ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สนพ.Onederwhy _คนรักของผมเป็นงูเผือก *จบแล้ว*

    ลำดับตอนที่ #20 : บทที่ 19 งูเผือกกับพันตรี

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 958
      59
      22 พ.ย. 63

    บทที่ 19 งูเผือกกับพันตรี


    ตั้งแต่อักษราภัคกลับมาอยู่กับพันตรี เด็กหนุ่มยังไม่เจอกับกำไลเพชรที่หายไปของเศรษฐีคนนั้น เข้าใจว่าอาจจะตกหล่นตอนที่เลื้อยหนี ทุกอย่างไม่เปลี่ยนแปลง เขาดูแลงูเผือกเหมือนเคย ไม่ต่างจากตอนที่อีกฝ่ายมีร่างมนุษย์ งูเผือกนอนยาวเต็มเตียง ระหว่างที่เขานั่งอ่านหนังสือเอนพิงหมอนกับเตียง วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ เขาจึงไม่ได้เข้าไปในคณะ นนท์กับจ่อยคอยถามไถ่เรื่องอาการป่วยของเขาอยู่บ่อยๆ แขนซ้ายของพันตรีมีอาการอ่อนแรง บางครั้งมันเหมือนว่าชาไปทั้งแขน ไม่ถึงกับใช้งานไม่ได้แต่ต้องยอมรับว่ามีอุปสรรคในการดำเนินชีวิตไม่น้อยเลย

    งูเผือกเลื้อยเข้ามาหา ลำตัวผาดมาที่หน้าขาแถวเอวของพันตรี เขาเหลือบมองนิ่งๆ คอยสังเกตอีกฝ่าย อักษราภัคเคลื่อนตัวช้าๆ ลอดตัวใต้แขนโผล่หน้ามาใกล้ เหมือนจะยื่นหน้ามาดอมดมเขา

    -อยากจูบเจ้า

    "มีอะไร"เขาก้มลงไปถาม ใบหน้าเรียวมนของงูผงกช้าๆ เขาปิดหนังสือแล้วมาสนใจอักษราภัคแทน ยื่นมือไปแตะใต้คาง งูเผือกจดจ้องไม่ละสายตาไปไหน ทำเอาเขาคันหัวใจยิบ จึงก้มไปจูบหัวของงูเบาๆ อักษราภัคชูคอนิ่ง

    -เจ้าเดาใจข้าถูก แสดงว่าคงรักข้าเสียเต็มหัวใจ

    "กลายเป็นผมซะอีกที่มาลวนลามงูแบบคุณนะ"เขายิ้ม จับลำตัวยาวของอีกฝ่ายขึ้นมาวางไว้บนตัว งูเผือกเลื้อยเกี่ยวมาตามท่อนแขน รัดแน่นไปด้วย พันตรียกแขนมองงูที่เลื้อยเกาะเป็นขด

    -ไม่หรอก ข้าชอบมาก ได้กอดรัดเจ้า สำรวจเจ้าได้มากยิ่งขึ้น

    อักษราภัคมองหน้าพันตรี เขาเลยก้มไปคุยเหมือนเช่นเคยเพราะรู้ว่าเจ้าตัวเข้าใจดี มีแต่เขานี่ล่ะที่ไม่เข้าใจงูเผือก หลายครั้งที่เขาเอาแต่พูดกับงูอยู่ตัวเดียว เหมือนว่าปิดกั้นทุกคนออกจากชีวิต ยังดีที่นนท์กับจ่อยเป็นเพื่อนชวนออกไปเที่ยวประปราย เขาติดห้องมากขึ้นเพราะต้องดูแลอักษราภัค การจะเอางูเผือกออกไปข้างนอกก็ไม่สะดวก มีแต่จะอุดอู้อยู่ในกระเป๋า

    พันตรีใช้มืออีกข้างลูบไปที่ลำตัวที่รัดแน่นกับท่อนแขนของตัวเอง ผิวเกล็ดอุ่นนิ่มทำให้สบายใจ เขาคุยต่อ

    "เมื่อคืนหลับสบายไหม ผมนอนทับคุณหรือเปล่า"

    -ข้าอยากบอกเจ้าว่าข้านอนบนตัวเจ้านั่นล่ะ อย่ากังวล ข้าหลับสบาย

    งูเผือกแลบลิ้น ยื่นคอมาใกล้จมูกของเด็กหนุ่ม เขาได้แต่หัวเราะในลำคอ กลายเป็นว่าอักษราภัคเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวโปรด เป็นงูเผือกของเขาคนเดียว

    "อยากอาบน้ำไหม"

    งูเผือกผงกหัวตกลง พันตรีจึงอุ้มงูเข้าไปในห้องน้ำ ตั้งแต่อีกฝ่ายมีร่างงูอย่างเดียว เขาเองก็ชินกับการอาบน้ำพร้อมอักษราภัคด้วยเหมือนกัน พันตรีเคยชินกับการเปลือยต่อหน้าต่อตางูเผือก เด็กหนุ่มเอากะละมังขนาดกลางออกมาใส่น้ำอุ่นให้อักษราภัคลงไปแช่ เติมสบู่เหลวลงไป ใช้มือลูบไปทั่วลำตัวของอีกฝ่ายอย่างคุ้นชิน เขามองดวงตาสีดำไม่ละไปไหนก่อนจะผุดยิ้ม

    -เจ้ายิ้มเช่นนี้อีกแล้ว อยากสนทนากับเจ้านัก

    "อีกไม่กี่เดือน ผมก็จะจบปีสามซะแล้ว เวลานี่ผ่านไปเร็วจริงๆ"เขาเอ่ย นั่งอาบน้ำลูบไปที่โคนหางของอีกฝ่าย จับสำรวจรอยเกล็ดเพ่งมองอยู่นานเพื่อมองดูร่องรอยของแผลเก่า แต่เหมือนว่าไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ เหมือนแผลสมานก็หายไปตามกาลเวลา

    -อา...นั่นมัน

    ฉันพลันงูเผือกก็ขู่เสียงดังฟ่อยาวๆ แต่ไม่ได้พ่นพิษออกมา อีกฝ่ายถอยรดไปติดขอบกะละมังอีกฝั่ง

    "ขู่ผมทำไมกัน"พันตรีงง ปล่อยมือจากอักษราภัคทันที เห็นว่างูชูคอระดับเท่าใบหน้าของพันตรี อ้าปากค้างไว้ เด็กหนุ่มโบกมือผ่านหน้าของงูเผือกอีกรอบ ก่อนจะเหลือบมองลำตัวยาวใต้น้ำที่ฟองสบู่เริ่มจาง ร่างยาวขยับเข้าหากันเป็นขด

    -ทำซื่อใส่อีก เห็นทีข้าต้องสั่งสอนเจ้าเสียแล้ว

    "อ้อ ลืมไป ทำหวงตัวไปได้"พันตรีหลุดหัวเราะออกมา เมื่อนึกถึงปีก่อนที่อาบน้ำให้งูเผือก ไอ้นั่นของงูปรากฏในหัว เขาพรูลมหายใจออกมา ยังไม่กล้ายื่นมือไปแตะตัวของงูเดี๋ยวจะฉุนเฉียวใส่มากกว่าเดิม บางทีอักษราภัคอาจคิดลึกกับเขาก็เป็นได้ งูเผือกเลื้อยมาใกล้ แลบลิ้นไปมา เขารอว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรเลยนั่งนิ่ง เจ้างูยื่นคอยาวออกมาหา เอียงหน้ามามองอยู่นาน

    -จูบข้าสิ

    "ว่าไง"พันตรีมองอย่างสงสัย แต่งูเผือกจดจ้องอยู่อย่างนั้น เด็กหนุ่มจึงเข้าไปช้อนร่างของงูออกจากน้ำแล้วพาไปที่อ่างล้างหน้าเพื่อล้างน้ำสะอาด เขาเปิดก็อกน้ำเบาๆ ร่างยาวขดม้วนอยู่ข้างในอ่างจนเต็ม พันตรีประคองหน้าของงูไว้ ยื่นไปจุ๊บเหมือนเช่นเคย

    "ผมรักคุณ"เขาบอกอีกครั้ง เขาพูดทุกวันโดยไม่เบื่อ งูเผือกนิ่งไม่ขยับร่าง เขาล้างฟองสบู่ออกจากลำตัวของงูไปเรื่อยๆ

    -ข้าก็รักเจ้า อยากให้เจ้าได้ยินข้าเหมือนเช่นเคย มันคงดีกว่านี้


    พันตรีหยิบผ้าเช็ดตัวผืนเล็กออกมาจากนั้นก็อุ้มเจ้างูออกจากห้องน้ำเมื่ออาบน้ำจนสะอาดแล้ว เขาวางงูลงกับผ้าเช็ดตัว จากนั้นก็ไปแต่งตัวเหลือบมองอักษราภัคที่เกลือกกลิ้งม้วนตัวอยู่ในผ้าเช็ดตัว เขายิ้มจาง แววตาเศร้าหมองลงเมื่อนึกถึงร่างกายของอีกฝ่าย


    หากจะบอกว่าเขาไม่คิดเสียใจที่อีกฝ่ายเป็นแบบนี้ก็คงเป็นเรื่องโกหก พันตรีคิดถึงอ้อมกอดของอักษราภัค หมายถึงอ้อมกอดที่โอบทั้งตัวของเขาไว้ มันคงอุ่นหากได้รับสัมผัสนั้นอีก เขาคิดถึงเส้นผมลอนเล็กๆของอีกฝ่ายปัดป่ายไปทั่วไหล่และลำคอ  


    แม้อยากจะเอ่ยออกไปว่า 'ผมคิดถึงคุณนะ'พันตรีไม่มีความกล้าที่จะพูดเลยสักนิด เพราะกลัวว่างูเผือกจะเสียใจขึ้นมา มันเหมือนว่าเขาไม่เข้มแข็งพอ


    งูเผือกยังคงไม่หยุดถูไถกับผ้าเช็ดตัว แต่เหลียวมองมาแวบเดียว พันตรียิ้มให้อีกฝ่าย


    -วันนี้พันตรีเศร้าอีกแล้ว

     งูเผือกอยู่กับพันตรีมาจนกระทั่งถึงเรียนถึงปีสี่ ตลอดระยะเวลานั้นมือซ้ายของพันตรีมีอาการเริ่มแย่ลง จนกระทบต่อการเรียนพอสมควร เขาไม่สามารถเลือกวิชาปั้นเป็นวิชาเอกได้ จึงหันไปเรียนจิตกรรมแทน เลือกเน้นไปที่ศิลปะประยุกต์

    พันตรีต้องเข้ารับการรักษา อาการของเขาเข้าข่ายโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง(MG) แต่ว่าไม่ได้ลามไปทั้งร่างกาย มันอ่อนแรงเฉพาะแขนซ้ายเท่านั้น หมอที่วินิจฉัยโรคให้เขาค่อนข้างแปลกใจ เด็กหนุ่มจึงต้องคอยทานยาไพริโดสติกมีน (Pyridostigmine) ยาสำหรับผู้ป่วยระดับเบา หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มมีอาการเท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าไม่ร้ายแรงนัก เขาโชคดีที่มันไม่เป็นไปทั้งระบบ แต่ยามีผลข้างเคียงทำให้เขาป่วยบ่อยและต้องหมั่นทำกายภาพบำบัดทุกวัน


    จนล่วงเลยมาจนถึงช่วงฝึกงาน พันตรีเลือกฝึกงานในตัวจังหวัดเพราะไม่อยากหอบหิ้วอักษราภัคเดินทางไกล แม้ว่าจะต้องย้ายหอพักชั่วคราวเพื่อให้สะดวกแก่การเดินทางไปกลับระหว่างที่ฝึกงาน เด็กหนุ่มแทบไม่เคยห่างจากงู เขาเคยชินกับการมีอีกฝ่ายที่เป็นเช่นนี้ไปโดยปริยาย เขาไม่ซื้อกล่องเลี้ยงงูอีก เวลานอนก็นอนบนเตียงด้วยกัน จนเคยชินไปซะแล้ว


    ช่วงเวลาที่พันตรีไปฝึกงานที่บริษัท เขาจำต้องปล่อยงูเผือกไว้ที่ห้องเพราะไม่สามารถเอาเจ้าตัวติดไปด้วยได้เหมือนตอนไปเรียนจริงๆ แม้ใจจะพะวงถึงอักษาภัคในระหว่างที่ทำงานบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าให้พะวงว่างูจะอึดอัดในกระเป๋าไหม ใครจะมาเจองูหรือเปล่า ตอนที่เขาบอกเจ้างูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็รับฟังไม่ได้แสดงท่าน้อยใจอะไร ถ้ามีเขาก็คงไม่รู้อยู่ดี


    ผ่านมาจนเกือบสิ้นสุดการฝึกงาน วันนี้เป็นวันหยุด พันตรีมีโอกาสพาอักษราภัคไปเปิดหูเปิดตาที่สวนสาธารณะใกล้กับอพาร์ทเม้น ยามเย็นที่นี่จะเต็มไปด้วยนักวิ่ง และคนที่มาเดินเล่นในสวน เด็กหนุ่มชอบการจัดสวนของที่นี่มาก มีทั้งสวนดอกไม้ กับสวนติดริมสระน้ำใหญ่ เขาชอบที่นี่เพราะมีศาลาไม้ให้นั่งเล่น มีกระถางดอกไม้แซมล้อมรอบศาลา


    "ที่นี่อากาศดีนะ"เขากระซิบบอกงูในกระเป๋าใส่แมวที่วางอยู่บนตัก เขาเปิดซิปออกเพื่อให้สะดวกในการเล่นกับงู อักษราภัคเงยมอง

    -อืม จะดีกว่านี้ถ้าข้าออกไปนั่งกับเจ้าได้

    "แต่ที่นี่คนเยอะไปหน่อย เลยเอาคุณออกมาไม่ได้"เด็กหนุ่มบอก ลูบตัวงูไปด้วยเพื่อปลอบใจ เขาเหลียวมองชายหญิงที่กำลังวิ่งเหยาะๆริมสระน้ำผ่านหน้าเขาไป พันตรีถอนหายใจ

    "รู้สึกเบื่อๆเลยออกมาด้านนอกบ้าง"เขาบอก ไม่อยากอดอู้อยู่แต่ในห้อง เขาคิดสำหรับอนาคตหากว่าเขาออกไปทำงาน เขาคงซื้อคอนโดไว้สักห้อง จัดสวนเล็กๆให้อักษราภัคอยู่ อย่างน้อยจะได้มีรู้สึกสดชื่นมากกว่าการเลื้อยอยู่แต่ในพื้นที่แข็งมีแต่สี่เหลี่ยมเดิมๆ พันตรีก้มมองดวงตาสีดำที่จดจ้องเหมือนเช่นเคย

    เขายังคงไม่รู้อยู่ดีว่าอักษราภัคสูญเสียดวงตาข้างไหน ซ้ายหรือขวา เพราะอักษราภัคไม่ใช่นาคาแล้ว จึงต้องสูญเสียดวงตาไปหนึ่งข้าง กลายเป็นงูธรรมดาทั่วไป เขาเคยได้ยินมานานแล้วว่าพวกงูจะตาไม่ค่อยดีกันอยู่แล้ว เขาอยากเอาอักษราภัคไปตรวจสุขภาพแต่กลัวคำถามที่ตามมาถึงพันธุ์งู เขาเลยต้องพึ่งนนท์ใช้ยาจากร้านของอีกฝ่ายแทน  

    งูเผือกยื่นหน้ามาชิดฝ่ามือของเขา พันตรีคุ้นเคยกับท่าทีแบบนี้ของอีกฝ่ายไปแล้ว เหมือนว่ากำลังอ้อนเอาใจ หากเป็นคนล่ะก็ คงนั่งซบเขาอยู่

    พันตรีพางูเผือกเข้าไปนั่งในศาลาริมน้ำ เมื่อความมืดเข้ามาครอบคลุมทำให้ปลอดคน ไฟประดับศาลาค่อยๆกะพริบติด ในสวนสาธารณะสว่างด้วยไฟสีนวลตา ภายในศาลาไม้มีโต๊ะยาว มีกระถางดอกไม้สี่เหลี่ยมตั้งประดับไว้ กลีบเล็กสีเหลืองเรียงซ้อนกันกับกลีบเล็กสีขาวทั้งหมดเป็นดอกกลมๆบานสวย เขาคิดว่าเป็นดอกกระดุมเงินกระดุมทอง เด็กหนุ่มเปิดกระเป๋าให้งูออกมาบนโต๊ะกลม หันซ้ายหันขวาก่อนจะเลื้อยเข้าหากระถาง

    พันตรีได้แต่เท้าแขนมองนิ่งๆ เห็นงูเผือกอ้าปากกัดเอาดอกกระดุมเงินออกมาอย่างทุลักทุเล เขาหัวเราะในลำคอเอื้อมไปหมายจะเด็ดให้ แต่งูเหลียวมามอง เขาเลยหดมือกลับมองอักษราภัคดึงดันเอาดอกไม้มาให้เขาจนได้ เขามองรอยกัดเปื่อยๆที่ก้านดอกไม้แล้วยิ้มออก ยื่นมือออกไปรับแต่อักษราภัคถอยหนี

    "อะไรล่ะ"เขาถาม มองอย่างไม่เข้าใจ งูเผือกเลื้อยมาจนชิดขอบโต๊ะ คาบดอกไม้เอาไว้ จดจ้องเขาเหมือนเดิม

    -วันนี้เป็นวันดี ข้ารู้สึกได้


    อักษราภัคชูคอสูงแล้วยื่นหน้ามาใกล้ปลายคางของพันตรี เด็กหนุ่มจ้องมองดวงตาสีดำนั้นอย่างอ้อยอิ่ง เขาเหลือบไปมองรอบศาลาไม่มีคนเดินผ่าน เขาจึงก้มลงไปหา ใบหน้าเรียวมนของงูอยู่ห่างไม่เกินหนึ่งนิ้ว อีกฝ่ายเอียงหน้าหันด้านที่เป็นก้านสีเขียวมาให้ พันตรีคิดว่าอักษราภัคช่างโรแมนติกจริง ยอมทำตามความต้องการอีกฝ่าย อ้าปากงับเอาก้านสีเขียวออกจากปากของงู ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่ได้สัมผัสกับปากของงู อีกฝ่ายแค่อยากให้ดอกไม้แก่เขาเท่านั้น พันตรียืดตัวขึ้น สองมือประคองลำตัวงูเอาไว้ไล้นิ้วโป้งไปตามเกล็ดเงางาม

    -ข้าอยากจูบเจ้า

    อักษราภัคจ้องมองไม่ห่าง พันตรียิ้มก่อนจะหยิบดอกไม้มาดู

    "คุณเลือกดอกสีเหลือง กระดุมทอง..."เขาพึมพำ แม้จะมีกลิ่นฉุนๆของดอกไม้อยู่บ้างแต่เขาก็ชอบสีของมัน เหลืองเข้มออกจะส้มมากกว่า งูเลื้อยเข้ามาหาราวกับจะออดอ้อนกว่าปกติ เขาจึงยื่นแขนขวาให้งูเลื้อยเกาะเกี่ยว ไม่รอช้าความอุ่นเคลื่อนตัวรัดรอบท่อนแขน ปลายหางเกี่ยวใต้ข้อศอก ลำตัวขดรัดไปทางข้อแขน ส่วนใบหน้าเลื้อยอ้อมหลังมือยื่นหน้าเข้ามาวางใบหน้าที่อุ้งมือแทน

    -ดอกชนิดนี้มีความหมาย เชื่อมั่นและมั่นคงไม่ไหวหวั่นต่อสิ่งใด ข้าอยากบอกเจ้าเช่นนี้พันตรี

    "วันนี้ดูอ้อนๆนะ"พันตรีเอ่ยขึ้น มองดอกไม้ก้านสั้นที่กลิ้งไปมาอยู่ในฝ่ามือซ้ายเพราะแรงลมเอื่อยๆ มองไปมองมาราวกับว่าดอกไม้นั้นสว่างเรืองรอง เขากะพริบตาอีกครั้ง ดอกไม้ยังปกติเหมือนเดิม สงสัยเขาจะจ้องแสงไฟมากเกินไป


    -ข้าอยากเล่าให้เจ้าฟัง เคยมีตำนานเล่าขานว่าหญิงนางหนึ่งปลูกมัน ดูแลอย่างดี ขณะเดียวกันนางก็เฝ้าอธิษฐานกับกระดุมทองขอให้สมหวังในรักกับชายที่ปรารถนา ท้ายที่สุดนางได้สมหวังด้วยพันตรี ฉะนั้นข้ามีหวัง...เป็นสัญญาณที่ดีไม่ใช่หรือ


    พันตรีพูดคุยกับอักษราภัคได้ไม่นานก็ต้องเก็บอีกฝ่ายเข้ากระเป๋าใส่แมว เพราะมีรปภ.เดินผ่านมาตรวจตราบริเวณใกล้ๆกับศาลาไม้ เด็กหนุ่มมองเวลารู้สึกว่าค่ำมืดแล้วจึงกลับอพาร์ทเม้น เขาหิ้วกระเป๋าจากนั้นก็เดินกลับห้อง เขาเลี่ยงไม่ใช้จักรยานหรือแม้แต่มอเตอร์ไซด์เพราะกลัวว่าอาจเกิดแขนอ่อนแรงขึ้นมาจะเจ็บตัวเปล่า อาการเหล่านี้รบกวนชีวิตประจำของพันตรีไม่น้อย เขาไม่ได้จับงานปั้นมาหลายเดือนแล้ว น่าเสียดายเหมือนกัน

    พันตรีแวะซื้อกับข้าวแกงที่หน้าปากซอยอพาร์ทเม้น จากนั้นก็หิ้วกระเป๋าเดินอย่างเอื่อยเฉื่อย ชีวิตของเขาวนเวียนอยู่แบบนี้ ภายนอกดูเงียบเหงา ทว่าเขาก็มีความสุขดีกับอักษราภัค



    เด็กหนุ่มกลับเข้าห้องพัก ปล่อยงูเผือกออกจากกระเป๋า เขาเอาของไปเก็บที่ห้องครัวที่แยกออกไปอีกห้อง ซึ่งไม่กว้างไปกว่าห้องน้ำเท่าไร มีเสียงหล่นดังโครม เขาจึงรีบออกไปดู ปรากฏว่าขาตั้งรูปล้ม เขาเดินไปเก็บ เห็นงูเผือกเลื้อยหลบเข้าไปใต้เตียง  

    "แกล้งกันเหรอ"เขาว่า

    จากนั้นก็หยิบลูกบอลมาบีบเล่นเพื่อออกกำลังมือข้างซ้าย พันตรีเปิดโน้ตบุ๊คเข้าไปเช็คข่าวสารของเพื่อนๆบ้าง นนท์กับจ่อยก็ยังคงเหมือนเดิมยังติดต่อกับเขาเหมือนเดิม อาจเพราะเป็นห่วงเรื่องอาการป่วยของเขาด้วย แต่สองคนนี้ฝึกงานคนละที่กับเขา

    นนท์/อยากได้งูสักตัวไหมวะ นี่ขายตรงให้เลยนะ

    ว่าแล้วนนท์ก็ทะยอยส่งรูปงูมาให้เลือก คอเล็กชั่นใหม่ของร้านเจ้าตัว อีกฝ่ายเหมือนมีคีเอทการขาย ตัดแต่งภาพลายของงูใส่ไว้ในแก้วไวน์ แก้วแชมเปญ แก้วบรั่นดี มองไปก็ออกจะหลอนอยู่สำหรับคนที่ไม่ชอบน้องงูเหล่านี้ เขาไม่ค่อยชอบงูที่มีลายเท่าไหร่ อย่างลายแบบงูหลามงูเหลือม ค่อนข้างจะชวนขนลุก อย่างน้อยควรมีสีเดียวกันไปเลย

    พันตรี/ อย่าเลย เดี๋ยวทำหายอีก

    นนท์/แถมกล่องอย่างดีเลยนะ


    อีกฝ่ายเกลี้ยกล่อม เขาขำความพยายามของเพื่อนคนนี้เสมอ คงเพราะกลัวเขาเบื่ออยู่คนเดียวมากกว่า ต่างกับจ่อยที่แนะนำให้เลี้ยงหนูแฮมเตอร์ กระต่าย ไม่ก็แมว เห็นทีคงไม่ไหวหรอก อักษราภัคคงจับฟัดลงท้องหมดล่ะมั้ง พอคิดแบบนี้อดเหลียวไปมองหางูเผือกไม่ได้ เขามองไปที่ใต้เตียงแต่ไม่เห็น รู้ตัวอีกทีก็มีสัมผัสอุ่นเข้ามาเกาะเกี่ยวที่ท่อนขา เมื่อครู่คงแอบอยู่ใต้เก้าอี้แน่ๆ


    -คิดสนใจงูตัวอื่นงั้นรึ สหายของพันตรีคนนี้เหิมเกริมเข้าไปทุกที

    "มาดูงูสิ"พันตรีก้มไปจับงูขึ้นมาวางพาดบนตัก แต่เจ้างูไม่ได้สนใจนักเพียงแค่หันมาเลื้อยหาท่อนแขนเกาะเกี่ยวราวกับเป็นกิ่งไม้ พันตรีกดปิดรูปงูออก

    นนท์/ ตลอดนะมึง เออ จำงูเผือกที่เศรษฐีเพชรทำหายได้ไหมวะ

    พันตรี/ทำไมวะ

    นนท์/ ได้ข่าวว่าเจอกำไลเพชรแล้วแต่ไม่เจองูว่ะ

    พันตรี/อ่อ

    เด็กหนุ่มหันไปมองงูเผือกที่เลื้อยมาหาที่หัวไหล่ แล้วหันมองหน้าจอโน้ตบุ๊ก

    "นี่ เศรษฐีคนนั้นเจอกำไลแล้วล่ะ อยากฟังเรื่องวันนั้นเหมือนกันนะว่าเกิดอะไรขึ้น"พันตรีพูดกับงูเผือก ระหว่างที่พิมพ์ข้อความตอบโต้กับนนท์

    พันตรี/เจอที่ไหนล่ะ

    นนท์/แถวบ้านนั่นแหละ คงหล่นตอนงูหนี

    เด็กหนุ่มจ้องข้อความในแชท ขณะเดียวกันงูเผือกยังคงคลอเคลียอยู่กับต้นคอของพันตรีไม่ห่าง เอาแต่ถูซ้ายถูขวาไม่ต่างจากแมว เขากระตุกยิ้มเอียงหน้าหนีบตัวงูเอาไว้อย่างมันเขี้ยว

    -ชายคนนั้นเจ้าต้องไม่ชอบเขาแน่


    ไฟในห้องกะพริบถี่เหมือนไฟตก พันตรีเงยมองดวงไฟบนเพดาน ก่อนจะหันมองอักษราภัคที่ไหล่เจ้าตัวโน้มหน้าเรียวเข้ามาชนแก้มเขาเบาๆ อดยิ้มกับการกระทำเหล่านี้ไม่ได้ เด็กหนุ่มเอียงคอปล่อยงูเผือกจึงเลื้อยเข้ามากอดรัดรอบคอของเขา แรงรัดไม่ได้แน่นอะไรแค่ทิ้งตัวสบายๆ ระหว่างนั้นพันตรีได้ยินเสียงฟ้าร้องเบาๆจากด้านนอก

     

    "ฝนตกแทบทุกวันเลยนะ"

    -หน้าฝนนี่ แต่ข้าว่าวันนี้ออกจะต่างไป

    "นนท์บอกว่าจะขายงูให้ผมล่ะ ดูสิลายน่าเกลียดเหมือนกัน"พันตรีเอ่ย ไม่ได้มีความรังเกียจอย่างที่พูด เขาแค่เลื่อนเม้าส์คลิกไปที่งูสีนวลน้ำตาลเรียบในแก้วแชมเปญ อักษราภัคกัดเข้าที่เส้นผมข้างหูของเด็กหนุ่มดึงกระทบกึกๆ

    -เหลวไหลใหญ่

    "ล้อเล่นน่ะ งูที่ไหนจะดีเท่าอักษราล่ะ"พันตรีว่า เคยชินกับชื่อนี้ไปเสียแล้ว เจ้าตัวบอกว่าไม่ชอบชื่อของตัวเอง เขาเลยเรียกตามที่อีกฝ่ายชอบ งูเผือกยื่นหน้าผ่านข้างหูมามอง เขาเหลือบมองปลายหางเรียวแหลมของอีกฝ่ายที่วางพาดไหล่อีกข้าง

     

    -ข้าไม่ต้องไปเทียบกับงูตัวน้อยพวกนั้นหรอก


    นนท์/เออ อีกเรื่อง กูเจอญาติมึงด้วยนะ

    พันตรีแทบไม่เชื่อสายตา เขาก้มอ่านอีกครั้ง ก่อนจะรีบรัวนิ้วลงแป้นพิมพ์ ญาติ...ที่เอ่ยถึงคือคำแก้ตัวเรื่องไวทินเมื่อคราวปิดเทอม

    พันตรี/จริงดิ เจอที่ไหน

    นนท์/ที่มหา'ลัย ข้างๆห้องปั้น

    พันตรี/ มึงไปทำไรที่นั่น

    นนท์/ไปหาอาจารย์เรื่องแก้นิพนธ์ไง

    พันตรีรู้สึกตะหงิดในใจ ไวทินไปที่คณะทำไมกัน เขากำลังพิมพ์ถามต่อ นนท์ส่งข้อความมาอีก

    นนท์/มายืนตรงฐานปั้นของมึง กูเลยถามว่ามาหามึงหรือไง แต่เขาบอกว่าเปล่า แล้วก็เดินหนีไปเลย แปลกๆนะ ใช่ญาติมึงแน่เหรอ?

    พันตรีอ่านข้อความของนนท์ด้วยสมองว่างเปล่า งูเผือกยื่นหน้ามามอง เขาเอื้อมมือข้างถนัดขึ้นไปลูบตัวอีกฝ่ายไว้ นึกถึงคำพูดของอักษราภัคที่บอกว่าเดาใจไวทินไม่ออก

    "ไวทินเป็นคนยังไงกันแน่นะ"

    -เขาเป็นคนซื่อตรงซื่อสัตย์ แต่กับบางเรื่องอาจไม่ตรงไปตรงมานัก เห็นได้จากเรื่องที่เกิดขึ้นของเจ้ากับข้า...จนบัดนี้ ข้าไม่กล้าเดาอะไรเกี่ยวกับเขานัก


    พันตรี/ เออ แค่ญาติ เขาได้พูดอะไรอีกไหม

    นนท์/ไม่พูดอะไร ไม่รู้สิ บอกไม่ถูกว่ะ กูคิดว่าเขามาหามึงนั่นแหละ


    พันตรีนิ่งงัน หากไวทินคิดจะมาหาเขาจริงๆล่ะก็ อีกฝ่ายน่าจะตามตัวเขาได้ไม่ยาก แต่ดันไปโผล่ที่คณะเอาได้ จู่ๆพันตรีก็ชะงักงัน ก้มมองที่แขนซ้าย ลองขยับมือกำเข้ากำออกหลายคร้ัง อาการชายังคงเดิม เด็กหนุ่มเม้มปากกำลูกบอลในมือแน่น นึกถึงแววตาวูบไหวของอีกฝ่ายในนาทีที่เขายื่นมือไปหาเมื่อคราวนั้น....

    ...เขาไม่สามารถปั้นอะไรได้อีกแล้ว


    -เจ้าเศร้าอีกแล้ว


    "เฮ้อ มีแต่เรื่องบ้าๆ"พันตรีพึมพำ ก่อนจะสิ้นสุดการสนทนากับนนท์ ไฟในห้องกลับมาสว่างชัดไม่กะพริบหรือกระตุกวูบอีก เสียงฝนตกยังคงดังให้ได้ยิน เขาจับลำตัวของงูเผือกมาอุ้มไว้แทน พามาที่เตียงก่อนจะปล่อยให้ลงเตียงแล้วเขาเข้าไปอาบน้ำต่อ เหมือนว่าเด็กหนุ่มชักง่วงเหงาหาวนอนเสียแล้ว วันนี้เลยกะว่าจะเข้านอนเร็วกว่าปกติ


    พอออกจากห้องน้ำ เขาสวมบ็อกเซอร์ตัวเดียวแล้วปิดไฟในห้องเหลือไว้แค่ไฟที่หัวเตียงก่อนจะเดินมาปีนขึ้นเตียง ล้มตัวลงนอนหันหน้าเข้าหาอักษราภัค อ้าปากหาวนอนอีกครั้ง แม้เรื่องไวทินจะรบกวนจิตใจไม่น้อย แต่ก็ไม่อยากไปคิดสงสัยมาก เขาไม่อยากข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายแล้ว

    พันตรีดึงผ้าห่มขึ้นมาถึงหน้าอกปล่อยให้อีกฝ่ายนอนขดอยู่ใกล้กับช่วงตัว เขาหลับตาลง งูเผือกเลื้อยมาหอมแก้มเขาอีกตามเคย  

    "กู๊ดไนท์นะงูเผือก"เขาพึมพำ


    -ฝันดี พันตรีของข้า



    ความมืดสลัวและอากาศเย็นสบายขับกล่อมให้สิ่งมีชีวิตบนเตียงหลับใหลไม่รู้สึกตัว เงามืดสายหนึ่งโผล่ทอดทับร่างของพันตรี เขาสะลึมสะลือขึ้นมา ไม่ทันเห็นเงาร่างนั้น เพียงแค่ขยับตัวนอนเบียดรับไออุ่นจากงูตัวน้อยกว่า แขนที่วางแนบลำตัวไม่ได้สัมผัสกับร่างอุ่นของงูเหมือนอย่างเคย พันตรีกระตุกเล็กน้อย กวาดมือไปยังเตียงนอนข้างหน้าตัวเองแต่ไม่พบกับลำตัวยาวของงูเผือก เขาลืมตาขึ้นทันที ไฟจากโคมไฟเหนือเตียงหรี่ลงจนสลัว พันตรีผงกศีรษะออกจากหมอน งูเผือกข้างกายหายไปแล้ว

    พันตรีสติแจ่มชัด ผงะตกใจเด้งตัวผุดลุกทว่าไออุ่นจากท่อนแขนขาวผ่องกอดรัดให้นอนลง พลันหัวใจเต้นรัว เลือดในกายสูบฉีด พันตรีไม่กล้าจินตานาการไปไกลนัก จึงหันมองคนข้างๆ เขาคิดว่าตกอยู่ในความฝัน เมื่อเห็นว่าที่มาของท่อนแขนนี้ ไล่สายตามองไปเจอกับร่างขาวเนียนของคนที่รอคอย

    ร่างกายเปลือยเปล่า ใบหน้ายิ้มแย้ม เส้นผมยาวปกคลุมไหล่จนแผ่กระจาย

     

    "อักษราภัค"พันตรีตื่นเต้นยินดี รีบโถมเข้ากอดอีกฝ่ายทันที ไออุ่นจากอ้อมแขนโอบรัดลำตัวของเขาไว้แน่น เส้นผมยาวเป็นลอนเล็กปัดป่ายกับท่อนแขนของเขา

    "เจ้ากอดข้าแน่นไปแล้ว"เสียงนั้นทุ้มลึก หางเสียงสั่นเครือเล็กน้อย

    "คุณกลับมาหาผมแล้ว รู้ไหมว่าคิดถึงคุณมากแค่ไหน"พันตรีละล่ำละลัก กอดอักษราภัคไว้แน่น สูดกลิ่นกายคุ้นเคยเข้าปอด กลิ่นสบู่เหลวที่เด็กหนุ่มใช้เป็นประจำ ทำให้สองตาร้อนผ่าว มีเสียงหัวเราะแผ่วเบาให้ได้ยิน

    "ข้าอยู่กับเจ้าแล้วไง..."อักษราภัคดันไหล่เขาออก พันตรีจ้องมองอย่างตื่นตะลึง อักษราภัคไม่เปลี่ยนไปจากเดิม แสงสลัวจากโคมไฟทำให้เด็กหนุ่มใจเต้นรัว ยื่นมือไปสัมผัสใบหน้าของอีกฝ่ายช้าๆ

    "คุณจริงๆด้วย"เขาคิดอะไรไม่ออกนัก เข้าไปกอดอักษราภัคอีกครั้ง ซุกหน้าลงกับบ่ากว้างกลิ่นหอมสูดเข้าเต็มจมูก มืออุ่นโอบกอดเอวเขาไว้เช่นกัน

    "ข้าบอกแล้วว่าวันนี้วันดี"อักษราภัคพึมพำ พันตรีแปลกใจที่ได้ยินเช่นนี้ ยอมผละออกจากอ้อมกอดของคนที่รัก เงยมองอีกฝ่ายอย่างเต็มตา เขาสำรวจไปทั่วใบหน้าของอักษราภัค เพิ่งนึกออกว่าอีกฝ่ายสูญเสียดวงตาไป เขาตระหนก

    "ดวงตาของคุณ..."

    "ไม่เป็นไร...หากได้เจอเจ้าอีก ข้าย่อมแลก"อักษราภัคเอ่ยเสียงนุ่ม พันตรีขยับเข้าไปหา จ้องมองไปที่ดวงตาสองข้าง เขามองเห็นความผิดปกติเล็กน้อยที่สีตาของเจ้าตัว ปกติอีกฝ่ายมีนัยน์ตาดำเข้ม ทว่าที่ดวงตาข้างซ้ายกลับกลายเป็นนัยน์ตาสีซีดจาง

    "กลัวข้าหรือไม่"

    "ไม่"พันตรีส่ายหน้า เส้นทางของอักษราภัคโหดร้ายกว่าเขามาก เด็กหนุ่มยิ้ม ประคองหน้าของเจ้าตัวไว้ด้วยสองมือ แม้มือซ้ายยังคงชาวาบแต่เขาฝืนไว้ โน้มหน้าลงประทับจูบแผ่วเบาราวกับจุมพิตปลอมประโลม เพียงแค่สัมผัสริมฝีปากช้าๆ ไล้ลิ้นไปตามริมฝีปากล่างขบเม้มเบาๆ

    "ผมอยากจูบคุณมาตลอด"พันตรีกระซิบ ใช้นิ้วโป้งทั้งสองข้างลูบไปที่ริมฝีปากของอักษราภัค สีหน้าของอีกฝ่ายฉายความปรารถนา ดวงตาวูบไหวชัดเจน

    "ข้าก็เช่นกัน แม้อยู่ใกล้เพียงใดแต่ไม่อาจเอื้อมไปถึง เป็นความรู้สึกที่ทรมานไม่เบา"

    พันตรีก้มจูบอักษราภัค บดเบียดริมฝีปากซ้ำแล้วซ้ำเล่า จูบล้ำลึกแต่ไม่ใช่เพื่อปลุกเสน่หา เขาแค่โหวยหาสัมผัสของอีกฝ่าย ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง หากต้องรับรู้ว่าเขากำลังฝันอยู่ มันทำให้เจ็บปวดเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วไม่พบร่างของอักษราภัคอีก เขาอยากพูดคุย ยิ้ม หัวเราะ แสดงความรู้สึกกับอีกฝ่ายให้มากกว่าที่เป็นอยู่ อักษราภัคโอบกระชับเอวของเขาไว้ อีกมือลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลัง ความอุ่นแล่นลิ้วไปตามรอยสัมผัสจากฝ่ามือนั้น

    "นี่ไม่ใช่ฝันใช่ไหม"เขาพึมพำอยู่เหนือริมฝีปากอ่อนนุ่มของอักษราภัค เมื่อถอนริมฝีปากออก พันตรีสบตากับคนตรงหน้าอย่างคาดหวัง ในหัวใจไม่อาจยอมรับความผิดหวังได้อีก  

    "ข้ากลับมาหาเจ้าแล้วพันตรี"อักษราภัคเอ่ย ดอกไม้ในใจเบ่งบานกว่าครั้งไหนๆ หัวใจยังคนเต้นระส่ำ ความยินดีแล่นไปทั่วสรรพางค์กาย พันตรีจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีดำอีกข้าง อีกฝ่ายสามารถคืนร่างมนุษย์ได้อย่างไรกัน เขามีคำถาม ทว่าในตอนนี้เขาเพียงต้องการกอดอีกฝ่ายแน่นๆเท่านั้น อ้อมกอดอุ่นของงูเผือกโอบกระชับพาเขาเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง ราวกับมีมนต์สะกด

    เด็กหนุ่มฝืนจ้องมองข้ามไหล่อักษราภัคไป เงาร่างของใครคนหนึ่งยืนอยู่ ไม่ทันจะอ้าปากเปล่งเสียง กระแสนิทราขับกล่อมให้พันตรีหลับใหลในอ้อมแขนของอักษราภัคไปทั้งอย่างนั้น

    เขาได้แต่หวังว่าเมื่อลืมตาตื่นแล้วจะพบคนข้างกาย 




    [Talk]

    ตอนหน้าก็จบแล้วจ้า

    อะไรทำให้พี่งูมีร่างมนุษย์ได้(จริงๆ ไม่หลอก)ต้องมาติดตามกัน

    ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ 



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×