ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : RE : บทนำ
Aksarapak หรือเนื้อคู่จะเป็นงูเผือก
บทนำ
ในโลกใบนี้มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นตั้งมากมาย เรื่องตำนานเล่าขานเหนือธรรมชาติอะไรเทือกนั้น เมื่อก่อนพันตรีไม่เคยคิดจะเชื่อ ถ้าหากว่าไม่ได้เจอกับตัว เห็นมากับตา อย่างเช่นว่า เขาสามารถพูดคุยกับสัตว์เลื้อยคลานได้ แต่ไม่ใช่พวกตัวเงินตัวทอง แต่เป็นพวกงูเงี้ยวพวกนั้นต่างหาก ไม่เชิงว่าพูดภาษางู พาเซลเม้าท์เหมือนในแฮรี่ แต่เขาพูดภาษามนุษย์กับพวกมัน และเจ้างูพวกนั้น ก็ฟังรู้เรื่องซะด้วยส่วนมากพันตรีจะไล่พวกมันไปมากกว่า เพราะช่วงวัยเด็กของเขาอยู่ที่ชนบท พอเข้ามัธยมปลายก็ย้ายกลับไปอยู่กับคุณอาที่เมืองใหญ่ ทำให้เด็กหนุ่มไม่ได้พบเจอกับพวกงูบ่อย ๆ นัก พอนาน ๆ เข้าก็ลืมเลือนเรื่องแปลกประหลาดของตัวเองไปได้ทว่ากลับเป็นผู้ชายคนนั้นที่ทำให้พันตรีต้องนึกย้อนไปถึงเรื่องในวัยเด็กเข้าจนได้ และเป็นอีกฝ่ายนั่นล่ะ ที่ทำให้เขาต้องมาขลุกที่หอสมุดเพื่อค้นหาหนังสือเกี่ยวกับงู นาคา และเมืองบาดาล แต่ส่วนมากจะเป็นพวกตำนานเรื่องเล่ามากกว่าที่จะเป็นข้อเท็จจริง เด็กหนุ่มเลยเข้าไปค้นหาเกี่ยวกับสายพันธุ์งูต่าง ๆ ในประเทศไทย แต่เท่าที่หาคร่าว ๆ แล้ว เขาไม่เห็นว่า ‘อักษราภัค’ อะไรนั่นจะมีลักษณะตรงกับงูที่เขาอ่านเลยสักตัวขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มพลันได้ยินเสียงฟ่อ ๆ สองสามครั้งติดกัน เขากลั้นหายใจก่อนจะเหลือบมองไปรอบตัวเพราะนั่งอยู่โซนอ่านหนังสือ แม้ว่าจะเลือกโต๊ะที่ติดกับริมห้อง บริเวณท้ายสุด แต่โต๊ะด้านหน้ายังมีนักศึกษามานั่งทำงาน อ่านหนังสืออยู่ประปรายแต่ไม่มีคนสนใจ เด็กหนุ่มจึงยื่นมือไปตบกระเป๋าเบา ๆ เป็นนัยบอกให้สิ่งมีชีวิตด้านในนั้นอยู่เงียบๆ“พันตรี ๆ”เสียงนั้นกระซิบ พร้อมๆกระเป๋าที่มีรอยนูนขยุกขยิกออกมา ทำเอาพันตรีสะดุ้งตกใจ เมื่อเห็นว่ามีคนหันมามอง เลยคว้าหมับเข้าที่กระเป๋าก่อนจะขยับกระเป๋ามาวางไว้บนตักของตัวเอง“ผมบอกให้อยู่เงียบๆไง อีกเดี๋ยวก็จะกลับแล้ว”พันตรีกระซิบบอกกระเป๋า“ปล่อยเถิด ข้าหายใจมิออก”เสียงนั้นตอบกลับมาแผ่วเบาฟังดูเหมือนมีอะไรอุดปาก เด็กหนุ่มเหลียวซ้ายมองขวาแล้วไม่เห็นว่ามีใครจะสนใจ เอื้อมมือไปรูดซิปกระเป๋าออกช้าๆด้วยมืออันสั่นเทาระหว่างนั้นเอง ตามรอยแยกของซิปที่เปิดอ้าไว้เล็กน้อย ส่วนหัวของงูสีขาวค่อยๆเลื้อยออกมา เกล็ดสีขาวเป็นมันวาว ใบหน้าของงูเผือกเรียวมน ดวงตาสีดำคู่โตกว่างูทั่วไปเงยมองมายังเด็กหนุ่มไม่กระพริบ (แน่ล่ะ งูกระพริบตาที่ไหนกัน)พันตรีหน้าซีด มองไปรอบโต๊ะอ่านหนังสือที่เงียบสงบ พบว่าไม่มีคนสนใจ งูสีเผือกขยับเลื้อยออกจากกระเป๋าไล่มาตามหน้าท้อง ทำท่าจะโผล่หัวออกมาจากโต๊ะ เลยคว้าหมับเข้าที่ลำคอของอีกฝ่ายทันที จับกดลงกระเป๋าดังเดิม“ขอร้องน่า อย่าทำบ้าๆแบบนี้ได้ไหม”พันตรีจ้องมองเจ้างูที่ส่งเสียงดังฟ่อแผ่วเบา พร้อมกับแลบลิ้นออกมา“ข้าแค่อยากสำรวจเจ้า”คำตอบของอีกฝ่าย ทำให้เด็กหนุ่มย่นหน้าทันที ไอ้การ‘สำรวจ’ของอีกฝ่ายมันทำให้ขนลุกไปหมด นึกสภาพว่ามีงูตัวยาวประมาณเกือบเมตร ขนาดลำตัวกะจากสายตาแล้วคงประมาณท่อนแขนของผู้หญิง ไม่ได้อ้วนเท่างูหลามอะไรพวกนั้นแต่ก็ไม่ได้ตัวเล็กเท่างูสิง การสำรวจที่ว่าคือ เจ้างูเผือกตัวนี้ชอบมาเลื้อยพันรอบแขนบ้าง ไม่ก็เลื้อยพันรอบตัวเขาอะไรทำนองนั้น‘หยึ๋ย ชะมัด’“ขอร้อง ได้โปรดอย่าทำให้ผมดูบ้าได้ไหม ผมว่าคุณรู้นะว่าโลกมนุษย์เป็นยังไง”พันตรีกระซิบ ก้มมองที่ตักของตัวเอง เจ้างูส่ายหัวไปมาก่อนจะงับเข้าที่นิ้วมือของเขาเบา ๆ ก่อนจะค่อยหดตัวเข้าไปในกระเป๋าตามเดิม แต่ก็ไม่วายโผล่แต่หัวออกมามองเขาด้วยตาโต ๆ คู่นั้น‘สยองเป็นบ้า คิดว่ามันแบ๊วหรือไง’ต้นเหตุที่งูตัวนี้มาอยู่กับพันตรีได้นั้น ต้องย้อนไปถึงเรื่องคืนนั้น คืนแรกที่เขาได้เจอกับ งูเผือก...อักษราภัคนั่น ชื่อยาวซะจนขี้เกียจเรียก และออกจะลิเกหน่อย ๆ
กลางดึกเมื่อสองวันก่อน พายุฝนกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง ภายในห้องพักหลังเล็ก ๆ ที่พันตรีเช่ามาตั้งแต่เรียนมหา’ลัยปีหนึ่งเพราะว่าราคาถูก เพราะติดกับแนวป่าทางด้านหลังหอพัก จึงทำให้บริเวณโดยรอบหอพักค่อนข้างร่มรื่นและเงียบ แต่ด้วยขนาดและสภาพห้องที่ไม่สวยงามนัก จึงไม่ค่อยมีนักศึกษา มหาลัยเดียวมาพักนัก ส่วนมากจะเป็นคนทั่วไป ถ้าจะให้นับจำนวนเพื่อนร่วมหอพักก็ไม่ถึงสิบคนเลยด้วยซ้ำ
คืนนั้นฝนตกหนัก เด็กหนุ่มสะดุ้งตื่น เมื่อพบว่าไม่ได้ปิดม่านที่หน้าต่างทำให้มีแสงวูบวาบของฟ้าผ่าฟ้าร้องเล็ดรอดเข้ามา เพราะความกลัว จึงตั้งใจจะลุกปิดม่าน แต่ระหว่างที่กำลังรูดม่านปิดหน้าต่างบาดเกล็ด พลันสายตาของเขาไปสะดุดกับเงาร่างของใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่บริเวณลานหน้าหอพัก ยืนนิ่งไม่ไหวติงจ้องมองมาทางห้องของเขาทันใดนั้นเด็กหนุ่มจึงรีบปิดม่านทันที เพราะอยู่ ๆ ก็นึกกลัวขึ้นมา กลัวผี เขายืนอยู่หลังม่านอยู่หลายนาทีก่อนจะจำใจแหวกม่านออกไปดูว่ายังมีใครยืนอยู่ตรงนั้นหรือไม่ปรากฏว่าเด็กหนุ่มต้องร้องลั่น เมื่อพบว่ามีร่างของผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่นอกหน้าต่าง เขารีบวิ่งกลับมาที่เตียงดึงผ้าห่มมาคลุมโปง หลับตาปี๋ด้วยความกลัวจับใจ ยังจำใบหน้าของชายคนนั้นได้ดี เป็นใบหน้าที่สวย แต่ก็ยังมีความเป็นชายอยู่ ใบหน้าเรียว ผิวขาว เส้นผมสีดำยาวหยักเป็นลอนเปียกลู่แนบใบหน้า มีรัดเกล้าประดับอยู่บนหน้าผาก หน้าอกเปลือยเพราะสวมเครื่องแบบแปลก ๆ เหมือนพวกชุดไทยจักร ๆ วงษ์ ๆ สร้อยสังวาลสีทองสองเส้นนั้นยังเตะตาไม่หาย
‘ผีชุดไทยงั้นเหรอ ปกติ น่าจะเป็นผีผู้หญิงมากกว่าไม่ใช่หรือไง’ เด็กหนุ่มกัดปากแน่น
“ผู้นี้หรือคือคู่ตุนาหงันของข้า...”ในความเงียบ เขาได้ยินกระแสเสียงเนิบนาบเอ่ยดังขึ้นจากที่ไกล ๆ ทำเอาขนลุกเกรียว เมื่อจินตนาการว่าอีกฝ่ายมาอยู่ใกล้ ๆ
‘ให้ตายเถอะ ผีก็อยู่ส่วนผีไปสิวะ’ พันตรีคิดอยู่ในใจพร้อมสาปส่งผีตนนั้น
นอกจากเสียงลมฟ้าลมฝนที่ยังคงดังให้ได้ยินอยู่เนืองๆ ก็ไม่มีเสียงเคลื่อนไหวอะไรอีก ร่างกายของเด็กหนุ่มที่นอนคลุมโปงในผ้าห่ม เหงื่อซึมไปหมด รู้สึกอึดอัดเพราะหายใจลำบาก ทว่าความกลัวยังมีมากกว่า จึงไม่กล้าโผล่หน้าออกจากผ้าห่ม
จนกระทั่งพันตรีผล็อยหลับไปโดยไม่ทันรู้ตัว ลืมตาตื่นมาอีกทีก็พบว่าเช้าแล้ว เขาขยี้ตาเมื่อแสงสว่างสาดส่องมาจากทางหน้าต่าง ม่านถูกมัดไว้ทั้งที่เมื่อคืนเขาแก้เชือกออกเพื่อปิดม่านแท้ๆ ทันใดนั้นทั้งร่างก็แข็งค้างเมื่อท่อนขาของตัวเองไปสัมผัสกับสิ่งแปลกปลอมอยู่บริเวณปลายเตียง
เขาขมวดคิ้วแน่นก่อนจะกลั้นใจเอื้อมแขน ควานไปที่ปลายเตียงอย่างสะเปะสะปะ แต่เพราะมือดันไปคว้าหมับกับสัมผัสเย็น ๆ ลื่น ๆ ที่บริเวณต้นขาจนต้องชะงักนิ่งไป เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง สัมผัสในมือแปลกประหลาดคล้ายกับเกล็ดเรียบที่สำคัญมันกำลังเคลื่อนไหวด้วย
พันตรีผงกศีรษะขึ้นมองไปที่หว่างขาของตัวเอง
“เฮ้ย งู!”เด็กหนุ่มร้องลั่นออกมาย่างตกใจ เมื่อเห็นสิ่งที่กำลังจับอยู่ พร้อมกับสะบัดสิ่งมีชีวิตในมือออกไปให้พ้นตัว เขารีบคลานลงจากเตียงอย่างไม่คิดชีวิต วิ่งออกไปจนติดประตูห้อง คว้าไม้กวาดทีวางอยู่มุมห้องมากำไว้แน่น ก่อนจะหันไปประจันหน้ากับงูสีขาวตัวนั้น ทว่าบนเตียงไร้ร่องรอยของเจ้างูเผือกที่เห็นเมื่อครู่
พอเดินเข้าไปมองใกล้ๆที่ปลายเตียง ก็ไม่เห็นร่องรอยของงูเลย ก้มมองใต้เตียงก็ไม่พบ เขาขยี้ตาอีกรอบ
‘หรือว่าจะตาฝาดงั้นเหรอ...ก็ไม่น่าจะใช่นะ เพราะเมื่อกี้เขายังจับตัวมันอยู่เลย’ เด็กหนุ่มมุ่นหัวคิ้วก่อนจะหมุนตัวกลับเพื่อไปสำรวจดูรอบห้อง แต่ต้องผงะถอยหลังไปหลายก้าว ปากอ้ากว้าง ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา เมื่อเห็นว่าคนแปลกหน้ามายืนเงียบ ๆ อยู่ตรงหน้าด้วยท่าทีประหลาด
“ขะ...เข้ามาได้ยังไง”เด็กหนุ่มถอยกรูดไปจนติดผนังห้อง จ้องมองคนบุกรุกที่คุ้นตา พอรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นผีชุดไทยเมื่อคืน เขาก็มือไม้สั่น
“ตรงหน้าต่าง”ผู้บุกรุกเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แววตาสีดำวูบไหว ทำให้พันตรีถึงกับงุนงง ไม่เข้าใจในคำพูดของอีกฝ่ายนัก เหลือบมองคนตรงหน้าอย่างระวังระไว สังเกตว่าอีกฝ่ายเหมือนคนบ้าที่หลุดออกมาจากรพ.ไหนสักแห่งเพราะชุดไทย อย่างที่บอกชายคนนี้เปลือยอกมีแค่สร้อยสังวาลสองเส้น รัดเกล้าบนหน้าผากก็แปลกตา เพราะเหมือนมีเพชรหลุดหายไปจากหัวนาคาที่สลักไว้ ส่วนเนื้อตัวก็มีผ้าถุงสีเขียวเป็นมันวาวพับจีบห้อยลงมาที่บริเวณด้านหน้า คนปกติต้องไม่ใส่ชุดบ้าๆบอๆแบบนี้
ที่สำคัญชายคนนี้เข้ามาในห้องของเขาได้ยังไงกัน
“เฮ้ย ผมมีอาวุธนะเว้ย ลองเข้ามาดูสิ”เด็กหนุ่มร้องบอก ยื่นด้ามไม้กวาดออกไปตั้งท่าจะฟาดให้เต็มเหนี่ยวหากว่าคนแปลกหน้าจะเดินเข้ามาใกล้
“หึ ของเช่นนี้ ไม่สามารถฆ่าชีวิตข้าได้โดยง่าย”เจ้าตัวเอ่ยยิ้ม ๆ แม้จะมีใบหน้าที่งดงามแต่ว่าจิตใจคงไม่ปกติแน่ ๆ คำพูดคำจาก็แปลก
“ออกไปนะเว้ย ไม่งั้นจะเรียกคนมาช่วย”
“ห้องพักแถวนี้หามีผู้คนอาศัยอยู่ไม่มาก แต่เกรงว่าเจ้าคงไม่มีโอกาสเอ่ยขอความช่วยเหลือ”น้ำเสียงนั้นไม่ได้มีร่องรอยข่มขู่ แค่เอ่ยออกมาด้วยความใจเย็น ดวงตาสีนิลจ้องมองมาด้วยความอ่อนโยนลง พันตรีเม้มปากแน่น กำด้ามไม้กวาดแน่น ในหัวคิดหาทางออก
“คุณเป็นใคร...”เด็กหนุ่มถาม
“...เจ้ายังเคยสัมผัสข้ามาเมื่อครู่ก่อนไม่ใช่หรือ จับที่กลางตัวข้านี่ไง”คนแปลกหน้าพูดจาประหลาด ยกมือขึ้นมาชี้ที่บริเวณเอวของตัวเองเพื่อยืนยันคำพูด
“อะไรนะ...เมื่อกี้น่ะเหรอ”เขาหน้าซีดเผือดทันที เพราะรู้สึกถึงเค้าลางบางอย่าง เหลือบมองไปที่เตียงนอนยับย่น สลับกับมองคนตรงหน้าที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาหาช้าๆ
“...ใช่ อย่ากลัวข้าไปเลย”ไม่ทันขาดคำ ชายประหลาดก็ก้าวขาเดินเข้ามาหาด้วยใบหน้าเฉยชา เขายกแขนขึ้นสูงเตรียมจะฟาดไปที่อีกฝ่ายทันที
ทว่าอยู่ๆก็เกิดเปลวสีมรกตวูบเดียวพร้อมกับร่างของคนแปลกหน้าหายไป เหลือไว้เพียงงูสีเผือกที่ค่อย ๆ เลื้อยเข้ามาหาแทน
พันตรีอึ้ง นิ่งงัน ตัวแข็งทื่อ
งูสีเผือกที่ยาวเป็นเมตรเลื้อยเข้ามาหา ผงกหัวขึ้นมองด้วยดวงตาสีดำโตๆ เขาจ้องมัน และมันจ้องเขาอยู่หลายนาที
“อ๊ากกก”เรี่ยวแรงที่มีหายไปจนหมดเพราะไม่เคยเห็นสิ่งเหนือธรรมชาติมาก่อน เด็กหนุ่มใช้ด้ามไม้กวาดฟาดลงไปที่งูแทน ทว่า เจ้างูปราดเปรียวจนน่ากลัวเลื้อยราบไปกับพื้น หลบได้ทันตาเห็น ก่อนจะเปล่งเสียงพูดออกมา
“ชู่ ๆ ข้าเอง อักษราภัค...”งูอ้าปากค้างไว้ แลบลิ้นไปมารวดเร็ว เด็กหนุ่มผงะ รู้สึกว่าเลือดลมไม่ปกติ เจ้างูตัวนี้พูดภาษาคนได้ งูเผือกที่แปลงกายเป็นคนได้อีกต่างหาก
พันตรีปล่อยไม้กวาดร่วงลงพื้น รู้สึกว่าร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย นี่คงไม่ใช่ความฝันใช่ไหม ที่เขากำลัง เผชิญหน้ากับงูตัวนี้ ทว่าหัวใจก็เต้นเร็วขึ้นเมื่อชื่อที่เอ่ยออกมาคุ้นหูอย่างประหลาด ราวกับว่าไปหลบอยู่ในซอกความทรงจำเก่า ๆ ที่ตัวเองลืมไปนาน
“เป็นนามของข้าไงเล่า”เจ้างูเผือกเอ่ยอีกรอบ เขาหุบปากลง ‘ชื่อบ้าบออะไรกัน’
“คุณเป็นอะไรกันแน่ ปีศาจงูเหรอ”พันตรีถาม ยืนนิ่งไม่ไหวติง กลัวว่างูจะฉก ไม่รู้ว่างูเผือกตัวนี้เป็นสายพันธุ์ไหนมีพิษร้ายแรงหรือเปล่า ระยะห่างระหว่างเขากับงูไม่ถึงเมตรด้วยซ้ำ ‘เอายังไงดีล่ะ ถ้ากระโดดหนีหรือวิ่งออกจากห้อง มันจะทันหรือเปล่า เหมือนว่างูตัวนี้ไม่ใช่งูธรรมดาๆ’
“หาใช่ปีศาจ ข้าเป็นนาคาต่างหาก”’งูเผือกตอบ ส่ายหัวช้า ๆ
งู...เป็นงูเผือกที่พูดคุยได้ ทั้งยังสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้อีก เด็กหนุ่มมองรอยเกล็ดสามเหลี่ยมเล็ก ๆ ตามลำตัวยาวเป็นมันวาวของมันแล้วหลับตาแน่น มองใบหน้ากลมมน ดวงตาสีดำโตเด่นชัดจากสีขาวของผิวเกล็ด แม้ว่าตัวเองจะไม่กลัวพวกงูเงี้ยวเขี้ยวขอ แต่เจ้างูเผือกที่แปลงร่างได้ มันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติสุด ๆ เขาสะบัดศีรษะไปมาหลายครั้งเพื่อไล่ความคิดวุ่นวายออกจากหัว
อยู่ ๆ ก็นึกถึงความทรงจำเก่า ๆ ที่มีงูกับคำพูดเหลวไหลเมื่อนานมาแล้ว...
“งั้น....ทำไมถึงมาหลอกหลอนผมล่ะ ผมไปทำอะไรให้เหรอครับ หรืออยากให้ผมทำบุญไปให้”เด็กหนุ่มถามออกไป บางทีเขาคงไปทำอะไรให้เจ้างูตัวนี้โกรธไม่พอใจ
“ไม่ใช่ ข้าเพียงต้องการอยู่เคียงคู่กับเจ้าเท่านั้น”เสียงนั้นตอบกลับมา พันตรีตกใจยิ่งกว่าเจอผีอีก
“อะไรนะ...”
เจ้างูเผือกนี้พูดอะไรกัน
“เจ้ากับข้ามีบุญต่อกัน อดีตนั้นเจ้าคือคู่ตุนาหงันของข้าแล้ว อันที่จริงระหว่างเรานั้นก็เกือบจะได้เข้าไปอยู่ในวังของเจ้าเสียด้วยซ้ำ...” งูเผือกบอก พันตรีส่ายหน้าทันที
“เดี๋ยว...พูดถึงอะไร...คุณหมายถึงงูกับคนน่ะเหรอ”เด็กหนุ่มเหลือเชื่อ
“เจ้ากับข้าไง....เนื้อคู่ของข้า”’งูเผือกย้ำ
“ไม่ใช่นะ อย่ามาพูดมั่วๆ นี่มันบ้าไปแล้ว”เด็กหนุ่มแย้งอย่างโมโห ขยับขาออกห่างจากงูเผือก แต่อีกฝ่ายเห็นว่าเขาจะหนีก็เลื้อยชูคอขึ้นสูงเพื่อดักทางไว้ก่อน มีเสียงขู่ฟ่อเล็ก ๆ ออกมาหลายครั้ง เด็กหนุ่มถึงกับผงะไป เมื่อเจ้างูแผ่แม่เบี้ยออกมา แม้ว่าที่ลำคอของงูจะไม่มีพังผืดแผ่กางออกมาเท่างูเห่าก็ตาม แต่มันแคบตามลำคอของงู สังเกตได้ว่างูเหมือนโกรธ
“อย่าคิดผลักไสข้าจะดีกว่า เจ้าเองก็ตัวเปล่าเล่าเปลือยไม่ใช่หรือ”
“อย่ามารู้ดีน่า”
“นอกจากเจ้าจะจนมากแล้ว ครอบครัวของเจ้าก็สิ้นไปหมด แม้แต่ญาติสนิทก็มิใคร่อยากเลี้ยงดูเจ้าไม่ใช่หรือ...จะมีก็ยายแก่คนนั้น”คำพูดของงูเผือกทำเอาก้าวขาไม่ออก ถูกเหมือนที่เจ้างูพูด ราวกับว่ามีญาณทิพย์ พันตรีมองงูตรงหน้าอีกครั้ง ในหัวสับสนไปหมด
แม้ว่าเด็กหนุ่มจะย้ายมาอยู่ที่เมืองใหญ่ หนีความเป็นชนบทเข้าสู่เมืองที่เจริญแล้ว แต่ว่าคุณอาที่ส่งเสียให้เรียนจนจบมัธยมปลายท่านเสียชีวิตไปอย่างกะทันหันจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้เขาไม่เหลือใครอีกนอกจากย่า ญาติพี่น้องคนอื่น ๆ ไม่คิดอยากส่งเสียเขาต่อ
ยิ่งคิดไปต่าง ๆนานา พันตรีนึกย้อนไปถึงเรื่องในวัยเด็ก...
เด็กหนุ่มสื่อสารกับพวกงูได้จริง เรื่องนี้เขาก็ไม่อยากเชื่อนัก แต่เมื่อตอนที่อาศัยอยู่ในต่างจังหวัด
เขาเคยพูดคุยกับงูด้วยภาษาของมนุษย์เรานี่แหละ...เจ้างูเชื่อฟังจะตายไป...
พอมองงูเผือกตรงหน้าแล้ว พอจะทำใจให้เชื่อได้ แต่ที่อีกฝ่ายบอกว่าเป็นคู่ตุนาหงัน...หมายถึงคู่หมั้น? พันตรีกับงูเนี่ยนะ
“นี่...ทำไมคุณถึงไม่แปลงร่างกลับมาเป็นคนล่ะ...เราจะได้คุยกันดี ๆ”พันตรีเกลี้ยกล่อม บางทีอาจหาทางไล่อีกฝ่ายไปให้พ้น ๆ เรื่องประหลาดเขาไม่อยากพบเจอนักหรอก เจ้างูส่ายหัว ใบหน้าเรียวมนหดกลับไปดังเดิมก่อนจะเลื้อยขดเคี้ยวไปมาไปยังเตียงนอนพร้อมกับขดตัวนอนวนบริเวณหมอน ใบหน้าเรียวมนผงกขึ้นมองเด็กหนุ่ม ดวงตาสีดำขลับจ้องมา
“ข้าอยู่เมืองมนุษย์ในฐานะนาคาที่ถูกเนรเทศ จึงไม่สามารถใช้พลังได้ดั่งใจหวัง...ข้าต้องพักผ่อน”พูดจบ งูก็ขดตัวเป็นก้อนกลมบนหมอน วางหน้าลงกับลำตัวของตัวเอง ดวงตาสีดำยังคงเปิดไว้อย่างนั้น แต่หากสังเกตดี ๆ ม่านตาสีดำค่อย ๆ หดตัวลง
“เดี๋ยว เนรเทศอะไรกัน อย่าเพิ่งหลับสิ เจ้างู...คุยกันให้รู้เรื่องก่อนสิ”เด็กหนุ่มร้องบอก เดินเข้าไปนั่งบนเตียงอย่างระมัดระวัง ทิ้งระยะห่างไว้ แม้ว่าท่าทางอีกฝ่ายจะไม่ใช่งูที่ดุร้ายอะไร
“โง่จริง...นาคาเช่นข้า คิดหรือจะมาเมืองมนุษย์ พวกข้าล้วนมีดินแดนของตนเอง...”งูยังนอนท่าเดิม แต่ส่งเสียงตอบกลับมาช้า ๆ
“...งั้นหมายความว่าคุณทำผิดงั้นเหรอ”เขาถาม
รู้สึกว่างูตัวนี้ไม่ใช่งูที่ดีแน่ๆ ไม่อย่างนั้นจะโดนเนรเทศออกจากเมืองตัวเองไปทำไม เด็กหนุ่มยิ่งไม่อยากให้งูตัวนี้มาอยู่ใกล้ ๆ ควรหาทางไล่ออกไป นอกจากจะเป็นงูที่มีความผิดแล้ว ยังเป็นงูประหลาดอีกด้วย เขาไม่สามารถเอางูมาไว้ในห้องพักของตัวเองอยู่แล้ว ไม่มีทาง
“ถูกต้อง...ข้าแค่ขโมยของเท่านั้น โทษหนักถึงขั้นเนรเทศออกจากวังบาดาลเชียวล่ะ”งูเผือกเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน ฟังได้จากน้ำเสียงเหมือนสนุกสนาน เด็กหนุ่มถึงกับย่นหน้า ลุกขึ้นยืนทันที
“ขโมยของแล้วยังไม่สำนึกอีก...มิน่า ถึงมีสภาพแบบนี้”เขาพึมพำ จ้องมองเกล็ดสีขาวที่หาได้ยาก เหมือนเป็นยีนส์ด้อย ดวงตาสีดำของเจ้างูจ้องมองนิ่ง ชูคอขึ้นสูงก่อนจะเลื้อยมาหาเด็กหนุ่มช้าๆ ทำให้ถอยหลังไปหลายก้าว แต่เจ้างูเพียงแค่เลื้อยมาหยุดอยู่ที่ริมเตียงนอน เขารู้สึกว่ามันน่ากลัวนิดหน่อย ทั้งที่รู้ว่างูมันก็จ้องไปทั่วอยู่แล้ว
“เจ้าว่าข้าขโมยสิ่งของใดกันเล่า ถึงได้โดนพิโรธหนักเช่นนี้”งูเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงต่ำลง เขายักไหล่ ใครจะไปรู้ได้ล่ะ
“จะไปรู้ได้ยังไงกัน”พันตรีถอนหายใจ พยายามมองหาโทรศัพท์ของตัวเอง แต่ไม่กล้าขยับไปค้นหาเพราะกลัวว่าเจ้างูจะโกรธ
“หึ...ของสำคัญเชียวล่ะ”งูเผือกเอ่ยด้วยน้ำเสียงรื่นรมย์
“ผมเป็นแค่คนธรรมดาๆเท่านั้น คุณไปตามทางของคุณเถอะ แถวนี้มีป่าเยอะแยะ คุณน่าจะชอบมากกว่าบ้านคนนะ”
เจ้างูคงไม่ถูกใจกับคำตอบนัก เพราะอ้าปาก ส่งเสียงฟู่เบา ๆ คล้ายเสียงแมวขู่อย่างไรอย่างนั้น
“เจ้ายังมิเข้าใจอีกหรือ...ข้าบอกว่าเจ้าคือคู่ของข้า”งูเผือกเสียงเข้มขึ้น เด็กหนุ่มเม้มปากส่ายศีรษะไปมา ยังคงไม่ปักใจเชื่อเรื่องราวเล่านี้นัก
“ผมเป็นมนุษย์ คุณเป็นงู ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ผมว่าคุณคงเข้าใจผิดแล้วล่ะ”
“ไม่ผิด เจ้ารู้ว่าข้ามีอิทธิฤทธิ์ไม่ใช่หรือ แล้วยังไม่คิดเชื่ออีกรึ”
“คุณมาผิดที่ผิดทางมากกว่า ที่นี่มันโลกมนุษย์...”เด็กหนุ่มยังคงยืนยันคำเดิม เนื้อคู่ของเขาต้องไม่ใช่เจ้างูเผือกตัวนี้เด็ดขาด นอกจากคำพูดของงูตัวนี้ ไม่มีสิ่งใดยืนยันได้ชัด
“ใช่ คู่ของข้ามาจุติยังเมืองมนุษย์...ข้าผู้ถูกเนรเทศจึงตามหาเขามาหลายปี ข้าพบเจ้า...นามของเจ้า...ข้าเชื่อว่าเจ้ายังมีนามเดิม”เจ้างูไม่ขยับตัวไปไหน ชูคออยู่ตรงหน้า
“บอกมาสิ”เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก เพราะคิดว่าคงไม่สำคัญอะไร แม้ในใจจะหวั่น ๆ เหมือนว่าความทรงจำเลือนรางในหัวเหมือนกำลังชัดเจนขึ้น เขายืนมองใบหน้ามนของเจ้างู มองดวงตาสีดำคู่โต ๆ อย่างข้องใจ
“นามว่า ภันตี...อภันตี”’เจ้างูตอบน้ำเสียงหนักแน่น
เด็กหนุ่มนิ่งอึ้งไป... แม้จะไม่ตรงไปซะทีเดียว แต่ก็ใกล้เคียง
เขาชื่อพันตรี
หัวใจก็เต้นรัวขึ้นมา และนึกหวาดกลัวในโชคชะตา ขณะเดียวกันความทรงจำเก่า ๆ ทยอยผุดออกมา...
ในตอนที่พันตรีอาศัยกับย่ากานดาที่ชนบท...มีงูเขียวหางไหม้ตัวหนึ่งเข้ามาสอดส่องบริเวณบ้านของเขาอยู่หลายวัน ทีแรกเขาตั้งใจจะไปไล่มันไปให้พ้น เพราะกลัวว่ามันจะโดนพวกผู้ใหญ่เอาไม้ไล่ทุบจนตายไปก่อน ตอนที่มันเลื้อยหนีเข้าป่าไป มันกระซิบบอกว่า ‘มีคนตามหาท่าน...ตามหามาเนิ่นนาน...’
ตอนนั้นพันตรีไม่ได้สนใจเท่าไรเพราะยังเด็กอยู่ และความทรงจำนี้ก็จางหาย เลือนรางไปตามวัยและเวลา
“ว่าอย่างไรเล่า...อภันตี”เสียงของเจ้างูดังขึ้น ทำให้เด็กหนุ่มหันมาสนใจงูตรงหน้าอีกครั้ง เขาส่ายศีรษะแรง ๆ
“ชื่อ พัน-ตรี ต่างหาก”เขาย้ำ
“ไม่ต่างกันนัก เจ้าก็คือเจ้า ต่อให้ชาตินี้ เจ้าไม่ใช่นาคา ชะตาตุนาหงันก็ยังคงคู่กับข้าไม่เปลี่ยน”
พันตรีเงียบ ถ้อยคำของอีกฝ่ายสลักลงในใจ ดวงตาสีดำจ้องมองไม่ละไปไหนเลยแม้แต่ครั้งเดียว เด็กหนุ่มเบนสายตาออกจากเจ้างูตัวนี้ เพราะรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
“มั่นใจได้ยังไงกัน...”
“การที่เจ้าสามารถสื่อสารกับงูได้ เป็นเรื่องบังเอิญหรือ โชคชะตาเลวร้ายของเจ้าในชาตินี้คิดว่าไม่มีที่มางั้นหรือ”
“จะให้ผมเชื่อง่ายๆได้ยังไง ผมมีชีวิตปกติธรรมดามายี่สิบปี อยู่ๆก็มีงูที่แปลงร่างได้ พูดภาษาคนได้ มาบอกว่าเป็นเนื้อคู่หน้าตาเฉย จะให้ปักใจเชื่อง่ายๆหรือไงกัน”พันตรีตอบโต้ รู้สึกสับสน
“ข้าไม่มีสิ่งใดพิสูจน์ได้... โลกมนุษย์ อิทธิฤทธิ์ของข้าถูกลิดรอน ไม่สามารถแสดงหลักฐานให้เจ้าได้เห็น”
เขาเงียบ เพียงแค่มองเจ้างูเผือกนิ่ง ๆ
“ยื่นมือมา...”เจ้างูเอ่ย พันตรีนิ่งงันไป แต่เมื่อเห็นว่างูผงกหัวอยู่นาน ลิ้นเรียวเล็กแลบไปมาอยู่อย่างนั้น จึงทำตามด้วยความลังเล ยื่นแขนข้างถนัดออกไปตรงหน้างูเผือก สงสัยเหมือนกันว่าอีกฝ่ายคิดทำอะไร หวังอย่างเดียวว่าจะไม่ฉกเขา
“ไม่หรอก...ข้าไม่มีวันทำร้ายเจ้า”อีกฝ่ายราวกับว่าอ่านใจเขาได้
เด็กหนุ่มทึ่งไปบ้าง จากนั้นงูค่อย ๆ เลื้อยมาตามท่อนแขนของทีละน้อย ตัวแข็งทื่อ บอกไม่ถูกว่าควรรู้สึกอย่างไรกับสัมผัสจากงู เกล็ดสีขาวมันวาว มองไปก็สวยงาม ลำตัวของงูค่อย ๆ เลื้อยคืบคลานกอดรัดมาจนเต็มแขน มองไปก็นึกหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่เจ้างูตัวนี้ไม่แสดงท่าทีร้ายกาจ
“จะทำอะไรน่ะ”เขาถามอย่างตกใจ เมื่อเจ้างูเลื้อยพาดผ่านลำคอ อ้อมมาโผล่หน้าจากไหล่ซ้ายแทน มองจากปรายหางที่อยู่ตรงต้นแขนอีกข้าง ทำให้รู้ว่าเจ้างูตัวนี้ยาวแค่ไหน
เมื่อเห็นว่างูผงกหัวยื่นมาเบื้องหน้าของเด็กหนุ่ม ทำเอาเสียววาบ เมื่อมองใกล้ ๆ เห็นว่าหัวของงูดูแปลกตา อาจเพราะดวงตากลมโตที่จ้องเขม็ง ลิ้นสองแฉกแลบออกมาให้เห็น
“ข้าไม่ฉกเจ้าหรอก สังเกตที่บนหัวของข้าให้ดี ๆ สิ”เจ้างูบอก ก้มหัวลงต่ำ ทำให้พันตรีเพ่งมองบนหัวสามเหลี่ยมของงูให้ชัด ๆ นอกจากเกล็ดแล้ว ยังมีร่องรอยขีดเล็ก ๆ เป็นร่องลึกลงไปเพียงนิดเดียว เขาใช้มืออีกข้างลองสัมผัสดู เหมือนมีอะไรบางอย่างเคยอยู่ตรงนี้แล้วหายไป
“อะไรน่ะ”
“หงอนของนาคา ข้าไม่มีมันแล้ว...”
“แล้วยังไงล่ะ”เขาถาม เพราะพยายามปะติดปะต่อว่ามันเกี่ยวอะไรกับการที่เขาเป็นคู่ของอีกฝ่าย ทีแรกเด็กหนุ่มนึกว่าเจ้างูเผือกจะแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นซะอีก
“ในอดีตนั้น ข้าเคยเป็นใหญ่ ร่างจริงของข้าไม่ใช่งูตัวเล็กเพียงนี้ แต่เพราะข้าถูกเนรเทศมาเมืองมนุษย์ ส่วนที่รอยตรงศีรษะของข้า เพราะต้องการอภิเษกกับเจ้า ทำให้ข้าต้องสละมันไป...”
พันตรียังคงไม่เข้าใจอยู่ดี มองเจ้างูอย่างสับสน
“นาคาโดยปกติ จะมีหงอนในลักษณะนั้น ร่างสูงสง่ามากซะเจ้านึกไม่ถึง... เมื่ออยู่ในร่างมนุษย์ หงอนนาคาเทียบเท่ามณีรัดเกล้า”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง”เขาพึมพำ ‘แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวกับตัวเขาหรือไงกัน’
“เฮ้อ ข้าอยากพักผ่อน ข้ากับเจ้ายังเหลือเวลาอีกตั้งมากมิใช่หรือ...”เจ้างูพึมพำ
“มาทำให้อยากรู้แล้วก็ไม่เล่าให้หมด คะ...”ไม่ทันที่จะพูดจบ รู้ตัวอีกทีเหมือนว่าถูกเจ้างูเผือกฉกเข้าที่ริมฝีปากไปแล้ว เขาแทบทรุดตัวล้ม เพราะเจ้างูนั่นเพียงแค่ส่งเสียงชอบใจออกมาก่อนจะเลื้อยลงไปตามลำตัวของพันตรี แล้วกลับไปยังเตียงนอน
“นี่ คุณพ่นพิษใส่ผมหรือเปล่าเนี่ย”พอตั้งสติได้ เขารีบเอามือเช็ดปากอย่างตกอกตกใจ มองงูเผือกที่เลื้อยไปนอนซบบนหมอนอย่างสบายอารมณ์สังเกตว่างูนั่นไม่ได้สนใจเขาเลยด้วยซ้ำ
“โง่นัก ข้าจูบเจ้าต่างหาก”
“จูบ!”
คราวนี้พันตรีอึ้งหนักกว่า เผลอเม้มปากไปด้วย
‘นั่นไม่เรียกว่าจูบซะหน่อย นั่นมันฉกปากชัดๆ ดีที่ไม่พ่นพิษใส่หน้า’ เด็กหนุ่มได้แต่ขบฟันอย่างโมโหอยู่นาน จึงสงบสติอารมณ์ เดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนลิ้นชักใกล้กับโต๊ะคอม
ตอนนี้ยังเช้าตรู่ เขาขยี้ศีรษะอย่างวุ่นวายใจ ก่อนจะเดินหลบเข้าไปในห้องน้ำแทน เสิร์จกูเกิ้ล หาข้อมูลของตำนานนาคา แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไร นอกจากเจ้าแม่นาคีในละคร
‘จะว่าไป...ตามความเชื่อ งูก็ไม่ต่างจากนาคราช พญานาค อะไรแบบนั้นสินะ’
ให้ตาย นอกจากจะเป็นงูประหลาดแล้วยังนิสัยไม่ดีอีกด้วย เป็นหัวขโมย พันตรีกัดปากแน่น ถึงได้เอามือแตะริมฝีปากแล้วนึกถึงตอนที่เจ้างูมันฉก ไม่สิ จูบ แต่ประหลาดมาก เด็กหนุ่มขนลุกเกรียว นึกถึงเกล็ดมันวาวสีขาวของงูแล้วพบว่าเขาไม่ได้รังเกียจ
‘งูเพศผู้... แต่ทำไมถึงมีคู่ตุนาหงันเป็นผู้ชาย? สมัยก่อนมีชายรักชายแล้วหรือไงกันเนี่ย’
คำพูดของงูเผือกที่เพิ่งเจอได้ไม่ถึงชั่วโมง เชื่อได้มากแค่ไหนกัน... พันตรีได้แต่คิดสงสัย แต่ที่แน่ชัดอย่างเดียวคือเจ้างูมีมีอิทธิฤทธิ์ ซ้ำตอนที่มีร่างเป็นคน หน้าตางดงามดี เสียแต่ทำไมอีกฝ่ายถึงไม่แต่งตัวให้ดีกว่านี้ หรือว่าพวกวังบาดาลอะไรนั่น ก็โป๊เปลือยแบบนี้ คิดไปคิดมา เด็กหนุ่มชักจะจินตนาการเป็นตุเป็นตะไปซะแล้ว
‘เอ...ว่าแต่เจ้างูเผือกตัวนี้ไปขโมยของอะไรมากันล่ะเนี่ย’
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น