ลำดับตอนที่ #9
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : RE : บทที่ 8 มณีนาคา
บทที่ 8 มณีนาคาท้องพระโรงโออ่า ประกอบด้วยศิลาสีหม่น แท่นเสาประคองห้องโถงเรียงตัวเจ็ดต้น ประดับด้วยผ้าทอมือผืนยาวสีอ่อนพริ้วไหวราวกับม่านน้ำ บัลลังสีทอง สลักลวดลายของนาคายักษ์ผงาดหลังแท่นประทับ เพลานี้ไร้ธารกำนัล มีเพียงแต่ท้าวปุณมนัสกับโอรสองเล็กของพระองค์
‘จริงหรือไม่ ที่เจ้ามีใจปฏิพัทธ์ต่ออักษราภัค’สิ้นเสียงขององค์เหนือหัวแห่งอมรานคร อภันตีเงยมองผู้ที่สูงกว่าเพียงเล็กน้อย ใบหน้าปรากฏความเคร่งขรึม เปล่งเสียงหนักแน่นกล่าวกับองค์เหนือหัวผู้เป็นพระบิดา
‘จริงพะยะค่ะเสด็จพ่อ หม่อมฉันรักอักษราภัคด้วยใจจริง เพียงแรกพบ รูปโฉมของอักษราภัคนั้นงดงาม หม่อมฉันจึงลดอคติเปิดใจกับอักษราภัค’อภันตีเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ในดวงตาแม่นมั่นเห็นความบริสุทธิ์เจตนา ท้าวปุณมนัสแปลกใจนัก ไม่คิดว่าโอรสคิดรักใคร่นาคาสีดำในเวลาไม่กี่เดือน จึงได้แต่นิ่ง ในเมื่อพระองค์เองได้ให้คำมั่น และอักษราภัคเป็นถึงพระคู่หมั้น
ท้าวปุณมนัสจึงไม่คิดกีดกัน แม้ความนัยน์ของพระองค์ต้องการเพียงให้อักษราภัคเป็นเพียงหุ่นเชิด ไม่ต้องเชิดชู
‘หากเจ้ายืนยันเช่นนั้น ข้าไม่ขัด แต่ที่ข้าเรียกตัวเจ้ามา ก็เพราะเจ้าไปเยือนเมืองอัตรคุปต์นานนัก ซ้ำไม่ยอมขึ้นบกกับบริวาร ข้าจึงกังวลอยู่ไม่น้อย’น้ำเสียงจากท้าวปุณมนัสแฝงด้วยความกังวล
‘มีเรื่องใดให้เสด็จพ่อกังวลกัน ไวทินไม่ได้แจ้งต่อเสด็จพ่อหรือ’อภันตีเอ่ยอย่างสงสัย ท้าวปุณมนัสผงกศีรษะรับ
‘แจ้ง...เพราะเช่นนั้น ข้าจึงเรียกเจ้ากลับมา’พอได้ฟังเสด็จพ่อกล่าวเช่นนี้ ถึงกับกริ้วโกรธขึ้นมาในบันดล
‘ไหนว่าเสด็จพ่อต้องการให้หม่อมฉันกลับมาปกครองหัวเมืองเล่าพะยะค่ะ’โอรสองค์เล็กได้แต่ไม่เข้าใจ เงยมองผู้เป็นพระบิดาอยู่เงียบๆ นึกหาเหตุผลจากองค์เหนือหัว
‘...ใช่ แต่ยังไม่ใช่เพลานี้ เจ้ากลับมาที่วังแล้ว จงหมั่นศึกษาตำรา อย่างไรซะข้าก็จะยกหัวเมืองให้เจ้าปกครองไม่เปลี่ยน’
‘เสด็จพ่อเอ่ยเช่นนี้เห็นหม่อมฉันเขลามากนักหรือ หม่อมฉันรีบเสด็จกลับเพียงเพราะเสด็จพ่ออยากให้หม่อมฉันทำการปกครอง...’อภันตีใช้น้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้าเก็บงำอารมณ์ไว้ รู้แจ้งแล้วว่าเสด็จพ่อของพระองค์ไม่ปรารถนาให้เกี่ยวดองกับนาคาสีดำอย่างลึกซึ้ง เจ้าเมืองอมรานครต้องการให้อักษราภัคเป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งความปรองดองแบบจอมปลอม เพราะรู้ว่าองค์อภัยภัทรนั้นรักนางจันดา มารดาของบอักษราภัคด้วยใจจริง
‘เจ้าช่างไร้มารยาทนัก หากข้าไม่เรียกเจ้าก็ไม่คิดกลับเช่นนั้นหรือ’ท้าวปุณมนัสเอ่ยสั่งสอน ไม่คิดว่าโอรสหายจากนครไปสองฤดูกลับเปลี่ยนท่าที และหัวใจไปได้เพียงนี้ ช่างน่าเหลือเชื่อ นาคาตนนั้นงดงามพระองค์รู้แก่ใจดี ทว่าใช้กลใดถึงผูกใจอภันตีได้เล่า กษัตริย์แห่งอมรานครคิดกังวลอยู่ไม่น้อย
‘หม่อมฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้น การที่หม่อมฉันประทับอยู่ที่วังของอักษราภัคก็เพราะต้องการแสดงความจริงใจต่อพระคู่หมั้น หม่อมฉันไม่สนใจคำครหาในชาติกำเนิดของอักษราภัคแม้แต่น้อย เขามีเกียรติเท่าหม่อมฉันเช่นกัน’ก้มมองโอรสแล้วต้องเก็บคำพูดไม่ถนอมน้ำใจเอาไว้ให้มั่น จึงได้แต่ทอดถอนหายใจออกมา
‘เอาล่ะๆ ข้าเพียงแต่อยากเจอหน้าโอรสของตนบ้าง...ว่าแต่เจ้าได้เข้าเฝ้าองค์อภัยภัทรหรือไม่’
‘หม่อมฉันได้เข้าเฝ้าเพียงองค์อิศราเท่านั้น เนื่องจากองค์อภัยภัทรจำศีลใต้บาดาล ด้วยร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนเก่า แต่หม่อมฉันถวายเครื่องบำรุง แสดงไมตรีของเราต่ออัตรคุปต์เป็นที่เรียบร้อย’
ได้ฟังคำกล่าวของโอรส ท้าวปุณมนัสมีสีหน้าคร่ำเครียดอยู่ชั่วขณะทว่าแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มดังเดิม แต่ไม่อาจรอดสายตาของอภันตีไปได้ พระองค์เก็บความคลางแคลงเอาไว้เงียบๆ
‘ดีแล้ว...แล้วองค์อักคราเล่า เจ้าเห็นว่าเขาเป็นนักปกครองเช่นไร’
‘เรียนตามตรง องค์อักครานั้นไม่เก่งกาจทั้งการศึกและการปกครอง เหมือนว่าเขาจะทำตามที่องค์อิศรา ผู้เป็นลุง บัญชาเสียทุกอย่าง องค์อักคราไม่ใช่นักปกครองที่เก่งเท่าใด’
‘เช่นนั้นรึ...ถึงอย่างไรอัตรคุปต์ยังเป็นเมืองใต้การดูแลของอมรานคร จับตาพวกเขาไว้มิเสียหาย’
‘เสด็จพ่อ หม่อมฉันขอทูลเรื่องสำคัญพะยะค่ะ’
‘ว่ามา’ท้าวปุณมนัสก้มมองโอรสอย่างสนใจ อภันตีกำมือแน่น นัยน์ตาปรากฏแววมั่นคง
ราวกับตัดสินใจในบางอย่างได้ ก่อนจะเปล่งวาจาสำคัญให้แก่พระบิดา
‘หม่อมฉันต้องการให้อักษราภัคมาประทับที่วังของลูก’สิ้นวาจาของอภันตีผู้เป็นโอรส ท้าวปุณมนัสถึงกับมีโทสะ ลงจากบัลลังก์เยื้องย่างสู่เบื้องล่าง
‘อมรานครไม่ใช่ที่เที่ยวเล่น!’แม้นรู้ดีว่าพระบิดาอาจกริ้ว แต่อภันตีไม่ควรปล่อยเรื่องราวนี้ไป เพราะหนหน้าคงไม่สบโอกาสเช่นนี้แล้ว
‘แต่อักษราภัคเป็นคู่หมั้นของหม่อมฉันไม่ใช่หรือพะยะค่ะ อีกเรื่อง อักษราภัคปกครองความปลอดภัยที่วังด่านแรกของอันตรคุปต์ วังของเขาไม่สมเกียนรติเลยแม้แต่น้อย ดูท่าองค์อภัยภัทรจะรักลูกไม่เท่ากัน’อภัยตีเอ่ยอย่างไม่พอใจ เมื่อนึกถึงความอดสูที่พระคู่หมั้นได้รับ การหยามหมิ่นทั้งต่อหน้าและลับหลัง
‘อภันตี เจ้าอย่าได้ก้าวก่ายเรื่องภายในของเมืองอื่น ที่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เราต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว’ท้าวปุณมนัสเอ่ยปราม ไม่ชอบใจกับความคิดตื้นเขินของโอรสนัก
‘หม่อมฉันทราบดี เพียงแค่เอ่ยในฐานะพระคู่หมั้นของอักษราภัคเท่านั้น ในฐานะพระคู่หมั้นอย่างสมเกียรติ หากทำให้เป็นที่ประจัก ใครเล่าจะกล้าปรามาสแก่นาคาสีดำได้’
ที่อภันตีพูดมานั้นไม่ผิด หากท้าวปุณมนัสบัญชามาคำเดียว หามีผู้ใดจะบริภาษต่อหน้าได้ หรือกระทำหยามเกียรติแก่อักษราภัค หรือบ้านเมืองอัตรคุปต์ได้ แต่ท้าวปุณมนัสไม่ปรารถนาเช่นนั้น ไม่ใช่รังเกียจพระคู่หมั้นของโอรส
‘ขอข้าเวลาคิดสักประเดี๋ยว เจ้าออกไปก่อน จงตามไวทินมาให้ข้าด้วย’ท้าวปุณมนัสเดินกลับไปยังบัลลังก์ดังเดิม ส่งผลให้องค์อภันตีมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก พยายามกล่าวต่อไปแม้ว่าพระบิดาไม่คิดรับฟัง
‘แต่ว่าเสด็จพ่อ...’
‘ข้าสั่งเจ้า’คำเด็ดขาดของท้าวปุณมนัส ทำให้อภันตีได้แต่เก็บความขุ่นข้องหมองใจเอาไว้ ก่อนจะทูลลาพระบิดา
แต่แรกเสด็จพ่อหมายหมั้นให้คู่ครองกับนาคาสีดำ เช่น อักษราภัค แต่เพลานี้ไยถึงมีท่าทีเช่นนี้ได้เล่า เพียงไม่ถึงข้ามวัน ดวงใจก็ถวิลหาคนรักเสียแล้ว
‘อักษราภัค...เจ้าจะคนึงหาถึงข้าหรือไม่เล่า‘
ในความฝัน...พันตรีสามารถรับรู้ถึงจิตใจและอารมณ์ของอภันตีได้ชัด เขาโกรธเคือง และไม่เข้าใจเสด็จพ่อของตัวเอง เด็กหนุ่มขยับตัวบนเตียง ข้างกันนั้นมีงูเผือกยังคงหลับใหล ยื่นมือไปลูบผิวเกล็ดของงูอย่างลืมตัว การที่เกิดเภทภัยกับอภันตี มันเกี่ยวกับการองค์อภัยภัทรหรือไม่ เขายังจำคำพูดในวันแรกที่เจอกันได้ดี
“มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ”เขาพึมพำ การมายังเมืองมนุษย์ของอักษราภัคเป็นแค่การเนรเทศเท่านั้นจริงๆเหรอ เขารู้ว่ายังมีความจริงหลายอย่างไม่เปิดเผย อักษราภัคไม่ยอมเล่าให้ฟัง และเขาไม่คาดคั้น แม้ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับตัวเองก็ตาม
ช่วงเช้าพันตรีตื่นนอนตามเวลาเดิมเช่นเคย งูเผือกยังไม่ตื่น เด็กหนุ่มจึงไม่ปลุก พอออกจากห้องน้ำมาอีกรอบ งูก็ยังไม่ขยับไปไหน เขาออกไปซักผ้าแล้วเดินไปซื้อข้าวเช้าด้วย ระหว่างทางกลับ เขาเจองูเขียวดักรอที่ริมถนน ทำเอาสะดุ้งตกใจเพราะอยู่ๆก็โผล่หัวออกมาจากก่อหญ้า
“อภันตี”เสียงต่ำเอ่ยเรียกชื่อเก่า
“ตกใจหมด”เด็กหนุ่มหยุดชะงัก ก่อนจะจ้องมองงูเขียวด้วยสายตาไม่พอใจ งูแลบลิ้นออกมาอยู่หลายครั้ง ส่งเสียงฟ่อแฟ่ไม่เป็นภาษา จากนั้นก็เอ่ยถ้อยคำปกติ
“อักษราภัคหายดีหรือยังล่ะ”งูเอ่ย อีกฝ่ายรู้ด้วยหรือไงที่อักษราภัคโดนพี่ชายโจมตี
“เขาบอกว่าไม่ได้บาดเจ็บอะไรนี่ ทำไมเหรอ”รีบถามทันที เผื่อว่างูตัวนี้จะมีวิธีรักษาดีๆ เขาเองสังเกตว่าอักษราภัคดูอ่อนเพลีย
“ข้าแค่เป็นห่วงเท่านั้น ไหนจะพิษนาคาสีดำ แม้ว่าด้อยกว่าสีทอง แต่ก็เป็นพิษที่คร่าชีวิตพวกเดียวกันได้ อักษราภัคคายพิษออกใช่ว่าจะหายเป็นปลิดทิ้ง”งูเขียวเอ่ยบอก ฟังแล้วต้องย่นคิ้วตามไปด้วย
“แล้วต้องทำยังไง”คำพูดของอีกฝ่ายทำให้เขากังวลขึ้นมา งูเขียวชูคอสูงส่ายหน้าไปมา
“อย่าห่วง เขาแค่อ่อนเพลียง่าย ท่านจงดูแลเขาให้ดี”
“ดูแลยังไงล่ะ”ในเมื่องูเอาแต่นอน พอเป็นร่างมนุษย์ก็คอยแต่จะกวนเขาเล่น
“ก็เอาใจใส่หน่อย ไม่ก็ให้เขาใช้มณีนาคาช่วยรักษาพิษสิ”งูพูด ดวงตาสีดำจ้องมองนิ่งๆ เด็กหนุ่มเหลียวไปมองตามถนนหนทาง ยังมีรถผ่านไปผ่านมาเป็นระยะ ทำให้เหมือนเขาคุยอยู่คนเดียว เพราะงูเขียวพลางตัวได้ดีกับกอหญ้าริมทาง
“มณีนาคาหรือ? อักษราภัคมีด้วยหรือ”พันตรีแปลกใจเพราะเจ้าตัวไม่มีมณีที่รัดเกล้า งูเขียวนิ่งเงียบ ส่ายหน้าไปมา
“เปล่า....หมายถึงของท่าน มณีที่อักษราภัคเอามาถ้ำขององค์อภัยภัทร”’งูบอก รู้สึกว่าอีกฝ่ายเหมือนจะนิ่งงันไป งูเขียวเองคาดเดาได้ว่าเขารู้เรื่องมณีแล้ว ไม่ก็ได้คุยกับอักษราภัคมาก่อน
“ช่วยได้งั้นเหรอ”เขาถาม ยังมองไม่ออกว่ามณีเม็ดนั้นจะมีรูปร่างอย่างไร และมีอิทธิฤทธิ์มากแค่ไหน งูเขียวแลบลิ้นออกมา
“อืม...แต่ก็เสี่ยงหน่อย เพราะหากใช้อาคมเข้า องค์อักครากับผู้ติดตามอาจตามมาที่นี่อีก”
“เมื่อวานก็โดนโจมตี อีกฝ่ายเหมือนจะบาดเจ็บด้วยนะ”เขาบอก ใบหน้าฉุนเฉียวของอักคราฉายวาบในหัวทันที
“คงใช้เวลาสักพักกว่าจะฟื้นตัวได้ อีกอย่างทั้งอักษราภัคและอักคราต่างไม่ใช่คนของดินแดนนาคาแล้ว ไม่ใช่นาคาตัวใหญ่ ต่างจากนาคาที่โจมตีเจ้าที่หอพักคราวก่อน เจ้าตัวนั้นเป็นแค่บริวารในเมืองบาดาล เพียงแค่ทำตามรับสั่งขององค์อักคราเท่านั้น แต่มิอาจไปมาหาสู่กันได้ เพราะองค์อักครานั้นก็โดนเนรเทศมาเช่นกัน ไม่สามารถใช้อำนาจในทางมิชอบได้ เรื่องในโลกมนุษย์ไม่ใช่จะทำตามอำเภอใจ ผู้เป็นใหญ่ในเมืองสวรรค์ต่างมีหูมีตา”งูเขียวเอ่ยเสียงต่ำ ลาบเลื้อยไปตามพงหญ้าเพื่อขยับมาหาใกล้เขามากขึ้น
“คุณรู้สาเหตุที่อักษราภัคโดนเนรเทศมาหรือเปล่า”เขาถามด้วยความกังวลใจ
“ย่อมรู้...เรื่องนั้น...ท่านถามเอากับพระคู่หมั้นของพระองค์น่าจะดีกว่า ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงหรอก”งูเขียวบอก อย่างไรไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน
“...มณีนาคาสำคัญมากหรือไง”
รู้สึกว่ามีบางอย่างเกี่ยวกับมณีนาคาของอภันตีที่อักคราอยากแย่งชิง
“สำคัญสิ มณีสีแดงของท่าน เป็นถึงนาคาสีทองเชียวนะ สามารถช่วยชีวิตฟื้นสิ่งที่ลาลับไปแล้วได้ น่าอัศจรรย์ไหมเล่า มณีที่มีอิทธิฤทธิ์เช่นนั้นหาได้ยาก...”คำตอบของงูเขียวทำให้เขาอึ้งไป อิทธิฤทธิ์น่าอัศจรรย์ขนาดนั้นก็สมควรให้แย่งชิงกัน เหมือนเห็นเค้าลางจากในความฝันลางๆ
“แล้วทำไมองค์อักครายังต้องตามหาอีก ในเมื่อมันเป็นของอภันตี”
“เจ้าคงไม่รู้ความเป็นไปในเมืองนาคา ขณะนี้ เมืองอัตรคุปต์ไร้ซึ่งผู้ปกครองจากนาคาสีดำ องค์อภัยภัทรเองก็สิ้นไปนานแล้ว เหลือแต่ผู้ปกครองแห่งอมรานครที่มานั่งบัลลังก์”
“จริงเหรอ”เขารู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา เหมือนว่าเรื่องราวจะไม่ง่ายนัก จำคำของอักษราภัคได้ว่าอีกฝายอาจเป็นไวทิน สหายสนิทของอภันตี นึกถึงใบหน้าของไวทินขึ้นมาบ้าง แต่เหมือนเลือนรางในความทรงจำ
“คุณคือไวทินจริงๆสินะ”มองงูเขียวที่หดคอลงไปนอนราบกับพื้นดิน
“...อักษราภัคคงบอกท่านแล้ว ข้าเป็นสหายท่านมายาวนาน ยินดีเหลือเกินที่พบพานกันอีก รักษาตัวด้วย”งูเขียวทำท่าเหมือนจะเลื้อยจากไป แต่เขาเรียกเอาไว้
“แล้วคุณอยู่ที่ไหน เป็นแค่งูเขียวจริงๆเหรอ”เขาถามด้วยความสงสัย งูถอนหายใจ
“ข้าช่างอาภัพ คิดติดตามท่าน ทว่าต้องลงเอยในร่างนี้ อิทธิฤทธิ์หรือ ก็หามีไม่”
“อืม เพราะผมงั้นสิ”
เขาคิดว่าการที่อภันตีมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ ทำให้ไวทินต้องมาติดตามเขาด้วยหรือเปล่า เพราะอีกฝ่ายไม่น่าจะโดนเนรเทศมาเหมือนอักษราภัค เพราะไม่ได้ทำผิดอะไร
“ท่านต้องขอบคุณข้าให้มากล่ะ อุตส่าห์คุ้มครองท่านอยู่เงียบๆ”
“ยังไงก็ขอบคุณแล้วกัน”พันตรีพูดกับงูเขียวหรือไวทิน สหายครั้งเก่าก่อน ไม่นานงูเขียวเลื้อยไปตามเส้นทางของถนน แล้วเลื้อยเกี่ยวขึ้นไปหาต้นไม้ข้างทาง เขาถอนหายใจ ก่อนจะหันหลังเดินกลับหอพัก ไม่ทันจะเดินไปได้ถึงสามก้าว เสียงฟ่อแฟ่ทิ้งท้ายของงูเขียว
“อ้อ แล้วอย่าลืม ดูแลอักษราภัคให้ดีหน่อย เขาจะได้ไม่มาบ่นกับข้า”หันไปมองอีกครั้งก็พบว่างูเขียวหายไปแล้ว เขาระบายลมหายใจยาวๆ ที่แท้ก็แอบไปคุยกันมาแล้ว ไอ้การดูแลคงจะเป็นการเรียกร้องจากอักษราภัคแน่ๆ ช่างเป็นผู้ชายที่มีความพยายามซะเหลือเกิน
เด็กหนุ่มกลับมาบนห้อง เห็นว่าอักษราภัคตื่นนอนแล้วนั่งหวีผมอยู่ที่บนเตียง อีกฝ่ายใช้ร่างมนุษย์ “ข้าวเช้าหรือ?”
“อืม”วางถุงข้าวต้มลงบนโต๊ะที่ครัว หันไปมองอีกฝ่ายอย่างละเอียด จนอักษราภัคเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“มีอะไรหรือ”
“คุณหายดีจริงๆหรือเปล่า ไวทินบอกว่าคุณจะขับพิษออกไม่หมด”พันตรีจ้องเขาอย่างจับผิด อักษราภัคเลิกคิ้วสูงก่อนจะไหวไหล่
“เจ้านั่น ให้พูดเรื่องที่ควรพูด...ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก พิษที่เหลืออยู่เจือจางมากแล้ว แต่มันทำให้ข้าอ่อนเพลียได้ง่ายก็เท่านั้น”
“แล้วมณีล่ะ ไวทินบอกว่าสามารถเอามาฟื้นฟูร่างกายคุณได้”พอพูดจบ อักษราภัคนิ่งไป ก่อนจะลุกเดินมาหาเด็กหนุ่ม สีหน้าของเจ้าตัวดูนิ่งเฉยจนน่ากลัว
“ของสำคัญเช่นนั้น ข้าไม่เอามาใช้แบบไร้เหตุหรอก มันเทียบไม่ได้กับการ...”อักษราภัคนิ่งเงียบ ไม่เอ่ยต่อ พันตรีมองอยู่นาน
“อะไร”เขาถามทันที มองดวงตาสีดำของอีกฝ่าย
อักษราภัคยังคงเงียบ
“บอกมาสิ ถ้ามันเกี่ยวกับผม ผมก็ควรรู้ไม่ใช่เหรอ”เขาไม่พอใจขึ้นมา จนอักษราภัคพยักหน้ากับตัวเองแล้วเอ่ยช้าๆเหมือนไม่มั่นใจนัก
“เจ้าก็รู้ว่ามณีที่ข้าชิงมาจากเสด็จพ่อไม่ได้เป็นสมบัติของเขา มณีนาคาเป็นเสมือนของคู่กายนาคา เป็นสิ่งเทียบเท่าอิทธิฤทธิ์ของผู้ถือครอง ประดับไว้บนศีรษะ หรือที่เห็นบนรัดเกล้า เจ้าก็เห็นว่าข้าไม่มีมัน เท่ากับข้าไร้เกียรติ นาคาเช่นข้าจึงมีข้อครหามากมาย ไม่ง่ายที่จะครองคู่กับอภันตีที่เป็นนาคาสีทอง”เจ้าตัวเริ่มพูดถึงเรื่องในอดีต แววตาพลันเศร้าหมองทันที
“แต่คุณบอกว่าเพราะต้องการแต่งงานกับผมจึงสละมณีไป”
“ใช่...เจ้ารู้หรือไม่ ในกาลก่อน เจ้ากับข้าเกิดในเพลาใกล้เคียงกัน ดวงชะตาเหมาะสมให้เป็นคู่ครองกันได้ ไม่เช่นนั้นพ่อเจ้าคงไม่ยอมปล่อยให้ข้าหมั้นกับเจ้าได้...ยิ่งข้าต่ำต้อยเท่าใด ก็เท่ากับว่าข้ามิสามารถทำร้ายเจ้าได้”อักษราภัคเอ่ยเสียงเรียบเฉย ดวงตาสีดำไม่ปรากฏความรู้สึกได้
เขาได้แต่เงียบ รู้สึกถึงความตึงเครียดของเรื่องในอดีต
“มณีนาคาของเจ้า เสด็จพ่อข้าช่วงชิงมา”อักษราภัคมองเขาเขม็งจนใจแกว่งไป พลางนึกถึงสถานะของอภันตีกับองค์อภัยภัทร หมายความว่ายังไงกัน การช่วงชิงมณีคู่กายของนาคาที่วรรณะสูงกว่านั้นเป็นไปได้ด้วยหรือไง
“มณีนาคาประจำกายของอภันตีเนี่ยนะ”อักษราภัคไม่ได้มองหน้าเขาอีกต่อไป ราวกับว่าละอายต่อเสด็จพ่อของตัวเอง
“ถูกต้อง มณีที่ข้ามีในตอนนี้ เพราะข้าชิงมาจากเสด็จพ่อเพื่อคืนให้แก่เจ้า”อักษราภัคหันมองพันตรีอีกครั้ง นัยน์ตาคู่นั้นฉายแววรู้สึกผิด เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ
“ทำไมเสด็จพ่อของคุณต้องชิงมณีของผม—ของอภันตีด้วยล่ะ”
“...ก็เพราะความโลภกระมัง ต้องการอำนาจ เห็นเจ้าเป็นนาคาน้อยไม่กล้าแกร่ง”อักษราภัคยิ้มเยาะกับตัวเอง ไม่นานก็หัวเราะออกมาเบาๆ เขานึกถึงความฝันเมื่อคืน ที่ท้าวปุณนมัสมีความกังวลเรื่องขององค์อภัยภัทร...
“แล้วทำไมคุณถึงโดนเนรเทศกันแน่”
“ก็เพราะเรื่องวุ่นวายหลังที่ชิงมณีมาไงเล่า มีหรือพ่อเจ้าจะยอม จึงเป็นเหตุให้องค์อินทร์เนรเทศข้า”
“งั้นเหรอ”
“เห็นหรือไม่ ของสำคัญของเจ้า ข้าไม่เอามาใช้โดยใช่เหตุ อีกอย่างข้าเกรงว่าอักคราจะตามรอยมณีมา ข้าจะมอบให้เจ้าภายหลังจบเรื่องกับอักครา”อักษราภัคเอ่ยบอก อันที่จริง เขาไม่สนใจเรื่องมณีอะไรนั่นแล้ว ตอนนี้เขาเป็นมนุษย์ไม่ต้องการของมีอิทธิฤทธิ์ไปหรอก ไม่รู้ว่าตัวเขาจะใช้มันได้หรือเปล่า
“ผมไม่อยากได้มณีหรอก จริงๆนะ...ผมไม่ได้มีฐานะเป็นนาคาอะไรนั่นแล้ว คุณเก็บไว้เถอะ”พันตรีบอกไปตามตรง มณีเขาไม่อยากได้ เขาอยากเป็นแค่พันตรี คนธรรมดาเท่านั้น อักษราภัคระบายลมหายใจออกมาแรงๆ เข้ามาจับไหล่ทั้งสองข้างเอาไว้แน่น ราวกับไม่เชื่อสายตา
“แต่มณีเป็นของเจ้านะ”
“ถ้าหากมณีนั่นทำให้ผมมีเงิน หรือร่ำรวยได้ล่ะก็ ผมก็อยากเอามาใช้นะ”คำพูดของเด็กหนุ่มทำให้อักษราภัคเบิกตาโต ก่อนจะหลุดขำออกมา
“ฮ่าๆ เจ้าโลภนัก...เอาทับทิมของข้าไปสิ ก็คงมีค่าราคาอยู่”เจ้าตัวบอก ทำท่าจะจะถอดสร้อยสังวาลออกมา แต่เขาจับมือเข้าไว้ก่อนเพื่อห้ามปราม ไม่คิดว่าจะเอาจริงด้วย
“จะบ้าเหรอไง ผมแค่พูดไปแบบนั้น ผมไม่ได้อยากได้มณี”พันตรียืนยันอีกครั้ง ไม่ใช่แสร้งทำตัวเป็นคนดี แต่พิจารณาถึงเรื่องวุ่นวายที่ต้องเจอ เขาคิดว่าไม่คุ้มกัน เขาอยากเป็นคนธรรมดา ใช้ชีวิตปกติเท่านั้น ที่ผ่านมาชีวิตก็สุขสบายดี
สีหน้าของอักษราภัคแปรเปลี่ยนไปตลอดที่เขาพูด ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะคาดหวังให้เขายอมรับเรื่องเหล่านี้ให้ได้
“มณีสำคัญต่อเจ้านะ ในฐานะที่เป็นถึงโอรสแห่งอมรานคร เป็นนาคาสีทอง เจ้า—”
“พอเถอะ เรื่องดินแดนนาคาอะไรนั่น... เอาเป็นว่าคุณเก็บมณีของผมไปเถอะ ผมให้คุณ”เขาบอก อักษราภัคนิ่งไป เปลี่ยนมายิ้มเจื่อนๆ มีความผิดหวังเจือจางในดวงตา ทำเอาเขาเศร้าใจขึ้นมาทันที
“ตามใจเจ้า...หากวันใดที่เจ้าต้องการหรือถึงยามที่ต้องใช้ ข้าก็จะเอาออกมา”อักษราภัคพูด
“แบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ”เด็กหนุ่มยิ้มแย้ม เจ้าตัวแค่มองเขาเงียบๆ
“ไวทินนี่ช่างจ้อเหลือเกิน อย่าให้เจออีก ข้าจะ...”อักษราภัคบ่นพึมพำ คิ้วขมวดแน่น
“จะอะไร?”พันตรีถาม มองคนตรงหน้าอย่างนึกแปลกใจปนขำ อีกฝ่ายแค่กลอกตาไปมาก่อนจะไหวไหล่
“แค่ไล่เขาไปไกล ๆ หรือไม่ก็จับเขาใส่กรงเอาไว้ ให้เป็นสัตว์เลี้ยงไปเลยก็ดี”คนตรงหน้าเอ่ยเหมือนคนมีความแค้น แต่เห็นแววตาล้อเล่นของเจ้างูมันทำให้เขายิ้มออก
“แต่ไวทินมาคุ้มครองเราไม่ใช่หรือไง”พันตรีหัวเราะ
“ตัวแค่นั้นจะช่วยอะไรได้”อักษราภัคส่ายหน้า ยกแขนกอดอก
“แล้วคุณรู้สึกยังไงบ้าง”เด็กหนุ่มถาม
“อืม ดีขึ้นเยอะ แค่เสียพลังไป พอได้พัก ข้าก็แข็งแรงขึ้น อย่าห่วงข้านักเลย”อักษราภัคยิ้มกริ่ม เดินเข้ามาใกล้เหมือนจะหยอกล้อเล่น เขาดันตัวอีกฝ่ายออกห่าง แล้วเดินไปสนใจมื้อเช้าแทนก่อนที่มันจะเย็นซะก่อน
ในระหว่างที่พันตรีทานมื้อเช้า อักษราภัคนั่งมองข้าวต้มในถ้วยก่อนจะรำพึงออกมา “หากข้าต้องกินของเหลวนั่น ข้าท้องรวน ตัวบิดเป็นเกลียวเชียวล่ะ”
ช่วงสิบโมงเช้า พันตรีเคลียร์ห้อง จัดกล่องงูใบใหญ่วางไว้ที่ข้างเตียง ยังไงซะ ก็ต้องให้อักษราภัคนอนในกล่องบ้าง แกะเอาขอนไม้ถ้ำไปวางไว้ด้านใน มีหญ้าปลอมปูเต็มพื้นกล่อง ส่วนพวกยาก็เอาไปเก็บเพราะอักษราภัคคงไม่ใช้ยาถ่ายพยาธิแน่ๆ ตลอดการจัดห้อง จัดกล่องงู มีสายตาของงูเผือกมองตามเขม็ง อีกฝ่ายยืนกอดอกนิ่งไม่ไหวติงไปไหนเหมือนกำลังจ้องเหยื่อ ดวงตาสีดำขยับตามการเคลื่อนไหวของเขาเสมอ
“ชอบไหม”กวักมือเรียกงูเผือกให้มาดู หยิบโทรศัพท์มากดถ่ายรูปข้างในกล่องสองสามภาพ อักษราภัคค่อยเยื้องย่างเข้ามาหา ก่อนจะปรายตามองเข้าไปด้านใน คิ้วขมวดมุ่นพลางถอนหายใจ
“อย่างกับคุกแหนะ”อีกฝ่ายเหน็บแนม
“แค่บางคืนเท่านั้นแหละน่า ไม่ได้ให้อยู่ตลอดไปซะหน่อย”เด็กหนุ่มขำ ไม่ทันจะเอ่ยขอให้เจ้าตัวลองเข้าไปอยู่ดูสักหน่อย อักษราภัคเหมือนรู้ใจเปลี่ยนเป็นงูสีเผือก เลื้อยเป็นคลื่นเข้าหา เขายื่นมือไปหา ไม่นานงูก็ค่อยๆลาบเลื้อยขึ้นมาตามท่อนแขน ขดเป็นก้อน ชูคอมอง เขาพางูวางลงในกล่อง
“เหมาะแก่การจำศีลมากว่าอีก”
“ก็ดีนี่ มีประโยชน์”พอพันตรีพูดจบ เจ้างูโผล่หัวออกมาจากกล่อง ส่ายหน้าไปมา
“รู้หรือไม่ ข้าจำศีลเมื่อนานมาแล้ว งูเช่นข้าไม่จำเป็นต้องจำศีลทุกๆปีเช่นงูบนบก...แต่ถ้าข้าอยากจำศีลขึ้นมาจริงๆ นอนกับเจ้าคงสบายกว่า”งูเอ่ย คิดตามคำพูดของงูอย่างไม่เข้าใจนัก ปกติงูจำศีลช่วงหน้าหนาว
“ยังไงล่ะ”
“นาคาเช่นข้าแค่ต้องการความอบอุ่นเท่านั้น นอนเบียดกับเจ้าเข้าท่ากว่าเยอะ”เจ้างูจ้องหน้าเขม็ง ก้มมองเข้าไปในร่องปากของงูเผือกที่มีลิ้นผลุบๆโผล่ๆออกมาอยู่นาน สุดท้ายก็วกเข้าเรื่องทำนองนี้ตลอด
งูเจ้าเล่ห์
“หึ ฝันเฟื่องไปเรื่อย”เขายิ้มขำ ถอยห่างออกจากกล่อง งูเผือกค่อยๆเลื้อยขึ้นมาบนขอบกล่อง จากนั้นก็ร่วงแผละลงพื้น ก่อนที่จะมีไอสีมรกตเจือจางผ่านสายตาขดร่างของงูหายไป ปรากฏมนุษย์งดงามขึ้นมาแทน
“อย่ามาโหยหาข้าทีหลังก็แล้วกัน”อักษราภัคยิ้ม พลางปัดเนื้อปัดตัวไปด้วยทั้งๆที่ไม่ได้เปื้อนอะไร เด็กหนุ่มหันหน้าหนีเขาทันที เป็นงูที่หลงตัวเองสุดๆ
พันตรีเดินไปหยิบผ้าขนหนูแล้วเข้าห้องน้ำ ไม่ทันไรอักษราภัคก็เดินตามเข้ามาด้วย เขารีบดันตัวเขาออกทันที แต่ทว่าเรี่ยวแรงของงูเผือกเยอะกว่า อีกฝ่ายรวบแขนเขาไว้แล้วดันกลับเข้าไปจนชิดริมห้องน้ำ เขาตกไม่น้อย ได้แต่ยืนนิ่งแทบแทบรวมร่างไปกับกำแพงห้อง เพราะอักษราภัคเข้ามาใกล้เกินไปจนรู้สึกถึงไออุ่นของร่างกาย
“ออกไปห่างๆ”เด็กหนุ่มพึมพำ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว อักษราภัคขยับตัวเบียดเข้ามาใกล้ พร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาหา
“ข้าอยากอาบน้ำ”เจ้าตัวบอก น้ำเสียงนุ่มทุ้มของอักษราภัคทำให้ใบหน้าร้อนฉ่า ดวงตาสีดำจดจ้องอยู่ตลอด เขามองอีกฝ่ายนิ่งๆ แขนสองข้างที่ถูกจับไว้แน่นจนรู้สึกเจ็บขึ้นมาบ้าง
“ก็อาบไปสิ”
“อาบให้ข้าสิ”คำตอบเอาแต่ใจสุดๆ อักษราภัคยิ้ม พันตรีเหลือบมอง พยายามขยับแขนเพื่อให้รู้ว่าเขาเจ็บ เจ้าตัวย่นคิ้วแล้วปล่อยแขนของเด็กหนุ่มให้เป็นอิสระ ทว่ากลับไม่ถอยหนีไปไหน เขาไม่ขยับหนี เพราะอยากจะลองทดสอบอีกฝ่ายดูสักหน่อย
“...ก็อาบเองสิ คุณก็ไม่ใช่เด็กๆซะหน่อย หรือไม่ก็คืนร่างงูสิ ผมจะได้อาบให้ง่ายๆไง”พันตรีบอก มองลึกเข้าไปในดวงตาสีดำที่ไม่กระพริบไหว คนตรงหน้าเลิกคิ้วขึ้นสูง เส้นผมสีดำแผ่ลงมาถึงหัวไหล่ เจ้าตัวเลียปากช้าๆราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
“...ข้าแค่อยากสระผมเพียงเท่านั้น”อักษราภัคตอบเสียงเรียบเฉย สายตามีความคาดหวังบางอย่าง เด็กหนุ่มระบายลมหายใจช้าๆ พลางคิดภาพตามไปด้วย เห็นเส้นผมที่เริ่มพันกันขึ้นมาบ้างแล้วก็เห็นใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
“จะให้ผมสระให้น่ะเหรอ”เขาถาม อักษราภัคพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหยิบปอยผมขึ้นมาม้วนเล่น
“ถูกต้อง แต่ก่อนเจ้าก็อาบน้ำให้ข้า แต่งองค์ให้ข้าด้วย ไยต้องทำเอียงอาย”คนตรงหน้าย่นคิ้วเข้าหากับ ใบหน้าสวยมีแววข้องใจให้เห็น อีกฝ่ายชอบเอาเรื่องเก่าๆมาอ้างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองจริงๆ
“ก็เป็นเรื่องที่ควรอายไม่ใช่เหรอไง”เขาบอก มองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ความคิดเรื่องการเปลื้องผ้าต่อหน้าชายด้วยกันเองจะไม่ใช่เรื่องน่าอายได้ยังไง
“เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนหน่อยสิ แต่ก่อนข้าก็อาบให้เจ้า”อักษราภัคยิ้มเจ้าเล่ห์ เอื้อมมือมาจับใบหน้าของเขาไว้ ทำเหมือนกับว่ากำลังแสดงละคร พันตรีปัดมืออีกฝ่ายออก
“อย่ามาตลก”ทำนิ่งเฉย แล้วถอยห่างจากอักษราภัค ก่อนที่จะเจ้าตัวจะหาทางลวนลามไปมากกว่านี้ เขาเดินไปที่อ่างล้างหน้า หยิบผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่ราวเหล็กที่อยู่ไม่ห่างกันนัก
“ผลัดกันอาบน่ะ”
บางครั้งงูตัวนี้มันก็น่าเตะจริงๆ เขามองอักษราภัคอย่างตั้งใจ เจ้าตัวแค่ยิ้มแล้วปลดเข็มขัดออก เพราะท่าทีที่จริงจังของอีกฝ่ายทำให้เขาวางตัวไม่ถูก เลยยื่นผ้าเช็ดตัวผืนเล็กไปให้อักษราภัคใช้ แววตาฉายความสนุกสนาน
“โอเค อาบก็อาบ”เด็กหนุ่มยอมแพ้ ในเมื่อเขายังเคยเห็นอีกฝ่ายเปลือยมาก่อน แค่อาบน้ำก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ พันตรีเดินไปหยิบเก้าอี้พลาสติกจากด้านนอกมาให้เจ้าตัวนั่ง จะได้สระผมได้สะดวก
พอกลับเข้ามาอีกที อักษราภัคถอดผ้านุ่งออกไปแล้วกำลังพันผ้าเช็ดตัว
“กลิ่นพวกนี้ที่เจ้าใช้ ข้าชอบนะ”
“หึ”
“นี่พันตรี แฟนหมายถึงอะไรงั้นรึ”
“เอ้า นึกว่าคุณจะรู้ซะอีก”เขาหัวเราะเบาๆ ระหว่างที่ค่อยสางผมให้อีกฝ่าย
“ข้าก็เอ่ยไปเช่นนั้น แล้วเจ้าล่ะ เป็นแฟนกับข้าได้หรือไม่”
พันตรีเงียบ นึกหาคำตอบ เอื้อมไปหยิบขวดแชมพูออกมาบีบลงศีรษะอีกฝ่าย ก่อนจะลูบไปให้ทั่วจนเกิดฟอง พยายามไม่ให้ฟองเข้าตาของเจ้าตัว
“แม้แต่ความหมายคุณยังไม่รู้ แต่คิดจะใช้คำว่าแฟนกับผมอีกเหรอ”เขานึกขำ เอาเข้าจริงๆแล้วเขาค่อนข้างจะชอบอักษราภัคนะ
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็เป็นแฟนข้าเสียสิ ข้าจะได้รู้แจ้งด้วยตัวเองเถิด”อักษราภัคตอบแล้วเงยหน้าขึ้นมามอง ใบหน้ายามที่ผมเปียกลู่มีฟองสีขาวกระจายอยู่ทั่วเรือนผม ทำให้อักษราภัคดูแปลกตาไป เขาไม่ตอบ ลูบฟองแชมพูออกจากบริเวณโคนผมไปจนสุดปรายผม
“ข้าต้องการเป็นแฟนเจ้า”อีกฝ่ายย้ำ พันตรีนึกทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา อักษราภัคเป็นคนดีคนนึง ซ้ำยังปกป้องเขาได้อีก เลยไม่อยากใจร้ายกับเจ้างูตัวนี้มากนัก
“...โอเคครับ ตามใจเถอะ ยังไงผมคงปฏิเสธไม่ได้”
อักษราภัคยิ้มพอใจก่อนจะเอนศีรษะกลับไปนั่งแบบปกติ เขาดึงฝักบัวออกมาเปิดน้ำเพื่อชะล้างฟองแชมพูออกจากศีรษะของอักษราภัค
“เจ้ามือเบานัก ทำข้าเกือบเคลิ้ม”
“หึหึ พูดไปเรื่อยนะคุณ”เขาว่า อักษราภัคฮึมฮัมในลำคอ
“ข้าพูดจริง”คนที่นั่งเฉยยอมให้สระผมพูดอย่างจริงจัง เขาสระผมให้เขาจนสะอาดจึงปิดน้ำ อักษราภัคลุกขึ้นยืน พร้อมกับผ้าเช็ดตัวที่เปียกชุ่มจนล่วงลงมา เด็กหนุ่มทำเป็นไม่สนใจมองเบลอกับภาพตรงหน้าแทน เอาเถอะ อยากจะทำอะไรก็ทำ เขาจะไม่โวยวายให้อีกฝ่ายได้ชอบใจสนุกสนานหรอก อักษราภัคลูบใบหน้าที่เปียกชื้นก่อนจะเดินเข้ามาหาที่อ่างล้างหน้า ทำเอาต้องเกร็งตัวไปอัตโนมัติ
“ต้องการอะไรอีก”
อักษราภัคมองด้วยความสงสัย “เจ้าไม่อาบน้ำหรือ”
“เดี๋ยวผมอาบเอง”เขาตอบ ก่อนจะเปิดน้ำในก๊อกล้างมือไปแบบนั้น ไม่มองกระจกที่สะท้อนคนที่ยืนมองจากทางด้านหลัง
“ให้ข้าทำให้เจ้า”
“ไม่เอาน่า...คุณอาบน้ำไปเองเถอะ”รีบหันไปโบกมือไล่ คิดพิเรนทร์อีกแล้ว
“แต่ข้าเป็นแฟนเจ้า”อีกฝ่ายย้ำเหมือนเป็นเด็กๆ
“แล้วไงล่ะ”
“เช่นนั้นแล้ว ก็อย่าใจร้ายกับข้าหน่อยเลยพันตรี”สิ้นคำพูด ในห้องน้ำจึงเกิดความเงียบขึ้นมา
“หันหลังไปสิ”ในที่สุด เป็นพันตรีที่แพ้อีกแล้ว ถลึงตาใส่ด้วยความฉุนเฉียว อักษราภัคยังยิ้มมุมปากยอมเดินไปที่มุมห้องน้ำอย่างว่าง่าย เด็กหนุ่มไม่ได้ถอดเสื้อผ้าออก ในใจก็นึกหวาดๆอีกฝ่ายเหมือนกัน
“ห้ามมองล่ะ”
“อ้าว เราอาบน้ำด้วยกันจะไม่ให้มองได้อย่างไรเล่า”อักษราภัคเหลียวมามองอีกรอบ เขายืนนิ่ง ไอ้เรื่องแก้ผ้าอาบน้ำกับผู้ชายก็ไม่ใช่เรื่องปกติเลยด้วยซ้ำ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นคนรักในอดีตของตัวเองมาก่อนก็ยิ่งคิดมาก เอาเข้าจริงๆ เขาไม่ไว้ใจอักษราภัคเท่าไร เห็นหน้าซื่อๆแบบนี้ก็เจ้าเล่ห์พอตัว เขาไม่อยากพลาดท่า
แต่ด้วยความใจอ่อนกับแววตาตัดพ้อเวลาที่มอง พร่ำเพ้อเรื่องเก่าๆ แบบนั้น เขาอ่อนไหวไปด้วยทุกที
“อย่าคิดทำมิดีมิร้ายผมล่ะ ขอเตือนนะ”เขาขู่เสียงจริงจัง ก่อนจะถอดเสื้อออก
ในอกเต้นแรงจนรู้สึกว่าร่างกายเริ่มสูญเสียความเป็นตัวเอง เด็กหนุ่มเหลือบไปมองอักษราภัคอยู่ตลอด พอถอดปราการชิ้นสุดท้ายไปได้ ก็ตรงไปที่บริเวณฝักบัว หยิบขวดสบู่เหลวออกมา อักษราภัคหันหน้ากลับมาหา อีกฝ่ายเดินมาหยุดที่ข้างกาย เอื้อมมาจับฝักบัวไปถือในมือก่อนจะหันเหทิศทางของน้ำให้ไหลมาทางเขา พันตรีแทบไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่าย
‘อายฉิบ ต่อไปไม่คิดใจดีอะไรแบบนี้อีกแล้ว’
“เหตุใดจึงก้มหน้า เงยมองข้าสิ”อักษราภัคเอ่ย เขายิ่งตึงเครียด หัวใจเต้นรัวหนักขึ้น ใบหน้าเริ่มร้อนขึ้นมา
“รีบๆอาบสิคุณ อย่ามัวอ้อยอิ่ง”เขาบอก ก่อนจะยื่นขวดสบู่เหลวไปให้บ้าง เจ้าตัวไม่รับไป ทำให้เหลียวมอง
“ช่วยข้าหน่อย”
“ทำตัวเป็นเด็กไปได้”เขาพึมพำ เปิดฝาขวดเทของเหลวในขวดออกชโลมทั่วแผ่นอกของอักษราภัค ก่อนจะใช้ฝักบัวราดน้ำลงไปช้าๆแล้วลูบให้เกิดฟอง
“เห็นหรือไม่ มือเจ้านุ่มจริงๆด้วย”เจ้าตัวบอก ดวงตาสีดำจับจ้องความเคลื่อนไหวของฝ่ามือของเขาไปด้วย มือของเขาสะดุดไปครู่เดียว หยุดไว้ที่สะโพกของอีกฝ่าย ฟองสีขาวไหลย้อยลงเป็นทางปกปิดสิ่งซ่อนเร้นได้ดี เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจมาก แค่หันมาอาบน้ำให้ตัวเอง แต่ดูเหมือนอักษราภัคจะตามติดมาใกล้ คว้าขวดสบู่เหลวไปถือบ้าง
“มา งั้นข้าทำให้เจ้าบ้าง”อักษราภัคยิ้มกริ่ม รู้สึกระคายหูกับทุกคำพูดของอีกฝ่ายจริงๆ
“ทำดีๆล่ะ”
“พะยะค่ะ”อีกฝ่ายทำเป็นล้อเลียน พันตรีจ้องเขาเขม็งทันที แต่เจ้าตัวแค่ยิ้มสดชื่นกลับมาให้อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร
“เจ้าตัวเล็กกว่าเดิมมาก กล้ามเนื้อสมบูรณ์ในกาลก่อนหายไปหมดสิ้น”
“นั่นสิ คงต่างจากเมื่อก่อนเยอะ”
“ต่อให้เจ้าไม่งาม ข้าก็รักเจ้ามิเปลี่ยน”อักษราภัคจอมเสี่ยว คำพูดหวานหูพวกนี้ชวนให้หัวเราะมากกว่าจะซึ้งใจในรัก โดยเฉพาะสถานการณ์ในตอนนี้ เปลือยกายด้วยกันทั้งคู่ เด็กหนุ่มหลุบตามองร่างกายของอีกฝ่ายโดยทันที อักษราภัคแม้ไม่กำยำ แต่รูปร่างก็สมส่วนกันดี หน้าอกแข็งแรง หน้าท้องก็พอจะมีกล้ามเนื้อแน่นๆอยู่ ส่วนพันตรีก็แค่ผู้ชายทั่วไปที่มีหุ่นฟีบ ๆ
ขณะนั้นอักษราภัคขยับมายืนตรงหน้า เทสบู่เหลวเหมือนที่เขาเคยทำให้อีกฝ่ายก่อนหน้านั้น ให้ตายสิ นี่เขากำลังทำอะไรอยู่นะ นึกกลัว ไม่กล้ามองหน้าอักษราภัค รู้สึกเหมือนในห้องน้ำจะร้อนขึ้นมาซะอย่างนั้น และเป็นพันตรีที่ไม่อาจทนได้ รีบคว้าผ้าเช็ดตัวออกมาปกปิดร่างกายท่อนล่าง
“อ้าว พันตรี เดี๋ยวสิ รอข้าก่อน”เสียงอักษราภัคฟังก็รู้แล้วว่ากำลังขำขัน คงจะชอบใจยกใหญ่ ...หนอย งูเจ้าเล่ห์ พลาดท่าอีกแล้ว
พันตรีรีบเผ่นออกจากห้องน้ำทันที พลางทึ้งศีรษะตัวเอง เป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่ยอมอาบน้ำกับอักษราภัค ปัจจุบันนี้เขาไม่คิดว่าจะต้องมารักมาชอบผู้ชายด้วยซ้ำ โดยเฉพาะกับอักษราภัค
ใช่ เขาคงเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ เมื่อรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเปลี่ยนไป
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น