ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ก่อนความทรงจำจะเปลี่ยนเป็นสีเทา

    ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1

    • อัปเดตล่าสุด 4 ส.ค. 51


    "ปัง!"
    "Leg off, Leg off" เสียงภาษาอังกฤษสำเนียงเวียดนามดังขึ้น ฉันรีบหันไปมอง ต้นหนบนเรือนั่นเองที่บอกให้ฉันหดขากลับเข้ามาในเรือ หลังจากที่นั่งทอดน่องรับลมอยู่ที่หัวเรืออย่างสบายอารมณ์ ฉันเดาว่าเสียงอีกทีกเมื่อกี้คงเป็นเหตุ และก็......ใช่จริงๆด้วย เรือลำข้างหลังชนเข้ากับกาบเรือด้านที่เป็นห้องเครื่องของเรือเราอย่างจัง จนเครื่องดับ ระหว่างที่รอเค้าซ่อมเรือ ฉันก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อนไปเหมือนกับผู้โดยสารคนอื่น ซ้ำยังนั่งชมวิวของฮาลองเบย์อย่างสบายอุราอยู่อย่างนั้นแหละ

    ก็แน่หล่ะเรื่องแค่นี้คงหยุดฉันไม่ได้หรอก ฉันผู้เดินทางมาแล้วครึ่งโลกกลับมาจมปลักและติดใจอยู่กับภาพความฝันสมัยเด็ก ฮาลองเบย์ คือหนึ่งในสามสถานที่ที่ฉันคิดว่าก่อนตายต้องมาให้ได้สักครั้งนึง และตอนนี้ก็ได้กลายเป็นที่หนึ่งในใจฉันไปตลอดกาล

    ฮาลองเบย์ ไม่ได้มีอะไรที่ทะเลอื่นสู้ไม่ได้ น้ำทะเลที่นี้ไม่ได้ใสหรือเป็นสีฟ้าคราม หากแต่เป็นสีเขียวมรกตเพราะพวกแพลนตอนเยอะเกินไป ชายหาดของที่นี่ก็ไม่ได้มีอะไรที่หาดทางยุโรปใต้สู้ไม่ได้ ทรายออกจะหยาบเหมือนก้อนกรวดเสียด้วยซ้ำ แต่การล่องเรือผ่านหุบเขาหินปูนเป็นร้อยลูกนั้นช่างน่าประทับใจยิ่งนัก ฉันยังจำภาพความทรงจำตอนเด็กๆที่ฉันเคยเห็นฮาลองผ่านภาพยนต์ครั้งแรกได้ดี เมื่อพัสดีหนุ่มก้มเอาตัวเองบังแดดให้สาวน้อยร่างบาง เมื่อคนทั้งคู่ล่องเรือหลงเข้ามาในหุบเขากลางทะเลแห่งนี้ หรือเมื่อเขาบ้วนน้ำลายตัวเองเข้าปากเธอเมื่อน้ำจืดหมดลง หนังจบลงด้วยความตายของคนทั้งคู่ แต่เกิดสร้างความประทับใจที่ลืมไม่ลงให้กับฉัน และในที่สุดฉันก็ได้มาเห็นด้วยตาตัวเองแล้วว่าหุบเขากลางทะเลที่พรากชีวิตคนทั้งสองนั้นสวยงามและลึกลับแค่ไหน

    ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ไกด์ประจำเรือเดินขึ้นมาบอกฉันว่าให้ลงไปเก็บของเรือเราคงไปต่อไม่ไหว แต่จะมีเรืออีกลำมารับ ฉันจัดแจงทำตามคำแนะนำของไกด์ แล้วไปสมทบกับคนอื่นๆเพื่อรอขึ้นเรือลำใหม่ ผู้โดยสารคนอื่นโววายกันใหญ่ ก็แน่ละสิพวกเราไม่ได้จ่ายเงิน88เหรียญเพื่อมารวมกรุ๊ปกับคนอื่นนี่นา ไกด์รีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ และยืนยัยในมาตรฐานการบริการ และก็อีกเหมือนกันเรืองแค่นี้หยุดฉันไม่ได้หรอก เรือที่มารับนั้นก็ไม่ใช่เรือลำใหม่ที่ไหนหากแต่เป็นเรือผู้ก่อเหตุนั่นเอง ผู้คนบนเรือก่อเหตุยิ้มต้อนรับเราเป็นอย่างดี แถมช่วยแบกเป้ยักษ์ของฉันอีกด้วย ถึงจะต้องเปลี่ยนเรือ แต่ที่นั่งประจำของฉันก็ยังเป็นหัวเรืออยู่ดี หลังจากนั่งกินลมชมวิวบนเรือลำใหม่ได้ไม่นาน ไกด์ซูงประจำเรือลำเก่าของเราก็มาตามให้ไปกินข้าวและแอบกระซิบว่าเราคงต้องนั่งรวมกับกรุ๊ปของเรือลำใหม่นะ เพราะเค้าเห็นเรามาคนเดียวคนอื่นๆในทริปเค้ามากันเป็นครอบครัวและแบ่งโต๊ะลงตัวแล้ว เค้าเห็นว่าฉันเองดูเหมือนจะไม่ขี้โวยวายเลยมาขอตกลงอย่างสันติ ได้เลยสบายมาก ฉันนะยังไงก็ได้ 
    ฉันนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนใหม่ทั้งโต๊ะที่ดูเหมือนจะมาเป็นกลุ่มเล็กๆกันทั้งนั้น แก๊งค์หนุ่มอเมริกัน นำทีมโดยบิ๊คจอห์น ผู้ลุกออกมาโชว์มวยไทยให้ดูกลางห้องอาหาร เมื่อฉันบอกว่ามาจากเมืองไทย ส่วนเพื่อนอีกสามคนได้แต่ขำปนระอา พร้อมกับคู่รักอิสราเอลที่ดูเป็นมิตร และแน่นอนดูเหมือนว่าโต๊ะเราคงเป็นโต๊ะเดียวทีวัยใกล้เคียงกัน เลยพูดคุยกันเสียงดังสนั่น จนโต๊ะอื่นมองตาขวาง 

    และตอนนั้นเองที่ฉันได้สังเกตเห็นเค้าเต็มตาเป็นครั้งแรก แวบแรกฉันก็ไม่ได้สนใจเค้าเป็นพิเศษหรอก เราก็นั่งท่องเที่ยวเหมือนๆกันหมด หลังจากอิ่มไปตามๆกันแล้วบี๊คจอห์นและเดอะแก๊งค์ชวนฉันขึ้นไปนั่งเล่นบนดาดฟ้า แต่ฉันของตัวกลับไปนั่งที่หัวเรือดีกว่า 

    "Do you believe that the fish can fly?" เสียงทุ้มๆดัวมาจากด้านหลัง เค้านั่นเอง

    " I don't think the fish can fly at all" บ้า ปลาที่ไหนจะบินได้หละ ตานี่ถ้าจะเพี้ยนฉันคิดในใจ

    "Wait and See" พูดเสร็จก็ลงมานั่งข้างฉันซะดื้อๆ 

    ตอนนั้นฉันคิดแต่ว่า เอ่อ ขอโทษที่หนูมาแย่งที่พี่ บอกดีๆก็ได้ไม่เห็นต้องแต่งนิยายหลอกเด็กเลย แต่ทันใดนั้นเค้าก็ชี้ให้ฉันดูที่พื้นน้ำเบื้อล่าง ปลาตัวยาวปากแหลมกระพือปีกขึ้นมาเหนือผิวน้ำ และ บินโฉบไปข้างหน้าเพื่อให้พ้นจากรัศมีเรือ ฉันรีบชักขาขึ้นด้วยความตกใจ เขาหัวเราะร่วมที่แกล้งฉันได้ แล้วเราก็แนะนำตัวกันเป็นครั้งแรก ก่อนที่ฉันจะขอตัวขึ้นไปบนดาดฟ้าตามคำเรียกร้องของบิ๊คจอห์นจนได้

    ล่องเรือกันมาเกือบห้าชั่วโมง ในที่สุดเรือก็ตับเครื่องและทอดสมออยู่มกลางหุบเขาที่รายล้อมเป็นรูปวงเดือนครึ่งเสี้ยว สักพักไกด์ของเรือทั้งสองลำก็มาบอกพวกเราว่าเรือเราหยุดพักค้างคืนที่บริเวรนี้ ทุกคนสามารถพายเรือคยัคและกระโดดน้ำได้ตามอัธยาสัย และนัดแนะเรื่องเวลาอาหารเย็น ยังไม่ทันที่ไกด์จะพูดจบ เสียงตูมก็ดังขึ้นพร้อมกับน้ำกระเซ็นหาบใหญ่ขึ้นมาบนเรือ แน่นอนบิ๊คจอห์นกระโดดลงไปแล้ว นี่หละไฮไลท์ที่ฉันรอมาตลอดห้าชั่วโมง การได้ว่ายน้ำในฮาลองเบย์ครั้งนึงในชีวิต ฉันไม่รอช้าที่จะกระโดดตามบิ๊คจอห์นลงไป แต่ชั้นดาดฟ้านี่มันก็น่ากลัวอยู่นะ ขอลดขั้นลงไปหน่อยนึงเถอะ ฉันกำลังปีนมันไดลงมาเพื่อกระโดดจากกาบเรือ พอดีกับที่เค้าเดินออกมาจากเคบินบนเรือด้วยกางเกงว่ายน้ำลายสก็อตที่เชยสุดๆ ฉันได้แต่กลั้นขำไว้ แล้วเราก็ได้กระโดดน้ำพร้อมกัน

    เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ฉันรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่ารัก ไม่รู้ว่าเพราะการเดินทางคนเดียวมันทำให้จิตใจฉันไขว้เขว่รึเปล่านะ หรือเพราะบรรยาศของฮาลองที่ทำให้ใจฉันอ่อนไหว ชักเริ่มกลัวใจตัวเองแล้วสิแต่นั้นก็ไม่ทำให้ใจฉันสั่นเท่ากับเรื่องที่จะได้ยินหลังมื้อค่ำคืนนี้หรอก เสร็จจากมื้อค่ำฉันกับพวกบิ๊คจอห์นตั้งวงคุยกันบนดาดฟ้าเรือ พอเค้าเดินขึ้นมาอีตาจอห์นก็ไม่พลาดที่จะเรียนให้เค้ามาร่วมวง พวกเราคุยกันถึงเรื่องสัพเพเหระ แผนการเดินทางของแต่ละคน อดีต ปัจจุบัน อนาคต...... น่าแปลกที่คนบนเรือลำนี้ต่างรู้จักกันได้ไม่เกินครึ่งขึ้นค่อนวัน แต่กลับคุยกันราวกับรู้จักกันมาเนินนาน แต่ก็ไม่แน่การรู้จักกันอย่าผิวเผินอาจทำให้คนเราวางใจที่จะพูดคุยก็เป็นได้ ฉันทึ่งและประทับใจในคำบอกเล่าของบิ๊คจอห์นและเพื่อนๆ แทบจะไม่อยากเชื่อพวกเขาใช้เวลาตลอดสามปีมานี้ท่องเที่ยวมาเกือบทั่วโลก และทั้งหมดก็เพิ่งจบไฮสกูลก่อนออกเดินทางเอง พวกเขาใช้วิธีค่ำไหนนอนนั้นมาตลอดทริปที่ยุโรป แต่พอมาถึงเอเชียค่าครองชีพและอะไรหลายไอย่างก็เหมือนสวรรค์ของพวกเขาทีเดียว บิ๊คจอห์นบอกว่าหลังจากจบทริปที่เวียดนามพวกเขาจะไปเมืองไทยเพื่อต่อเครื่องไปอินเดียที่หมายสุดท้ายก่อนจะกลับถึงบ้าน นั่นคงอีกสองเดือนให้หลังละมั่ง คู่รักอิสราเอลมาฮันนีมูนย้อนหลัง หลังจากแต่งงานเมื่อตอนต้นปี สาวๆออสซี่ทำงานเก็บเงินเมื่อซัมเมอร์ที่แล้วเพื่อมาตลุยเอเชีย เค้าเองก็เหมือนกับฉันเมื่อประทับใจบทความสั้นๆในหนังสือก็ตัดสินใจมาเวียดนาม

    "Do you still believe the fish can fly?" เค้าถามขึ้นเมื่อทุกคนเริ่มแยกย้ายกันไปนอน

    "I do now"

    "Good Night"

    "Night"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×