ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สนพ.Onederwhy _คนรักของผมเป็นงูเผือก *จบแล้ว*

    ลำดับตอนที่ #2 : RE : บทที่ 1 เจ้างูตัวนั้น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.41K
      249
      5 ส.ค. 61

    บทที่ 1 เจ้างูตัวนั้น

         พันตรีใช้เวลาอาบน้ำอยู่นาน กว่าจะออกมาจากห้องน้ำก็ผ่านเวลาไปหลายชั่วโมง มองดูนาฬิกาพบว่าตอนนี้แปดโมงเช้าแล้ว เด็กหนุ่มมีเรียนตอนเก้าโมงเช้า  เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเตียงนอน ที่หมอนใบใหญ่ยังมีเจ้างูตัวนั้นนอนขดอยู่ แต่ตาสีดำยังเบิกโพล่ง ถึงจะรู้ว่างูก็เป็นแบบนี้ แต่ก็อดรู้สึกว่ามีงูแอบมองตอนแต่งตัวอยู่ดี  

         “ว่าแต่ชื่ออะไรนะ”พันตรีพึมพำกับตัวเองเบาๆ ชื่อยาวแถมฟังแล้วดูลิเกเป็นบ้า เขาแต่งตัวอย่างไม่เร่งรีบ ก่อนจะไปหยิบกระเป๋าสะพายใบใหญ่ออกมา เพื่อเอากระดานสเก็ตซ์ใส่เข้าไป เช็คดูในเฟสบุ๊คแล้วไม่พบว่ามีความเคลื่อนไหวอะไร

         นึกถึงเพื่อนในสาขาเดียวกันที่อีกฝ่ายชอบเลี้ยงสัตว์แปลกๆ พวกกุ้งสีสวยๆ พวกกบ กิ้งก่า บางทีเจ้างูเผือกอาจขายได้ราคาดีก็ได้ พันตรีละจากกระเป๋าแล้วหยิบโทรศัพท์มาเปิดกล้อง ถ่ายรูปงูเผือกสามสี่รูปเก็บไว้ ก่อนจะช่างใจอยู่นานว่าจะส่งไปให้เพื่อนคนนี้ดีไหม แต่พอนึกถึงเรื่องราวที่อีกฝ่ายเล่าให้ฟัง บวกกับคำพูดในความทรงจำในวัยเด็ก เรื่องงูเขียวหางไหม้ตัวนั้นแล้วก็อดลังเลใจขึ้นมา


         เด็กหนุ่มถอนหายใจเลือกที่จะไม่ส่งรูปไปให้เพื่อน หยิบกระเป๋าออกมาสะพาย มองเจ้างูที่นอนหลับอยู่ แล้วนึกหาทางเอางูไปปล่อยป่า คงเข้าท่าที่สุด เขาออกจากห้องลงไปยังที่ด้านหน้าหอพัก ร่องรอยของดินชื้นบวกกับกลิ่นดินที่แตะจมูก ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง เด็กหนุ่มแวะทานข้าวต้มที่ร้านใกล้ ๆ กับหอพัก

        
         “มีเรียนเช้าเหรอจ๊ะตรี”ป้าเจ้าของร้านที่คุ้นเคยกันดี เดินมาเสิร์ฟข้าวต้มหมูให้เขา  


         “ครับ เมื่อคืนฝนตกหนักเนอะป้า”เด็กหนุ่มชวนคุย ป้าผงกหัวตามก่อนจะสาละวนอยู่กับการจับลูกชายป้อนข้าวไปด้วย


         “ตอนแรกก็นึกว่าจะตกทั้งคืนซะอีก ไอ้ปิงมันกลัวแทบแย่แน่ะ”ป้าแกหัวเราะกับลูกชายวัยห้าขวบที่แกว่งขาอยู่บนเก้าอี้สองตามองมาที่พันตรีไม่กระพริบไปไหน เขาส่งยิ้มไปให้เด็ก จากนั้นก็รีบจัดการจ้วงข้าวต้มให้หมด ก่อนจะเข้าเรียนสาย เพราะรถมอเตอร์ไซด์ของเขายางรั่วพอดี จอดอยู่ที่ร้านซ่อมรถ ทำให้วันนี้เขาต้องแบกกระเป๋าโหนรถเมล์ไปมหา’ลัยแทน


         เด็กหนุ่มมองเวลาแล้วก็วางเงินไว้ที่โต๊ะแล้วเอ่ยลาเจ้าของร้านพร้อมกับสะพายกระเป๋าพาดบ่า เร่งจังหวะเดินเพื่อให้ไปถึงป้ายรถเมล์เร็วขึ้น

     มหา’ลัยอยู่ไม่ไกลจากหอพัก แต่ก็ต้องต่อรถเมล์ไปสิบนาที ช่วงเช้าคนเยอะเป็นปกติ เจอทั้งคนทำงานและเด็กนักเรียน รอไม่นาน รถเมล์ขับมาจอดรับผู้โดยสาร

         ระหว่างที่รถเมล์กำลังออกวิ่งไปด้วยความเร็วตามปกติ พันตรีเพิ่งมารู้สึกว่ากระเป๋าสะพายหนักกว่าที่เคย เลยก้มมองดู พบว่ากระเป๋าของตัวเองมันขยุกขยิกได้ด้วย


         พันตรีหน้าซีด เพราะเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกันนั้นเป็นเด็กม.ปลาย สีหน้าสงสัยจ้องมองมาที่กระเป๋าของเขาเช่นกัน


         ‘เฮ้ย เหมือนเห็นแววซวย’ พันตรีเลยยื่นมืออีกข้างที่ว่างไปจับกระเป๋าไว้ให้มันอยู่นิ่งๆ พลางคิดในใจว่าไอ้งูเผือกมันเข้ามาได้ยังไง


         “นั่นอะไรน่ะ”


         “นั่นงูใช่ไหม...”


         “ไอ้เด็กนั่นมีงู”


         เสียงพึมพำดังรอบกาย ทำให้เด็กหนุ่มแทบไม่กล้าจะขยับตัวหรือแม้แต่จะมองหน้าใคร คนอื่นคงคิดว่าเขาบ้าไปแล้วที่พกงูตัวเบอเร่อใส่กระเป๋าไปเรียนด้วย 


         พอยิ่งมีเสียงร้องดังลั่นรถ เขาใจหล่นลงพื้น ก้มมองกระเป๋าสะพายก็เห็นว่าหัวงูเรียวมนโผล่ออกมาจากกระเป๋าสะพายครึ่งหนึ่ง พันตรีผงะ


         “เฮ้ย”เขาร้องตกใจ รีบคว้าคอของมันกลับเข้ากระเป๋า แต่เหมือนว่าจะสายเกินไป เพราะนักเรียนหญิงม.ปลายส่งเสียงหวีดร้อง พร้อมกับดิ้นไปมาด้วยความกลัว จนคนในรถเริ่มส่งเสียงเอะอะตามไปด้วย กระเป๋ารถเมล์แหวกคนเดินมาหา ท่าทางเหมือนจะเอาเรื่อง สายตาสอดส่องมาที่กระเป๋าสะพายเขม็ง


         “งูนี่หว่า”อีกฝ่ายตกใจก่อนจะตะโกนลั่นรถ ผู้โดยสารคนอื่นขยับหนีห่างไกลออกจากเด็กหนุ่มทันที 


         “ขอโทษครับ ๆ คืองูมันมาอยู่เอง..”พันตรีแก้ตัวได้น่าหัวเราะ พอพูดออกไปแล้วก็รู้สึกว่าโง่บรม เมื่องูเผือกพยายามอย่างหนักที่จะโผล่หัวออกมาให้พ้นมือ ส่งเสียงขู่ฟ่อแฟ่ให้คนตกใจ


    “ไอ้เวรนี่ ..เฮ้ย...แปะ จอดๆๆ”กระเป๋ารถเมล์ร้องลั่น เขาเห็นท่าไม่ดีเลยรีบวิ่งไปรอที่ประตูรถเมล์ เสียงประตูรถเปิดออก ทำให้กระโดดลงจากรถเมล์ได้ทันที พร้อมกับเสียงสาปส่งมาจากคนในรถเมล์ เขาก้มมองกระเป๋าที่หนักอึ้ง เจ้างูโผล่หน้าออกมามอง


         เขามองซ้ายมองขวาก่อนจะวิ่งไปหลบที่มุมตึก ก่อนจะทิ้งกระเป๋าลงพื้นทันที ก่อนจะก้มมองงูที่ค่อยๆเลื้อยออกมาจากรอยแยกของกระเป๋า


         “คุณทำให้ผมเดือดร้อนนะ...”พันตรีรู้สึกเหมือนตกอยู่ในความโชคร้ายอย่างไรอย่างนั้น เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปทันที มีเจ้างูติดสอยห้อยตาม ไม่ตลกเลยสักนิด


         “งั้นหรือ...”

        
         “ผมพูดจริง ๆ นะ ที่นี่มันโลกมนุษย์ ถ้าไม่อยากให้ผมจับคุณไปขายก็ควรอยู่เงียบๆ”จากที่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ขายให้เพื่อนหรือเอาไปโพสต์ลงเน็ต


         “งั้นเจ้ายอมให้ข้าอยู่ด้วยงั้นรึ”งูเผือกเอ่ยอย่างดีใจ พันตรีขยับมานั่งยอง ๆ มองเจ้างูที่ไม่รู้ว่ากำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหนกันแน่


         “ผมพูดแบบนั้นเหรอ”


         “...หรือจะให้ข้าเขมือบเด็กน้อยที่เจ้ามองเมื่อเช้านี้ดีหรือไม่”คำขู่ของเจ้างูทำให้เด็กหนุ่มแปลกใจ หรือว่างูเผือกอาศัยจังหวะแอบเข้ากระเป๋าในเวลานั้น แต่เขาน่าจะรู้สึกตัวบ้าง ป้ากับลูกก็น่าจะเห็นไม่ใช่หรือไง


         “...นอกจากขี้ขโมยแล้ว ยังจะเป็นจอมเขมือบอีกหรือไง”เขาว่าอย่างฉุนเฉียว แม้รู้ดีว่านั่นอาจเป็นแค่คำขู่


         “หรือจะให้ข้า แปลงร่างเป็นมนุษย์แล้วคอยตามติดเจ้าไปตลอด”งูเผือกชูคอ ความสูงเท่ากับระดับเดียวกับใบหน้าของพันตรี


         “ถ้าอยากเป็นผีบ้า ก็ทำไปสิ”


         “อา...ข้าจะตามเจ้าไปแน่ ทุกหนแห่ง”


         พันตรีมองเจ้างูที่คิดว่าสามารถอยู่เหนือตัวเขาได้ มองลงไปที่กระเป๋าสะพายใบใหญ่ที่ตกอยู่ ในนั้นมีอีกครึ่งลำตัวของงูเผือก


         “คุณจะอยากตามติดผมไปทำไม ผมไปเรียนนะ ไม่มีที่ให้คุณเลื้อยไปมาได้หรอก”เขาบอกช้า ๆ เจ้างูผงกศีรษะขึ้นลง


         “ข้ารู้...แต่ข้าจะไปกับเจ้า”คำตอบของงู ทำให้เขาต้องอดกลั้น แต่ในเวลานี้เขาควรต้องไปถึงมหา’ลัยแล้วมากกว่า พยายามสงบสติอารมณ์ ก้มลงไปคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก โดยไม่ได้สนใจว่าเจ้างูแทบจะหล่นพรวดออกมาจากกระเป๋า แต่สุดท้ายแล้ว งูนั่นก็เลื้อยปราดเปรียวเข้ามากอดรัดที่ท่อนแขนเขาแทน


         พันตรีนิ่งงัน

        
         “ผมต้องไปเรียน คุณทำให้ผมช้าไปมาก กลับลงไปสิ”เขาพยายามสะบัดให้เจ้างูให้หลุดออกจากท่อนแขน ทว่างูยังคงม้วนตัวเป็นขด ราวกับว่าแขนของเขาเป็นท่อนไม้


         “ชู่ อย่า...ข้าเวียนหัว”


         “กลับเข้าไปซะ”เด็กหนุ่มบอกอีกรอบ งูเผือกแลบลิ้น ค่อย ๆ ม้วนตัวเลื้อยกลับลงกระเป๋าไป จากที่เป็นกระเป๋าใบแฟบ กลายเป็นว่ามันแน่นขนัดและมีรอยนูนเป็นลูกเชียว เขาจำต้องไปหาวินมอเตอร์ไซด์เพื่อไปให้ทันเข้าเรียน ต่อไปคงไม่มีหน้าไปรอรถเมล์อีกแล้ว คงโดนเล็ง ดีเท่าไรที่กระเป๋ารถเมล์ไม่ชกหน้าเขา

         พันตรีมาถึงตึกคณะ เหลือเวลาอีกหกนาทีจะเข้าเรียนแล้ว เขารีบวิ่ง กระเป๋าก็หนักเหลือเกิน เมื่อเข้ามาถึงสวนของคณะ เขาหอบ มองซ้ายมองขวาก่อนเปิดกระเป๋า

         “นี่...ไม่สะดวกเอาคุณไปด้วยจริง ๆ รออยู่แถวนี้ก่อนนะ เรียนเสร็จผมกลับมารับ”เด็กหนุ่มบอก ขณะที่รูดซิปกระเป๋าสะพาย ปล่อยให้เจ้างูสีเผือกเลื้อยออกมาจนหมด เขามองไปรอบบริเวณ แม้จะมีคนสวนเดินอยู่ห่างออกไป จนต้องเอาตัวบังไว้


         “สัญญาด้วยเกียรติของเจ้าสิ”เจ้างูราบไปกับผืนหญ้า


         “ได้... ผมมารับกลับแน่ ๆ”เด็กหนุ่มบอก เก็บกระเป๋า แล้วโบกมือไล่ให้เจ้างูเข้าไปหลบในกอหญ้าใบยาวเพื่อพรางตัว จากนั้นเขาเดินตัวลีบผ่านคนสวนไป พอเหลียวหลังไปมองเห็นว่าคนสวนคนนั้นไปเดินด้อม ๆ มอง ๆ บริเวณที่เขาไปนั่งปล่อยงู  เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะวิ่งไปกดลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังชั้นเรียน



         ระหว่างคาบเรียน พันตรีไม่มีสมาธิเลยสักนิด ไม่สามารถเล็กเชอร์ได้สักตัว เขาก้มมองท่อนแขนที่ยังคงรู้สึกถึงการกอดรัดของงู แล้วก็รู้สึกหนาววาบไปด้วย อันที่จริง เด็กหนุ่มควรกลัวมากกว่า มีงูบ้าที่ไหนก็ไม่รู้โผล่มาบกว่าเป็นเนื้อคู่ ซ้ำยังจะมาขออาศัยด้วย...

         ดูก็รู้ว่าเป็นงูสร้างปัญหา เขากุมขมับ ขณะเดียวกันเสียงของอาจารย์ไม่เข้าหูสักนิด และพอถึงคาบต่อไป เขาก็ไม่สามารถพรีเซนต์งานวาดของตัวเองได้ดั่งใจ ซ้ำยังโดนด่ากลางห้องอีก เด็กคอตก กลับมานั่งที่โต๊ะ เหลียวมองไปดูกลุ่มเพื่อนด้านหลังที่ยื่นหน้ามาหา ชื่อ นนท์ คนที่เลี้ยงสัตว์แปลก ๆ อีกฝ่ายส่งเสียงมาคุยด้วย

         “เป็นอะไรวะ ไม่เคยเห็นลนแบบนี้”

         “มีเรื่องให้คิดน่ะ”เขาบอก ไม่พูดอะไรต่อให้ยืดยาว ทำให้เจ้าตัวขยับตัวกลับไปนั่งที่เดิม เด็กหนุ่มก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือ รู้สึกกังวลใจกับงูตัวนั้นว่าอยู่รอดที่สวนของคณะหรือเปล่า รู้แบบนี้เขาปล่อยทิ้งที่ด้านนอก ไม่เอามาด้วยก็ดี

         จนกระทั่งใกล้เที่ยงวัน หมดคาบ พันตรีหยิบกระเป๋ามาสะพายทันที ก่อนจะรีบเดินออกจากห้องเรียน เพื่อนร่วมสาขายืนออกันอยู่หน้าห้อง มีเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ ขณะที่พันตรีเดินออกมาถึงหน้าห้อง คนที่โดดเด่นท่ามกลางนักศึกษาปกติ ได้ส่งยิ้มกว้างขึ้นมาทันที พร้อมเสียงนุ่มหูเอ่ยเรียกชื่อ

          “พันตรี ๆ”

         เด็กหนุ่มแทบอยากมุดดินหนี เพราะอักษราภัคยังคอนเซ็ปเดิม คือชุดลิเก ที่ใส่เหมือนตอนปรากฏตัวครั้งแรก เพื่อน ๆ หันมามองกันใหญ่ บางคนมองไปที่งูเผือกนั่นแล้วซุบซิบ เขารีบใส่รองเท้าแล้วเดินไปหาอีกฝ่ายทันที
         “มาทำไม”รีบเค้นเสียงถาม ก่อนจะคว้าแขนของอีกฝ่ายไว้ เจ้างูเผือกนั่นก็สมเป็นงูเผือกเพราะผิวพรรณเนียนนุ่มมือ แถมขาวไปทั้งตัว
         “ใครวะตรี”นนท์เข้ามาคุยด้วยแล้วหันไปมองคนที่ยืนยืดอกเปลือย ๆ อย่างภูมิอกภูมิใจที่ถูกจับจ้อง รัดเกล้าสีเงินโดดเด่น ตัดกับเส้นผมหยักเป็นลอนแต่ไม่ยุงเหยิงสยายถึงกลางแผ่นหลัง เขาเหลือบมองงูเผือกนิ่งๆ
         “อ๋อ...นี่คือ...เอ่อ..พี่เผือกน่ะ...เป็นพี่ที่หอ เรียนอยู่มนุษย์ฯ เอกนาฏศิลป์”เด็กหนุ่มเอ่ยไปอย่างเลื่อนลอย พยายามยิ้มให้ปกติ
         ‘พี่เผือก’ หันมาจ้องด้วยดวงตาสีดำเหมือนเมล็ดนุ่น แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เพียงแค่พยักหน้า
         “อ้อ..ก็ว่า มาเต็มยศเลยนะ”นนท์หัวเราะ เขาเลยทำอือออไปด้วยก่อนจะรีบขอตัวกลับ คว้าแขนของอีกฝ่ายให้เดินตามมา เมื่อเดินผ่านพ้นห้องเรียนมาได้ เขารีบพาอักษราภัคเข้าไปในห้องน้ำคนพิการแทน เพราะเห็นว่าไม่มีใคร ในเวลาเที่ยงวันแบบนี้ ถ้าไปห้องน้ำชายปกติก็คงเจอแต่คน
         “บอกให้รอในสวนไง”เขาพูดอย่างไม่พอใจนัก อีกฝ่ายไหวไหล่ก่อนจะจ้องหน้านิ่งๆ จนเด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกๆ คว้าไหล่ทั้งสองข้างของเจ้างูไว้
         “นี่ไม่เชื่อคำสัญญาเหรอ”

         อักษราภัคมองเขา ค่อยๆผุดยิ้ม แต่กว่าที่จะรู้ตัว เขากำลังไขว่คว้าอากาศ แสงสีมรกตเลือนรางปรากฏขึ้น ก่อนจะหายไปพร้อมกับร่างมนุษย์ แปรเปลี่ยนเป็นงูสีเผือกตัวเดิม กำลังเลื้อยขึ้นมาจากท่อนขา ทำเอาเขาชะงัก

         งูตัวนี้นี่มันยังไงกันแน่...

         “ข้าร้อนต่างหาก... ทนไม่ไหว อีกอย่าง ข้าเกือบจะตัวขาดไปแล้วนะ ข้าถึงได้ขึ้นมาหาเจ้าไง”งูเผือกเลื้อยขึ้นมาหาจนกระทั่งขยับมาจนถึงเอว เจ้างูจึงชูคอ มาเบื้องหน้าเขา เอียงหน้าเล็กน้อย พันตรีกลอกตาอย่างสุดทน คิดว่างูตัวนี้กำลังทดสอบความอดทนของตัวเขาอยู่แน่ๆ
         “ตัวขาด? ทำไมล่ะ”
         “มีคนผู้หนึ่งมาพร้อมกับเสียงดัง แถมมีใบมีดคมกริบ”
         “คงจะเป็นคนตัดหญ้านั่นล่ะ”เด็กหนุ่มถอนหายใจ พยายามนึกถึงเหตุผลของอีกฝ่าย จึงพอทำให้ใจเย็นลงได้ เพราะไม่ได้โกรธเจ้างูเผือกนัก “แล้วรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่ไหน”
         “กลิ่นเจ้าไง...”เจ้างูแลบลิ้นผลุบโผล่ไปด้วย
         “...ได้กลิ่นผมเหรอ”รู้สึกแปลกใจ งูเผือกยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “ยื่นนิ้วมาสิ”
         “จะทำอะไรอีก”แม้จะทำเป็นบ่น แต่ก็ยื่นนิ้วชี้ไปให้อีกฝ่าย จ่อไปที่หน้าเรียวมนนั่น และไม่คิดว่าเจ้างูจะแลบลิ้นออกมาโดนนิ้วมือ ทำเอาสะดุ้ง
         “เฮ้ย”
         “วิธีดมกลิ่นของงูไง...ลิ้นน่ะ...แล้วเจ้าบอกว่าข้าคือพี่เผือก หมายความว่าอย่างไร”
         “อ๋อ...ชื่อคุณไง ถ้าเอาชื่อจริงบอกคนอื่นไปก็คงแปลก...ก็เลยเอาชื่อเล่นไง เหมาะดีไม่ใช่เหรอ”เขาพูด สีเผือกมันก็ชัดเจน แต่เจ้างูตรงหน้าดูจะไม่พอใจ
         “อักษราภักคือนามเดียวของข้า”
         “เหมือนกันนั่นแหละ เป็นชื่อเล่นไงเล่า”
         “...ช่างเถอะ...ข้าเหนื่อย อยากนอนแล้ว”เจ้างูบ่นพึมพำ เลื้อยผ่านหัวไหล่ไปยังกระเป๋าสะพายทีละนิด เขารู้สึกแปลกทุกครั้ง เวลาที่มีงูเลื้อยอยู่บนร่าง พันตรีเลื่อนไปเปิดซิปกระเป๋าให้ ไหล่ของตัวเองเริ่มรับน้ำหนักของงูเผือกอักษราภัคจนหนักอึ้ง


         จากนั้นเด็กหนุ่มจึงค่อย ๆ เปิดประตูออกมาช้า ๆ เมื่อเห็นว่าทางสะดวก จึงรีบเดินออกจากห้องน้ำทันที แล้วเลือกเดินลงบันไดไปแทน เพราะไม่อยากเข้าไปในลิฟต์พร้อมกับเจ้างูนั่น เดี๋ยวมีเรื่องขึ้นมาอีก เขาคงซวยซ้ำซ้อน ขนาดยังไม่ครบหนึ่งวัน ที่งูเผือกตัวนี้มาอยู่กับเขา ก็ทำให้พันตรีหัวปั่นได้มากขนาดนี้ ไม่อยากคิด ถ้าหากให้เจ้างูตัวนี้เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของเขามากไปกว่านี้ล่ะก็ ต้องบ้าแน่ ๆ !


          พันตรียังคิดไม่ตกว่าจะหาวิธีจัดการกับงูตัวนี้อย่างไรดี บนเตียงนอน ปูผ้าด้วยสีน้ำตาลอ่อน เจ้างูสีขาวมันวาวยังคงนอนขดเป็นวงกลม ส่วนหัววางซบกับช่วงลำตัวของมันเอง เด็กหนุ่มค่อย ๆ ย่องเดินไปมองใกล้ ๆ ไล่สายตาไปตามรอยเกล็ดสีขาวอยู่นาน ไม่รู้สึกว่าการจ้องมองเกล็ดงูเป็นเรื่องน่าขนลุกขนพอง จากนั้นก็ถอนหายใจช้า ๆ พลางคิดทบทวนเรื่องราวของอักษราภัคอีกครั้ง

         ‘เนื้อคู่’จากชาติที่แล้วงั้นเหรอ? เด็กหนุ่มยังไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายมาตามหาเขาที่เมืองมนุษย์ ถ้าเช่นนั้นแสดงว่าตัวเขาเคยอยู่กับเจ้างูเผือกตัวนี้มาก่อนน่ะสิ...แต่ในฐานะมนุษย์หรือว่างูกันล่ะ

         คิดแล้วก็ปวดหัว


         ตั้งแต่บ่ายจนถึงเวลาพลบค่ำ ส่วนเจ้างูเผือกหลับอุตุ พันตรีออกไปทานข้าวเย็นที่ร้านอาหารตามสั่งหน้าปากซอย ไม่วายซื้อไอศกรีมมาหนึ่งแท่ง ในใจยังนึกเป็นห่วงงูเผือกว่าอีกฝ่ายจะกินอาหารแบบไหน อาหารของคนหรืออาหารของงู

         พอคิดแบบนั้นแล้วต้องย่นหน้าทันที รีบสาวเท้าเดินกลับไปตามซอยแคบ บรรยากาศยามพบค่ำเงียบสงบ ต่างจากบริเวณที่ถนนตัดผ่าน เขากัดไอศกรีมเย็นเจี๊ยบจนปวดฟัน

    บริเวณหน้าหอพักเป็นลานหญ้า เด็กหนุ่มเดินมาถึงทางเข้าตึก บันไดขึ้นไปด้านบนไม่ชันมาก อยู่ ๆ           เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดต่อหน้าต่อตา

         เขาเห็นงูสีน้ำตาลตัวเล็กเลื้อยผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้น มีเสียงวิ่งตุบตับตามมาจากห้องพักชั้นหนึ่ง แล้วโผล่มาที่ทางเข้า ผู้ชายตัวโตที่ทำงานก่อสร้างวิ่งถือไม้กวาดไล่ตามงูไป

         “ระวังมันขบนะไอ้หนู”เจ้าตัวร้องบอกก่อนจะไล่เอาด้ามไม้กวาดฟาดไปที่งูตัวนั้น แต่ไม่โดนแบบเต็มไม้ งูเลื้อยหนีทางด้านหลังหอพัก 

         ‘ระวังผู้ติดตามขององค์อักครา’ เสียงหนึ่งกระซิบบอกผ่านสายลม พันตรีสะดุ้ง มือที่กำลังถือไอศกรีมอยู่ชะงักกึก คิ้วขมวดเข้าหากัน สองหูได้ยินเสียงด่าทอของชายคนนั้นตามมา หันไปมองร่องรอยของงูสีน้ำตาลที่เลื้อยหนีไปทางด้านหลังหอพัก คงจะปลอดภัยแล้วเพราะที่นั่นมีแนวป่าอยู่

         “เมื่อคืนฝนตก งูมันคงออกมาหาอะไรกินแน่ๆ เอ็งก็ระวังนะ เดินเอื่อยเฉื่อยแบบนี้จะวิ่งทันได้ไง”อีกฝ่ายบ่นพึมพำเดินกลับเข้าไปในตัวอาคารชั้นแรก พันตรียืนงงอยู่สักพัก โยนไอศกรีมทิ้งไว้ข้างทางแล้วรีบวิ่งขึ้นบันไดกลับห้องพักของตัวเองทันที
         ‘หวังว่าเจ้างูนั่นจะไม่ได้ก่อเรื่องอะไรนะ’
         พอรีบไขกุญแจเข้าไปในห้อง สอดสายตามองไปที่บนเตียงนอน ทว่าไร้ร่างของงูเผือกไปเสียแล้ว พันตรีปิดประตูห้องแล้วเดินไปสอดส่องหาร่องรอยของอีกฝ่าย
         “นี่...อักษ—”พอต้องเอ่ยเรียกชื่อของงูเผือก ชื่อแปลกๆแบบนี้ไม่ถนัดปากเท่าไร พันตรีนึกถึงคำพูดของงูตัวนั้น ‘ระวังผู้ติดตามขององค์อักครา...ชื่อคล้ายกับอักษราเหมือนกัน จะเกี่ยวอะไรกับงูเผือกไหมนะ’ เด็กหนุ่มเดินไปดูที่หน้าต่าง ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวนอกจากสวนหญ้าสะอาดสะอ้าน
    เขาถอนหายใจ วางข้าวกล่องลงกับโต๊ะคอม  ‘หวังว่าจะไปแล้วไปลับนะ’


         ระหว่างนั้น เขาเปิดโน้ตบุคเพื่อหาข้อมูลทำวิชาศิลปะประยุกต์ เหลือบมองไปที่เตียงนอนยับย่นอย่างความไม่สบายใจนัก     

         “หายไปไหนนะ”เขาพึมพำ พอนึกถึงภาพของงูเผือกนั่นใส่ชุดแบบนั้น ท่ามกลางคนปกติแล้วก็อดตลกไม่ได้ 
         หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเสียงดังมาจากด้านในห้องน้ำ พันตรีหันไปมองตามทิศทางของสียง ฟังดีๆ แล้วเหมือนเป็นเสียงของหล่น เด็กหนุ่มจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด ภาพเจ้างูที่ทำวุ่นวายในห้องน้ำปรากฏอยู่ในหัว พอเดินไปเปิดประตูห้องน้ำออกกว้าง กวาดสายตาไปทั่วห้องน้ำ เห็นแค่ขวดแชมพู และสบู่เหลวตกอยู่บนพื้นหมด และไม่พบสิ่งที่น่าสงสัย
         พันตรีเดินไปเก็บขวดที่หล่นอยู่บนพื้นไว้ตามเดิม  ‘ใช่ ฝีมือของงูเผือกเป็นคนทำหรือเปล่า’ ทว่าเด็กหนุ่มรีบหันไปมองที่ประตูห้องน้ำ เพราะว่าเห็นอะไรแวบผ่านตาไป เดินตามไปดูนอกห้องน้ำ ก็ไม่พบงูสักตัว
         เขาเกาศีรษะด้วยความงง เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะตามเดิม เอื้อมไปหยิบข้าวกล่องออกมา ปรากฏว่าน้ำหนักเบาผิดปกติ จึงรีบเปิดฝากล่องดู... ข้าวในกล่องหายไปหมด เขานึกฉุน เดินปึงปังเอากล่องข้าวไปทิ้งถังขยะ แล้วเดินไปดูใต้เตียง หาร่องรอยของเจ้างูที่น่าหงุดหงิดตัวนั้น
         “นี่รู้นะว่าฝีมือคุณน่ะ....อย่าเห็นว่าโผล่หัวมานะ”เด็กหนุ่มพูดเสียงดัง ก่อนจะกลับไปนั่งทำงานที่หน้าโน้ตบุคตามเดิม คิ้วขมวดแน่น
         ไอ้งูบ้าเอ้ย!




              ...สัมผัสเปียกชื้น ลื่นไหลไปทั้งร่าง กลิ่นดิน ใบหญ้า เสียงน้ำสาดกระเซ็นรับรู้ได้อย่างชัดเจน ภาพเบื้องหน้าคือลานน้ำตก ขยับเคลื่อนกายเข้าไปใกล้ ลานหินมีตะไคร่ ดอกหญ้าขึ้นเขียวชอุ่ม สัมผัสนุ่ม เย็น ทำให้ในใจเริงร่า เร่งความเคลื่อนไหวไปตามแนวตลิ่ง ลัดเลาะไปยังใต้น้ำตกห่าใหญ่ เสียงดังก้อง

              เบื้องหลังม่านน้ำใสสะอาดมีแผ่นหินสีดำเข้ม ร่องลึกขนาดเล็ก ยาวไม่ถึงเมตร แคบ จนน่าอึดอัด ยังมีลมเย็นปะทะออกมาจากร่องหินนั้น พลันถลาร่างเข้าไปในช่องที่ไร้ผู้ใดเยี่ยมเยือน

              สัมผัสสากของแผ่นหิน เสียงหยดน้ำดังก้องไปทั่ว ภาพเบื้องหน้า จากที่เป็นทางเดินแคบค่อยๆ กลายเป็นโถงขนาดใหญ่ แหงนมองไปด้านบน พบหินย้อยเป็นทางยาว แสงสว่างภายในถ้ำมาจากเชิงเทียนใหญ่ อากาศชื้นเย็นสบายผิว ลึกเข้าไปพบทางแยก ที่เป็นลานกว้าง

              ทว่ามีผืนน้ำสีมรกตสะท้อนระยิบระยับกับเพดานถ้ำ มองจากเบื้องบน น้ำเย็นสีครามทว่าใสสะอาดมองจนเห็นก้นบ่อ

              ปรากฏอ่างศิลาทรงกลมสลักลวดลายที่มองไม่ออก ข้างในอ่างศิลา มีของล้ำค่าสีแดงสดตามตำนานเล่าขานมาหลายชั่วอายุ สิ่งล้ำค่าเบื้องล่างสงบนิ่ง ราวกับรอคอยให้ผู้เป็นเจ้าของมัน เอื้อมมือสัมผัสนำกลับคืนสู่ที่ที่มันจากมา...
     
      
          พันตรีนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง อากาศหนาวผิดปกติ จากด้านนอกหอพักได้ยินเสียงฝนตกและฟ้าร้องเบาๆ พลิกตัวพร้อมกับดึงผ้าห่มมาจนถึงคอก่อนจะลืมตาขึ้นพบว่าบนหมอนใบเดียวกันนั้นมีเงาร่างของใครคนหนึ่ง พันตรีเพ่งมองอีกครั้ง

             
         “เป็นข้าที่ทำให้เจ้าตื่น”เสียงนุ่มหูเอ่ย ใบหน้าที่อยู่ห่างไม่ถึงคืบกำลังจับจ้องมาหา พอได้สติ อักษราภัคเข้ามานอนข้างกาย แสงวิบวับจากรัดเกล้าและสังวาลสองเส้นสะท้อนในความมืด พอมองงูเผือกตอนนี้แล้ว เขานึกไปถึงเรื่องราวที่อีกฝ่ายย้ำอยู่เสมอ ‘คู่ตุนาหงัน’

         “ออกไปห่างๆหน่อย”เขาบอก เมื่อแขนข้างหนึ่งของอักษราภัคเข้ามากอดไว้แน่น ในความมืดอันเลือนราง เด็กหนุ่มเห็นว่าอีกฝ่ายยิ้ม

         “ข้าแค่คิดถึงเจ้า”น้ำเสียงอ่อนหวานเอ่ยกระซิบ ทำเอาเขาอึ้งไปก่อนจะรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว

         “หะ...พูดบ้าๆ”พันตรีขมวดคิ้ว ดันตัวอีกฝ่ายออกห่าง เพราะไออุ่นจากร่างกายทำให้ไม่สบายตัวนัก สองหูได้ยินเสียงหัวเราะของอักษราภัค

         “ข้าย่อมเอ่ยจริง...มิแปรเปลี่ยนหัวใจ”อีกฝ่ายพูด เบียดร่างเข้ามาชิดใกล้ จนพันตรีต้องเอามือมาดันหน้าอกของอีกฝ่ายไว้ก่อน

         “ถ้าคุณอยากนอน ก็ขยับออกไปห่างๆก็ได้”เขาบอก แต่อักษราภัคกอดรัดแน่นมากขึ้น ทำอย่างกับว่าจะรัดให้หายใจไม่ออก นี่ถ้าอีกฝ่ายคืนร่างเป็นงูยังเข้าท่ากว่า...

    นาทีนั้นพันตรียังตกใจความคิดตัวเองอยู่เหมือนกัน

         “ข้าแค่อยากนอนข้างเจ้า...”อีกฝ่ายตอบซะจนเขาไม่กล้าคิดอะไรต่อ

         “ผมอึดอัด”

         “....มนุษย์เช่นเจ้า ไม่มีวันรู้ถึงคำว่ารำลึกอดีตชาติได้หรอก...”อยู่ๆงูเผือกก็พูดถึงเรื่องอดีตชาติด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง ทำให้เขาหันไปจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายให้เต็มตามากขึ้น ความมืดยังคงไม่สามารถทำให้เห็นว่าเจ้าตัวมีสีหน้าอย่างไร มีเพียงแววตาวิบวับคู่นั้นมองมา

         “อดีตชาติเหรอ”พันตรีพึมพำ อยู่ๆก็รู้สึกหนาวเหน็บในใจ เพราะนึกถึงสิ่งที่ฝันถึงเมื่อครู่ก่อน... ฝันถึงถ้ำใต้น้ำตก...เกี่ยวอะไรกับอักษราภัค หรือว่าเป็นเรื่องของอดีตชาติที่เจ้าตัวเอ่ยถึง เด็กหนุ่มหันมองคนข้างกายอีกครั้ง เห็นแววตาโหยหาบางอย่างที่ชัดเจนแล้วรู้สึกแปลกในใจ

         “ผู้ที่จดจำได้นั้นย่อมเป็นฝ่ายเจ็บปวดกว่า...”

         “...”เขาพูดอะไรไม่ออก ความตั้งใจแรกคือจะผลักอีกฝ่ายออกไปไกลๆ แต่พอได้ยินเจ้าตัวพูดแบบนี้แล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้ พันตรีนิ่งงัน กลืนน้ำลายลงคอช้าๆ

         “หมายถึงผมกับคุณเหรอ...”เด็กหนุ่มพึมพำ

         เรื่องในอดีตชาติน่ะ...เหมือนเป็นตรวนโซ่ที่ฉุดรั้งคนสองคนไว้หรือเปล่านะ เหมือนพวกคำสาบาน มันจะตามติดตัวเราไปตลอดกาล

         “ใช่สิ เจ้ายังไม่คิดเชื่ออีกหรือ”งูเผือกเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์นัก พันตรีนิ่วหน้า

         “ก็...มันน่าเหลือเชื่อ คุณกับผม...เป็นเนื้อคู่กันจริงๆเหรอ”เขาถามอีกครั้ง ในใจยังคงรู้สึกแปลกประหลาดอยู่ อดีตชาติกับปัจจุบัน ควรแยกจากกันหรือไม่ล่ะ? หันกลับไปมองใบหน้าของอักษราภัคอีกครั้ง

         “ตอนเจ้ามีฐานะเป็นนาคา เจ้าเป็นคู่หมั้นองข้า ไม่ว่าอย่างไร เราก็ถือว่าเป็นคู่กันแล้วนั่นล่ะ ...หรือคิดปฏิเสธกัน”อักษราภัคเอ่ยกระซิบเสียงดุ เหมือนขู่

         “นาคา? ผมเคยเป็นงูเหมือนกันเหรอ”คำถามของพันตรี ทำให้งูเผือกถอนหายใจแรง

         “เจ้าโง่นัก คู่ของข้าย่อมต้องเป็นเฉกเช่นเดียวกัน...”

         “เคยเป็น”เขาย้ำเตือน ถึงยังไงตอนนี้เขายังเป็นมนุษย์ เหมือนว่าเขาจะทำให้เจ้างูตัวนี้โกรธ เพราะอักษราภัคยื่นหน้ามาใกล้ ขบกรามแน่น เสียงสร้อยสังวาลกระทบกันดังเบาๆ

         “อย่าทำให้ข้าโกรธจะดีกว่า...”อีกฝ่ายเอ่ยกระซิบด้วยน้ำเสียงต่ำๆ เขาชะงักไป จ้องลึกไปที่ดวงตาสีนิล สงสัยว่าอีกฝ่ายจะทำร้ายเขางั้นเหรอ เพราะจำได้ว่าเจ้าตัวเคยบอกว่าจะไม่ทำร้ายกันไม่ใช่เหรอ

         “... แม้ว่าข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า ทว่าข้าย่อมมีพิษเช่นงูปกติทั่วไป... พิษร้ายหรือพิษอ่อนนั้นข้าเองก็ไม่อาจคาดเดาได้หรอก”คำขู่ต่อมาของอักษราภัคดังก้องในความมืด พันตรีเงียบไป ในหัวหาถ้อยคำมาตอบโต้ เจ้างูเผือกขู่จริงๆเหรอเนี่ย..

        
         “ไหนว่าผมเป็นเนื้อคู่ไง”

        
         เผื่อว่าอีกฝ่ายจะอารมณ์ดีขึ้น ไม่ทันขาดคำเห็นว่าอีกฝ่ายยิ้มออกมา ขยับตัวเข้ามาใกล้จนเริ่มอึดอัด เขาเห็นดวงตาสีดำเป็นประกาย ใบหน้าของอีกฝ่ายยังขาวผ่องในความมืด เส้นผมของอักษราภัคขยับลงมาเกลี่ยใบหน้าของพันตรีไปด้วย

         เด็กหนุ่มย่นจมูก เพราะได้กลิ่นหอมจากอีกฝ่าย....กลิ่นแชมพู?

         “นี่คุณสระผมเหรอ”รีบถามทันที เพราะกลิ่นแชมพูจากเส้นผมของอีกฝ่ายเป็นกลิ่นเดียวกับของเด็กหนุ่ม เจ้าตัวหัวเราะในลำคอ

         “ใช่”’งูเผือกตอบกลับมา พันตรีแปลกใจ ‘นึกสงสัยว่าอักษราภัคอาบน้ำได้ยังไง หรือว่าใช้ร่างมนุษย์’

         “เฮ้อ...บอกไม่ถูกเหมือนกัน...คุณเป็นงู...ถึงจะมีร่างมนุษย์ก็เถอะ”พันตรีบอกอย่างวุ่นวายใจ ขยับตัวหนีออกจากอ้อมแขนและใบหน้าที่อยู่ใกล้ไม่ถึงคืบ เจ้างูเผือกส่งเสียงขัดใจก่อนจะขยับมาพิงไหล่แทน ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มเกร็งหนักกว่าเดิม

         “แล้วอย่างไรเล่า หรือเจ้ากลัวข้า”เสียงนั้นพึมพำแผ่วเบาราวกับไม่มั่นใจ

         “คุณเป็นงูไง งูจริงๆน่ะ”เขาพูด ถึงจะมีร่างกายมนุษย์ แต่งูก็คืองู ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องราวในสมัยที่เด็กหนุ่มยังจดจำไม่ได้

         “แล้วงูเช่นข้า น่ารังเกียจมากเลยรึ”จากที่เคยทำท่าจะขู่ ในตอนนี้อักษราภัคทำเป็นพูดเสียงอ่อนลง เขาถึงกับถอนหายใจ ดันร่างของอีกฝ่ายออกห่าง

         “ไม่หรอก...”ไม่ได้รังเกียจงู ‘นั่นล่ะ ที่มันน่ากลัว’ พันตรีจ้องเพดานอยู่ในความมืด คนข้างกายส่งเสียงพอใจ ยอมถอยห่างเพื่อเขาหายใจหายคอได้สะดวก งูเผือกเงียบไป พอหันไปมองปรากฏว่าอีกฝ่ายยังคงนอนมอง ทำให้เด็กหนุ่มจ้องมองอักษราภัคบ้าง เพ่งมองผ้าถุงสีเขียวเข้มที่กลายเป็นสีดำทะมึนในเวลานี้ กำไลแขนยังวิบวับให้เห็น

         “เมื่อเย็นคุณหายไปไหนมา”เขาถือโอกาสถาม

         “ข้าออกไปหาอะไรกินลงท้องน่ะ”อีกฝ่ายตอบกลับมาคล้ายกับไม่จริงจังนัก

         “คุณกินข้าวของผมไปไม่ใช่เหรอ”

         “เปล่า...ของข้าต่างหาก ไม่ใช่ว่าเจ้าซื้อมาเผื่อข้าหรือ”เจ้างูเอ่ยราวกับว่ามีญาณทิพย์ สงสัยว่างูตัวนี้คงหูตาไวน่าดูล่ะสิ เขาเบ้ปากในความมืดแต่ไม่ได้ตอบกลับอีกฝ่าย

         “...”

         “แต่ไม่อิ่มท้อง จึงไปหาของคาวแทน”น้ำเสียงเนิบนาบของอักษราภัคดูจะคุยสนุกขึ้นมาทันที

         “หมายถึงอะไร”

         “ก็เนื้อสดแถวๆนี้”งูเผือกพูดติดตลก เขาระบายลมหายใจออกมาทันที

         “ถามจริงๆ”ผมทำเสียงจริงจังขึ้นมา คนข้างๆหัวเราะ

         “ถูกต้อง ข้าไปหาอะไรกินมาจริงๆนั่นแหละ...”

         “อย่าบอกนะว่าไปกินแมวกินหมาแถวนี้”

         “อา...ไม่ ๆ สัตว์ที่น่ารักพวกนั้นข้าเอ็นดูเสียมากกว่า...ข้าไม่กินพวกมันหรอก แค่จิ้งจกแถวนี้”คำตอบเนิบนาบของอีกฝ่ายทำเด็กหนุ่มอุทานออกมาอย่างไม่นึกเชื่อ

         “แหวะ....”

         “ข้าเป็นงูนี่...”เจ้างูเผือกตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เบาลงกว่าเดิม เสียงหายใจแรงขึ้น

         “นี่...ผมเจองูตัวอื่นด้วย มันบอกว่าให้ระวังผู้ติดตามขององค์อักคราอะไรนั่นด้วย คุณรู้หรือเปล่าว่าหมายถึงอะไร”เขาเล่า อย่างน้อยมันต้องเกี่ยวข้องกับอักษราภัคแน่ๆ แต่คนข้างกายไม่มีเสียงตอบกลับมา ทำให้เขายื่นหน้าไปมอง พบว่าเจ้างูนั่นหลับไปแล้ว

         เหลือเชื่อเลย เมื่อเย็นก็หลับไปตั้งนาน เป็นงูที่ขี้เกียจจริงๆ ทั้งที่กำลังพูดเรื่องสำคัญแท้ๆ เลยได้แต่หงุดหงิดในใจอยู่คนเดียว ก่อนจะตัดสินใจนอนหันหลังให้งูเผือกแทน

         ถ้อยคำของงูทำเอาพันตรีนอนไม่หลับอีกต่อไป รวมถึง...ความฝันประหลาดนั่นด้วย รู้สึกโหวงเหวงในอก เอื้อมมือไปสัมผัสหน้าท้องของตัวเอง ราวกับว่าใช้มันเพื่อเคลื่อนไหว ในฝัน...เขาเป็นคนเข้าไปในถ้ำน้ำตก ราวกับเป็นงูตัวนั้นเสียเอง นั่นคือความฝัน หรือว่าเป็นเรื่องของอดีตชาติกันล่ะ


     


       

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×