ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : RE : บทที่ 6 งูขี้หวง
บทที่ 6 งูขี้หวงหลังจากที่งูเผือกพอใจกับการแกล้งเขาสำเร็จ เจ้างูเลื้อยกลับไปนอนบนเตียงตามเคย เขาใช้เวลาช่วงบ่ายทำงานที่ค้างต่อจนเสร็จ นั่งหาเล่นอินเตอร์เน็ตอยู่เพลินๆ เหลือบไปเห็นโฆษณาที่เด้งผ่านตามา เป็นทริปท่องเที่ยวถ้ำสวยงามภายในประเทศ เขากดเข้าไปอ่านอย่างสนใจ พออ่านรายละเอียดของสถานที่ท่องเที่ยวแล้วก็อดทึ่งในความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติไม่ได้จริงๆ
ปกติเขาไม่ค่อยได้ไปเที่ยวเชิงธรรมชาติบ่อยนัก เอาเข้าจริง เด็กหนุ่มไม่เคยไปเที่ยวที่ไหน นอกจากการไปอาศัยที่ชนบทกับญาติ
พันตรีสังเกตว่าถ้ำส่วนใหญ่จะเป็นถ้ำที่ต้องเดินผ่านน้ำเพื่อลอดเข้าไปข้างในตัวถ้ำลึก ทำให้นึกถึงในความฝัน ถ้ำของอักษราภัค มีบ่อมรกตสีเขียวครามทอแสงประกายรับกับทิวทัศน์เปิดเป็นรูใหญ่เบื้องบนของถ้ำ แม้รู้ดีว่าถ้ำของอักษราภัคนั้นอยู่ในแดนนาคา ที่ไม่ใช่ของเมืองมนุษย์
เขาหยิบสมุดสเก็ตออกมาร่างภาพบ่อมรกตไปทีละนิด หลับตานึกถึงความสวมงาม รายละเอียดของสิ่งแวดล้อม ภายในหัวก็ยิ่งเด่นชัด
ขณะเดียวกันทั้งร่างกายก็เย็นวาบ สัมผัสแข็งเยียบเย็นของวัตถุ ตามมาด้วยความมันลื่นของผิวเกล็ดที่ค่อย ๆคลายแรงกอดรัดลงชัดเจนในความรู้สึกราวกับว่าร่างกายนี้ของเขา ไม่ใช่ ผิวหนังมนุษย์ มันทำให้เขาใจเต้นระรัว
จากนั้นค่อยลืมตาขึ้น พบว่าตัวเองกำดินสอในมือแน่น หน้ากระดาษมีรอยขีดเขียนสะเปะสะปะไปทั่ว เด็กหนุ่มส่ายหน้า ก่อนจะยกมือลูบแขนทั้งสองข้างไปด้วย
เขาวางสมุดในมือลงก่อนจะลุกเดินไปหาอักษราภัคที่นอนอยู่ ร่างของงูขดเป็นเป็นเลขแปด หรือเพราะในอดีตชาตินั้นเขากำเนิดเป็นงู ความรู้สึกหรือสัมผัสพวกนั้นเลยยังตามติดมาด้วย... ไม่สิ มาคิดดีๆแล้ว มันชัดเจนขึ้นตั้งแต่เขาเจออักษราภัคแล้ว
พันตรีมองเจ้างูที่หลับไม่ไหวติง เอื้อมมือไปลูบเกล็ดของมันอย่างแผ่วเบา บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร เขาไม่รังเกียจ ไม่ได้รู้สึกว่ามันน่าขนลุกเท่าเมื่อก่อน เป็นความอุ่นของสิ่งมีชีวิต
เขานี่มันอ่อนไหวง่ายจริงๆนั่นแหละ
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปอักษราภัคเก็บไว้สามสี่ภาพ เผื่อว่าอยากจะเอามาเป็นแบบเล่น ๆ เขาเปิดข้อความของนนท์ อีกฝ่ายยังคงส่งคำถามเรื่องงูต่อ แต่เขาไม่ได้ตอบกลับไป เพราะถ้าตอบอีกฝ่ายต้องหาทางมาดูงูแน่ๆ
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ เพื่อออกไปซื้ออาหารมาตุนไว้ในตู้เย็นที่มาเก็ตไม่ไกลจากหอพัก ตั้งอยู่ในซอยถัดไปเท่านั้น จึงใช้เวลาไม่นานสำหรับการเดินทาง เขาไม่ได้เอ้อระเหยลอยชายมากนัก เดี๋ยวอักษราภัคตื่นมาไม่เจอแล้วก็จะยุ่งอีก
ระหว่างทางเดินของห้องพัก ร่างอันคุ้นตาของเพื่อนสาขาเดียวกันก็ยืนอยู่หน้าห้อง อีกฝ่ายมีถุงหิ้วอยู่ในมืออีกข้างที่ไม่รู้ว่าคืออะไร ขณะที่เจ้าตัวกำลังยกแขนเพื่อเคาะประตู เขาไม่ต้องคิดนานรีบเอ่ยเรียกอีกฝ่ายทันที
“เฮ้ย นนท์”พันตรีโบกมือ ทันใดนั้นนนท์หันหน้ามาหาพร้อมกับลดแขนลงก่อนจะส่งยิ้มมาให้ สายตาจ้องมองมาที่ข้าวของพะรุงพะรังที่อยู่ในมือเขา อีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะเข้ามาหา
“มีธุระอะไรเหรอวะ”เขาถาม นนท์เลิกคิ้วสูง ไหวไหล่ ชูถุงหิ้วในมือออกมาโชว์
“ก็เห็นว่าป่วย เลยแวะเอาของมาฝาก แล้วกะว่าจะเอาเลคเชอร์มาให้”นนท์ตอบ เขาจึงประหลาดใจมาก จ้องหน้าของเพื่อนที่ไม่สนิทคนนี้อยู่นาน
“เหรอ..ไม่เป็นอะไรมากหรอก”
เขาล้วงหากุญแจห้อง ทว่าข้าวของในมือก็ทำให้ทำอะไรไม่ถนัด นนท์เลยช่วยถือถุงหิ้วไปสองสามอย่าง ไม่ทันที่จะเสียบกุญแจไปที่กลอนประตู บานประตูสีน้ำตาลก็เปิดผวั๊ะออกอย่างแรงจนพวกเขาทั้งคู่ตกใจ แต่ที่ทำให้เขาอ้าปากค้างยิ่งกว่าไม่ใช่การที่ผู้ร่วมอาศัยคนนั้นกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเท่านั้น
แต่อักษราภัคกำลังยืนเปลือยท่อนบนโชว์ผิวขาวเนียน เด็กหนุ่มจ้องเขม็งไปที่บ็อกเซอร์สีซีดของตัวเองบนตัวเจ้างูนั่น แถมบางจนเห็นอะไรในตัวอีกฝ่ายได้ เลื่อนสายตากลับไปมองที่เรือนผมสีดำขลับเป็นลอนที่ปรกข้ามไหล่ทำให้ร่างกายนั้นดูนุ่มนวลขึ้น ส่วนนนท์ดูท่าจะงงอย่างหนักเพราะเหลียวมองเขาทีอักษราภัคที
“นี่พี่เผือกไง”พันตรีแนะนำ ก่อนจะตีมึนเดินเข้ามาในห้อง แม้ว่าใจจริงอยากจะร้องตะโกนใส่หน้าของอักษราภัคก็ตาม นนท์เดินตามเข้ามาด้วยสีหน้าแปลกใจ ก่อนจะมองไปรอบห้องด้วยความอึดอัด ส่วน‘พี่เผือก’เจ้าเก่าแค่ส่งยิ้มไปให้นนท์ และเดินเข้ามาตามติดเขาจนแทบจะสิง
“นี่มึงอยู่กับพี่เผือกเหรอวะเนี่ย นึกว่าอยู่คนเดียวซะอีก”นนท์บอกก่อนจะเอาของไปวางไว้ที่โต๊ะในครัว พันตรีเกาศีรษะ ผลักให้พี่เผือกออกห่างจากตัว ส่งสายตาคาดโทษไปให้เขา แต่เจ้าตัวแค่ทำมึนไม่ถอยห่างไปไหน จดจ้องไปที่ผู้มาเยือนคนใหม่
“ก็เพิ่งมาอยู่ด้วยกันนั่นแหละ”เขาตอบเลี่ยง นนท์พยักหน้าเงียบ ๆ แต่ในแววตายังมีความเหลือเชื่อปรากฏอยู่เพราะแต่ไหนแต่ไร เขาไม่ได้เป็นคนเฟรนลี่แชร์ห้องพักกับใคร นนท์สอดส่องสายตาไปทั่วห้อง พอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายกำลังมองอะไร
“...แล้วตกลงมึงเลี้ยงงูหรือเปล่า”
“เขามีข้าแล้ว”อยู่ๆอักษราภัคก็โพลงออกมาเสียงดัง น้ำเสียงแข็งกร้าว พันตรีชะงักเอาศอกถ่องเอวเขาแรงๆเพื่อให้รู้ตัว นนท์ทำหน้างง
พันตรีทำตัวหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ตอนแรกก็ว่าจะเลี้ยงแต่อยากเลี้ยงอะไรที่ตัวใหญ่หน่อย”เด็กหนุ่มมองคนข้างกาย พี่เผือกย่นคิ้วทำหน้าเหมือนคิดตามคำพูดของเขาไปด้วย
“เอาเถอะ เห็นมึงเงียบไปไงเลยเป็นห่วง”มันบอกก่อนจะเปิดกระเป๋าสะพายแล้วยื่นสมุดเล่มบางๆมาให้
“ขอบใจ”เขาบอก ทำทีเป็นเปิดอ่านผ่านๆตา นนท์เหลือบไปมองพี่เผือกอีกครั้งสีหน้าเหมือนอึดอัดใจ
“โอเค มีอะไรก็บอกกันได้ อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนกัน”อีกฝ่ายพูดยิ้มๆ ส่วนพี่เผือกเอาแต่สนใจสมุดในมือเขา ทำท่ายื่นคอมามองใกล้ๆจนน่าถีบ
“อือ...มึงจะกลับเลยเหรอ”
อันที่จริงอยากให้มันอยู่ต่อสักพักเพราะว่าเพื่อนก็เพิ่งมาถึงห้อง
“ก็แค่แวะมาหา ไปดีกว่าไม่อยากรบกวน”มันยิ้ม
“ไม่รบกวนหรอก แต่ถ้าจะมาหาก็บอกกันก่อนนะ”เขาพูดเบาๆ ระหว่างที่เดินไปส่งมันที่หน้าประตูห้อง มีงูเผือกเดินตามหลังมาด้วย
“ได้...พี่เผือกครับ งั้นผมไปก่อนนะครับ”นนท์หันไปเอ่ยลากับคนด้านหลัง อักษราภัคที่ถูกเรียกชื่อแบบนั้นได้แต่ส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอ
“เพื่อนของพันตรี ต่อไปอย่าได้เอ่ยถึงงูตัวอื่นอีก ไม่—”
“กลับบ้านดีๆล่ะ”พันตรีชิงตัดบท ดันตัวของนนท์ให้เดินออกพ้นประตูห้อง แล้วรีบคว้าลูกบิดเตรียมจะปิดห้อง นนท์ทำหน้ากระอักกระอ่วน สีหน้าเหมือนไม่เข้าใจ บางทีมันอาจจะงงว่าพี่เผือกคนนี้พูดจาลิเกๆไปทำไม
“เออๆ”
“พันตีเป็นของข้า”อักษราภัคเอ่ยเสียงดัง
พันตรีปิดประตูทันที หันเผชิญหน้ากับเจ้างูอย่างเอาเรื่อง จ้องกันอยู่นานสองนาน อีกฝ่ายไม่สะทกสะท้าน
“คุณรู้จักแต่งตัวนี่”
“ข้าไม่ใช่คนไม่รู้ความ”
“อ้อเหรอ...นนท์มันเป็นเพื่อนผม อย่าทำอะไรที่ประหลาดๆได้ไหม ผมเองก็ไม่ได้ทำไม่ดีกับคุณไม่ใช่เหรอ”เขาบอกอีกฝ่ายอย่างจริงจัง อักษราภัคลดแขนลง เดินเข้ามาใกล้ สบตากันอยู่นาน
“...ข้าแค่ไม่ชอบที่เจ้านั่นเอาแต่เอ่ยถึงงูตัวอื่น”
“ก็แค่งูเลี้ยงตัวเล็กๆ ไม่มีอะไรที่ต้องโมโหเลยสักนิด”
“แท้จริงแล้วข้าแค่หึงหวงเจ้า”คำพูดตรงไปตรงมาของอักษราภัคทำให้เขาไปต่อไม่ถูก จู่ๆก็หมดคำพูดอื่นใดในหัว
หึงหวง? กับงูตัวอื่นงั้นเหรอ เหมือนว่าอีกฝ่ายอ่านใจเขาออก หรือไม่ก็สีหน้าของเขาคงแสดงเป็นคำพูดออกมาหมดจนดูง่าย
“เพื่อนเจ้า ข้าก็ไม่นึกชอบ เขาเข้าหาเจ้า ห่วงใยเจ้า”
“หมอนั่นเป็นเพื่อนผม อีกอย่างเราไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่”
“เจ้านั่นนำของมาให้เจ้าด้วย น่าประหลาดใจจริงๆ”อักษราภัคเดินไปที่ครัว เมียงมองข้าวของบนโต๊ะอย่างสนใจ เอามือไขว่หลังไม่ได้แตะต้องของบนนั้น
เขามองหน้าเจ้างูอย่างเอือมระอา ผิดกลับอีกฝ่ายที่มองด้วยสายตาขึงขัง
“เป็นความหึงหวง ข้าเป็นใหญ่ในที่แห่งนี้ และตัวเจ้าเป็นของข้าด้วยเช่นกัน”คำพูดจริงจังของอักษราภัค ทำให้เกิดความเงียบ จากที่คิดโกรธก็มลายหายไป เพราะคำพูดเลี่ยนๆของเจ้าตัว พันตรีพ่นลมหายใจทางจมูกยาวๆ
“ยังไม่ทันไร ก็หวงซะแล้ว”
เขาเก็บสมุดเลคเชอร์ไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือ แล้วเดินอ้อมไปที่ครัว หยิบของสดไปใส่ตู้เย็น อักษราภัคยืนมองอยู่ห่างๆ พอหันไปมองเขา เจ้าตัวก็เบนหน้าหนี เขาทำเป็นไม่สนใจ เอาผลไม้และผักสดใส่ตู้เย็นจนครบ อักษราภัคก็ยังไม่ไปไหน
“มีอะไร”เขาถาม สังเกตว่าร่างกายของอักษราภัคดูมีเลือดฝาดจนเป็นจ้ำแดงไปทั่ว พอเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายไม่ขยับหนี แค่ยืนนิ่ง เขายื่นมือไปแตะใบหน้าและลำคอ พบว่ามันร้อนกว่าเมื่อเช้าเสียอีก เขากังวลขึ้นมา
“ไม่สบายเหรอ” คนตัวสูงกว่าก้มมอง นัยน์ตาสีดำไม่ขยับกระพริบ พันตรีมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่จริงๆ
“ข้า...ข้าแค่รู้สึกอ่อนแรงนิดหน่อย”เจ้าตัวบอกเสียงเบา มีความแหบพร่าในน้ำเสียง เขาเลยคิดว่าอักษราภัคคงป่วยจริงๆ
“ผมไม่รู้ว่าจะช่วยคุณยังไงเลย”
พันตรีพาอักษราภัคไปนอนบนเตียงตามเดิม กลิ่นของเจ้าตัวยังคงหอมบางเบา ทั้งจากร่างกายและเส้นผม นึกดูแล้ว ถ้านนท์ไม่ได้มาหา อีกฝ่ายก็คงนอนหลับอุตุไปอีกนานแน่ ๆ อักษราภัคทิ้งตัวลงนอนลงเตียง ดวงตาคมกริบจ้องตามการเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่มเขม็ง จนรู้สึกว่าสายตานั้นทำให้พันตรีเหมือนเป็นเหยื่อตัวน้อยๆของอีกฝ่ายไปเลย
“ข้าแค่ต้องพักผ่อนให้มากหน่อยก็เท่านั้น อย่ากังวล”
“งั้นก็รีบๆเข้าบรรทมได้แล้ว”เขาแกล้งพูด เจ้าตัวจึงยิ้มออก แล้วยื่นแขนออกมาหา เขาเลิกคิ้วสงสัย
“มือเจ้า”อักษราภัคพูด
เขาลังเล รู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้น มันดังตุบ ๆ เขารู้สึกไม่กล้าสู้หน้าอักษราภัคเท่าไร แต่ยอมยื่นมือไปหาเจ้าตัวช้า ๆสัมผัสฝ่ามืออุ่นร้อนกว่าปกติ มือนุ่มของเจ้างูทำให้รู้สึกอุ่นในใจ แรงดึงจากอักษราภัคทำให้พันตรีจำต้องนั่งบนเตียงข้างๆอีกฝ่ายไปโดยปริยาย
“มีอะไร”เขาถาม มองคนที่นอน อย่างเอ็นดูในความออดอ้อนของเจ้าตัว
“มือเจ้าอุ่น”อีกฝ่ายเฉไฉไปเรื่อย แต่เขารู้ว่าเจ้าตัวมีบางอย่างที่จะพูดออกมา
“...คุณอุ่นกว่านะ”
จนแล้วจนรอดอีกฝ่ายก็เผยความในใจออกมาเอง “ข้าแค่กลัวน่ะ...กลัวว่าจะเสียเจ้าไปให้ผู้อื่น”
พันตรีเงียบ รับรู้ถ้อยคำแฝงความหม่นเศร้าของอักษราภัคไปด้วย
“ข้ารอเจ้า และหวังว่าเจ้าจะรอข้า...ให้เจ้ามีข้าแต่เพียงผู้เดียว”
“แล้วคุณเห็นว่าไงล่ะ ผมในตอนนี้นะมีใครหรือยัง”พอได้ฟังอีกฝ่ายพูด อดไม่ได้ที่จะสวนกลับขึ้นมาทันควัน อักษราภัคกระชับฝ่ามือแน่นขึ้น ยังคงไม่ละสายตาไปจากเขา ริมฝีปากค่อย ๆ แย้มยิ้มออกมา เขาเห็นว่าแก้มของอีกฝ่ายแดงระเรื่อออกมา
“ถ้าเช่นนั้น หมายความว่าเจ้าจะมีข้าในหัวใจได้ใช่หรือไม่”คนที่เหมือนป่วยดวงตามีประกายขึ้นมา พันตรีมอง พลางคิดว่าการจะชอบอักษราภัคไม่ใช่เรื่องยาก ในตอนนี้เขามีความรู้สึกพิเศษให้อักษราภัคมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นงูหรือมนุษย์ก็ตาม ไม่ทันที่พันตรีจะพูดตอบ อักษราภัคเอื้อมแขนอีกข้าง คว้าหมับเข้าที่ต้นคอ ดึงเขาให้โน้มลงไปหา
ใจของพันตรีแทบหยุดเต้น ชั่วขณะนั้น เขารับรู้สัมผัสนุ่มจากริมฝีปาก ประทับจูบแนบแน่น แม้จะตกใจแต่ปล่อยให้อีกฝ่ายคลอเคลียไม่ห่าง ไม่ได้ตอบรับอย่างเต็มที่แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ทำให้อีกฝ่ายต้องเอียงหน้าเข้าหา บรรจงจูบมาที่ริมฝีปากช้า ๆ ไม่รีบร้อน
กว่าที่รู้ตัวอีกครั้งก็ตอนที่ฝ่ามืออุ่นของอีกฝ่ายเข้ามาลูบไล้ข้างแก้ม เมื่อเขาลืมตามอง เห็นว่าใบหน้าของพวกเขาห่างกันไม่กี่นิ้ว อักษราภัคถอยห่างส่งยิ้ม เข้ามาหอมแก้มพันตรีเป็นการส่งท้าย แล้วเอนตัวลงนอน มีร่องรอยความสุขปรากฏผ่านดวงตา และรอยบุ๋มที่ข้างแก้ม
พอตั้งสติ เด็กหนุ่มรู้สึกอายแทบแทรกแผนดินหนี จูบของอักษราภัค...จูบแรกของเขา ได้แต่ชิงลุกหนีจากเตียง ดึงมือจากอักษราภัคอย่างรวดเร็ว แล้วเผ่นไปที่ครัว สองหูได้ยินเสียงพึมพำต่ำๆของอักษราภัคไล่หลังมา
“ร่างกายข้าร้อนเพราะพิษของศัตรู แม้จะขับออกไปแต่ก็ยังเหลือเพียงเล็กน้อย”สิ้นคำพูดของเจ้าตัว พันตรีหันไปมองด้วยอาการข้องใจ พิษยังเหลือ...? ขณะนั้นสมองของเขาก็แล่นไปโดยอัตโนมัติ ยกมือแตะปากไปด้วย
“อย่าห่วง พิษไม่มีทางไปถึงเจ้าได้หรอก”อักษราภัคหัวเราะในลำคอ เขาได้แต่กำมือแน่น ในเมื่อเขายินยอม จะไปดีดดิ้นก็ใช่เรื่อง ได้แต่ส่ายหน้า รู้สึกว่าปล่อยให้งูเผือกตัวนี้มีอิทธิพลกับตัวเองมากไปแล้ว
ที่แท้ทำอ่อนแอให้เขาสงสารเห็นใจ พอสบโอกาสก็จู่โจมซะไม่ทันตั้งตัว นึกถึงริมฝีปากอุ่นๆของเจ้างูแล้ว ทั้งหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมา
จูบของคนๆนี้นั้นอ่อนโยนจนเขาใจอ่อนไปด้วย และรู้ดีว่าตัวเองกำลังปล่อยให้ใจนั้นชอบอักษราภัคมากขึ้นเรื่อยๆ
เช้าวันใหม่เริ่มต้นอย่างสดใส อักษราภัคคืนร่างเดิม นอนขดรัดท่อนแขนของพันตรีราวกับเป็นเถาวัลย์ หากเป็นวันแรก ๆ ล่ะก็ เขาคงหาทางสะบัดทิ้ง ดึงตัวงูออกไปให้พ้น แต่เวลานี้ได้แต่นอนนิ่ง กลัวว่างูจะตื่น จึงค่อยๆลุกจากเตียง พอเขาขยับร่าง งูก็คลายแรงกอดรัดที่แขนลง ไม่รู้ว่าตื่นหรือเปล่า เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ส่งเสียงอะไรกลับมา ก้มมองงูที่นอนอยู่บนเตียงอันยับย่นเงียบๆ แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นแต่งตัวไปเรียน
บนเตียงก็ไร้ร่างของงูเผือกไปแล้ว เด็กหนุ่มสะพายกระเป๋าแล้วลงไปที่ชั้นล่าง พอออกมาจากตัวอาคาร ก็เห็นเจ้างูเผือกโผล่หัวมาจากมุมตึก เห็นว่าปลอดคนเลยเดินไปเก็บงูใส่กระเป๋า
“ตกลงที่ป่านั่น มีงูตัวอื่นบ้างหรือเปล่า”
“อืม สหายของข้าน่ะ มีพวกไว้เป็นหูเป็นตา แต่อย่าห่วงเลย พวกนั้นไม่ออกมาเพ่นพ่านบริเวณนี้หรอก”งูเผือกส่งเสียงตอบกลับมาจากในกระเป๋า
“แสดงว่าคุณก็ต้องมีเพื่อนเป็นโขยงเลยสิ ออกตารมหาผมมาตั้งนานแสดงว่าต้องเจองูเยอะเลยไม่ใช่เหรอ”
“ก็ทำนองนั้น”
“ว่าแต่คุณหาผมเจอได้ยังไง”
“อยู่กับเจ้ามาตั้งหลายสัปดาห์เพิ่งเอ่ยถามวันนี้เนี่ยนะ”
“คุณชอบบ่ายเบี่ยงตลอดไม่ใช่หรือไง”พันตรีพูด ระหว่างนั้นงูก็ค่อยโผล่หัวออกมาจากรอยแยกของซิป หน้าเรียวมนขยับชูคอ ดวงตาสีดำยังคงจดจ้อง
“ด้วยอิทธิฤทธิ์ทำให้ข้าหยั่งรู้ว่าอภันตีมาเกิดแล้ว ข้าเข้ามาในเมืองมนุษย์ รับฟังคำเล่าลือผ่านสายลม ผ่านแม่น้ำ มันเหมือนมีลางสังหรณ์ว่าเจ้าอยู่บริเวณใด แต่ก็ต้องเปลืองแรงตามหาเจ้าต่อ”
“ถามจริงๆเถอะ คุณเคยเจอผมมาก่อนหรือเปล่า ตอนที่ผมอยู่กับย่าในชนบทน่ะ”เขาถาม เพราะสงสัยเรื่องที่งูเขียวหางไหม้บอกว่ามีคนตามหา แสดงว่าอักษราภัคก็ต้องอยู่ตามแถวนั้น งูเผือกเอียงคอ ก่อนจะแลบลิ้น
“เคยเจอ...เมื่อตอนเจ้ายังเด็กๆ จำข้าไม่ได้หรอก”
“จริงเหรอ”เขาแปลกใจ งูเผือกส่ายหน้าช้าๆ
“ถ้าข้าผลีผลามอาจโดนจับไปฆ่าหรือไม่ก็กลายเป็นงูย่างแน่ๆ”อักษราภัคมีอารมณ์ขัน เด็กหนุ่มยื่นมือไปลูบหัวของเจ้างูเบาๆ
“อย่าเกเรล่ะวันนี้”ก้มบอกด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินสะพายกระเป๋าไว้ด้านหลัง ก่อนจะเดินไปยังโรงจอดรถ
ในเมื่อกำชับให้งูเผือกทำตัวดี ๆ เจ้างูตัวนี้ก็ทำตัวว่าง่ายไม่ส่งเสียงฟ่อแฟ่ออกมาให้คนตกใจอีก
เขาเข้าไปเรียนที่คณะ พอเข้าไปในห้องบรรยาย ปรากฏว่าบรรยากาศในห้องดูจะเปลี่ยนไป เมื่อเปิดประตูเข้าไปปุ๊บ เสียงที่พูดคุยเหมือนนกแตกรังก็เงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ทำเอาเด็กหนุ่มหยุดกึกเพราะความผิดสังเกตนี้ เหมือนเวลานินทาใครแล้วคนๆนั้นดันโผล่มา มันเป็นความอึดอัดประเภทนั้น
เขาสอดส่องหาที่นั่ง แน่นอนว่าเก้าอี้แถวหน้าจะว่างเยอะกว่าทางด้านหลัง เขาเลือกนั่งที่โต๊ะเลคเชอร์ด้านหน้าสุด หันหลังให้กับสายตาสนอกสนใจของเพื่อนร่วมสาขา จะว่าไปช่วงสองปีที่เข้าเรียนมา เขาไม่ค่อยได้พูดคุยกับคนอื่นมากนัก อย่างมากก็แค่ทักทายไม่กี่คำ พูดคุยกันในยามจำเป็น นั่นก็คือเวลาทำงานด้วยกัน จะมีก็แต่นนท์เท่านั้นแหละที่เข้ามาคุยกมากขึ้นเพราะเรื่องงู
หรือเป็นเพราะนนท์เจออักราภัคอยู่ในห้องของพันตรีงั้นเหรอ ไหนจะพฤติกรรม และคำพูดของเจ้างูนั่นอีก เขาได้แต่คาดเดา นนท์มันอาจเข้าใจผิดเรื่องที่เขาอยู่กับอักษราภัคสองคน จากลางสังหรณ์มันกระซิบบอกว่า ‘อ้อ หรือไอ้ตรีมันเป็นเกย์งั้นสินะ’
กระเป๋าสะพายถูกวางไว้ที่เก้าอี้ทางขวามือ เหลือบมองอย่างวิตก เมื่อเห็นว่ามันขยับ มีเสียงเคลื่อนไหวมาจากทางด้านหลัง นนท์กับเพื่อนอีกสามคนย้ายมานั่งทางด้านหลัง เขาจำต้อยกกระเป๋ากลับมาวางบนตักแทน
พออาจารย์เริ่มสอนในห้องก็เงียบเสียงลงอีกครั้ง แต่เด็กหนุ่มไม่มีสมาธิเท่าไหร่ วิชานี้ยังคงเป็นช่วงเรียนทฤษฏีก่อนจะเข้าสู่การเรียนปฏิบัติ บางครั้งก็ได้ยินเสียงทุ้มๆจากคนด้านหลังสลับสอดแทรกระหว่างที่เสียงของอาจารย์กำลังอธิบายหัวข้อ
กระเป๋าบนตักเริ่มขยุกขยิก พันตรีลูบกระเป๋า กดมือไปที่ลำตัวของเจ้างูแรง ๆ เพื่อสั่งสอน ไม่ทันไรก็มีแรงสะกิดที่หัวไหล่ พร้อมกับเสียงทุ้มกระซิบกระซาบมาจากด้านหลัง หันไปมอง เป็นนนท์กับเพื่อนของเขาที่นั่งอยู่ทางด้านหลังนั่นเอง
“ตรี พรุ่งนี้ว่างหรือเปล่า”
“ทำไมเหรอ”เขาถาม ไม่ได้ให้คำตอบในทันทีทันใด
“ว่าจะชวนไปกินหมูกระทะด้วยกัน ไปกับพวกไอ้จ่อย”นนท์โน้มตัวมาจากด้านหลัง เขาขมวดคิ้วทันที หมูกระทะเนี่ยนะ? มันนานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้ไปกินของปิ้งย่างพวกนี้
“อืม เดี๋ยวขอคิดดูก่อนนะ”
“ได้ๆ โทรมาคอนเฟิร์มแล้วกันนะ”
พันตรีพยักหน้าไปให้ ก่อนจะหันมาสนใจทฤษฏีต่อ หมูกระทะกินคนเดียวไม่อร่อยหรอก เขาเลยไม่ค่อยได้ไป อีกอย่าง ก่อนหน้านั้นเคยมีกลุ่มเพื่อนมาชวนเหมือนกัน แต่พวกนั้นมักมีแอลกอฮอล์มาร่วมด้วย เลยปฏิเสธไปตลอด
ในช่วงบ่าย เด็กหนุ่มมานั่งเล่นในสวนของคณะ ความร่มเย็น เขียวชื้นทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาด เขาเลือกนั่งในศาลาไม้เล็ก ๆ เปิดกระเป๋าออก เพื่อให้เจ้างูหายใจได้สะดวกขึ้น อักษราภัคโผล่หน้าออกมาเพียงครึ่งเดียว ดวงตาสีดำจ้องเขม็ง
“หิวหรือเปล่า”เขาถาม งูเผือกส่ายหัวช้าๆ
“ถ้าอึดอัด มาอยู่ในสวนก่อนไหม ผมต้องเรียนยาวถึงเย็นเลย” บ่ายนี้มีเรียนปั้น คงต้องนวดดินขึ้นฐานยิงยาวไปจนถึงช่วงมืดๆ
“แต่ข้าอยากอยู่กับเจ้า เกรงว่าอาจมีศัตรูโผล่ออกมา”เจ้างูตอบ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงศัตรูที่เป็นคนหรือพวกงูนัก “หรือให้ข้าอยู่เฝ้า ในร่างมนุษย์ดีหรือไม่”เอ่ยต่ออย่างกระตือรือร้น
เขายิ้มออกมาในความตีเนียนของอีกฝ่าย การที่อักษราภัคจะมาเกาะติดอยู่แบบนี้ไม่ได้ทำให้รำคาญ แต่รู้ทันว่า เจ้าตัวอยากเล่นสนุกกับการป่าวประกาศว่าเขาเป็นสิทธิ์ขาดของตัวเอง
“ผมไม่ห้ามหรอก แต่ต้องพูดจาปกติ อย่าลิเก”เขาพูดขำๆ ทำให้งูในกระเป๋าแลบลิ้นส่งเสียงแปลก ๆ ออกมา
“นั่นมันความเคยชินของข้า”งูเผือกตอบกลับมาอย่างขุ่นเคือง
“ไหนๆก็อยู่เมืองมนุษย์มานานก็ช่วยปรับตัวหน่อยสิ ผมว่าคุณรู้ว่าคนเราเนี่ยพูดจากันแบบไหน”
“โธ่ ถ้ายุ่งยากเย็นถึงเพียงนั้น ข้าไม่ไปกวนเจ้าเสียดีกว่า” พันตรีหลุดยิ้มก่อนจะยื่นนิ้วไปจิ้มลงที่ด้านบนหัวเจ้างูสองสามครั้ง
“เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามไง”
“หากวันใดเจ้ากลับแดนนาคา เจ้าอย่าได้พูดจาแปลกประหลาดเช่นนี้ก็แล้วกัน”
“ผมไปได้หรือไง”พันตรีถามอย่างไม่จริงจังนัก ลองนึกภาพมนุษย์อย่างเรา ๆ ไปปรากฏตัวในเมืองบาดาล หรือบนบกของแดนนาคา คงน่าอัศจรรย์ใจไม่เบา อักษราภัคเงียบไปหลายอึดใจ ก่อนจะตอบกลับมา
“...ได้สิ ได้อยู่แล้ว” ฟังคำตอบแล้วได้แต่มองเจ้างูที่โผล่มาครึ่งหัว
“สักวันต้องพาผมไปเยี่ยมบ้านบ้างล่ะ”เขาเอ่ยไปอย่างไม่คิดอะไร แต่ไม่คิดว่างูเผือกจะจริงจัง
“เอ่ยแล้วห้ามคืนคำเด็ดขาด”
ระหว่างนั้นก็มีเสียงคนเดินมาใกล้ งูเผือกจึงต้องผลุบหายเข้าไปในกระเป๋าดังเดิม พันตรีหันมองกลุ่มเพื่อนที่เดินเข้ามานั่งในสวนเช่นกัน บางคนแยกไปนั่งคนละศาลา แต่มีอีกคนที่เดินมายังศาลาหลังเดียวกันกับเขา
จำได้ว่าคนนี้ชื่อ บอล แม้ไม่ค่อยได้คุยกันมาก แต่ตอนปีหนึ่งเราเคยทำงานร่วมกันหลายครั้ง ส่วนมากอีกฝ่ายจะเป็นคนชวนคุยซะมากกว่า บางทีบอลอาจเห็นว่าเขาน่าเบื่อ เลยตีตัวออกห่างเขาในที่สุด พันตรีทำเป็นไม่สนใจ หยิบโทรศัพท์มาเล่นตามปกติ
“นั่งด้วยคนนะ”บอลเดินเข้ามาในนั่งบนม้านั่ง ตรงข้ามกับเขา
“อือ”เขาพยักหน้า ก่อนก้มเล่นโทรศัพท์ในมือต่อ แต่สังเกตได้จากหางตาว่าอีกฝ่ายนั่งเท้าคางมองอยู่ จนรู้สึกว่าน่ารำคาญ จึงหันไปสนใจบอลแทน
“มีอะไรเหรอ”
“มีแฟนยัง”
พันตรีงงมากที่อีกฝ่ายถามแบบนี้ เลยส่ายหน้าอย่างเดียว แต่บอลย่นคิ้ว
“นึกว่ามีแล้วซะอีก ก็เห็นได้ยินไอ้นนท์มันบอกว่ามึงอยู่กับรุ่นพี่คนนึง”
“ก็ใช่ แต่ไม่ใช่แฟนหรอก”เขาตอบ พลางวางมือไว้บนกระเป๋าเพราะรู้สึกว่ามีความเคลื่อนไหวในนั้น เลื่อนตามองเพื่อนร่วมสาขาอีกครั้ง เจ้าตัวทำหน้าไม่เชื่อ
“เอาจริงๆนะตั้งแต่เรียนด้วยกันมา มึงนี่ไม่ค่อยพูดเลย”บอลเอ่ยออกมา
“ก็...ไม่รู้จะพูดอะไรนี่หว่า” นึกแปลกใจที่บอลมันถามอะไรทำนองนี้
“ถ้างั้น...พรุ่งนี้ก็ไปกับพวกไอ้นนท์ดิ กูก็ไปนะ”บอลเอ่ยชวน รอยยิ้มผุดออกกว้างจนเห็นฟัน เขานิ่งไปสักพัก ‘งานเลี้ยงหมูกระทะน่ะเหรอ’
“เหรอ...”เขาไม่สนใจรอยยิ้มของบอลเท่าไหร่ ก้มหน้ามองโทรศัพท์ที่ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยสักอย่าง
“เออ ขอเบอร์หน่อยสิ มึงเปลี่ยนเบอร์ใช่ปะ แล้วก็ขอไลน์ด้วย”อยู่ๆบอลก็ขอ เคาะนิ้วลงบนโต๊ะแล้วยื่นโทรศัพท์มาให้ตรงหน้า พันตรีมองบอล แล้วเหลือบมองโทรศัพท์ต่อ เลยจำใจรับมากดเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองไป แล้วยื่นคืน
“กูไม่ค่อยเล่นไลน์ จำไม่ได้แล้วด้วย”เขาเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง บอลยิ้มแล้วลุกขึ้นยืนโบกมือให้
“งั้นไปก่อนนะ แล้วเย็นนี้อยู่ยาวเลยไหม”
“ไม่หรอก”เขาตอบ จับกระเป๋าไว้ จนกระทั่งบอลเดินไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนที่อีกศาลาอีกหลัง เขาถอนหายใจ ‘อะไรของมันนะ’
“คนผู้นั้นสนใจเจ้าอยู่”เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วงูเผือกจึงเอ่ยออกมา ยื่นหน้าออกมาเพียงนิดเดียว
“หา...นั่นเพื่อนที่ไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่”เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจอะไรกับการเชิญชวนพวกนั้น
“ทางที่ดีเจ้าต้องบอกไปเสียว่ามีคู่อยู่แล้ว”
“ไม่ดีหรอกมั้ง”
เขาดึงกระเป๋ามาวางไว้บนตักแทน ก้มมองเข้าไปในกระเป๋า เห็นงูเผือกอยู่ในนั้นขดตัวเป็นวงไม่ได้ชูคอแค่เหมือนนอนอยู่
“ข้าควรอยู่กับเจ้าที่นี่”งูเผือกเอ่ยด้วยความเง้างอน
“เอาน่า...”เขาตอบ พร้อมกับตบลงไปที่กระเป๋าสะพายเบาๆเป็นการปลอบใจ
ช่วงบ่ายพันตรีเข้าไปที่คณะเพื่อทำงานปั้น เลือกกระดานรองปั้นที่อยู่แถวหลังสุด อยู่ติดกับริมห้องทางฝั่งขวา บริเวณสำหรับเรียนปั้นจะอยู่ชั้นล่างสุด ไม่ได้มีผนังกั้นเป็นห้องคล้ายกับแปรสภาพจากโถงใต้ตึกเป็นห้องเรียนแทน มีฉากกั้นใหญ่ปิดไว้ ทำให้บริเวณที่เด็กหนุ่มเลือกอยู่นั้นมีทางออก ใกล้กับสวนเล็กๆที่ไว้ใช้เก็บอุปกรณ์ที่ชำรุด มีโต๊ะหินอ่อนตั้งอยู่สำหรับเอาไว้นั่งเล่น แต่ส่วนใหญ่เอาไว้สำหรับสูบบุหรี่กันมากกว่า
เขาวางกระเป๋าลงกับเก้าอี้ มองซ้ายมองขวาแล้วเปิดซิปออกเล็กน้อย ก้มบอกกับงูเผือกเบาๆ “รออยู่ตรงนี้นะ อย่าทำตัวเกเรล่ะ”
“หากข้าทำตัวดี มีรางวัลหรือไม่”
“รางวัล? คุณอยากได้อะไรล่ะ”เขาถาม
“ไม่ยากนัก แค่จูบเจ้าก็เพียงพอ”คำตอบของเจ้างูทำให้เขาย่นหน้าทันที ลืมไปเลยสิ ว่างูตัวนี้เจ้าเล่ห์
“จะบ้าหรือไง”
“ห่วงตัวกับข้าไปไย เมื่อคืนเจ้ายังไม่ว่ากระไรนี่”
“ก็...”ตอนนั้นมันไม่มีสติน่ะสิ เลยเคลิ้มไปด้วย ไม่ทันที่งูเผือกจะตอบกลับมา เพื่อนร่วมสาขาก็เดินมาประจำที่หน้ากระดานรองปั้น พันตรีเลยหยุดพูดกับกระเป๋า ทำทีเดินไปหยิบถังใส่ดินเหนียวออกมานวดให้ดินอ่อน ระหว่างที่กำลังนวดดินอยู่ คนข้างๆหันหน้ามาคุยด้วย
“นี่ตรี กูขอถามอะไรหน่อย” อีกฝ่ายกำลังนวดดินเหมือนกัน
“มีอะไรล่ะจ่อย” จ่อยคือเพื่อนสนิทของนนท์ เขาเลยไม่เกร็งอะไรมาก เจ้าตัวโน้มมาพูดเสียงเบา
“ขอโทษที่ถามนะ คือมึงยังโสดอยู่ใช่ไหม”พันตรีชะงัก ‘คำถามนี้อีกแล้วเหรอ’ เขาทำหน้ามึน ก่อนจะนึกหาคำตอบเพราะอักษราภัคบอกว่าให้ตอบว่ามีคู่แล้ว
“มีอะไรหรือเปล่าล่ะ”
“เอ่อ...อย่าหาว่าจุ้นจ้าน ก็ตั้งแต่รู้จักกันมาเนี่ย มึงก็อยู่คนเดียวมาตลอดนี่”
“ตอนนี้ไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว อยู่กับพี่น่ะ”เขาบอก แล้วล้างมือให้สะอาด เพราะดินอ่อนได้ที่แล้ว เหลียวมองกระเป๋าที่วางอยู่บนเก้าอี้ มีเสียงฟ่อแฟ่ดังมาเบา ๆ แต่จ่อยคงไม่ได้ยินเพราะกำลังนวดดินต่อ งานของเขาเตรียมขึ้นดินบนกระดานปั้น เตรียมอุปกรณ์สำหรับเกลี่ยดินมาให้พร้อม เพื่อนคนอื่นๆก็ทยอยมาจนครบ มีสนทนากันอยู่ตลอด
“ไม่ใช่ว่ามีคนคิดไม่ดีนะ ส่วนมากก็แปลกใจกันไง ไอ้บอลมันมาถามด้วยใช่ไหมล่ะ มันชอบตรีนะ ไม่รู้เหรอ”จ่อยชวนคุย ทำเอาเขาแปลกใจ หันมองหน้าเพื่อนด้วยความเหลือเชื่อ นึกถึงท่าทีของบอลแล้วก็ไม่ผิดจากที่จ่อยบอก
“จีบ? กูน่ะเหรอ”เขาหัวเราะกับตัวเอง จ่อยยิ้มอยู่หน้ากระดานปั้น
“เออน่ะสิ แต่เพราะมึงดูนิ่งๆ เหมือนโลกส่วนตัวสูง ก็เลยไม่กล้ามาคุยมาสนิทด้วย เมื่อก่อนมันก็เคยจะเข้าหามึงด้วยนะ”อีกฝ่ายเล่า
“ไม่ยักรู้ มันเป็นเกย์หรือไง”เขาถามไปตรงๆ เพราะการจะมาจีบมาชอบเขาได้ ก็เท่ากับว่าอีกฝ่ายสนใจผู้ชาย จ่อยพยักหน้าก่อนจะเอ่ยเสียงขรึมๆ
“ก็มันได้ยินที่นนท์มันพูดไง ว่ามึงอยู่กับผู้ชาย”จ่อยบอก พลางเหลือบมองเขาไปด้วย สีหน้าเหมือนจะเกรงๆ พันตรีนิ่งไป เพราะเรื่องนี้จริง ๆ ด้วย การอยู่กับผู้ชายก็ใช่ว่าจะเป็นเกย์ซะหน่อย...จะว่าไปต้องโทษอักษราภัคต่างหาก เมื่อวานมาทำตีสนิทตามติดเป็นตังเม พูดจาส่อแววเกย์ชัดเจน
กึก
เด็กหนุ่มสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเหมือนอะไรตก รีบหันไปมองที่กระเป๋า พอเดินไปดูเห็นว่ามีกุญแจรถตกอยู่ใกล้ๆขาเก้าอี้ ก้มหน้ามองลงไปในรอยซิปปรากฏว่าว่างเปล่า
‘อ้าว เห็นแววซวยอีกแล้วเรา’
“มีอะไรเหรอวะ”จ่อยถามด้วยความแปลกใจ เขารีบส่ายหน้า แล้วมองซ้ายมองขวา เพื่อหาร่องรอยของเจ้างู ไม่รู้ว่าจะอยู่ในร่างไหน คนหรือว่างู แต่ก็กลัวไปทั้งสองทาง คือหากเป็นงู ถ้าเพื่อนๆ เจอก็มีแตกตื่นกันแน่ๆ ถ้ามาเป็นร่างคน...เขานึกภาพออกเลยว่าอักษราภัคจะทำท่าแบบไหน
จ่อยกลับไปทำงานต่อ ส่วนพันตรีได้แต่กระสับกระส่าย เลยวางมือจากกระดานปั้น แล้วเดินออกไปมองทางด้านนอกห้อง แต่ไม่เจอสิ่งเคลื่อนไหวใดๆ แล้วกลับมาประจำที่หน้ากระดานปั้นเพราะอาจารย์กำลังเดินมาดูงาน ระหว่างที่กำลังพรมน้ำใส่ดินเหนียวที่ขึ้นรูปเป็นสี่เหลี่ยม เกลี่ยดินให้เรียบเนียน ระยะขอบสัดส่วนเท่ากันหมดแล้ว ไม่ทันที่จะเริ่มงานถัดไป เหมือนว่าจะเห็นเงาร่างของใครสักคนยืนจ้องอยู่ ทำให้ต้องหันไปเพ่งมองอีกรอบ
อักษราภัคจริงๆด้วย!
ร่างสูงผิวขาวสะอาดยืนอยู่ที่นอกตึก ใกล้กับโต๊ะหินอ่อน เขาหันไปมองจ่อย เห็นว่ายังก้มหน้าก้มตาขึ้นดินอยู่ เด็กหนุ่มค่อย ๆ วางมือ แล้วเอื้อมไปหยิบเสื้อคลุมคณะติดมือมาด้วย ไม่คิดว่าอักษราภัคจะโผล่ออกมาแบบนี้
“เกิดอะไรขึ้น”พันตรีถาม แล้วยื่นเสื้อให้เขา เหลียวไปมองทางด้านหลังเห็นว่าเพื่อนคนอื่นๆ หันมามองอย่างแปลกใจ เพราะชั้นล่างไม่ได้มีฉากกั้น บางคนที่กำลังพักหรือทำงานเสร็จอาจหันมาเจออักษราภัคไม่รู้ว่ายืนมานานหรือยัง เจ้าตัวทำหน้านิ่ง
“ข้าอึดอัด”
“บอกแล้ว ให้รอในสวนไง”เขาหน้าบึ้ง พยายามให้เจ้างูสวมเสื้อคลุมของคณะไว้ เพราะเจ้าตัวมาแบบเดิม เปลือยอก สวมแค่ผ้านุ่งสั้นๆตัวนั้น ยังดีที่ไม่ได้ติดรัดเกล้าอะไรให้พะรุงพะรัง เส้นผมสีดำยังคงยาวสลวยเช่นเดิม
“ตกใจแย่แน่ะ แล้วใส่แบบนี้ออกมาข้างนอกไม่ได้นะ”ค่อยๆรูดซิปให้มาถึงครึ่งตัว เสื้อคลุมสีอ่อนกับผ้านุ่งดูไม่เข้ากัน แต่ก็ยังดีกว่าใส่ผ้านุ่งตัวเดียว อักษราภัคมองเขา ดวงตาสีดำจับจ้องไม่ไปไหน
“หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าไม่ยอมเปลี่ยนร่างออกมาหรอก”
“บอกแล้วไงว่าห้ามเกเร นี่คุณอยากทำให้ผมเดือดร้อนใช่ไหม”
“เปล่า ข้าไม่หวังให้เป็นเช่นนั้น ข้าเป็นห่วงเจ้า”
“โอเค...ถ้างั้นก็อยู่เงียบๆ ใครถามอะไรก็ไม่ต้องไปคุยด้วย รู้ใช่ไหมว่าคนปกติเขาคุยกันแบบไหน...”เขาพูดเสียงจริงจัง มองเข้าไปในดวงตาสีดำของเจ้าตัว อักษราภัคพยักหน้า มุมปากมีรอยยิ้ม
เด็กหนุ่มไม่สนใจคนอื่นนัก แค่พาเข้ามานั่งที่เก้าอี้ตรงที่ฐานปั้นของตัวเอง จ่อยหันมามองพร้อมกับทำหน้าสงสัย ก่อนจะเหลียวมองไปรอบห้อง คงงงว่าอักษราภัคโผล่มาจากไหน
“ใครอะ มาตั้งแต่เมื่อไหร่”จ่อยถาม เด็กหนุ่มหันไปหาอักษราภัคที่นั่งลงบนเก้าอี้ กำลังจับเส้นผมมาหมุนเล่น ใบหน้าเรียบเฉย แววตาวิบวับดูเป็นประกายสดใส
“ก็...พี่ของกูเอง ชื่อเผือก นนท์ไม่เคยพูดให้ได้ยินหรือไง”เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อักษราภัคเฝ้ามองอยู่เงียบๆ
“อ้อ พี่เผือกที่อยู่มนุษย์ฯน่ะเหรอ”จ่อยพึมพำ หันไปมองพี่เผือกอย่างสนใจ แน่นอนว่าอักษราภัคไม่ได้สนใจอะไรนอกจากการจับจ้องเขาเท่านั้น นั่งเงียบอยู่ท่าเดิมราวกับรูปปั้น
เสียงพูดคุยค่อยๆจางลง ท้องฟ้าจากสว่างก็ค่อยๆมืดลง เด็กหนุ่มไม่อยู่ทำงานจนดึก คงหาเวลาอื่นมาทำต่อ งานนูนสูงนูนต่ำขั้นพื้นฐานคงใช้เวลาไม่นานนัก เมื่อเก็บงานต้องใช้ผ้าคลุมรักษาความชื้นเอาไว้ ทับด้วยพลาสติกอีกชั้น เก็บของเสร็จ เช็ดมือจนสะอาด เหลือบมองไปที่ฐานปั้นของคนด้านหน้า เหมือนจะเป็นเพื่อนของนนท์เหมือนกัน เขายื่นหน้าไปมอง นนท์อยู่ด้านหน้าของจ่อย ส่งยิ้มมาให้
พันตรีเก็บกระเป๋า “ยังไม่ทันมืดเลย ไม่อยู่ต่อหรือ”อักษราภัคถาม สีหน้าเหมือนไม่เข้าใจ เขาแต่ถอนหายใจ “เพราะคุณไง”เขาดึงแขนให้ลุก แต่อักษราภัคกลับนิ่งเฉย
“จะกลับแล้วเหรอ”นนท์เดินมาหาพอดี เขาพยักหน้า “อือ”
“พี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมไม่เห็นเลย”นนท์หันมาพูดกับอักษราภัค เจ้าตัวเหลียวมองเขา แต่ไม่ได้ตอบอะไร พันตรีจึงตอบแทน “ก็มาเมื่อกี้”
“เออ พรุ่งนี้ให้พี่เผือกมาด้วยก็ได้นะ”นนท์ชวน มองไปที่อักษราภัค เจ้าตัวมีท่าทีสนใจขึ้นมา
“พันตรี”
อักษราภัคเอ่ยเรียกเป็นนัยๆ เขาหันไปมองนนท์กับจ่อย ตอนแรกอยากจะปฏิเสธ ยิ่งมีอักษราภัคมาผสมโรงอีก ท่าทางจะวุ่นวาย
“เอ่อ...”
“ข้า...”เห็นอักษราภัคทำท่าจะพูด เลยรีบชิงตัดบทก่อน “เออ ไปก็ได้ แต่ให้พี่เขาไปด้วยจะดีเหรอ”
“ก็มีแต่เพื่อนๆกัน จะเป็นอะไรเล่า ถือว่าไปเปิดตัว”
“เปิดตัว?”เด็กหนุ่มทวนคำ หันมองอักษราภัค นนท์กับจ่อยทำเหมือนไม่ได้พูดอะไร เขาเกาจมูกเบาๆ ถ้าให้อักษราภัคไปด้วย ใคร ๆ ก็ต้องคิดว่าพี่เผือกคนนี้ เป็นคนสนิทของเขาแน่ ๆ
“ถูกต้อง พูดได้ถูก ...การเปิดตัวงั้นหรือ เท่ากับว่าเราสองเป็นคู่กัน”อยู่ๆอักษราภัคก็ลุกขึ้นยืน เดินเข้ามาขนาบข้างทันที ใบหน้ายิ้มแย้ม ก้มมองเขาด้วยสายตารักใคร่ พันตรีทำหน้านิ่งตีมึนเข้าไว้
“เออ ตามนั้น พี่เขาก็แบบนี้แหละ...นี่ก็เพิ่งไปออกงานมา...”พันตรีเพิ่งรู้ตัวว่าพูดยาวกว่าปกติ ...ตั้งแต่มีอักษราภัคนี่แหละ นนท์พยักหน้า ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะทุกครั้งที่เจออักษราภัคก็วนเวียนแต่เรื่องผ้านุ่งไทยและความแปลกของเจ้าตัวอยู่แล้ว
“สรุปว่าเป็นแฟนสินะ”จ่อยถามออกมา เขาย่นคิ้ว จะอยากรู้ไปทำไมกันไอ้พวกนี้ อักษราภัคมองเพื่อนทั้งสองของเขาด้วยความนิ่งเฉย ยกแขนกอดอกวางท่าขึงขัง
“แฟน? ใช่ เป็นแฟน”อักษราภัคพูดตาม หันมาสบตาพันตรีบ้าง แม้แต่ความหมายก็คงจะไม่รู้ด้วยซ้ำ ยังมีหน้ามาพูดอีก เวลานี้ไม่มีอะไรให้ต้องทำใจแล้วล่ะ เห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่
“ก็ทำนองนั้นมั้ง”เขาจึงตอบเลี่ยงๆ อักษราภัคจ้องมองแล้ว “คนๆนี้เป็นของขะ...เป็นของเราเอง”คนข้างกายเอ่ยตอบออกมาอีกครั้ง เขาหันขวับไปมอง คนตัวสูงกว่าส่งยิ้มกริ่ม พาดแขนมากอดไหล่อย่างตีเนียนไปด้วย
วันนี้ยังไม่น่าห่วงเท่ากับวันพรุ่งนี้เลย
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น