไหนนะ”ได้แต่พึมพำกับตัวเอง ก่อนจะถอนหายใจ ระหว่างหมุนตัวเดินกลับ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อพบว่ากำลังประจันหน้ากับงูยักษ์ตัวหนึ่ง มันตัวใหญ่ สีดำเข้มไปหมด เกล็ดมันวาว แค่มันโหยงตัวชูคอก็เลยระดับศีรษะของเด็กหนุ่มไปแล้ว


    หรือนี่คือนาคาในเมืองบาดาล


    เขาสบตาสีดำของงูยักษ์ หัวของงูใหญ่กว่าศีรษะของเขาซะอีก ลำตัวดำเข้มเกล็ดมันวาว เด็กหนุ่มถอยหลังทันที เพราะนี่คือสัญญาณอันตราย นาคา วรรณะสีดำ


    “เจ้ามนุษย์ หากรักชีวิต จงคืนมณีนาคาขององค์เหนือหัวมาเสีย”ทว่างูใหญ่เอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว เด็กหนุ่มตกใจมาก เนื้อตัวเย็นเยียบ หากว่าเขาขยับ หัวใหญ่ๆนั่นจะโดนฉกกัดจนตายหรือเปล่า


    “ผม...ผมไม่รู้เรื่อง”เขาตอบออกไป

    ในใจนึกถึงอักษราภัคทันที เพราะมณีนั่นที่อีกฝ่ายขโมยมาแท้ ๆ ‘นี่เป็นเรื่องแล้วไหมล่ะ’ เด็กหนุ่มพยายามถอยห่างจากงูทีละนิด แต่แค่เขาขยับตัวเพียงเล็กน้อย งูตัวใหญ่ก็ผงกหัว ม้วนลำตัวเข้ามาโอบล้อมหน้าล้อมหลังไว้หมด ปิดทางหนีไปหมดสิ้น 

    “อย่าเฉไฉ อักษราภัคอยู่กับเจ้าไม่ใช่รึ”


    “แต่ ผมไม่รู้นี่ว่ามณีอะไรนั่นอยู่ที่ไหนจริงๆ”เขาบอก ส่ายหน้าอย่างอับจนถ้อยคำ อักษราภัค...ยังไม่มาช่วยกันอีก เขาควรทำยังไงดีล่ะ พอเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เขาหัวตื้อตันไปหมด


    ฉับพลันร่างของงูใหญ่แปรเปลี่ยนเป็นร่างมนุษย์ หากอักษราภัคเป็นนาคาที่งดงาม ชายตรงหน้าคงเป็นนาคาที่เปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่งของบุรุษเพศ หน้าอกกำยำ แต่งกายไม่ต่างจากอักษราภัค เพียงแต่ผ้านุ่งไม่ใช่สีแดงมีลวดลาย เป็นแค่ผ้าสีน้ำตาลเข้มนุ่งโจงกะเบน ในมือมีอาวุธคือฉมวกเหล็กสามง่ามอันใหญ่ 


    พันตรีหน้าเปลี่ยนสี นึกถึงคำเตือนของงูตัวนั้น 


    ‘ระวังผู้ติดตามขององค์อักครา’


    “รู้หรือไม่ พิษของนาคาสีดำก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านาคาลำดับสูง พิษของข้าสามารถทำให้เจ้าร้อนเป็นไฟ หายใจมิออก แค่โดนไปเพียงน้อย เจ้าสามารถตายตกไปได้...เอาล่ะ บอกความจริงมาบัดเดี๋ยวนี้”อีกฝ่ายเอ่ยเสียงกร้าว


    ชายคนนี้ต้องเป็นผู้ติดตามอะไรนั่นแน่ๆ มันเปลี่ยนทิศทางของฉมวกปลายแหลม ขยับจ่อมาใกล้ลำคอเพื่อทิ่มแทง 


    อาวุธชิ้นนี้อาจมีพิษ


    พันตรีไม่รู้ว่ามณีอะไรนั่นอยู่ที่ไหน นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน รู้แบบนี้ไม่น่าตามงูเผือกมาเลย...เอ๊ะ? หรือว่า เจ้างูที่เขาเห็นอาจไม่ใช่อักษราภัค


    เขามองหน้าชายกำยำ ที่กำด้ามฉมวกเหล็กแน่นขึ้นพร้อมกับถอยไปทางด้านหลังเพื่อทุ่มแรงเข้าหา


    ซ่า ซ่า 


    เสี้ยววินาทีนั้น อยู่ ๆ ก็เกิดเสียงแปลกๆคล้ายกับเสียงน้ำตกไหลกระหน่ำดังขึ้น พร้อมกับแสงสีมรกตวาบขึ้นมาจนแสบตา พันตรีโดนแรงผลักเข้าที่ไหล่จนล้มเซไปอีกทาง


     “เจ้า!”เสียงของผู้ติดตามร้องอย่างโกรธแค้น


    “คิดดีแล้วรึ ที่มาก่อกวนบ้านของข้า”เสียงของอักษราภัคเอ่ยขึ้น พันตรีรีบขยับลุกยืน หันมองไปที่ต้นเสียงทันที อักษราภัคในยามนี้ยังคงสวมเสื้อของเขาอยู่ เรือนผมยังคงรวบมัดไว้เป็นปล้องเล็กๆไว้ไม่ได้แกะออก ร่างกำยำของศัตรูมีรอยมีสีแดงที่หน้าอกเหมือนรอยช้ำ


    อักษราภัคมาช่วยได้ทัน ก่อนที่ฉมวกเหล็กจะแทงทะลุคอเขาเข้า


    “ข้าแค่ต้องการทวงคืนของขององค์เหนือหัว”ผู้ติดตามเอ่ยบอก ยังคงหันปลายฉมวกเข้าหาอักษราภัค


    “เจ้ารู้แก่ใจดีไม่ใช่หรือ ว่านั่นไม่ใช่ ‘ของ’ของเสด็จพ่อ...ข้าเตือนเจ้า หากคิดทำร้ายคนของข้า เจ้าจะไม่ได้กลับไปซุกหัวที่อัตรคุปต์อย่างแน่นอน”


    “เจ้าไม่ใช่คนของอัตรคุปต์แล้ว คิดว่าข้าเกรงกลัวหรือ!”ศัตรูร้องบอกอย่างหยามเหยียดทั้งแววตาและน้ำเสียง คนฟังเช่นอักษราภัคถึงกับนิ่วหน้า


    พูดจบร่างของมนุษย์กำยำก็พลันเปลี่ยนเป็นนาคาสีดำตัวใหญ่ หากอักษราภัคคิดสู้คงเสียเปรียบ ร่างจริงของงูเผือกไม่ต่างอะไรจากลูกงูตัวน้อย ไร้ความน่าหวั่นเกรง ปรายหางของนาคาตัวใหญ่ตวัดเข้าหาอัษราภัคอย่างรวดเร็ว แต่อักษราภัคหลบหลีกได้ เหลียวมองมาทางเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าเป็นห่วง


    “กลับไปห้องก่อน”


    “แต่ว่าคุณ...”เขาลังเล กลัวว่าอีกฝ่ายจะบาดเจ็บ


    พันตรีหันซ้ายหันขวา แปลกใจว่าเสียงดังขนาดนี้ไม่เห็นมีคนอื่นโผล่หน้ามาดูสักนิด


    เสียงงูข่อดังฟ่อ พร้อมกับเตรียมปล่อยพิษออกมา พิษงูมีสองลักษณะ พิษจากการฉก และพิษจากการพ่น ทว่าต่างร้ายแรงเท่ากัน วูบเดียวอักษราภัคเปลี่ยนร่างเป็นงูเผือกดังเดิม คราวนี้ที่ลำตัวมีรอยแผลฉีกขาดจนเหวอะไป


    “อักษราภัค!”


    พันตรีตกใจ แต่ไม่กล้าเข้าไปขวางกับการต่อสู้ของทั้งคู่ อักษราภัคเลื้อยหนีการจู่โจมของนาคาสีดำ ดวงตาฉายแววดุร้าย อักษราภัคใช้อาคมอะไรสักอย่างปรากฏแสงสีทองเจือจาง ตรีศูลสามง่ามด้ามเรียวยาวปรากฏฉับพลันพุ่งเข้าหาใต้ลำคอของนาคาสีดำ


    นาคาสีดำชะงักเล็ก หากคิดขยับ ตรีศูลได้แทงทะลุคอเป็นแน่


    “เห็นรึไม่ ตรีศูลด้ามนี้ ไม่ใช่ของธรรมดา”อักษราภัคเอ่ยอย่างถือดี ที่ด้ามของตรีศูลมีพญานาคพันเกี่ยวไว้ เศียรของนาคราชมองเห็นได้ชัดเจน รูปลักษณ์ของตรีศูลโบราณบ่งบอกว่าผ่านกาลมายาวนาน ที่ผ่านมาเคยได้ยินว่าตรีศูลคืออาวุธประจำกายขององค์ศิวะ มีพลังทำลายสูง ร่างของนาคาสีดำพลันเลื้อยขดถอยห่างจากงูเผือกตัวเล็ก


    “เจ้ามิใช่คนของพวกเราแล้ว”นาคาสีดำส่ายหน้า แววตาดุร้าย


    “แล้วอย่างไร! หรือเจ้ากล้าลองดีกับข้า...”เพียงคำขู่ของอักษราภัค นาคาสีดำตัวใหญ่ไม่กล้าขยับกายอีก หันหน้ามองมาทางพันตรีอย่างดุดัน ก่อนจะเลื้อยหายไปในแนวป่าอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มมองตามงูสีดำตัวนั้นไปด้วยความมึนงง แล้ววิ่งไปหางูเผือกที่ฟุบนอนกับพื้นหญ้า ขดลำตัวเข้าหากันเป็นก้อน อาวุธที่ลอยอยู่เหนือร่างพลันสลายไป


    “คุณบาดเจ็บนี่”เขาค่อย ๆ ช้อนร่างของงูไว้ ยกอุ้มกอดอ้อมแขน เห็นรอยแผลถลอกลึกจนเห็นเนื้อด้านใน ยิ่งตัดกับเกล็ดสีขาวชัดเจน หยดเลือดเปรอะไปทั่วแผล งูเผือกส่ายหน้า


    “ไม่มีประโยชน์ พิษของนาคา ไม่มีทางหายโดยการรักษาจากพวกมนุษย์ แค่ปล่อยข้าไว้เช่นนี้ เดี๋ยวก็หายไปเอง”อีกฝ่ายตอบ แต่เขาไม่สบายใจเลยแม้แต่น้อย


    “แต่แผลขนาดนี้ คุณใช้อาคมรักษาไม่ได้หรือไง”เขาถาม ก่อนจะออกเดินเลาะไปตามริมอาคารหอพักเพื่อกลับเข้าไปด้านใน เจ้างูเลื้อยเชื่องช้าม้วนตัวอยู่อ้อมแขน


    “เอาน่า เชื่อข้าสิ...”


    พอกลับมาบนห้องพัก พันตรีวางงูเผือกลงบนเตียง กระวนกระวายหากล่องปฐมพยาบาล ไม่ทันที่จะยกมาทำแผลให้เจ้างู อีกฝ่ายร้องขัด


    “นี่ เจ้าควรออกห่างข้านะ ข้าโดนพิษ จำเป็นต้องคายออก”งูเผือกเลื้อยหนีมือของเขา ไม่ได้ชูคอ บ่งบอกว่างูกำลังบาดเจ็บ นอนราบกับเตียง


    “แล้วให้ผมทำยังไงล่ะ”เขาถามอย่างร้อนรน


    “หาที่ให้ข้าอยู่ แยกนอนกับเจ้าสักคืนสองคน คงไม่เป็นไรหรอกกระมัง”แม้งูเผือกพยายามไม่เครียดไปกับอาการบาดเจ็บ ทำเป็นพูดจาหยอกล้อ พันตรีมองหน้าเจ้างูอยู่นาน


    “คุณจะหายใช่ไหม”เด็กหนุ่มถาม รีบเปิดถุงสำลีออก หยิบน้ำยาล้างแผลออกมา เป็นน้ำเกลือ เขาเข้าไปจับร่างของเจ้างูให้เข้ามาใกล้


    “นี่ ไม่ได้ยินที่บอกรึ พิษของนาคาสีดำ...”


    “รู้น่า...แต่ไม่ได้จับโดนพิษ คงไม่เป็นไรหรอก”พันตรีบอก ก่อนจะเปิดขวดนำเกลือออกแล้วเทลงแผลของงู เจ้าตัวนิ่งไปไม่ได้ร้องอะไรอีก เขาเช็ดแผลให้สะอาด ร่องรอยบาดแผลจากพิษยังคงเหวอะอยู่


    “อืม...ข้าหาใช่งูธรรมดาเสียที่ไหน งูล้ำค่าเช่นข้านั้น ไม่เป็นอะไรง่ายดายแน่”งูเผือกเอ่ยบอก ทำให้เด็กหนุ่มยิ้มจางๆกับถ้อยคำของอีกฝ่าย


    “งั้นผมไปจัดที่นอนให้คุณก่อน”เขาบอก แต่ยังไม่ขยับไปไหน


    “เอาน่า ข้าไม่เป็นอะไรหรอก ข้าก็เป็นนาคาสีดำนะ พิษอ่อนเพียงนี้ ไม่เท่าพิษของข้า...บอกให้เจ้าสบายใจ ที่ข้าไปที่ป่าทุกเช้า นอกจากอาบแดด ข้าไปคายพิษทิ้งไว้น่ะ”งูเผือกเล่า เขามองดวงตาสีดำบนหน้าเรียวมนของเจ้างู พันตรีพยักหน้า ลุกจากเตียง เดินเข้าห้องน้ำไปหยิบกะละมังใบใหญ่ออกมา วางไว้ที่ขาเตียง หาผ้าเช็ดตัวปูรองพื้นไว้ ก่อนจะค่อยๆยกร่างของเจ้างูไปวางในกะละมังใบใหญ่


    “ขอถ้วยน้ำสักใบ”งูเอ่ยบอก เขาทำตามที่ขอ ไม่รู้ว่าเอาไปทำอะไร อาจจะเอาไว้คายพิษงู เด็กหนุ่มเอาถ้วยพลาสติกวางไว้ที่มุมกะละมัง ก่อนจะนั่งมองงูเผือกเลื้อยหาที่นอนเหมาะๆ ขดตัวเป็นก้อนกลม ๆ หากอีกฝ่ายเป็นพันธุ์บอลไพธ่อนล่ะก็...ตอนที่ขดตัวกลมแบบนี้หมายถึงกำลังกลัว แต่อักษราภัคไม่ได้อยู่ในภาวะนั้น


    “ไม่ต้องห่วง งูนั่นไม่โผล่มาทำร้ายเจ้าอีกแน่”


    “ผมไม่ห่วงเรื่องนั้นหรอก...”พันตรีโกหกไป แม้จะกังวลว่างูผู้ติดตามนั่นจะวกกลับมาอีก


    “ข้าสั่งบริวารไว้คุ้มกันแถวนี้แล้ว...ถึงจะเป็นงูบนบก แต่ก็พอเป็นหูเป็นตาให้ได้...อีกทั้ง ข้ามีตรีศูลเล่มนั้นอยู่ พวกนั้นไม่กล้ามาอีกแน่นอน”งูเผือกพูดอย่างมั่นใจ


    “ทำไมล่ะ อาวุธร้ายแรงเหรอไง”


    “ใช่ นอกจากจะเป็นอาวุธลักษณะเดียวกับองค์ศิวะ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ารูปสลักพญานาคที่ด้ามตรีศูลหรอก...อิทธิฤทธิ์ของนาค นาคาเช่นเราไม่เทียบหรอก”งูเผือกบอก เด็กหนุ่มหรับฟังเงียบๆได้แต่พยักหน้า


    “ตกลงมณีนาคานั่น...สำคัญถึงต้องแย่งชิงกันเลยเหรอ”


    “สำคัญมาก...เสด็จพ่อข้า ใช้วิธีสกปรกจึงได้มณีมา ส่วนข้าแค่ทวงคืนกลับมาเพื่อเจ้าของเดิม”งูเผือกเอ่ยเสียงแค้นเคือง ชูคอมองอยู่นาน พันตรีนิ่งงัน รู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วขึ้น... ‘ทวงคืน’ คำนี้ทำให้นึกถึงเรื่องในฝันที่อักษราภัคต้องการทวงคืนชีวิตให้อภันตี... เกี่ยวข้องกันงั้นสิ


    เด็กหนุ่มยื่นมือไปลูบหัวของเจ้างูอย่างเบามือเพื่อปลอบประโลม


    “ผมไม่คิดมากเรื่องนี้หรอก...ผมแค่ อยากมีชีวิตที่สงบสุข”เขากระซิบบอก การมาของอักษราภัคอาจถูกหรือไม่ถูกต้องนั้น เขาบอกไม่ได้ แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่กี่นาทีก่อนหน้านั้น มันทำให้เด็กหนุ่มกลัว แต่ก็ยังรู้สึกอบอุ่นใจ เมื่อรู้ว่าอักษราภัคสามารถปกป้องเขาได้เหมือนที่เคยเอ่ยไว้ ทว่าพันตรีไม่อยากให้อีกฝ่ายเจ็บตัวเหมือนกัน


    “ข้า...ขอโทษ”


    “ผมไม่ได้โกรธคุณหรอก อย่าคิดมาก แค่อยากไม่อยากให้มีคนเจ็บตัว รวมถึงคุณด้วย”เขาบอก ก้มมองเจ้างูที่นอนขด เขาละมือออกจากส่วนหัวของอีกฝ่าย ทว่าเจ้างูกลับยื้อไว้ วางศีรษะเรียวมนลงบนฝ่ามือของเขาแทน ดวงตากลมโตสีดำเพ่งมองมา


    “...ข้าปกป้องเจ้าได้เสมออภันตี”จากที่จะอ้าปากแก้ชื่อของตัวเอง เขาเลือกเงียบ ก้มหน้าลงไปจุ๊บบนหัวของงู ไม่รู้ว่าเพราะอะไรพันตรีถึงทำแบบนั้น คงจะรู้สึกเอ็นดูล่ะมั้ง


    “หายไวๆล่ะ”เขาบอก ค่อยๆดึงมือออก ปล่อยให้งูเผือกถอยลงไปนอนซบที่ช่วงลำตัว พันตรียังคงนั่งมองเจ้างูอยู่อย่างนั้นไปจนกว่าอีกฝ่ายจะหลับ


    แววตาของเด็กหนุ่มพลันอ่อนโยนลง ไม่ออกห่างจากงูเผือกอีกเลย ‘บางครั้งเรื่องรักใคร่ ก็อธิบายยากเหมือนกันนะ’



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×