คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : PERCENT: 01%
PERCENT: 01%
เหล็กแหลมเงินขนาดพอดีมือถูกปาออกไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำปักเข้าที่ลูกแอปเปิลบนหัวองครักษ์หรือมีชื่อเรียกว่า “ซอร์” (Soar) พวกซอร์คือมนุษย์ที่มีความพิเศษทางด้านร่างกายและสมองใช้ชีวิตร่วมกับแวมไพร์มาหลายร้อยปีนับตั้งแต่มีการแต่งตั้งองครักษ์จริงๆจังๆเพื่อดูแลเหล่าแวมไพร์ชั้นสูงที่ยังดูแลตัวเองในโลกมนุษย์ได้ไม่ดีนัก เพราะมิททีมีรัฐบาลเป็นของตัวเองภายใต้กฎเกณฑ์และเงื่อนไขที่แวมไพร์ทุกตนต้องทำตาม ซอร์เป็นองครักษ์มาหลายร้อยรุ่นเพราะพวกซอร์ไม่ได้อมตะ ล้มหายตายจากเช่นมนุษย์ทุกอย่างเพียงแต่ถูกฝึกให้มีความเป็นนักสู้ รวดเร็วเหมือนแวมไพร์ กล้าหาญและเสียสละ
“ถ้านายปาพลาดขึ้นมานายจะทำให้ฉันตายก่อนวัยอันควรมาร์ค”
จินยองบ่นก่อนจะหันไปดึงเหล็กแหลมเงินที่ปักอยู่กับต้นไม้ส่งคืนให้เจ้าของ มาร์คหัวเราะร่าเหมือนว่าคำพูดของจินยองมันคือมุขตลกชั้นเยี่ยมที่ฟังแล้วทำให้เส้นตื้น
“นายก็รู้ว่าในมิททีฉันแม่นสุดๆ ถ้าไม่รวมพวกซอร์นะ”
คนฟังเบ้ปากสัญชาติญาณบางอย่างของจินยองกำลังบอกว่ามีใครสักคนจ้องมองอยู่แถวๆนี้ จินยองหันขวับและเป็นอีกครั้งที่จินยองเดาถูก บนต้นไม้สูงใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนักเจินยองเห็นแจบอมยืนยิ้มมุมปาก รอยยิ้มนั้นมันไม่ใช่รอยยิ้มของมิตรแบบที่ควรจะเป็น แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ดูน่ารังเกียจ เย้ยหยัน และอาฆาต
“นายสัมผัสถึงเจบีได้อีกแล้วหรอจินยอง”
มาร์คมองตามสายตาของจินยองที่มองไกลออกไปบนต้นไม้แต่ก็ไม่พบอะไร ก่อนจะหันมาจ้องหน้าองครักษ์ที่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก และมันก็จะเป็นแบบนี้ตลอดถ้าเมื่อไหร่ที่จินยองสัมผัสถึงแจบอมได้
ให้เท้าความเรื่องนี้มันคงเป็นเรื่องที่ไม่น่าฟังเท่าไหร่ แจบอมคือชื่อที่ใช้เรียกกันในหมู่มนุษย์มีอีกชื่อที่ใช้เรียกในหมู่แวมไพร์ว่า เจบี มันจะไม่แปลกอะไรถ้าแจบอมไม่ใช่แวมไพร์ที่มาจากเมิร์คเป็นผู้สืบทอดคนต่อไปของเผ่าพันธุ์ ที่แจบอมเข้ามาเรียนที่เซนต์ดิมิทรีได้เพราะผู้ใหญ่หลายคนมองการไกลต้องการให้แวมไพร์กลับมารวมกันเหมือนก่อนไม่มีการแบ่งแยกเลยคิดว่าการให้แจบอมเข้ามาเรียนที่เซนต์ดิมิทรีคือการปรองดองและยุติสงครามจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน
แต่มันก็แค่ความเห็นของพวกมิทที
ไม่ว่าจะลดหย่อนให้พวกเมิร์คแค่ไหนพวกนั้นก็ยังเหมือนเดิม เพิ่มเผ่าพันธุ์ตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆโดยการดูดเลือดและทำให้มนุษย์กลายเป็นแวมไพร์ ไม่มีกฎเกณฑ์ข้อบังคับใดๆในการอยู่ร่วมกัน แต่ก็มีการปกครองโดยรัฐบาลของตัวเองที่ตั้งขึ้นมาเหมือนมิทที แต่ต่างกันตรงที่เมิร์คจะยกตำแหน่งผู้นำให้กับลูกชายคนแรกส่วนมิททีจะเลือกคนที่ดีที่สุดในหมู่แวมไพร์ชนชั้นสูง เป็นใครก็ได้แต่ต้องมีความสามารถ
จินยองไม่ได้มีพลังวิเศษอะไรแต่เขามีสัญญาณชาติความเป็นนักสู้อยู่สูงมาก หูไวและประสาทสัมผัสยอดเยี่ยมที่สำคัญไปกว่านั้น จินยองคือคนแรกที่โดนแจบอมกัด เขาเลยมีประสาทสัมผัสรับรู้ถึงอีกฝ่ายอยู่เสมอเหมือนที่แจบอมเองก็รู้ถึงความคิดจินยอง จินยองรู้สึกว่าการสัมผัสความรู้สึกของแจบอมได้มันเหมือนการที่เอาตัวเองไปนั่งอยู่ในฤดูฝนที่ตกไม่มีวันหยุดพัก มันทั้งเงียบ เย็นเฉียบ และอึมครึม
หัวใจของแจบอมว่างเปล่าและเย็นชานั่นคือสิ่งที่จินยองสัมผัสได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“ช่างมันเถอะ หมอนั่นก็ชอบมาทำให้ฉันประสาทเสียทุกทีนายก็รู้”
คำตอบของจินยองสวนทางกับแววตาหม่น มาร์ครู้ดีเขาไม่ได้อ่านใจคนได้เหมือนยูคยอมก็จริงแต่มันชัดเจนว่าจินยองคิดยังไงกับแจบอม แม้เมื่อหลายปีก่อนมันจะดูยุ่งวุ่นวายกว่านี้เพราะทั้งคู่คบกัน เป็นคนรักกัน มาร์คเคยคิดว่าสงครามระหว่างมิททีกับเมิร์คอาจจะสิ้นสุดลงแต่นั่นมันก็แค่เรื่องโจ๊กที่มีแค่พวกปัญญานิ่มที่เชื่อ และเขาก็คงเป็นหนึ่งในพวกปัญญานิ่มนั่น
แจบอมก็แค่ต้องการสืบข่าวจากมิทที มันเป็นอะไรที่ทุเรศที่สุดตั้งแต่เกิดมาเกือบสี่ร้อยปี หลอกใช้จินยองให้ตายใจด้วยความรักพอหมดประโยชน์ก็ทิ้ง แวมไพร์ทุกตนจะดูน่าหลงใหลเหมือนมีมนต์สะกดยอมรับตรงๆว่าแจบอมก็หน้าตาดีไม่หยอกไม่แปลกที่จินยองจะชอบ แต่สุดท้ายเรื่องรักของแจบอมกับจินยองก็ต่างจากนิยายเพ้อฝันที่พวกมนุษย์ชอบอ่าน จบลงด้วยความเศร้าและความตาย
พ่อแม่ของจินยองถูกฆ่าในวันนั้น ทุกอย่างคงไม่ต่างจากฝันร้ายที่ตามหลอกหลอน มาร์คไม่อยากคิดว่าตอนนี้หัวใจของจินยองจะเป็นยังไงในเมื่อคนที่ตัวเองรักเป็นคนเดียวกันกับคนที่ปลิดชีวิตครอบครัวอย่างเลือดเย็น โหดเหี้ยม จินยองเคยบอกกับเขาไว้อย่างหนึ่ง คำพูดที่หลุดออกจากปากในวันนั้น
“ฉันจะส่งแจบอมไปลงนรกต่อให้มันลงนรกอีกกี่ร้อยกี่พันชาติฉันก็จะตามมันไป”
“แล้วยูคยอมไปไหน วันนี้ไม่เห็นหัวเลย” มาร์คพูดทำลายความเงียบ
“พ่อนายเรียกไปพบ คงคุยเรื่องที่จะให้ยูคยอมมาเรียนที่เซนต์ดิมิทรีมั้ง”
“เห่อะ! เด็กนั่นคงค้านหัวชนฝา เกลียดมนุษย์ยังกับอะไรดี”
“รู้ใจจังเลยนะครับคุณพี่ชาย”
ยูคยอมโดดลงมาจากต้นไม้ ยักคิ้วกวนๆใส่จินยองเหมือนทุกครั้งก่อนจะหันไปยิ้มให้พี่ชาย มาร์คผลักหัวยูคยอมแรงๆด้วยความหมั่นไส้
“ตกใจหมด” มาร์คบ่นแล้วหันหน้าไปที่ทางเข้าสุสาน
“มีคนมา”
ทั้งสามหลบขึ้นต้นไม้ มองผู้ชายผมดำที่กำลังเดินเข้ามาในสุสานทั้งๆที่มันมีป้ายเขียนไว้ด้านหน้าว่า “ห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาต” ยูคยอมจ้องมองลงไปอย่างสนใจ เพราะปกติเอาแต่เที่ยวในโลกมนุษย์ไปทั่วก็จริงๆแต่จะให้สุงสิงด้วยก็คงจะผิดวิสัย ปากหยักยกยิ้มขึ้นมานิดๆเมื่อเห็นใบหน้าของอีกคนชัดเจน
“โนร่า เมี๊ยวๆออกมาเร็ว”
เสียงใสร้องเรียกหาแมวแสนรักที่ประธานหอเอามาฝากไว้ให้เลี้ยง แบมแบมยกมือขึ้นทึ้งหัวอย่างหงุดหงิดเพราะตอนนี้นอกจากจะหาโนร่าไม่เจอในนี้ยังให้ความรู้สึกชวนขนหัวลุกไปอีก ร่างเล็กเดินหาแมวไปทั่วก่อนจะไปสะดุดเข้ากับแท่นหินอ่อนสีเทาที่มีชื่อใครบางคนปรากฏอยู่บนนั้น
IN LOVING MEMORY
OF
MITRI KIM (KIM MINJUN)
15 JANUARY 1840 – 21 MAY 1919
มือเล็กเอื้อมไปลูบแท่นหินเบาๆ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเหมือนพยายามนึกอะไรบางอย่างอยู่ แบมแบมรู้สึกแปลกๆเหมือนเขาเองเคยเห็นสุสานนี้ที่ไหน มันคุ้นๆแต่ก็จำไม่ได้
“ทำอะไรน่ะ!”
เสียงตะคอกทำให้แบมแบมสะดุ้งเฮือกเพราะความตกใจก่อนจะหันหลังไปมอง แล้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าคนพูดเป็นใคร
“รุ่นพี่จินยอง ผมมาหาแมวน่ะครับแมวของพี่แจบอม โอ๊ะ! นั่นไงๆมันนั่งอยู่ตรงนั้น”
แบมแบมชี้ไปที่แมวสีเทาหม่นๆที่กำลังเลียขนตัวเองอยู่แล้วหันมายิ้มกับจินยอง พอหันไปอีกทีก็เจอยูคยอมกำลังอุ้มโนร่าอยู่ในอ้อมแขน มือใหญ่ลูบขนมันเบาๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา แบมแบมพยายามจ้องหน้าคนแปลกหน้าตรงๆเขาคุ้นหน้ายูคยอมมาก มากจนเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อนแต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
“โนร่าหนีมาแบบนี้ไม่น่าระ...โอ้ย!!”
โนร่าตะปบเข้าที่มือแบมแบมจนเลือดไหล คนตัวเล็กร้องโอดโอยออกมาโดยไม่ทันมองหน้ายูคยอมตอนนี้ เหมือนเลือดของแบมแบมจะเตะจมูกยูคยอมเต็มๆ เขาเลียปากอย่างลืมตัวมองเลือดสีแดงสดกลิ่นเย้ายวนที่กำลังหยดลงบนพื้น
“เจอแมวแล้วก็ไปได้แล้ว ที่นี่ไม่ใช่ที่นายควรเข้ามาถ้าไม่อยากโดนลงโทษ”
แบมแบมเงยหน้ามองยูคยอมรับแมวคืนส่งยิ้มให้นิดหน่อยโดยที่ยังไม่ทันจะทำความรู้จักหรือถามไถ่อะไรคนแปลกหน้าคนนี้ ร่างเล็กก้มหัวให้จินยองก่อนจะเดินออกมาโดยที่ไม่ลืมที่จะหันกลับไปมองด้วยความสงสัยอีกครั้งแต่ก็ไม่เจอใครแล้ว
จินยองถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะหันไปชกต้นแขนยูคยอมด้วยท่าทางเอาเรื่องที่จู่ๆก็โผล่ออกไปแบบนั้น แถมยังทำหน้าเหมือนอยากดูดเลือดอีกคนซะเต็มประดา ยูคยอมไหวไหล่เล็กน้อยไม่ยี่ระกับท่าทีขององครักษ์
“นายหิวเลือดรึไงยูคยอม”
มาร์คที่นั่งมองดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆเอ่ยถามน้องชายด้วยความสงสัย จริงๆในใจเขาเชียร์ให้ยูคยอมกระโจนไปกัดคอเด็กคนนั้นซะให้สิ้นเรื่องจะได้เลิกล้อเลียนเขาสักที ดูจากท่าทางก็ไม่น่าจะใช่คนเลว
“ไม่รู้ดิ่ แต่เลือดหมอนั่นหอมชะมัดมันไม่เหมือนคนอื่น”
วันนี้บ้านแจ็คสันไม่มีใครอยู่ พ่อแม่เขาทำธุรกิจเกี่ยวกับกีฬานั่นทำให้ต้องไปไหนมาไหนบ่อยๆ เพราะยุคนี้ไม่ต้องมาวิ่งไล่ถือเหล็กแหลมทิ่มแทงแวมไพร์มันก็เหมือนการเก็บเอาวิชาความรู้นั้นไว้ ก็คงไม่ต่างจากเครื่องมือ เอาจริงๆนอกจากลิ่มไม้ที่เคยใช้เมื่อหลายร้อยปีก่อนมันพัฒนาต่อมาจนกลายเป็นเหล็กแหลมเงิน นอกจากนั้นยังมีไปจนถึงปืนที่ลูกระสุนผลิตมาจากแสงอาทิตย์ผสมเข้ากับเงินยิงเข้านัดเดียวที่หัวใจแน่นอนว่าไม่รอดไม่ใช่แค่แวมไพร์ มนุษย์ก็เหมือนกัน
พ่อแจ็คสันมีความรู้เรื่องการล่าแวมไพร์ไม่ต่างจากปู่ เขาเป็นมือหนึ่งในแถบนี้ ไม่ว่าจะมิททีหรือเมิร์คก็ต่างรู้จักทั้งเขาทั้งนั้น แจ็คสันเองก็ได้เลือดพ่อมาเยอะถ้าจะบอกว่าเป็นผู้สืบทอดคนต่อไปจะพูดบอกแบบนั้นก็ได้ ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้นั่งให้แวมไพร์กัดคออย่างไม่ยี่ระอยู่บนที่นอนล่ะก็นะ
“ซี๊ด...เบาหน่อยที่รัก ไปอดอยากมาจากไหนกัน”
แจ็คสันจับเอวบางแน่นยามที่คมเขี้ยวฝังเข้าไปที่ไหล่ลาดด้านใน ลิ้นร้อนของมาร์คพยายามตวัดเอาเลือดที่เปรอะอยู่เข้าปากอย่างกระหายดูดกินมันจนแจ็คสันรู้สึกเจ็บจี๊ดแต่ก็ชอบ เขาไม่ได้เป็นพวกซาดิสก์แต่กับมาร์คเป็นกรณีพิเศษ ถึงเขี้ยวจะคมไปหน่อยแต่ริมฝีปากนุ่มหยุ่นนั่นนะมันทำให้ลืมความเจ็บไปเกือบหมด ไหนจะกลิ่นตัวหอมๆถ้าไม่มีกลิ่นเลือดเขาปะปนมาด้วยก็คงจะดีกว่านี้
“อื้อ...”
เสียงครางอื้อในลำคอเหมือนมาร์คจะด่าเขาอยู่แต่พูดไม่ได้ สะโพกอิ่มขยับมาจนชิดหน้าท้องแนบแน่นจนทำให้แจ็คสันรู้สึกแปลกๆ
“อิ่มได้ยัง ถ้ายังเขยิบตัวมาอีกฉันคงต้องกินนายบ้างแล้วนะ”
คำขู่ของแจ็คสันทำให้มาร์คต้องผละหน้าออกมา เบ้ปากก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อมาเช็ดคราบเลือดตามมุมปากจนหมด แจ็คสันหัวเราะเมื่อเห็นหน้ายุ่งๆของแวมไพร์ขี้หงุดหงิด มาร์คเป็นพวกอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายแต่น่ารัก
“ยังหิวอยู่หรอ ปกตินายไม่กินเยอะขนาดนี้นะ เอ๊ะ! หรือท้อง”
อั่ก!!
โดนซัดเข้าไปที่ไหล่เต็มๆ แจ็คสันร้องโอดโอยจนโอเว่อร์แล้วหัวเราะร่า แขนแกร่งกระชับเอวบางแน่น ตัวมาร์คเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง เจ้าตัวจ้องตาแจ็คสันเขม็งก่อนจะเป็นคนเบนสายตาหนีไปก่อน
“ชอบพูดจาทะลึ่งอยู่เรื่อย ถ้ามีใครมาได้ยินเข้าทำไง ยูคยอมยิ่งหูตาไวอยู่”
มาร์คบ่นถึงบุคคลที่สามที่แจ็คสันก็เคยคุยด้วยบ่อยๆ ยูคยอมไม่ใช่คนนิ่งเหมือนที่เคยเจอตอนแรกออกแนวกวนนิดๆหน่อยๆ แต่ก็ยังไม่เท่าตอนมาอ่านใจเขาเรื่องชอบมาร์คหรอก แถมยังเป็นคนยุให้จับมาร์คปล้ำแล้วสารภาพเขาเองก็เชื่อคนง่ายมันได้ผล แจ็คสันทำตามคำแนะนำนั้นและตอนนี้เขากับมาร์คก็เป็นแฟนกัน
ตอนแรกมาร์คแทบจะฆ่าเขาตายทั้งจิกทั้งข่วนทั้งกัด ยอมรับเลยว่ากว่าจะมายืนอยู่ตรงนี้ก็เจ็บมาเยอะ แต่ก็ถือว่าคุ้มนอกจากจะได้แฟนน่ารักๆมาไว้ในครอบครอง ยังได้รู้จักโลกของแวมไพร์อย่างลึกซึ้งกว่าเดิม เขาเคยไปมิททีบ่อยๆ รู้จักพ่อมาร์คแถมยังคุยถูกคอกันอีกแต่นานๆจะเจอกันที มาร์คไม่เคยกัดคอหรือดูดเลือดจากคอใครสักคนถ้าไม่ใช่เขานับตั้งแต่วันที่เจอกัน นอกจากจะกินเลือดจากมนุษย์ที่มาขายเลือดมันมีกฎให้กัดได้เฉพาะที่ข้อมือหรือท้องแขนและกฎอย่างหนึ่งที่แจ็คสันรู้มาพวกมิททีจะดูดเลือดเฉพาะตอนที่พลังชีวิตอ่อนแรงเท่านั้น แต่ในนั้นมิททียังมีพวกร้านเหล้าที่มีเหล้ารสเลือด แจ็คสันเคยไปชิมมาครั้งนึงรสชาติมันสุดจะบรรยาย กลิ่นมันเหมือนเหล้าแต่ดื่มเข้าไปมันคือเลือดดีๆนี่เอง
อย่าว่ายังงั้นยังงี้ก่อนหน้านั้นแจ็คสันยังเกือบจะเอาเหล็กแหลมปักอกมาร์คแล้วถ้าเจ้าตัวไม่โผล่มาด้วยท่าทางอิดโรยทำเหมือนพวกแวมไพร์ใกล้ตายขอเขาดูดเลือดซึ่งๆหน้า เขาเคยศึกษามาบ้างว่าพวกแวมไพร์ถ้าอายุเกิน300 ร้อยปีแล้วยังไม่ยอมดูดเลือดมนุษย์คนไหนในคืนพระจันทร์เต็มดวงร่างกายจะทำปฏิกิริยาบางอย่างจนทำให้ไม่มีแรง เขาเลยยอมเสียสละคอให้มาร์คกัด ครั้งแรกเป็นครั้งที่เจ็บที่สุดเหมือนปลายมีดเล็กๆสองอันปักเข้ามาที่ต้นคอแต่พอสักพักมันก็แค่ชาๆ
จากนั้นผลลัพธ์ที่ตามมาก็คุ้มเกินกว่าที่คิด เขาสัมผัสถึงมาร์คได้ตลอด
“ยูคยอมไม่มาหรอกน่า หมอนั่นคงไม่อยากมาดูนายกับฉันทำอะไรๆกันหรอก”
“หุบปากเดี๋ยวนี้เลยแจ็คสันหวัง!”
ถึงจะตะโกนออกมาดังแต่สองข้างแก้มแดงระเรื่อจนอดไม่ได้ที่แจ็คสันจะยกมือหยิกมันเบาๆ ดันหัวอีกคนเข้ามาในอ้อมกอด โยกไปโยกมาเหมือนกล่อมเด็กตัวน้อย มาร์คหัวเราะหึในลำคอแต่สักพักก็ดิ้นไปดิ้นมา
“โอ้ย...อึก....”
ใบหน้าหวานเงยขึ้นมือเรียวดึงทึ้งหัวตัวเอง ตาสีดำตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงหม่น
“มาร์คเป็นอะไร! มาร์คตอบฉันสิมาร์ค”
“มีคน...อึก...กำลังจะตาย...อีกแล้ว...เด็กคนนั้น!”
มาร์คตะโกนขึ้นมาก่อนดวงตาจะกลับมาเป็นสีเดิม มาร์คหอบหายใจหนักสูดเอาอากาศเข้าปอด ช่วงนี้เหมือนร่างกายเขามีการเปลี่ยนแปลง พลังต่างๆจู่ๆก็เกิดขึ้นมาเฉยๆควบคุมมันไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อไม่กี่เดือนมานี้เขามักจะมองเห็นคนตาย ไม่สิ...คนใกล้จะตายในอีกสามวันข้างหน้ามันเป็นพลังที่มีได้เฉพาะพวกยมทูตหรือแวมไพร์บางตนที่มีพรสวรรค์นี้ตั้งแต่เกิด
“ใครกำลังจะตายมาร์ค นายไหวรึเปล่าหน้านายซีดมากเลยนะ”
แจ็คสันเช็ดเหงื่อที่เกาะพราวอยู่บนใบหน้า มาร์คยิ้มก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ
“เด็กคนนึงฉันเพิ่งเจอเขาวันนี้เหมือนจะอยู่เกรดสิบเอ็ดนะ ถ้างั้นฉันต้องไปก่อนนะแจ็คสันเหมือนว่าต้องไปหาผู้ช่วยซะหน่อย”
มาร์คลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ให้เข้าที่ หยิบแจ็กเกตหนังมาสวมใส่แล้วก้มลงไปจูบปากสีชาของแจ็คสันเบาๆ
“แล้วเจอกันที่โรงเรียน”
“เด็กคนนั้นเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนจากไทย ชื่อแบมแบมอยู่เกรดสิบเอ็ดอายุสิบเจ็ดปี ฉันไม่รู้ว่าทำไมคุณลุงถึงได้ส่งบัตรแลกเปลี่ยนไปให้ จริงๆก็สงสัยอยู่แถมยังรู้สึกว่าเจบีจะเข้าหาเด็กนั่นบ่อยอยู่นะ”
จินยองอธิบายแล้วยื่นประวัติของแบมแบมให้กับมาร์ค ประวัติไม่กี่แผ่นไม่ได้สำคัญเท่าไหร่มันก็เป็นข้อมูลที่ใครๆก็รู้ แต่มันมีบางอย่างที่ทำให้มาร์คสงสัยว่าพ่อเขาจะพาเด็กคนนั้นมาอยู่ที่เซนต์ดิมิทรีทำไมถ้าไม่มีเหตุผลอะไรแฝงอยู่
“แล้วพี่เห็นหมอนั่นตายยังไง”
ยูคยอมที่กำลังนั่งเล่นเกมอยู่บนโซฟาหันมาถามพี่ชาย ถึงตาเขาจะไม่ได้มองแต่หูน่ะกำลังฟังและประมวลผลที่มาร์คกับจินยองพูดกัน
“โดนกัดที่คอเลือดกระจายเลยแถมยังเห็นหน้าคนที่กระทำด้วยนะ นายสองคนรู้จักดีเลย”
“ใคร/ใคร” ยูคยอมกับจินยองถามพร้อมกัน
“ยองแจ”
จินยองเบิกตากว้างต่างจากยูคยอมที่ยักไหล่แล้วหันไปสนใจเกมต่อ ยองแจคือเพื่อนของแจบอมเคยเป็นซอร์มาก่อนเป็นเพื่อนรักของจินยองกับมาร์ค โตมาด้วยกันยองแจมีแม่เป็นซอร์มีพ่อเป็นเมิร์ค ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่ยองแจก็เคยเป็นหนึ่งในซอร์ฝีมือดีที่อายุน้อยที่สุดในมิทที แต่ไม่นานนักยองแจก็เปลี่ยนไป ฆ่ามนุษย์ ไม่สนข้อแลกเปลี่ยน แค่ฆ่าเฉยๆ ก่อนจะหนีไปอยู่กับพวกเมิร์คจากนั้นก็ไม่เจอกันอีก
“บางทีเราควรออกไปหาอะไรสนุกๆทำกันบ้าง เริ่มจากงานนี้เลย”
จู่ๆยูคยอมก็โพล่งออกมาเฉยๆ และเขากำลังอ่านใจทั้งคู่ มาร์คเหมือนจะเห็นด้วยแต่จินยองในใจเอาแต่ด่าว่ายูคยอมเล่นอะไรเป็นเด็กๆ
“ไม่เด็กหรอกน่าพี่จินยอง ผมรู้สึกอยากออกกำลังกายสักหน่อย”
“งั้นก็ตามใจ บอกไว้ก่อนเลยนะว่าพวกเมิร์คมันเอาจริงกับเราแน่ๆถ้าปะทะกัน”
สุดท้ายจินยองก็ยอมตามใจ เขารู้ดีว่าตอนนี้จะคอยปกป้องให้ยูคยอมกับมาร์คอยู่แต่ในมิททีตลอดไปไม่ได้ ถ้าแจบอมพยายามค้นหาอะไรบางอย่างอยู่ตอนนี้ จินยองก็คิดว่ามันคงเกี่ยวข้องกับมิททีด้วยแน่นอน
“ผมก็ไม่คิดจะออมมือให้พวกสวะอยู่แล้ว”
-ศัพท์เฉพาะที่ควรเข้าใจ-
ซอร์ (Soar) องครักษ์ของแวมไพร์ฝั่งมิทที เป็นมนุษย์ที่มีความสามารถพิเศษด้านต่อสู้ ฉลาดกว่ามนุษย์ปกติ (ประมาณว่าไอคิวอีคิวสูง) แต่มีอายุเทียบเท่ากับมนุษย์ปกติ เจ็บได้ตายได้
เฮนโหล๊ 55555555 เรื่องมันจะแฟนตาซีไปไหม...
จริงๆจะใช้คำว่าฮันเตอร์แทนนักล่าด้วยนะแต่ช่างมัน T-T
สาบานว่าจาร์คไม่อันแฮปปี้ ถ้ามีคำผิดๆถูกๆคือยังคงงงๆศํพท์ที่ตั้งงขึ้นมาใช้เอง แป่ว
ทุกๆอย่างที่สงสัยจะถูกเฉลยๆในตอนต่อๆไปเรื่อยๆนะคะ
หวังว่าทุกคนจะชอบและติดตามนะคะ ฝากคอมเม้น TvT พลีสสส & สกรีมแท็กก
เพื่อดูว่ามีคนอ่านไหมจะได้แต่งต่อเรื่อยๆก่อนที่พล็อตมันจะดับ .....
Tag: #ฟิคยบ99
’ cactus
ความคิดเห็น