ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สนพ.Onederwhy _คนรักของผมเป็นงูเผือก *จบแล้ว*

    ลำดับตอนที่ #4 : RE : บทที่ 3 งูเจ้าเล่ห์

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.ค. 61




    บทที่ 3 งูเจ้าเล่ห์

    พันตรีพาอักษราภัคกลับมาที่หอพัก ช่วงบ่ายเด็กหนุ่มไม่มีเรียนต่อ จึงปล่อยงูให้เลื้อยอยู่ไปบนเตียงนอน เจ้างูลาบเลื้อยอย่างเกียจคร้าน ไม่ม้วนเป็นขนด แต่ปล่อยร่างนอนขวางเต็มเตียง

    เขาหยิบหนังสือที่ยืมมานั่งอ่านคร่าวๆ ที่โต๊ะคอมฯ


    กล่าวถึงนาคา หมายถึง งู มีความแตกต่างจากนาคหรือพญานาค ที่เป็นพญางูตัวใหญ่มีหงอนหรือหลายเศียร มีถิ่นตำนานแถวภาคอีสาน แต่อักษราภัคเป็นแค่นาคาไม่เทียบเท่าพญานาค เขาเกาศีรษะไปมา เอนหลังพิงกับเบาะกี้นวม เหลียวมองไปยังหน้าต่างเพลินๆ


    บริเวณหน้าหอพักมีร่องรอยของงูเขียวที่ห้อยลงมาจากกิ่งไม้พยายามลาบเลื้อยไปตามลำกิ่งเล็ก เขาได้แต่ถอนหายใจ ขยับเก้าอี้ไปมาอย่างใจลอย...


    ตกดึก พันตรีงัวเงียตื่นเพราะสัมผัสเย็น ๆ บริเวณริมฝีปาก ปัดมือไล่การก่อกวนออกไปเพื่อตัดรำคาญ กว่าจะได้สติ ลืมตาตื่นมองห้องที่มืดสลัว หันไปมองหมอนข้างๆ แต่ไร้ร่างของอักษราภัค พอพลิกตัวนอนตะแคง ขากลับสัมผัสโดนเข้ากับเนื้อนุ่มนิ่มของเจ้างูแทน


    พันตรีก้มมองที่บริเวณหัวเข่า พบเจ้างูนอนเป็นทางยาวขนาบข้าง ขณะนั้นเองงูเผือกที่ค่อยขยับตัว เลื้อยมานอนซบบนสะโพกของเขาพอดิบพอดี เพ่งมองตางูอยู่สักพัก และเห็นว่างูไม่ได้ขยับตัวอีกเลย

    เด็กหนุ่มนอนนิ่งงัน รู้สึกว่าหายใจไม่ทั่วท้อง ค่อยๆเอื้อมไปสัมผัสกับหัวเรียวมนของเจ้างู มันทำให้เขาหวิวในอก เมื่อนึกถึงสัมผัสเมื่อครู่ก่อน

    “นี่ เมื่อกี้คุณทำอะไรผมน่ะ”เขาถามงูที่นอนนิ่ง มั่นใจว่าสัมผัสก่อนหน้านั้นต้องเป็นอักษราภัคอยู่แล้ว แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา จ้องเขม็งมองงูเผือกอยู่นาน ก่อนจะระบายลมหายใจช้า ๆ วางแขนลงข้างตัว สัมผัสความอุ่นนิ่มของช่วงลำตัวเจ้างู ลูบไปบนเกล็ดอยู่นานสองนาน


     ขณะนั้น หัวใจก็เต้นถี่ขึ้นมาซะอย่างนั้น อย่าบอกนะว่าเขาดันหวั่นไหวกับงูเผือกตัวนี้



    ช่วงหนึ่งสัปดาห์นับแต่งูเผือกเข้ามาอาศัยในห้องพักกับเด็็็กหนุ่มเรียกได้ว่าเราตัวติดกันตลอด ยกเว้นแต่เวลาที่งูเผือกขับถ่ายหรือออกหาอาหารนั่นแหละ จากที่คิดว่างูเผือกจะเป็นตัวซวยแต่มองในแง่บวกมากขึ้น อีกทั้งยังสังเกตอุปนิสัยของงูเผือกตัวนี้ไปด้วย เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์คือนอนหลับ และกิจวัตรของงูเผือกคือการหายไปจากเตียงในช่วงเช้าช่วงเจ็ดโมงถึงแปดโมงเช้า


    เด็กหนุ่มได้แต่สงสัยว่างูเผือกไปทำอะไรที่ด้านหลังหอพัก เพราะเคยแอบย่องตามอีกฝ่ายไป เห็นว่าเจ้างูเลื้อยปราดเปรียวไปทิศทางของแนวป่าด้านหลังหอพัก ทีแรกนึกว่าไปหาอาหาร แต่ตอนงูเผือกกลับมาก็ใช่จะท้องใหญ่กว่าเดิม


    จากที่เคยใช้กระเป๋าเป้ใบใหญ่ ต้องเปลี่ยนมาใช้กระเป๋าสะพายหลังแทน เพื่อนๆร่วมเอกคงตกใจหากรู้ว่าเขาแบกงูมาเรียนด้วยเสมอ


    หลังจากเรียนช่วงบ่ายเสร็จ พันตรีต้องเข้าไปยังห้องดรออิ้งที่ตอนนี้เปลี่ยนสภาพมาเป็นห้องทำงานรวมของเพื่อนร่วมเอก เพราะต้องทำงานวิชาศิลปะประยุกต์ หากเด็กหนุ่มไม่มีเจ้างูคอยตามติด เขาคงใช้เวลาทำงานอยู่ที่คณะเหมือนคนอื่น ๆ แต่เขาต้องเอาของกลับไปทำงานต่อที่ห้องพักแทน 


    “นี่มึงอยากเลี้ยงงูเหรอวะ”นนท์ถาม ขณะที่พันตรีกำลังเก็บงานใส่กล่องกระดาษ ในนั้นมีลวด กระดาษสาและโคมไฟ เขามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าแปลกใจ เพราะนนท์รู้จักเขาเพียงผิวเผิน รู้กันทั่วว่าเด็กหนุ่มเป็นพวกสันโดษ ไม่ชอบสัตว์เลี้ยง



    เขายิ้ม  ‘งู’ในกระเป๋าขยับตัวไปมาจนรู้สึกได้

    “กำลังสนใจเฉยๆน่ะ แล้วรู้มึงได้ยังไง”เขาถาม


    “ก็กูเห็นมึงมีหนังสือเกี่ยวกับงูไง...ที่จริงก็น่าจะถามกูนะ เผื่อจะแนะนำให้ แล้วมึงอยากเลี้ยงพันธุ์อะไรล่ะ”อยู่ๆนนท์ก็พ่นคำถามใส่ พันตรีจ้องมองอีกฝ่าย พยายามเค้นหาคำตอบ


    “เอ่อ...เป็นพวกบอลไพธอนน่ะ สวยดี”เด็กหนุ่มเดาสุ่ม จำได้เลือนรางว่าเคยอ่านเจองูสายพันธุ์นี้ในหนังสือที่ยืมมา แต่หน้าตาของมัน เขาเองจำไม่แน่ชัดนัก นนท์พยักหน้า


    “อ๋อ มึงศึกษานิสัยของบอลแล้วใช่ไหม”อีกฝ่ายเป็นคนเลี้ยงและขายสัตว์หลายชนิด งูจึงเป็นหนึ่งในนั้น สำหรับการเลี้ยงงูตัวเล็ก ๆ สีสันสวยและเชื่อง มีทั้งอุปกรณ์การเลี้ยงงูและอาหารขายด้วย


    “อือ คิดว่าเลี้ยงได้”พันตรีพูดเสียงเรียบ รู้ก็วันนี้ว่าการโกหกหน้าตายเป็นยังไง


    “มีอะไรก็บอกกูแล้วกัน เผื่อจะดูให้”นนท์บอกด้วยความหวังดี เขาจึงยิ้ม ขณะเดียวกันเพิ่งนึกถึงเรื่องที่เคยสงสัย


    “เออแล้วถ้างูที่เป็นสีขาวในบ้านเรา นี่สายพันธุ์อะไรเหรอ”เขาถาม ยังคงข้องใจเรื่องสีผิวของอักษราภัค นนท์ทำหน้ายุ่งยาก 


     ‘งูเผือก’ที่ถูกเอ่ยถึงจึงส่งเสียงฟ่อแฟ่ออกมา จนพันตรีใจหายวาบ นนท์หันมองมาทางเขาอย่างสงสัย


    “สีขาวเหรอ...อืม ไม่มีหรอก ถ้าจะมีก็คงเป็นพวกสายพันธุ์นอก หรือไม่ก็เป็นยีนส์ด้อยของงูล่ะมั้ง แต่ในไทยก็หายาก ที่นานๆจะเจอ คืองูเห่าขาว”อีกฝ่ายตอบ เขาพยักหน้า รีบคว้ากล่องลังมาอุ้มไว้ นนท์ไม่ได้พูดอะไรอีก คงคิดว่าหูแว่วไปเอง


    พันตรียกกล่องเดินออกจากห้องดรออิ้ง เหลียวมองไปทั่วทางเดินเลยหันไปพูดลอยๆ “คุณจะทำผมซวยนะ”


    “ถึงข้าจะเป็นงูสามัญ แต่ก็ใช่ว่าจะเหมารวมกับงูบ้านงูสัตว์เลี้ยงพวกนั้นได้เสียหน่อย แล้วที่เจ้าเอ่ยเช่นนั้นหมายความว่าไง”


    “เรื่องไหน”


    “เลี้ยงงูน่ะ”เจ้างูดูจะหงุดหงิด


    “ถ้าจะเลี้ยงก็เลี้ยงแค่งูเผือกอย่างคุณนั่นแหละ คงต้องหาบ้านให้คุณอยู่ เผื่อว่ามีเพื่อนมาหาที่ห้องจะได้ไม่ตกใจ หรือไม่ก็เตียงของผมมันแคบไป”


    “ไม่แคบ ข้านอนได้สบายตัว”


    “เอาเถอะ บางทีคุณอาจจะชอบที่นอนใหม่ก็ได้”พันตรีพูดอย่างไม่คิดอะไร


    เมื่อมาถึงลานจอดรถที่อยู่ทางด้านหลังของคณะ บรรยากาศร่มรื่นจากร่มไม้ต้นใหญ่ มีถนนเส้นเล็กตัดผ่านเป็นทางลัด ไปยังคณะอื่นได้ ฝั่งตรงข้ามของถนนจึงเป็นบ่อน้ำที่ไม่ได้ใช้งาน ทั้งจอกแหน ต้นหญ้าขึ้นปกคลุมจนเขียนไปหมด พันตรีเดินไปยังรถมอเตอร์ไซด์ฟีโน่ของตัวเอง ก่อนจะวางกล่องใส่ของไว้ที่เบาะท้ายรถ หาเชือกมามัดกล่องไว้เพื่อกันร่วง เขาวางกระเป๋าไว้บนเบาะหน้า ระหว่างนั้นงูเผือกไม่วายโผล่หัวออกมาจากซิปเพื่อมองดู


    “แถวนี้มีงูด้วยล่ะ”งูเผือกกระซิบ ดวงตาวาววับ


    “ศัตรูเหรอ”พันตรีตกใจ เจ้างูส่ายหน้าไปมา ทำให้เด็กหนุ่มเหลียวไปมองรอบลานจอดรถที่แน่นขนัดไปด้วยมอเตอร์ไซด์หลากยี่ห้อ สอดส่องสายตาไปยังถนนเส้นเล็กทางด้านหลังลานจอดรถ มองไปตามต้นไม้ใหญ่อย่างหวาดระแวง


    “คงเป็นงูบริวารน่ะ คิดอยากจะเข้าหาข้ากระมัง”


    “เข้าหาคุณทำไมล่ะ...”เขางง หยิบกุญแจรถออกเสียบเตรียมสตาร์ทรถ


    “นี่มันฤดูผสมพันธุ์กระมัง”เจ้างูเอ่ย ชูคอสูง เขาเลิกคิ้วมอง ด้วยความประหลาดใจ


    “แล้วไง คุณต้องไปหาคู่หรือเปล่าล่ะ”พันตรีนึกสงสัย ไม่ได้มีอะไรแอบแฝง ในเมื่ออักษราภัคเป็นงูโดยกำเนิด ก็ต้องมีช่วงผสมพันธุ์ ทว่างูเผือกกลับขู่ออกมาซะอย่างนั้น ทำเอาตามอารมณ์ไม่ทันจริงๆ


    “ไม่ ข้ามีเจ้าเป็นคู่แล้ว”งูเผือกตบห้วน ๆ บ่งบอกว่าอารมณ์ไม่ดี พันตรีมอง พลางนึกไปถึงว่าอักษราภัคเป็นงูเพศผู้ นอกจากอภันตีแล้ว ตอนโดนเนรเทศจากแดนนาคาพวกนั้น อีกฝ่ายใช้ชีวิตยังไงบ้าง


    “ไม่ใช่แบบนั้นสิ ก่อนหน้านั้น ช่วงที่คุณไม่เจอผมหรืออยู่ในเมืองมนุษย์ คุณไม่เจองูตัวเมีย...”


    “เจ้านี่มันน่าหงุดหงิดนัก ข้าไม่ผสมพันธุ์กับงูบนบกไปมั่วๆนะอภันตี”งูเผือกสวนกลับอย่างไม่สบอารมณ์ ผลุบลำตัวหายเข้าไปในกระเป๋าทันที ทิ้งให้เด็กหนุ่มยืนนิ่งไป


    คิดออกอย่างเดียวคือ สมแล้วที่ในอดีตจะถูกอภันตีกล่าวว่าทำแง่งอนมากท่า เด็กหนุ่มอุ้มกระเป๋ามาสะพายทางด้านหน้าแทน เข้าไปค่อมรถมอเตอร์ไซต์แล้วสตาร์ทเครื่อง ก้มมองก้นกระเป๋า เห็นแค่ดวงตาสีดำสะท้อนกลับมาในเงามืดด้านใน เงาเกล็ดเป็นมันเห็นเป็นขด เขาถอนหายใจก่อนจะขี่มอเตอร์ไซต์กลับหอพัก


    ระหว่างทางกลับ เขาขี่รถมอเตอร์ไซด์มาจนถึงถนนเลียบคลองชลฯ จากทางหลังมหา’ลัย เพราะไม่อยากเจอรถติด เจ้างูตัวนี้เกือบทำให้เด็กหนุ่มหัวใจแทบหยุดเต้น


    งูโผล่หัวออกมาจากรอยซิปของกระเป๋า หวิดทำรถล้ม ยังดีที่เขาประคองสติได้ ก่อนจะค่อย ๆ ชะลอความเร็ว จอดรถข้างทาง รถที่ขับผ่านไปหันมอง ทว่างูเผือกขาวนวลโหยงตัวออกจากกระเป๋าเข้ามาพันเกี่ยวเข้าที่ท่อนแขนอย่างปรากเปรียว


     “เฮ้ย กลับลงไปก่อน”รีบใช้มือข้างถนัดจับลำตัวของงูไว้ แล้วดึงออกจากแขน แต่ว่าเจ้างูดื้อดึง ใช้ร่างตั้งแต่ช่วงคอ รัดพันท่อนแขนไว้เป็นขดแน่น เขาตกใจ เพราะรู้สึกถึงการบีบรัดของงู เด็กหนุ่มหันรีหันขวาง แม้รถจะไม่เยอะ แต่การที่คนอื่นเห็นเขายุดยื้อ ดึงงูออกจากตัว คงเป็นภาพที่น่าสะพรึง คนทั่วไปไม่ได้ชื่นชอบงูกันสักหน่อย


    “อักษราภัค...!”พันตรีเริ่มหงุดหงิด เรียกงูเสียงดัง ใจจริงไม่อยากทำรุนแรงกับเจ้างูตัวนี้ เพราะเรื่องความหลังในอดีต เขาทำได้แค่กำรอบลำตัวนิ่มอุ่นของงูเผือกไว้เต็มมือ แต่ไม่ได้ออกแรงบีบ เจ้างูเหลียวหน้ามอง พร้อมแลบลิ้น ดวงตาสีดำเหมือนเมล็ดนุ่นจ้องเขม็ง หากเป็นมนุษย์ล่ะก็ ไอ้สายตาแบบนี้คงกำลังโกรธจัด


    “ข้าไม่รู้ว่าการที่มีงูตัวอื่นเข้าใกล้เจ้า เป็นเพราะว่าตัวข้า หรือเป็นเพราะตัวเจ้ากันแน่”งูเผือกยอมพูดออกมา เขาฟังแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว


    “ก็น่าจะเพราะคุณนั่นแหละ”พันตรีพูด คลายความหงุดหงิดลง เจ้างูจึงยอมคลายแรงรัด ค่อย ๆ เลื้อยมาแถวเอว เขาได้แต่ถอนหายใจ จากนั้นก็อุ้มงูเผือกเอาไว้ในอ้อมแขน ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากอักษราภัคที่ยังคงจ้องมองอยู่ อีกฝ่ายแค่อยู่นิ่งเงียบ


    “มีอะไร”พันตรีถาม  ก่อนจะหันมองไปทั่วถนนเส้นเล็ก เมื่อไม่เห็นว่ามีรถสวนไปมา ถึงจะปล่อยลำตัวของงูเผือกลงกระเป๋าไป แต่เจ้างูยังคงยื่นหน้ามองอยู่อย่างนั้น ต่างคนต่างจ้องจนพอใจ เจ้างูจึงค่อยๆพูด


    “...งูเหล่านั้นย่อมสื่อสารกับเจ้าได้ บางทีความเป็นมิตรของเจ้าอาจดึงดูดพวกมันมา การที่เจ้าคุยกับงูได้มีผลจากชาติกำเนิดในกาลก่อนของเจ้า”


    “มันก็คงเป็นแบบนั้น”เขาผงกศีรษะเห็นด้วย ทว่างูตัวนี้ยังคงอ้อยอิ่งไม่ยอมขยับตัวลงไปในกระเป๋า จนเด็กหนุ่มต้องดับรถ ก่อนที่โดนผลาญน้ำมันไปอย่างเปล่าประโยชน์


    “แท้จริงแล้ว ข้าก็ยังไม่เจอศัตรูหรอก ตราบใดที่เราเจอแค่งูบนบกพวกนี้”ถ้อยคำของอีกฝ่ายทำให้คลายความกังวลเรื่องคำเตือนของงูสีน้ำตาลตัวนั้น


    “แสดงว่างูที่ผมเจอแถวหอพัก ก็แค่มาดูเรางั้นสิ”


    “คงใช่...มาดูเจ้าน่ะ”เจ้างูชูคอ เลื่อนส่วนหัวเข้ามาใกล้ จนอยู่ในระดับสายตา เขาเงียบเพราะคำพูดแฝงความนัยของอักษราภัค ไอ้การ‘ดู’ของงู มันหมายถึงอะไรกัน สุ้มเสียงของงูเผือก ฟังแล้วมีความขุ่นข้องใจอยู่


    “ที่ว่าดูมันหมายถึงอะไร”เขาสงสัย งูเผือกจ้องเขม็ง เงียบไปอึดใจเดียวก่อนจะตอบกลับมาช้าๆ ใช้น้ำเสียงเนิบนาบราวกับจงใจเน้นย้ำเป็นพิเศษ


    “คงอยากสำรวจเจ้ากระมัง...”คำตอบของเจ้าทำให้พันตรีหลุดยิ้ม ไอ้การสำรวจของงู ก็ไม่พ้นการกอดรัดพันแข้งพันขาอะไรทำนองนั้น ลองนึกภาพเป็นงูตัวอื่นแล้วก็อดหวั่น ๆ แขยงอยู่เหมือนกัน ทำให้เขารู้ตัวว่าจะปล่อยให้งูหน้าไหนไม่รู้ มาวุ่นวายกับร่างกายของตัวเองไม่ได้เช่นกัน


    “หึๆ นึกว่าเรื่องอะไร คุณคิดว่าผมจะไปเก็บงูตัวอื่นมาเข้าห้องมั่ว ๆ หรือไง...”พันตรีตอบ แต่แล้วก็ชะงักไป เมื่อนึกถึงคำตอบของอักษราภัคก่อนหน้านั้น ที่ไม่แตกต่างกันนัก หันมาจ้องตาเจ้างู จ้องตาอีกฝ่ายไม่กระพริบ พันตรีพอจะเข้าใจอารมณ์ของเจ้างูขึ้นมาบ้าง เขายิ้ม


    “นี่คุณโกรธผมเหรอเนี่ย”


    ขณะที่งูเผือกขยับหัวมาใกล้มากขึ้น แต่ไม่ได้พูดอะไร


    “ว่าไงล่ะ”เขาถามซ้ำ มองดวงตาสีดำอย่างรอคำตอบ


    “ใครจะรู้ได้เล่า...คนบางจำพวก เพียงแรกเห็นก็ว่าน่าเกลียดไม่คิดจะรัก แต่พอได้จับสัมผัสเข้าหน่อย ก็ปักใจชอบโดยพลัน”งูเผือกเอ่ยขึ้น ทำเอาเด็กหนุ่มร้อน ๆ หนาว ๆ อีกฝ่ายกำลังเหน็บแหนมเขาอยู่หรือไง หมายถึงอภันตีคนนั้น เขานิ่งเฉย คิดทบทวนอยู่เงียบๆ แต่รูปลักษณ์ของงูโดยทั่วไป ใครๆก็ไม่กล้าจับเหมือนกัน


    “ทำใจกล้าสัมผัส จึงได้รู้แจ้งว่าผิวเนื้อของงูนั้นนิ่มมือกว่าที่คาดคิด”คำพูดของอักษราภัคทำให้พันตรีหลุดหัวเราะออกมา มันถูกต้องตามที่เจ้างูตัวนี้บอก 


    “ใช่ เนื้องูนิ่มกว่าที่คิดจริงๆนี่”เด็กหนุ่มอารมณ์ดีขึ้นมา  สังเกตว่าเจ้างูไม่ขยับตัวอีก นิ่งเป็นต้นไม้ เขาเลยแหย่ต่อ “ที่สำคัญ เนื้อค่อนข้างจะอร่อยด้วย...” เขาไม่อยากให้อักษราภัคน้อยเนื้อต่ำใจอีก


    “อภันตี!”งูเผือกถึงกับขู่ ถอยหน้าออกห่าง ยังดีไม่พ่นพิษใส่ พันตรียิ้ม ยื่นมือไปจับหน้าของเจ้างูไว้ในอุ้งมือ


    “พูดเล่นน่า ใครจะกินงูที่ล้ำค่าแบบนี้กัน อีกอย่างนะ วันนี้คุณพูดตั้งเยอะ ไม่เหนื่อยหรือไง”เขาแซว ก่อนจะดันเจ้างูลงกระเป๋าไป อักษราภัคไม่ได้โต้ตอบ ยอมอยู่นิ่ง ๆ พันตรีโล่งใจ รีบสตาร์ทรถแล้วขับกลับหอพัก


    ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที เขาเอารถมอเตอร์ไซด์ไปจอดในโรงจอดรถ บรรยากาศสงบของรอบข้างหอพักทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาก เด็กหนุ่มเปลี่ยนมาสะพายกระเป๋าไว้ด้านหลังแทน เพราะต้องยกกล่อง มองไปยังลานหญ้าหน้าหอพัก สำรวจหางูตัวอื่น อย่างงูเขียวตัวนั้น


    “ปลอดภัยแล้ว”อักษราภัคเอ่ยมาจากด้านในกระเป๋า กระตุ้นให้เขาเดินเข้าไปในหอพักได้อย่างสบายใจ

    หลังจากที่ปล่อยเจ้างูออกจากระเป๋า งูเผือกเลื้อยไปนอนบนหมอนรองนั่งตัวกลม วางอยู่บนพื้นบริเวณท้ายเตียง พันตรีรอให้เจ้างูอารมณ์ดีก่อน แล้วค่อยถามว่าเมื่อเช้างูหายไปไหน

    เด็กหนุ่มทุ่มสมาธิกับการทำงาน ขึ้นโครงลวดเพื่อทำโคมไฟประยุกต์ เมื่องานคืบหน้าไปได้เยอะ ค่อยลุกไปอาบน้ำให้สบายตัว พันตรีผิวปากอย่างลืมตัว


     “อภันตี เปิดประตู”เสียงอักษราภัคดังมาจากหน้าห้องน้ำ พันตรีรีบคว้าผ้าเช็ดตัวมาพันรอบเอวทันที ค่อยๆเปิดประตูออกกว้าง เห็นเจ้างูมารออยู่บนพรมเช็ดเท้าหน้าห้องน้ำ ร่างขดเป็นทางยาง


    “จะอาบน้ำเหรอ”พันตรีมึนงง เจ้างูแค่โหยงตัวขึ้นสูง ผงกหัวไปด้วย เด็กหนุ่มถอยให้งูเลื้อยเข้ามาในห้องน้ำ


    “แล้วไม่เปลี่ยนร่างหรือไง”


    “ไม่ เจ้าอาบให้ข้าสิ”


    พันตรียืนนิ่ง มองงูเผือกที่ชูคออยู่ เด็กหนุ่มส่ายหน้า “อาบน้ำงูเนี่ยนะ จะทำยังไงล่ะ”เขาทำอะไรไม่ถูก ไม่เคยเลี้ยงงูมาก่อนด้วย อักษราภัคถอนหายใจก่อนจะเอ่ยช้าๆ


    “อุ้มข้าไปวางที่อ่างล้างหน้าสิ”


    “เอางั้นเหรอ”เด็กหนุ่มพึมพำไม่แน่ใจ มองขนาดอ่างล้างหน้าแบบลอย กะด้วยสายตา ขนาดลำตัวเป็นปล้องของงูแล้วคงแน่นเต็มอ่าง แต่ก็ยอมไปจับลำตัวของเจ้างูแล้วยกขึ้นไปวางในอ่างล้างหน้า ตามที่อีกฝ่ายต้องการ เขาปิดจุกสะดืออ่างล้างหน้า แล้วเปิดน้ำจากก๊อกแบบเบาๆ


    “เอาแชมพูไหมล่ะ”ถามไปส่งๆ ทว่าเจ้างูขำ “ไม่ต้องหรอก แค่น้ำสะอาดก็พอ”น้ำเสียงของงูเผือกฟังแล้วสบายหู เจ้าตัวคงอารมณ์ดีขึ้นแล้วแน่ๆ เด็กหนุ่มมองน้ำที่ค่อยๆไหลท่วมตัวเจ้างูจนล้น จากนั้นก็ปิดก๊อกน้ำ


    “ทำไมไม่อาบด้วยร่างมนุษย์ล่ะ”


    “...เจ้าลูบๆตัวข้าสิ จะได้สะอาด”เจ้างูได้ทีสั่ง พันตรีมองดวงตาสีดำอย่างพิจารณา แต่อีกฝ่ายแค่ชูคอให้พ้นจากน้ำ จึงเอื้อมมือไปสัมผัสผิวเกล็ดของอีกฝ่ายไปด้วย ก่อนจะลูบไล้เพื่ออาบน้ำให้ วันทั้งวันเจ้างูตัวนี้ใช่ว่าจะอยู่เฉย เลื้อยไปนู่นไปนี่ คงเปื้อนฝุ่นดิน ไม่นับการขับถ่ายอะไรนั่นอีก พันตรีเลยไม่คิดมากนัก แต่สำหรับจิตใจของเจ้างูที่เป็นคู่หมั้นด้วยแล้ว เด็หนุ่มแทบไม่อยากคิดตาม


    “ยามเกิด ข้าก็เป็นนาคาออกมา ถึงมีอิทธิฤทธิ์ แต่กิจวัตรที่เป็นงู อย่างไรซะ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้”งูเผือกตอบ เขาชะงักมือ รู้สึกตงิดในใจ


    “อืม ผมเข้าใจ”


    “แต่เหตุผลหลักคือ ข้าอยากให้เจ้าอาบน้ำให้ สบายกว่าเยอะ”คำตอบของเจ้างู ทำเอาเด็กหนุ่มอยากจะทิ้งให้งูตัวนี้นอนจมในอ่างไปซะเลย เขาเอื้อมไปจับหัวเรียวมนเอาไว้


    “สงสัยคุณจะชอบให้สัมผัสเนื้อตัวนะ”เขาพูด มองดวงตากลมโตตัดกับสีขาวนวล นึกสลับภาพที่อักษราภัคเป็นร่างมนุษย์ที่งดงาม พันตรีย่นคิ้ว ลูบส่วนหัวของเจ้างูอย่างเบามือ ในเมื่อเป็นถึงคู่หมั้นตั้งแต่กาลก่อน เขาจะทำดีด้วยก็แล้วกัน


    พันตรีหยุดเล่นกับเจ้างู เปลี่ยนมาล้างตัวให้อีกฝ่าย ระหว่างนั้นเขาจับที่โคนหางของงูมาล้างให้สะอาด ได้ยินเสียงงูหัวเราะคิกคัก


    “นั่นน่ะ มี‘ของ’ข้า อยู่ตรงนั้น”


    “คิดลามกล่ะสิคุณ”ถึงจะพูดเรียบๆ แต่พันตรีปล่อยมือทันที การกระทำนี้เรียกเสียงหัวเราะของเจ้างูได้ดี เด็กหนุ่มไม่สนใจ แหวกลำตัวงูเพื่อดึงจุกปิดระบายน้ำออก สายตาจดจ้องน้ำที่กำลังลดระดับลงจนแห้ง ไม่ทันตั้งตัวเจ้างูโหยงตัวขึ้นมาหา พร้อมฉกเข้าให้


    อีกแล้ว!


    “นี่...”พันตรีพูดไม่ออก เจ้างูได้โอกาสหอมแก้มเขาไปอีกแล้ว เจ้างูลอยหน้าลอยตา เด็กหนุ่มไดสติ ยกมือจับแก้มซ้ายที่ยังมีรอยเปียกน้ำจากปากของเจ้างู อีกฝ่ายไม่ได้กัดจึงไม่ต้องห่วงเรื่องพิษ พันตรีได้แต่ถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ หันไปเปิดน้ำอีกครั้ง


    คราวนี้แค่ปล่อยให้น้ำชะล้างสิ่งสกปรกออกไปก็พอ


    “สบายตัวยิ่งนัก”เจ้างูพูด เขาตีหน้านิ่ง จับลำตัวของงูออกมาด้วยสองมือ หยดน้ำย้อยตามเป็นทาง ขณะเดียวกันรีบหาผ้าเช็ดตัวอีกผืนมาห่อตัวงูเอาไว้ วางลงบนเตียง ปล่อยให้เจ้างูเผือกเกลือกกลิ้งเช็ดร่างของตัวเองไปแล้วกัน พันตรีเดินไปแต่งตัวให้เสร็จ โดยไม่สนใจว่าจะมีงูแอบมองหรือเปล่า


     “ทุกเช้าคุณหายไปไหนมา”เมื่อได้โอกาส เขาไม่ปล่อยให้หลุดมือ  งูเผือกยังคงขดตัวไปบนผ้าเช็ดตัว


    “...ก็แค่ออกไปอาบแดดนิดหน่อย ที่แนวป่าด้านหลังนั่น เหมือนที่พักผ่อนของข้า”


    “แค่ไปอาบแดดเนี่ยนะ ตอนแรกนึกว่าคุณออกไปหาอะไรกินซะอีก”


    พันตรีมองกองผ้าเช็ดตัวสีขาวที่อยู่บนเตียง เจ้างูเลื้อยออกจากกองผ้าเช็ดตัว เคลื่อนตัวไปบนเตียงนอน วนเลื้อยหามุมเหมาะ ในการนอนหลับ เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ แม้จะอยู่กับเจ้างูตัวนี้มาเกือบหนึ่งอาทิตย์ แต่ไม่เคยชินซักที เวลานี้ งูก็อยู่ส่วนงู คนก็อยู่ส่วนคน


    พันตรีเดินไปหยิบหนังสือมาอ่านเล่นฆ่าเวลา


    ตึ้ง


    เสียงแจ้งเตือนข้อความจากเฟซบุ๊คดังมาจากโทรศัพท์ เขาหยิบมาเปิดอ่าน เป็นข้อความจากนนท์


    นนท์/ กูเอากล่องเลี้ยงงูมาให้เลือก

    พันตรี/ ขายของเก่งนะเรา

    นนท์/ แค่อยากให้มึงมีทางเลือกไง แล้วมีอาหารให้น้องกินนะ

    พันตรีเหลือบมองไปที่งูเผือก ‘น้อง’แทนคำเรียกงู น่ารักอะไรแบบนั้น เขาเบ้ปากทันที อันที่จริงด้วยอายุของเจ้างูตัวนี้ คงจะเป็นพี่ซะมากกว่า 


    พันตรี/ งูกินอะไรง่ายสุดล่ะ

    นนท์/ หนูไง เบสิคสุดแล้ว ไม่แพงนะ แต่ต้องดูไซต์น้องด้วยล่ะว่าตัวโตแค่ไหน วิธีดูก็ง่ายๆนะ เอาอาหารที่ใหญ่กว่าหัวน้องหน่อย ถ้ายังเป็นลูกงูเอาลูกหนูตัวแดงๆให้กิน

    พันตรี/ ...แพงไหมวะ หนูแช่แข็งของมึงเนี่ย


    เขาส่งคำถาม เพราะคิดว่างูเผือกต้องไปออกหาอาหารเอง กลัวว่าจะไปเจอศัตรูอื่นเข้า หาซื้อให้น่าจะสะดวกสบายกว่า เขาเหลียวมองเจ้างูที่ยังคงนอนยาวเต็มเตียงอย่างเกียจคร้าน


    นนท์/ ไม่แพง ๆ ถ้าอยากซื้อ ก็แวะมาดูที่ร้านกูก่อนก็ได้ แล้วมึงได้น้องบอลมาแล้วใช่ไหม

    พันตรี/ ยังหรอก แต่ไว้จะแวะไปหา

    เด็กหนุ่มพิมพ์ตอบกลับไป แล้วกดเซฟภาพรูปอาหารของงูที่นนท์มันส่งมาให้ดู ไม่ยักรู้ว่าจะมีบอกแม้กระทั่งสารอาหาร ลองไปส่องหน้าเพจร้านของเพื่อน เห็นว่ามีงูหลายพันธุ์ สีสวย ๆ ทั้งนั้น แต่พันตรีสงสัยอยู่บ้างว่าพฤติกรรมของอักษราภัค จะเหมือนงูเลี้ยงพวกนี้หรือเปล่า เขาเก็บโทรศัพท์ หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านอีกครั้ง เปิดไปเจอภาพโครงสร้างร่างกายของงู อดไม่ได้ที่จะมองตรงโคนหาง แล้วย่นหน้าทันที


    ก่อนเข้านอน พันตรีเดินไปปิดม่านที่หน้าต่าง แอบมองที่ลานหญ้าไม่เห็นความเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิต มองไปที่ต้นไม้ติดกับถนนทางเข้าหอพักก็ไม่เห็นอะไรในความมืด เด็กหนุ่มปิดไฟในห้อง เหลือแค่โคมไฟที่เตียง เดินไปเก็บผ้าเช็ดตัว ส่วนเจ้างูหลับอุตุ


    พันตรีปีนขึ้นเตียงอย่างเงียบเชียบ ระวังระไวไม่ให้เจ้างูตื่น เขาสูดหายใจเข้าออกช้า ๆ ค่อยๆเข้าสู่ห้วงนินทราไปกับเจ้างูเผือกข้างตัว




         “เพราะเหตุใดกัน...เหตุใดต้องเป็นเช่นนี้ด้วย”น้ำเสียงหนึ่งเอ่ยตัดพ้อ สะท้อนก้อง เงาร่างของมนุษย์ ผิวกายขาวเนียนของอักษราภัค คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าลานกว้าง ถูกโอบล้อมด้วยศิลาดำเข้ม คบเพลิงช่วยขับให้ร่างตรงหน้านวลตาขึ้น ผมยาวสยายกลางแผ่นหลัง ขณะเดียวกันใบหน้าเรียวเงยขึ้น ประกายจากหยาดน้ำใสสะท้อนกลับมา รัดเกล้ารัดหน้าผากยังคงไร้มณีนาคาเช่นเดิม

    ‘ร้องไห้ ผู้ใดทำเจ้าร้องไห้’

    “เป็นเพราะข้า เจ้าถึงมีชะตาเช่นนี้ อภันตี ข้าต้องช่วยเจ้าให้จงได้ เพียงแค่เจ้าต้องรอข้า...”


    ‘พูดถึงสิ่งใดกัน’


    “ไม่ว่าจะกี่ภพชาติ ข้ายังเป็นคู่หมั้นของเจ้า ต่อให้ตายตกไป อย่างไรซะ ข้าต้องทวงคืนชีวิตให้เจ้า ใจข้าถึงจะสงบสุขลงได้...เช่นนั้นแล้ว อภันตีเจ้าโปรดรอข้า”เสียงนั้นย้ำอีกครั้ง


    ‘รองั้นหรือ...รอเจ้าหรือ... ได้ ข้ารอเจ้าได้เสมอ...เพียงปรารถนาให้เจ้ามีความสุขเท่านั้น’


    สิ้นอาการสะอื้น พลันเปลี่ยนร่างจากมนุษย์กลับคืนเป็นนาคาดังเดิม ดวงตาสีดำจ้องมองมาที่เบื้องหน้าอย่างมาดมั่น ลาบเลื้อยออกจากลานหินไปอย่างเชื่องช้า เมื่อพ้นปรายหางเล็ก ลานหินที่เคยส่องสว่างด้วยคบไฟจึงมอดแสงลงเรื่อยๆ มีเพียงความเงียบสงัด ลานถ้ำกว้างนั้นไม่มีสิ่งใดนอกเสียจากแท่นศิลารูปสลักนาคาตัวใหญ่




    เป็นอีกครั้งที่พันตรีสะดุ้งตื่นจากความฝันประหลาดกลางดึก หัวใจเต้นรัวเร็ว สูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ เนื้อตัวเย็นเยียบ เขาลูบใบหน้าช้า ๆ ก่อนจะหลับตาลงข่มใจให้สงบลง เสียงเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตทำให้เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมองอีกครั้ง


    “ฝันร้ายรึ”เสียงของอักษราภัค พันตรีหันไปหาเจ้างู อีกฝ่ายปรากฏร่างมนุษย์อีกแล้ว เขาพลิกตัวหันหน้าไปหา จดจ้องใบหน้าที่ไม่ต่างจากในความฝัน เพียงแต่คนตรงหน้า ในตอนนี้มีประกายชีวิตชีวา ไม่ใช่จมแต่ความเศร้า อักษราภัคประหลาดใจกับท่าทีของเด็กหนุ่มอย่างเห็นได้ชัด


    “อืม ไม่รู้ว่าฝันหรือเป็นเรื่องในอดีต”เขาบอกเสียงเบา เลื่อนสายตาไปมองหน้าอกเปลือยของคนที่นอนตะแคงเข้าหา ความวิบวับของสร้อยสังวาลสะท้อนอยู่ในความมืด


    “เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่...”เสียงนุ่มคล้ายจะปลอบใจของอีกฝ่าย ทำให้เหลือบไปมองแววตาของเจ้าตัวอีกครั้ง มีความอบอุ่นแฝงอยู่ในดวงตาสีดำ


    “...ในฝัน ผมเห็นคุณร้องไห้แล้วก็เอาแต่พูดว่าเป็นความผิดของตัวเอง บอกว่าจะหาผมให้เจอ”ระหว่างที่บอกออกไป เฝ้ามองสีหน้าของอักษราภัคที่ไม่ปรากฏความรู้สึกอะไร


    “คงจะเป็นตอนที่ข้าให้สัญญาว่าจะตามหาเจ้าให้เจอ...ในเมืองมนุษย์น่ะ”เจ้างูพูดช้าๆ ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร แค่สบตาเด็กหนุ่มอยู่อย่างนั้น ฟังเสียงลมหายใจของกันในความมืดสลัว


    “แล้วทำไมผมต้องมายังเมืองมนุษย์ล่ะ”


     อันที่จริงคำตอบก็มีอยู่ในใจ การที่พันตรีลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ได้แสดงว่า อภันตีในภพนั้นอาจตายหรือมีเภทภัยอะไรสักอย่าง ดูจากถ้อยคำในฝันที่อักษราภัคเอ่ยออกมา มันทำให้เขารู้สึกไม่ดีนัก


    “ไม่น่าถาม เจ้าก็แค่ลงมาจุติที่เมืองมนุษย์ จนข้าต้องออกมาตามหาเจ้านี่อย่างไรล่ะ”อักษราภัคไม่ยอมบอกความจริง ยังมีรอยยิ้มประดับใบหน้า แต่เขารู้ดีว่าคงมีความตายเกิดขึ้นกับอภันตีแน่ๆ จึงไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ เพียงแค่นึกสงสัยว่า การขโมยมณีนั่นเกี่ยวข้องกับตัวเขาโดยตรงหรือไม่ และส่งผลให้อักษราภัคโดนเนรเทศมาที่เมืองมนุษย์


    พันตรีเงียบ อักษราภัคขยับตัว เอื้อมไปปลดผ้าใบเล็กที่เหน็บอยู่บริเวณเข็มขัดคาดเอวของตัวเอง เขาไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าอีกฝ่ายมีถุงผ้าอันจิ๋วอยู่ด้วย เจ้างูดึงสิ่งของในถุงออกมา เป็นกำไลทองหนึ่งวง ทว่าสีของมันไม่ใหม่เท่าไร เป็นกำไลนาคาคู่ ลักษณะกลม บริเวณปรายหัวของกำไลเป็นหัวนาคาคู่ ในปากของนาคามีเพชรสีแดงกลมๆ ขนาดเล็กประดับอยู่


    ของหมั้นที่ในอดีตชาตินั่นเอง


    “มันเป็นของคุณนี่”พันตรีร้องบอก เมื่ออักษราภัคยื่นกำไลมาให้


    “แต่เดิมเป็นของเจ้า”คำตอบของอีกฝ่ายทำให้พันตรีนิ่งไป มองใบหน้าสวยของเจ้างูอย่างค้นหา ดวงตาสีเข้มมีประกายสดใส เขาจึงรับมาสัมผัส บริเวณที่หัวนาคาสงตัวทีเกล็ดเล็กๆ สลักไว้ไล่โค้งรับกับตะขอ ความเย็นของเนื้อกำไลทำให้รู้สึกอุ่นในใจอย่างประหลาด คนข้างกายแค่ยิ้มกว้าง โน้มเข้ามามองเด็กหนุ่มใกล้มากขึ้น


     “การที่คุณคืน มันจะหมายความว่าคุณไม่รับของหมั้น งั้นผมก็เป็นอิสระจากคุณใช่ไหม”เขาเอ่ยทีเล่นทีจริง ใบหน้าเนียนของอักษราภัคนิ่งขึง คิ้วขมวดแน่นทันที


    “ไม่ เจ้าเป็นของข้า”คำตอบนี้ ทำให้พันตียิ้มกว้าง


     “ข้าแค่อยากให้เจ้าเก็บไว้ก็เท่านั้น จะได้ย้ำเตือนถึงอดีตของเราสอง”อักษราภัคยังคงน้ำเน่าเหมือนเคย แต่เด็กหนุ่มคงเก็บกำไลไว้ ไม่กล้าใส่ออกไปไหน กลัวโดนปล้น มองด้วยสายตาก็รู้ว่าเป็นของมีราคา


    “ขอบคุณครับ”พันตรีบอก ก่อนจะเก็บไว้ใต้หมอน อักษราภัคยิ้มแย้มนอนมองด้วยสายตาอ่อนโยน เขาเหลือบไปมองนาฬิกาที่ข้างเตียง เป็นเวลาเกือบตีหนึ่งแล้ว เหมือนว่าอักษราภัคจะใช้ร่างมนุษย์ตอนดึกทุกที พอเช้ามาก็กลายเป็นงูเหมือนเดิม


    “ผมสงสัยนะ ทำไมคุณถึงมีร่างมนุษย์ตอนนอนทุกที พอตื่นมาก็กลับเป็นงูเหมือนเดิม”

    อักษราภัคเขยิบตัวมาใกล้มากขึ้นพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่ม

    “แล้วเจ้าชอบข้าแบบใดเล่า”


    “เอ่อ...ก็ ไม่เห็นเกี่ยว”พันตรีชะงักไปทันที เวลาที่อีกฝ่ายเป็นงูเผือกมันไม่ได้กวนใจนัก คงเพราะชาติก่อน เขาเป็นงูด้วยเช่นกัน ทำให้ไม่ตะขิดตะขวงใจอะไร


    “ก็คงเป็นมนุษย์มากกว่ากระมัง เป็นงู ท่านคงไม่ชอบให้ข้าวุ่นวายกับร่างกายเจ้า”คำตอบของงูเผือกทำให้รู้สึกจักจี้ในอกอยู่ทุกทีไป เด็กหนุ่มมองเขาอย่างจริงจัง


    “ไม่ใช่หรอกน่า...จะงูหรือคน มันก็มีค่าเท่ากัน”พอพูดจบ อักษราภัคจึงยิ้มหน้าบานทันที รีบเอ่ยปากถาม


    “แล้วเจ้าชอบข้าหรือไม่เล่า...”


     “...คุณก็เป็นงูที่ดี ต่อไปก็ทำตัวว่าง่ายๆล่ะ”พันตรีบ่ายเบี่ยง เจ้างูขมวดคิ้วก่อนจะยื่นหน้ามากระซิบใกล้ๆ ด้วยน้ำเสียงเง้างอนเป็นเด็กๆ


    “ข้าไม่ได้เกเรเสียหน่อย”


    “ก็นั่นล่ะ...”


    กลางคืนเงียบสงบ พันตรีได้แต่นึกหาเรื่องพูดคุยกับอักษราภัค เพราะไม่อยากจมกับความรู้สึกแปลกที่กำลังก่อตัว เป็นเจ้างูเผือกที่เอ่ยทำลายความเงียบก่อน 


    “...นาคา มี 5 สภาวะที่จะต้องปรากฏรูปลักษณ์เป็นร่างเดิม หนึ่ง คือขณะเกิด สอง ขณะลอกคราบ สาม ขณะนอนหลับโดยไม่มีสติ สี่ ขณะตาย และข้อสุดท้าย...ขณะสมสู่กันระหว่างนาคากับนาคา”อักษราภัคพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบในข้อสุดท้าย ช้อนตามองด้วยรอยยิ้ม พันตรีถึงกับชะงักใบหน้าร้อนขึ้นทันที


    “ถ้าอย่างนั้น...คุณกับอภันตีก็...”เขาอึกอัก ในหัวมันก็วกมาเรื่องนี้ทุกทีไป พยายามสลัดภาพการเกี้ยวของงูออกไปให้ได้ เหมือนว่างูเผือกจะรู้ว่าเขากำลังคิดไม่ดี เลยยื่นหน้ามอง


    “ข้าเป็นนาคา ให้ทำเช่นไรเล่า”ดูจากสีหน้าและน้ำเสียงงูตัวนี้คงกำลังนึกสนุกแน่ๆ เด็กหนุ่มกลอกตาทันที ไม่ใช่โง่งมที่จะไม่รู้ว่าโดยธรรมชาติงูผสมพันธุ์กันแบบไหน แต่อักษราภัคกับอภันตีนั่นคง...


    “แต่งูเพศผู้จะ...”


    “ข้าหยอกเล่น...เจ้าก็รู้นี่ว่าเพศผู้จะผสมพันธุ์กันได้เช่นไร อย่างมากก็แค่ตอนเกรี้ยวกอดรัดกันเท่านั้น...หากจะทำมากกว่านั้น ก็ต้องใช้ร่างมนุษย์”อักษราภัคพูดไปด้วยน้ำเสียงเจือหัวเราะ ทำให้พันตรีรู้สึกระคายหูอยู่บ้าง


    “...น่าลำบากนะ”เขาพูด เห็นอีกฝ่ายยิ้มแย้มมองมาด้วยสายตาหวานหยดแล้วขนลุก


    “เจ้าคิดสิ่งใดอยู่กัน”เจ้างูเข้ามากระซิบกระซาบ พันตรีเอนตัวหนีออกห่างจากอีกฝ่ายทันที


    “ไม่ได้คิด”เขาปฏิเสธ


    “อ้อ เจ้าคงสงสัยเป็นธรรมดา ระหว่างข้ากับอภันตี...”อักษราภัคเอ่ยทิ้งน้ำเสียงหลอกล่อ แต่เขาไม่หลงกล ไม่ได้สนใจเรื่องราวในอดีตนัก


    “เอาเถอะ...ถือว่าผมรับรู้แค่นี้ก็พอ”รีบเอ่ยตัดบททันที อักษราภัคยิ้ม ใบหน้าขาวผ่องมีเลือดฝาดที่แก้ม เด็กหนุ่มดันร่างเจ้างูให้นอนลงตามเดิม รู้สึกว่าไม่กล้าหายใจแรงเท่าไหร่นัก ขณะเดียวกันท่อนแขนของอักษราภัคเข้ามากอดแน่น ทำให้เลือดในกายสูบฉีดและหัวใจเต้นแรงขึ้นไปอีก เมื่อเจ้างูขยับตัวเข้าหาจนแนบชิด


    พันตรีนอนนิ่ง


    “ให้ข้ากอดเจ้านานขึ้นอีกหน่อย”


    “...ผม อึดอัด”เขาตอบไปเบาๆ ไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย แต่ความนุ่มและไออุ่นจากคนที่กอดเขาไว้ไม่หายไปไหน อักษราภัคยื่นใบหน้าขึ้นมอง แล้วพึมพำเสียงแผ่ว


    “กว่าจะได้กอดเจ้าอีกครา ก็นานชั่วกาล ในตอนนี้เจ้าคิดหวงตัวอีกหรือ”อักษราภัคมีสีหน้าน้อยใจ เด็กหนุ่มพูดไม่ออก นึกถึงน้ำเสียงตอนที่อีกฝ่ายร้องไห้และบอกว่าให้รอ


    “...งั้นก็ตามใจ”พันตรีตอบ ไม่หันไปมองหน้าของคนที่กอดแน่น แต่รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดแก้ม ก่อนที่เจ้าตัวก้มลงมาจูบประทับที่หน้าผากเบา ๆ ทำเอาเด็กหนุ่มร้อนผ่าวไปทั้งหน้า และอัตราหัวใจที่เต้นถี่อีกหน


    “ราตรีสวัสดิ์ พันตรีของข้า”ร่างอุ่นขยับนอนลงบนไหล่ของเด็กหนุ่มแทน ในหัวคิดอะไรไม่ออก รู้แค่ว่า งูเผือกตัวนี้ชักจะทำตามอำเภอใจมากขึ้น


    อีกอย่าง ‘พันตรีของข้า’ คำพูดนี้ก้องกังวนในหัวไม่หยุด


    แล้วแบบนี้เขาจะทำใจให้หลับลงได้อีกเหรอ เจ้างูเผือกเจ้าเล่ห์เอ้ย!



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×