ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    GOT7 | 99% PERCENT | #YUGBAM #JARK #BNIOR (END)

    ลำดับตอนที่ #1 : PERCENT: 00%

    • อัปเดตล่าสุด 3 ส.ค. 58






    PERCENT: 00%

     

     




     

    ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตหลายๆเผ่าพันธุ์คุณเคยตั้งคำถามกับตัวเองใหม่ว่าโลกใบนี้ยิ่งใหญ่ขนาดไหนหรือมันมีขนาดเท่าไหร่ถ้าเทียบกับจักรวาล มนุษย์มักมีมุมมองแปลกๆให้น่าขันอยู่เสมอตั้งแต่ยกย่องตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดีที่สุดในจักรวาลไปจนถึงจำกัดความเป็นมนุษย์ด้วยกันเองโดยใช้ “เงินตรา” เป็นการจำกัดชนชั้น เหยียดสีผิว เหยียดเพศ ไปจนถึงเรื่องยิบย่อย สุดท้ายสิ่งมีชีวิตที่ประกาศตัวเองว่าฉลาดที่สุดในจักรวาลก็รบราฆ่าฟันกันเองเพียงแค่ต้องการจะเป็นใหญ่ ยอมแลกล้านๆชีวิตเพื่อชัยชนะ แต่มนุษย์หน้าโง่ทั้งหลายคงไม่รู้ว่าในโลกใบกลมๆ จักรวาลที่กว้างใหญ่ตัวเองเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่หรืออยู่มานานที่สุดในจักรวาลนี้หรอก มีบางสิ่งที่อยู่เคียงข้างมานับพันๆปี

     

    “ยูคยอมนายไม่ควรออกมาในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงแบบนี้นะถ้าไม่จำเป็น”

     

    ยูคยอมหันขวับไปตามต้นเสียง ใบหน้าหล่อยกยิ้มมุมปากมองพี่ชายตัวเองที่กำลังนั่งกัดกินแอปเปิลสีแดงสดราวกับสีของเลือดอยู่บนแท่นสุสานของใครสักคนที่ไม่มีลมหายใจแล้ว ร่างสูงเดินเข้าไปใกล้ๆกอดคอด้วยใบหน้ากวนๆ

     

    “ทีพี่ยังออกมาเลยแล้วทำไมผมจะออกมาบ้างไม่ได้”

     

     

    ยูคยอมตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆแล้วจ้องมองพี่ชายที่กำลังกัดกินแอปเปิลในมืออย่างเอร็ดอร่อย มาร์คกินมันจนเหลือแต่แกนก่อนจะโยนทิ้งลงบนพื้นหญ้ายกมือขึ้นผลักหัวยูคยอมที่นั่งข้างๆ เสียงหัวเราะร่ายิ่งทำให้คนเป็นพี่หมั่นไส้อยากจะเอาแอปเปิลที่เหลือในกระเป๋าเสื้อยัดปากให้หยุดหัวเราะ

     

    “นายไม่เหมือนฉันซะหน่อย ถ้านายไม่อยากมีข้อผูกมัดที่แสนน่าอึดอัดแบบฉันก็ควรจะอยู่ในโลกของเรานะสำหรับคืนแบบนี้” มาร์คอธิบายแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

     

    มีหลายคนสงสัยว่าพวกเขาเป็นอะไร ทั้งสองเป็น “แวมไพร์” และมีชื่อเรียกตามกลุ่มเผ่าพันธุ์ว่า “มิทที” (Misty) จริงๆเมื่อหลายพันปีก่อนแวมไพร์ไม่ได้มีการแบ่งชนชั้นวรรณะกันเหมือนมนุษย์ ทุกคนจะถูกเรียกว่าแวมไพร์เหมือนในวรรณกรรมหรือหนังปกติที่ทุกคนเคยรู้และอ่านมา แต่หลังจากที่ยุครุ่งเรื่องของแวมไพร์สิ้นสุดลง การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มากขึ้นจำนวนการตายของแวมไพร์อยู่ในจุดสูงสุดจนต้องแต่งตั้งหัวหน้าผู้ดูแล รวมไปถึงองครักษ์

     

    เมื่อมีการแต่งตั้งอำนาจเกิดขึ้นย่อมมีการแข่งขันและแย่งชิง บรรพบุรุษของพวกเขาต่อสู้กันเพื่อต้องการเป็นหัวหน้าและนั่นก็เป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลงโลกแวมไพร์ปั่นป่วนจนแยกออกเป็นสองกลุ่ม มีมีแวมไพร์หลายคนละเมิดกฎที่เคยตั้งไว้ ฆ่ามนุษย์ด้วยคมเขี้ยวกัดกินเลือดและพัฒนาไปจนถึงทำให้มนุษย์กลายพันธุ์ และไม่นานเผ่าพันธุ์นั้นก็แพร่ขยายเป็นอีกโลกหนึ่งเคียงข้างเป็นโลกที่สามเรียกว่า “เมิร์ค” (Murk) การตายจากของหัวหน้าเผ่า ผ่านไปหลายพันปีแต่เมิร์คก็ยังมีผู้สืบทอดเรื่อยๆไม่ต่างจากมิทที ทุกอย่างไม่อาจพูดว่ามันคือโชคชะตาแต่บางอย่างโชคชะตาก็กำหนดขึ้นมาแล้ว

     

    ยูคยอม แวมไพร์อายุ287ปี ที่เกิดในคืนพระจันทร์เต็มดวง สีขาวนวลของแสงจันทร์มอบพลังอำนาจให้กับแวมไพร์ที่เกิดในวันนี้ ยูคยอมเกิดมามีตาสีแดงเหมือนเลือดและเมื่ออายุไม่กี่สิบปีผมก็งอกยาวขึ้นมาเป็นสีแดงเหมือนสีตาและมันจางลงเรื่อยๆตามอายุที่เพิ่มขึ้นจนตอนนี้ออกแนวสีชมพูจางๆ ยูคยอมอ่านจิตใจมนุษย์ได้และมีพละกำลังมากกว่าแวมไพร์ในเผ่าพันธุ์เดียวกันหลายเท่าถ้าเทียบกับมาร์ค

     

    “มาร์ค”  เป็นพี่น้องพ่อเดียวกันแต่คนละแม่กับยูคยอม มาร์คเป็นครึ่งแวมไพร์ครึ่งยมทูต นั่นเป็นเหตุผลที่มาร์คชอบกินแอปเปิลยิ่งกว่าเลือด มีความสามารถด้านการต่อสู้ถ้าเทียบกับยูคยอมน้อยกว่ามากอาจะเพราะมาร์คเป็นพวกเลือดผสม เขาสามารถหายตัวได้ วิ่งเร็ว เป็นความสามารถขั้นต่ำๆที่แวมไพร์คนไหนก็มี แต่นอกเหนือจากนั้นมาร์คยังมีอะไรบางอย่างที่ได้มาจากแม่เงาดำมืดที่อยู่เบื้องหลัง เพราะยมทูตคือผู้นำวิญญาณฉุดดึงรั้งสิ่งชั่วร้ายลงสู่นรก กลืนกินวิญญาณและสามารถรู้ล่วงหน้าการตายของมนุษย์ได้สามวันแต่มาร์คไม่มี เขาทำได้เพียงแค่สูบวิญญาณไม่ว่าจะมนุษย์หรือแวมไพร์มาร์คก็สามารถทำได้ แต่พลังที่มีอยู่ยังไม่ถึงขั้นนั้น

     

     

    “ก็ใครใช้ให้พี่หน้ามืดกระหายเลือดจนเผลอไปกัดคอลูกครอบครัวนักล่า แม่งโคตรตลก พี่รู้ไหมว่ามันขำจริงๆที่ไอ้มนุษย์นั่นก็ยอมพี่เพราะมันตกหลุมระ...”

     

    “หุบปากเลยยูคยอม”

     

    มาร์คตะคอกเสียงดังขว้างแอปเปิลในมือใส่น้องชายแต่ยูคยอมรับทันก่อนชูมันขึ้นเพื่อกวนประสาทพี่ชาย จริงๆเรื่องที่พวกเขาพูดกันมันคือการกินเลือดคนครั้งแรกเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น คล้ายๆจูบแรกเมื่อมีความรัก พวกมิททีจะกระหายเลือดมนุษย์มากในคืนพระจันทร์เต็มดวงจึงมีกฎข้อห้ามไม่ให้ออกมาโลกมนุษย์ในวันนี้ถึงออกได้ก็ห้ามออกนอกสุสานเป็นอันขาด เพราะโลกของแวมไพร์กับมนุษย์เชื่อมกันอยู่ระหว่างสุสานฝังศพของคนตายที่ห่างจากเมืองหลวงไม่กี่กิโล

     

    แวมไพร์จะไม่ดูดเลือดคนที่ไม่เต็มใจมันเป็นคำสาปอย่างหนึ่งว่าห้ามดูดเลือดมนุษย์ที่ไม่เต็มใจโดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยน เมื่อโดนดูดเลือดถ้าแข็งแรงก็จะเป็นแวมไพร์ชั้นล่างต่อไปแต่ถ้าไม่ก็หมดลมหายใจทันที ส่วนข้อแลกเปลี่ยนที่ว่าคือการขายเลือดแลกกับเงิน เป็นสัญญาที่นักล่าเคยทำร่วมกันกับแวมไพร์ในยามสงบศึกเมื่อหลายพันปีก่อนตอนสงคราม มียาบางอย่างที่ถูกปรุงขึ้นมาถ้ากินเข้าไปถึงโดนกัดก็จะไม่ตายแถมยังได้เงินใช้ฟรีๆ ตอนนี้มีมนุษย์บางคนที่รู้ว่าไม่ได้มีแค่พวกเขายอมขายเลือดเพื่อที่จะมีเงินใช้แต่ถ้าปากมากยาตัวนั้นจะกัดกินประสาททำให้มนุษย์เป็นบ้า

     

    “เลือดมนุษย์นักล่าอร่อยใช่ไหมล่ะ ผมรู้นะว่าพี่กินมันหลายครั้งแล้ว”

     

    ยูคยอมพูดไปยิ้มไปเพราะเขาอยู่ใกล้ๆมาร์คตลอดเวลา แจ็คสันหวังครอบครัวนักล่าแวมไพร์ถูกมาร์คกัดคอที่หอพักเมื่อปีก่อน ตลกดีที่มนุษย์คนแรกของแวมไพร์จะไม่ตายเมื่อโดนดูดเลือดโดยไม่กินยาเพราะมันคือคำสาปของแวมไพร์ที่เข้าสู่วัยรุ่น

     

    “มนุษย์คนแรกคือโชคชะตาที่ถูกขีดไว้ จะสามารถสัมผัสถึงกันและกันได้แม้อยู่ไกลกัน”

     

    นั่นคือสิ่งที่ทั้งคู่ได้ยินมาตั้งแต่เกิด กลายเป็นตอนนี้ไม่ว่าแจ็คสันจะทำอะไรมาร์คก็สัมผัสถึงได้เกือบหมดและคิดว่าแจ็คสันก็คงสัมผัสได้ถึงเขาเหมือนกันแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะครึ่งหนึ่งที่อยู่ในร่างมาร์คมันคือเงาดำที่แม้กระทั่งพ่อของมาร์คก็ยังสัมผัสมันไม่ได้แค่รับรู้ได้ว่ามันมีอยู่

     

    “อย่าอ่านใจชาวบ้านมั่วๆได้ไหมยูคยอม ไม่มีมารยาทเลยเจ้าเด็กนี่”

     

    มาร์คบ่นพลางมองจันทร์ที่กำลังจะเต็มดวงเต็มที่ เขี้ยวที่ถูกเก็บไว้งอกออกมาจนมาร์ครู้สึกได้และรู้สึกไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ถ้าเขายังนั่งคุยกันอยู่ที่นี่ เพราะไม่แน่อาจจะมีมนุษย์สักคนเดินผ่านเข้ามาและกลายเป็นอาหารชั้นเลิศในยามนี้

     

    “ไปกันได้แล้ว ฉันว่าถ้านานกว่านี้เราอาจจะต้องออกไปกัดคอใครแน่ๆ”

     

    ยูคยอมพยักหน้าเห็นด้วยแล้วหายตัวเข้าไปในความมืด

     
     

     


     

     

    “พวกแวมไพร์จะดูดเลือกมนุษย์ทุกคนที่เผลอสบตาและมันยังมีจริงๆปะปนอยู่กับเราเพียงแต่เราไม่รู้ ...ทำไมน่ากลัวจัง” เด็กหนุ่มพึมพำ

     

    แบมแบมวางหนังสือที่เพิ่งยืมมาจากเพื่อนในห้องลงบนชั้นวางข้างหัวเตียง ปิดโคมไฟแล้วกลับมานอนลงบนที่นอน ใบหน้าน่ารักกำลังประมวลสิ่งที่เพิ่งอ่านจบเมื่อคู่ คิ้วขมวดเมื่อคิดว่าแวมไพร์จะปะปนอยู่กับมนุษย์ได้ยังไงในเมื่อตอนนี้มันคือปี 2015 เทคโนโลยีก้าวไกลไปถึงไหน แถมองค์กรนาซ่ายังสำรวจดาวเคราะห์เกือบจะทุกดวงในจักวาลแล้ว ถ้าไม่ติดประโยคที่ทิ้งท้ายไว้ในหนังสือที่อ่านเมื่อหลายวันก่อน “นรกอยู่แถวใดแถวหนึ่งของจักรวาลที่นาซ่าไม่มีวันหาเจอ” ก็คงจะคล้ายๆกัน

     

    เพราะเป็นคนชอบอะไรที่มันเหนือธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ลึกลับ ผีสางไปจนถึงเรื่องบ้าๆบอๆ แบมแบมก็จะตะบี้ตะบั้นค้นหามาอ่านจนหายข้องใจไม่งั้นคงจะนอนไม่หลับ

     

    แบมแบมเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่มาจากประเทศไทย เรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายปีที่สองถ้าเทียบกับโรงเรียนที่นี่ก็คือเกรดสิบเอ็ด อยู่หอพักใกล้ๆกับโรงเรียนโดยที่ค่าใช้จ่ายคือการทำงานแลกเปลี่ยนให้กับโรงเรียนเพื่อที่จะได้ที่อยู่ฟรีและเงินเดือนอีกเล็กน้อยพอใช้จ่าย โรงเรียนนานาชาติระดับสูงที่มีชื่อเรียกว่าว่า ”เซนต์ดิมิทรี“ (St.Dmitri) ก่อตั้งขึ้นโดยชายคนหนึ่งที่แบมแบมรู้จักแค่ว่าเขาใช้ชื่อแฝงว่า มิทรี คิม ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆเขาเป็นคนแบบไหนเพราะอายุโรงเรียนก็เป็นร้อยๆเกินปีเกินกว่าใครจะมาสงสัยว่าผู้ก่อตั้งคนแรกสำคัญยังไงกับโรงเรียนยกเว้นแบมแบม

     

    ความสงสัยทำให้ต้องไปหาหนังสือในห้องสมุดมาอ่านจนได้เจอคำตอบดีๆ ว่า มิทรีคิม มีชื่อจริงๆว่า คิม มินจุน เป็นคนก่อตั้งเมื่อร้อยปีก่อนราวๆสัก 100 ปีเศษ มันเป็นโรงเรียนสำหรับตระกูลชนชั้นสูงในสมัยนั้นและใครที่จะเข้าเรียนที่นี่ต้องการตรวจสอบอาชีพทางบ้าน ซึ่งแบมแบมคิดว่าอาจเพราะต้องการดูว่าคนนี้รวยหรือไม่รวยเหมือนวัดชนชั้นจากอาชีพ ฐานะเป็นตัวบ่งบอกแม้จะผ่านมาร้อยปีแต่วัฒนธรรมเหล่านั้นไม่ได้หายไปตามกาลเวลา

     

    โรงเรียนทันสมัยขึ้น เทคโนโลยีครอบคลุมก็จริงแต่นักเรียนบางคนยังเอาแต่อวดกันเรื่องความรวยไม่จบไม่สิ้น ตัวเขาเองแทบจะเป็นแกะดำในหมู่ลูกคุณหนูหลายๆคน แต่หนึ่งในนั้นก็ยังมีคนหลายคนที่นิสัยดีๆ เซนต์ดิมิทรีเป็นโรงเรียนอยู่ห่างจากตัวเมืองไม่ไกลเท่าไหร่แต่มันค่อนข้างที่จะใกล้สุสานฝังศพของผู้ก่อตั้งหลายๆรุ่น ที่นั่นดูวังเวง เงียบสงบและมีบรรยากาศชวนสยองเหมือนในหนังผี

     

    นอกจากจะรู้จักผู้ก่อตั้งเซนต์ดิมิทรีเขายังรู้ว่ามิทรีคิม มีลูกชายสองคนในนั้นไม่ได้บอกประวัติอะไรมากมาย นอกจากว่ามีลูกชายและภรรยาเสียชีวิตแล้ว แต่ที่แบมแบมแบมยังจำได้ติดตาก็คงเป็นลูกชายทั้งสองคนที่เห็นในรูปมันเลือนรางเพราะความเก่าแต่เขารู้สึกคุ้นๆเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อนโดยเฉพาะลูกชายคนเล็กที่ดูแล้วตอนนี้คงแก่น่าดูไม่ก็คงตายไปแล้ว แต่มันไม่มีชื่อบอกไว้ว่าลูกชายของมิทรีคิมชื่ออะไร

     

    แบมแบมไม่มีเพื่อนสนิทแต่พอมีรุ่นพี่ที่พอจะพึ่งพาได้อยู่เกรดสิบสอง อิมแจบอม เป็นประธานของหอนี้ที่เขาอยู่และยังเป็นคุณชายนิสัยไม่เหมือนคนอื่นๆ ดูง่ายๆสบายๆแถมยังใจดี แจบอมชอบซื้อของมาฝากเขาบ่อยๆ และมันก็ราคาแพงไม่ใช่เล่น พอปฏิเสธอีกคนก็จะดุใส่พร้อมกับบ่นว่าเขากินรามยอนจนตัวแห้งหมดแล้ว

     

    แต่ถึงแบบนั้นแจบอมสำหรับแบมแบมก็ดูลึกลับอยู่ดี เหมือนเป็นคนหลายบุคลิกจนน่าตกใจ ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรืออ่านหนังสือแฟนตาซีมากไปเพราะบางครั้งก็เห็นเงาดำๆออกมาจากตัวแจบอม มันชวนอึดอัด อยากอาเจียน ปลกคลุมเหมือนกลุ่มเมฆหมอกในยามที่ฝนตก

     

     

    “เฮ้อ...เลิกคิดบ้าบอซะทีแบมแบม ผีบ้าบออะไรกัน” ร่างเล็กพูดกับตัวเองก่อนจะปิดเปลือกตาลงเพื่อเข้าสู่นิทรา

     

     

    ใครจะไปรู้ว่ามนุษย์มีโชคชะตาบางอย่างที่ทำให้บางคนพยายามขวนขวายหาคำตอบให้กับมัน

    และคำตอบนั้นกำลังจะเดินทางมาหาแบมแบมอีกไม่นานเกินรอ

     

     

     

     






     

    อธิบายเพื่อความเข้าใจ

    มิทที (Misty) เผ่าพันธุ์หนึ่งของแวมไพร์ดูดเลือดมนุษย์ที่เต็มใจ(บางก็ไม่เต็มใจ) ตามข้อสัญญา

    เมิร์ค (Murk) เผ่าพันธุ์หนึ่งของแวมไพร์แยกออกไปหลังสงครามระหว่างแวมไพร์กับนักล่าแวมไพร์จบสิ้น

    เซนต์ดิมิทรี (St.Dmitri) โรงเรียนที่สร้างขึ้นโดยเผ่าแวมไพร์มิททีเมื่อร้อยปีก่อน พ่อยูคยอมเป็นคนสร้าง มิทรี คิม (คิม มินจุน)
     

    PS.ชื่อในเรื่องทุกอย่างเป็นเรื่องสมมุติทั้งหมดไม่ได้มีอยู่ในหนังสือหรือตำราเล่มไหนนะคะ


    talk  
    ขอฝากฟิคยูคแบมเรื่องใหม่ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วย ยูคไม่แน้มนะคะ 
    ไม่ใส ..........  ไ่ม่เม้นท์ก็ช่วยสกรีมหน่อยน๊าาา TvT 

    tagfic : #ฟิคยบ99  

     

     


    ’ cactus
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×