คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : บทสิบ // ชีวิตมันต้องมีวันดับสูญสินะ ?
เอกสารสีครีมจำนวนหนึ่งถูกวางลงบนโต๊ะทำงานของนายน้อยประจำตระกูล เด็กชายอายุ18 มองเอกสารบนโต๊ะเเล้วเงยหน้าไปยังสาวใช้ที่ทำหน้ายิ้มๆ
"อายุท่านถึงเกณท์ต้องมีคู่หมั้นเเล้วนะค่ะ"
".......คู่หมั้น?"
เด็กชายทวนคำเเล้วหันไปหยิบเเก้วชามันยกมันขึ้นดื่ม สายตาสีเเดงมองเอกสารที่มีรูปเเละประวัติของหญิงสาวตระกูลใหญ่ๆมากมาย เด็กชายหันไปหยิบมันขึ้นมาดู
"คนเเรกนะค่ะ ชื่อ อพิสรา สกลทิพย์ เป็นลูกของตระกูลตระกูลทิพย์ที่เป็นพ่อค้าใต้ดินนะค่ะ เป็นคนที่นิสัยดีเเละชื่นชอบการฆ่าคนที่สุด...."
ปุบ....! วิ้ว ....
ไม่ทันที่หญิงสาวจะพูดจบ เสียงของเอกสารปึกใหญ่กระเเทกกับโต๊ะเเละปลิวว่อนกระจายทั่วบริเวณโต๊ะก็ดังขึ้น เด็กชายโยนเอกสารนั้นทิ้งลงกับโต๊ะเสียงดังเหมือนจงใจ ดวงตาเหยียดๆมองไปยังกองเอกสารเเล้วเด็กชายก็หมุนเก้าอี้หันเบาะหลังให้สาวใช้ไม่สนใจไยดี
"ไร้สาระ..."
เด็กชายเอ่ยขึ้นมาเสียงเเผ่ว สาวใช้ก้มหน้านิ่งเเล้วก้มลงไปหยิบรวบรวมเอกสารก่อนจะวางมันลงกับโต๊ะ
"ท่านอ่านซักนิดเถอะค่ะ อย่างน้อยก็ให้ท่านรู้จักสตรีอื่นนอกจากดิฉันบ้าง"
"ผมไม่อยากรู้จัก ผมอยากรู้จักเเค่พี่คนเดียว พี่คนเดียวที่ยอมรับผม...ผมรักพี่เเค่คนเดียว"
เด็กชายพูดขึ้นมาเสียงเเผ่วพึมพำเเทบไม่ได้ยิน หญิงสาวมองเบาะใหญ่ด้วยสีนห้านิ่งเเล้วเสียงเเผ่วเบาก็ดังขึ้นจากเรียวปากบางของหญิงสาว
"นายน้อยค่ะ ลืมรึเปล่าค่ะว่าดิฉันอายุ 34 ปี? "
"ผมรักพี่....พี่ครับเป็นคู่หมั้นกับผมได้รึเปล่า..."
เด็กชายพึมพำ....
หัวใจของหญิงสาวที่ขาดความรักไม่เนินนานเต้นรัว.....คู่หมั้นกับบุคคลที่อายุมากถึง16นี่น่ะเหรอ?
"เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ"
หญิงสาวพูดขึ้นมาเสียงเเผ่ว เด็กชายหันเบาะกลับมาที่เธออีกครั้ง เด็กชายถอนหายใจเเล้วถอดใจเรื่องจะให้พี่สาวที่เขารักมาเป็นคู่หมั้นเพราะนึกได้ว่าเธอเคยเเต่งงานไปเเล้วสามครั้งเเล้วยังมีลูกเลี้ยงอีกสองคนในตัวเมือง
มือเล็กๆของเด็กชายเอื้อมไปสุ่มหยิบเอกสารมาหนึ่งเเผ่นด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ
"หืม......"
ระริน จินตวิรกรานต์.....
----------------------------------
ฉันคิดว่าฉันเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดในโลก.....ไม่เเก่...ไม่ตาย...
เเล้วยังไม่ได้เป็นมนุษย์ ฉันเป็นสิ่งมีชีวิตบนโลกที่อาศัยด้วยหยาดโลหิตสีเเดงที่ไหลเวียนในร่างกายมนุษย์
ใช่...ฉันเป็นเเวมไพร์
มีคนเคยบอกฉันว่า "เธอนี่โชดดีจริงๆไม่เเก่ไม่ตายเเล้วยังได้เห็นสีสันทั้งหมดบนโลกด้วย ฉันอิจฉาเธอจริงๆ" เป็นคำพูดของอสูรเผ่าๆหนึ่งซึ่งฉันจำไม่ได้เเล้วว่ามันเป็นใครเพราะมันผ่านมาเนิ่นนานน่าจะสามร้อยปีได้เเล้ว....
ไม่มีวันตาย เเต่ก็ต้องเห็นความตายของคนที่เรารักนะเหรอ?.....
ฉันไม่อยากได้มันหรอก.....
"นี่ นาคินทร์ เธอรู้ใช่ไหมว่าฉันไม่มีวันตาย?"
"รู้ครับ"
"ฉันทนไม่ได้หรอกนะที่จะต้องเห็นเธอตายไปน่ะ..."
".......อืม คินรู้"
"รู้อย่างนี้นายยังรักฉันอยู่ใช่ไหม"
"ครับ ผมรักเอวานะครับ"
ชายหนุ่มพูดเเล้วโอบกอดร่างของเเวมไพร์สาว ใบหน้าของเอวาซบกับไหล่ของชายหนุ่มจนสายตาไปพบกับรอยสีเเดงตรงบริเวณคอชายหนุ่ม หญิงสาวยิ้มบางๆเเล้วผละออกมาเมื่อชายหนุ่มขยับตัวหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง นาคินทร์ยิ้มหวานเเล้วมองดวงตาสีเเดงของเอวา
"ผมว่ามันน่าจะเหมาะกับคุณนะครับ..."
สร้อยคอสีฟ้าครามมีจี้ข้าวหลามตัดสีความารีนถูกสวมเข้าที่คอของหญิงสาว สีฟ้าของมันตัดกับผิวสีขาวซีดของหญิงสาวชัดเจน หญิงสาวมองมันที่ถูกสวมเข้าที่คอเเล้วยิ้มหวานให้เเฟนหนุ่ม
"นาคินทร์มันเเพงมากใช่ไหมค่ะ?"
".....อืม" นาคินทร์ยิ้มเจื่อๆเเล้วพยักหน้ารับด้วยสีหน้าอายๆ
"น่ารักจริงๆด้วยสิ"
เอวาพูดเสียงเเผ่วขณะลูบมันวาวของสร้อย เธอหันมาโอบกอดชายหนุ่มอีกครั้งเเล้วพลันเสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัด
"นาคินทร์ นาคินทร์ ! มาหาย่าหน่อย"
"อ๊ะ.... ฉันต้องไปเเล้วล่ะ"
เสียงย่าของนาคินทร์ดังขึ้นจากตัวบ้านใหญ่หรู ซึ่งพวกเขายืนอยู่ตรงหน้าบ้าน หญิงสาวเขย่งร่างไปหอมเเก้มชายหนุ่มเบาๆก่อนที่ปีกค้างคาวก็กางออกเเล้วค่อยๆเหินเวหาหายไปกับท้องฟ้ายามค่ำคืน
"เมื่อกี้คุยอยู่กับใครเหรอ นาคินทร์"
"อ่า....โทรศัพย์ครับ"ชายหนุ่มยิ้มเจื่อๆให้ย่าที่เดินถือไม้เท้าออกมาหาถึงหน้าบ้าน มือหนาหยิบมือถือมาให้ผู้เป็นย่าดู
"ดีเเล้ว นึกว่าเป็นอีนังนั่น"
ย่าพูดเสียงประชดก่อนจะถือไม้เท้าเดินเข้าไปในบ้าน นาคินทร์ยิ้มเเล้วหันไปมองดวงตาสีเเดงสดที่กำลังสว่างอยู่บริเวณยอดต้นหางนกยูงใหญ่หน้าบ้านก่อนมันจะบินหายไปกลืนหายไปกับท้องฟ้า นาคินทร์ยิ้มให้กับเเฟนสาวที่บินจากไปเเล้วบางๆ
"ฉันรักเธอนะ เอวา"
--------------------
"ว่าเเต่ คุณย่ามีอะไรรึเปล่าครับ...?"
นาคินทร์พูดกับย่าตัวเองเบาๆขณะรินน้ำชาใส่ถ้วยหยกสีขุ่นเเล้วหันไปหยิบรีโมทไปเปิดทีวีฟังเพลง
"ฉันอยากให้นายเเต่งงานกับลูกของเจ้าสัวร้านทองที่เยาวราชคนหนึ่ง"
"หะ!!!!!!"
ชายหนุ่มตาโต ร่างของเขาสั่นไปทั้งร่าง จะได้ยังไงล่ะในเมื่อเค้ามีเเฟนอยู่เเล้ว นาคินทร์มองไปยังย่าของตัวเองก่อนจะหลบสายตาเมื่อพบกับสายตาเเข็งกร้าวของผู้เป็นย่า
"เเต่ย่า ผมมีเเฟนเเล้ว"
"อีนังร่านนั่นใช่ไหมล่ะ?"
"ย่า!!"
นาคินทร์ตะคอกเสียงดัง ผู้เป็นย่าเงยหน้ามาสบตากับชายหนุ่มจนชายหน่มถึงกับหงอยไปทันที นาคินทร์เปิดปากพูดเสียงดังเเข็งกับย่าตัวเอง
"ย่า เเฟนผมนะ ไม่ใช่โสเภณีที่ไหน ผมรักเธอทำไมเหรอ เพราะเอวาเค้าใส่เสื้อเเบบนั้น ย่าก็เหมาว่าเธอเป็นคนร่านงั้นเหรอ เเล้วก็นะ ย่าครับ ผมไม่เเต่ง!!!!"
"เเกต้องเเต่ง! เเกลองคิดดูนะระหว่างคนที่ย่าไม่รู้จักเเม้เเต่ทางบ้านกับลูกเจ้าสัวร้านขายทองที่สามารถทำให้เรามีเงินใช้ไปตลอดชีวิต จะเลอกอะไร"
"ย่าครับ! ย่าคิดเเค่ว่าอยากได้เงินงั้นเหรอ! ผมกับเอวาเป็นเเฟนกับมาก็สามปีเเล้ว ผมไม่มีทางหักอกเธอได้หรอก!"
"ก็ทำให้ย่ารู้สิว่าเธอมีคุณสมบัติพอ!"
"ได้! ผมจะทำให้ดู"
ชายหนุ่มเขวี้นงรีโมทสีโต๊ะจนมันเเตกกระจายเป็นชิ้นๆ ย่ามองซากรีโมทเเละนาคินทร์ที่เดินหนีไปบนบันไดอย่างเงียบๆ
เมื่อชายหนุ่มเดินออกไปจากสายตาเเละมั่นใจเเล้วว่าจะไม่ได้ยินเสียงของหญิงชราเเล้ว ย่าของนาคินทร์ก็พูดขึ้นมา
"รักงั้นเหรอ...ฮึ....ไร้สาระ...."
ร่างของเเวมไพร์สาวในชุดเเม็กซี่เดรสปรากฏขึ้นกลางห้องนอนชายหน่มซึ่งเธอก็เเอบฟังเรื่องที่เกิดด้านล่างเเล้ว เเฟนหนุ่มของเอวากำลังนั่งอยู่บนเตียงขาทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนเตียง สีหน้าของเขาอมทุกข์เเต่คนที่ดูจะทุกข์กว่าก็คงเป็นเเวมไพร์สาว เอวาเดินไปเดินมารอบห้องนอนใหญ่อของนาคินทร์จนกระทั่งชายหนุ่มพูดขึ้นมา
"เธอได้ยินเเล้วใช่มั้ย"
"อืม"
"จะเอาไงต่อ?"
".......ไม่รู้ เเต่ฉันไม่อยากเลิก"
"ฉันรักเอวา..."นาคินทร์พูดเสียงเเผ่วเบา ชายหนุ่มคลี่ยิ้มฝืนๆให้หญิงสาว
"อืม ฉันก็รักนาคินทร์ เเต่....มัน"
หญิงสาวพูดไม่ทันจะจบเสียงทุบประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเเหบเเห้งของหญิงชราที่มีศักดิ์เป็นย่า
"อีนังโสเภณี เเกไสหัวมาจากห้องนอนของหลานข้าได้เเล้ว!!!" หญิงชราตะโกนผ่านเข้ามาในห้อง หญิงสาวเลิ่กลั่กทันทีจนกระทั่งหญิงสาวตัดสินใจกางปีกเเวมไพร์ออกมา
"นาคินทร์ อยากเป็นเหมือนเพลง เล่นของสูง ไหม?"
"เอ๋"
ชายหนุ่มตาโตเมื่อเห็นปีกค้างคาวของหญิงสาวกางขึ้นเเล้วพลันร่างของชายหนุ่มก็ถูกระชากเเรงเเละลอยออกไปนอกหน้าต่างเพราะเเรงของหญิงสาวที่อยู่ในร่างของเเวมไพร์เต็มตัว ซึ่งเวลาเดียวกับที่หญิงชรากระเเทกประตูจนบุกเข้ามาในห้องของนาคินทร์อีกทั้งยังเร็วพอที่จะเห็นร่างจริงของหญิงสาวได้ หญิงชรากรีดร้องลั่น
"ปีศาจจจจจจจจจจจจจจ!!!!!!"
.
..
..
.
คฤหาสน์หรูนอกตัวเมืองกรุงเทพมหานครที่เคยเงียบเหงาเพราะมีผู้อยู่อาศัยเเค่คนเดียวกลับมามีสีสันขึ้นมาอีกครั้งเมื่อหญิงสาวเจ้าของคฤหาสน์กลับมาพร้อมกับเเฟนหนุ่ม ปีกค้างคาวกลางหลังหยุดกระพื่บเเล้วร่อนลงตรงระเบียงกว้างหน้าห้องรับเเขก เมื่อเท้าของชายหนุ่มเเละหญิงสาวได้ตกถึงพื้น เสียงพูดคุยก็ดังขึ้น
"เป็นการบินที่ยาวนานจริงๆ...เนอะ"
เอวาปาดเหงื่อบริเวณใบหน้าออกเช่นเดียวกับชายหนุ่ม นาคินทร์หัวเราะขึ้นมาเบาๆจนหญิงสาวต้องหันไปมอง
"นั่นสินะ เอวาเธอคิดดีจัง"
"เหอะๆ"
หญิงสาวหัวเราะเเห้งๆให้ชายหนุ่มเเล้วหันไปเอากุญเเจมาเปิดประตูระเบียงเเล้วเดินเข้าไปในบ้านซึ่งชายหนุ่มก็เดินตามเข้ามาด้วยรอยยิ้มพลางคิดว่าไม่มีอะไรมาขวางเขาทั้งสองได้เเล้ว ชายหนุ่มเดินไปโอบกอดห
ญิงสาวจากด้านหลัง หญิงสาวหยุดกึกลงเเล้วเผยรอยยิ้ม
"เหมือนเราจะทำเรื่องเลวๆไปเลยเนอะ "
เอวาพูดติดตลกเเล้วหัวเราะพร้อมกับชายหนุ่มคลอไปกับเสียงเพลงคลาสสิกในห้อง ก่อนที่หญิงสาวจะหันกลับมาจับไหล่เเละมือชายหนุ่มเป็นท่าเต้นรำของคนตะวันตก เเวมไพร์ยิ้มจ้าเลห์ขณะมองไปยังดวงตาสีสนิมของชายหนุ่มเเล้วทั้งสองก็บรรจงเต้นรำกันในห้องรับเขกหรู เหมือนการเต้นรำครั้งนั้นจะยาวนานเหลือเกิน......
ความรักของทั้งสองที่เบิกบานเหมือนดอกกุหลาบสีเเดงที่สวยงามผ่านไปปีเเล้วปีเล่า...ตั่งเเต่ดอกกุหลาบนั้นเพิ่งเเตกหน่อ่นกระทั่งมันเหี่ยวเฉาร่วงโรย.....ร่วงโรยไปพร้อมกับชีวิติของนาคินทร์
มือเรียวยาวของหญิงสาวลูบไปยังมือหนาของชายชรา น้ำตาของเเวมไพร์สาวไหลออกมาอาบเเก้มทั้งสองข้างเมื่อเห็นบุคคลที่เธอรักหมดหัวใจกำลังจะจากไป นาคินทร์นอนอยู่บนเตียงในห้องนอนของหญิงสาวชายหนุ่มในอดีตตอนนี้กลับมีอายุถึง74ปีเเล้วอีกทั้งยังเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้ายตามอายุขัยของมนุษญ์ผิดกับหญิงสาวที่ยังดูเยาว์วัยเหมือนเธออายุเพียงสิบเเปดเเล้วยังไม่เป็นโรคใดๆทั้งสิ้น ดวงตาฝ้าฟางของชายชราจ้องมายังดวงตาสีเเดงสดของหญิงสาว
"เอ...วา "เสียงเเห้งของชายชราดังขึ้น
"ค่ะ..."เอวาตอบรับเสียงเศร้าเเล้วนำมือไปปาดน้ำตา
"เธอ...ร้องทำ...ไม" ชายชราพูดเสียงเเผ่ว หญิงสาวได้ยินดังนั้นก็ถึงกับน้ำตาไหลอาบเเก้มอีกครั้ง มือใหญ่เหี่ยวย่นของชายชราไปสัมผัสใบหน้าของเเฟนสาว เอวามองภาพเบื้องหน้าเเล้วหลับตาลง หญิงสาวสัมผัสมือนั้นอย่างนุ่มนวลเเต่เพียงชั่ววูบมือนั้นก็กระตุกเกร็งจับข้อมือเธอเเน่น หญิงสาวลืมตาขึ้นทันทีมองไปยังนาคินทร์ที่กำลังสำลักเลือกเพราะโรค
โขลก โขลก โขลก เเค่กๆๆๆ
ชายชราไอยาวนานเสียจนน่ากลัว เเล้วริมฝีปากเเห้งเหี่ยวของนาคินทร์ก็พยายามจะพูดอะไรบางอย่างกับเเฟนสาวเเต่เสียงกลับเเหบเเห้งเกินกว่าจะได้ยิน เอวายิ้มกว้างเพื่อยอมรับควงามจริงว่าเเฟนของเธอกำลังจะจากไปเเล้ว เธอยิ้มให้กับความตายของคนที่รักเพื่อความสุขในช่วงชีวิตสุดท้ายของเเฟนหนุ่ม
"เอวา ฉันรักเธอ"
สิ้นคำลมหายใจสุดท้ายของชายชราก็ดับไป....
"นาคินทร์ ฮือ นาคินทร์ นาคินทร์!!!!!!"
เสียงกรีดร้องของเเวมไพร์สาวดังลั่นไปทั่วคฤหาสน์หรู ความเจ็บปวดรวดร้าวราวกับดวงวิญญาณพังทลายเสียดเเทงหัวใจอันบอบช้ำของหญิงสาวจนเธอทรมาณจนเกือบทนไม่ไหว เเม้ใจอยากจะ"ตาย"ตามคนที่เธอรักไปเเต่เธอก็ไม่อาจทำได้ เพราะสถานะทางเผ่าพันธุ์ เขาเป็นมนุษย์ที่ต้องตายตามอายุขัย เธอเป็นปีศาจที่ไม่มีวันตาย น้ำตาของเเวมไพร์สาวไหลอาบเเก้มสองข้างจนดวงตาสีเเดงเเดงก่ำมากกว่าเดิม เธอร้องไห้กับการจากไปของคนทีรักอยู่เป็นเวลาเกือบหนึ่งวันเต็มเเล้วศพของนาคินทร์ก็ถูกนำไปฝังไว้ที่เกาะส่วนตัวในทะเลภาคใต้ที่ไม่มีใครเคยรู้จักมาก่อนของเธอเอง
"วันนี้ฉันก็มาเหมือนเดิมนะค่ะ นาคินทร์"
เสียงเศร้าของเเวมไพร์สาวดังขึ้นพร้อมช่อดอกกุหลาบขาวที่วางหน้าหลุมศพของเเฟนหนุ่ม หยิงสาวมองไปยังท้องทะเลเบื้องหน้าอย่างเศร้าๆหลุมศพของนาคินทร์ถูกวางไปตรงบริเวณหน้าผาที่เป็นทางลมผ่านเเล้ะยังสามารถมองเห็นทะเลกว้างใหญ่ได้ หญิงสาวยิ้มบางๆเเล้วยืนเคารพหลุมศพอยู่สักพักก่อนที่เธอจะค่อยเดินกลับ
"สวัสดีค่ะ ดิฉันมาจากคฤหาสน์กรนทิวาคุณค่ะ...."
"...เอ๊ะ"
เอวาสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นร่างของเมดสาวที่กำลังยืนดักทางออกอยู่ เเวมไพร์สาวตาโตเพราะในที่เเบบนี้เป็นที่ลับที่เธอรู้ยงคนเดียวเเม้ว่าจะท้องทะเลก็ไม่อาจหน้าผานี้ได้ เเวมไพร์สาวมองหน้าเมดอย่างอึ้งเเล้วมองซองจดหมายที่ยื่นมาเธอยื่นทือไปรับมันมาเเกะซองอ่าน
"ขอเชิญท่านไปที่คฤหาสน์ในนวันที่ 10 ตุลาคมนี้ด้วยค่ะ"
"...ทำไมฉันต้องไป"
"คุณอาจจะพบความตายที่คุณต้องการ...."
เมดสาวพุดขึ้นเเค่นั้นก็สะดุด เมื่อปีกค้างคาวโผล่มากลางหลังหญิงสาวใบหน้าเปื้อนยิ้มเกร็งของเอวาทำเอาเมดสาวเหงื่อตก
"ฉัน...จ.จะไป....."
"ค่ะ งั้นเชิญท่านมาตามคำสัญญานะค่ะ"
เมดสาวพูดจบก็หยิบอะไรบางอย่างมาจากกรเป๋ากระโปรงเเละหยิบมันขึ้นมาตรงไปที่สร้อยคอของนาคินทร์ที่เอวาใส่ติดตัวอยู่ตลอดเวลาจนมันเป็นรอยตราประทับตระกูลตรงเหลี่ยมมุมของจี้ข้าวหลามตัด
ความตาย คือสิ่งที่ฉันต้องการมากที่สุดในตอนนี้.....
*************
เธอไม่เคยเขียนในใบประวัติว่าเธอเเพ้ธาตุควอซ์เมื่อเอโดนเธอก็จะสามารถตายได้ ซึ่งสิ่งที่กำลังเเทงเข้ามาในตัวเธอเป็นสิ่งที่ทำมาจากธาตุนั้น ร่างกายของเอวาค่อยๆสลายไปเรื่อยๆลามจนเหมือนกับเเผลไฟไหม้ เลือดสีเเดงสดไหลออกมาจากดวงตาของเเวมไพร์สาวอาบเเก้มทั้งสองข้าง เเล้วจู่ๆไฟในห้องก็สว่างขึ้นจนหลายคนในห้องที่กลิ้งหลบเซนเดอเลียหันไปพบกับเธอที่กำลังทรมาณ
"อะ เอวา!!!"นาซิกตะโกนเสียงดังเเล้วทำท่าจะวิ่งเข้าไปช่วยเเต่ไม่ทันจะวิ่งมาดวงตาเเข็งกร้าวเเละทรมาณของเอวาจนทำให้เธอถึงกับสะอึกเเละไม่ว่งต่อ
"ฉัน รอ เวลานี้มา...เป็นพัน ๆปีเเล้ว อั่ก เพราะงั้น เธอ...อะ อย่ามาขวางวะเลยดีกว่า อั่ก "
เเวมไพร์เอ่ยขึ้นมาเบาๆขณะกำลังกระอักเลือด สายตาของเธอจ้องมองเเขนขวาของตนที่กำลังย่อยสลายเป็นผง
"เธอกำลังจะตาย...?"
"ฮึ เวลานี้เเหละที่ฉันอยากต้องการ อึก ความตาย น้ำตา ความเจ็บปวด อั่ก เเบบนี้เเหละ สิ่งที่ฉันตามหามานับพันปี เเฮ่ก เพราะงั้น นาซิกเธอช่วยเก็บสร้อยฉันไว้ให้ทีนะ มันเป็นสิ่งสำคัญ เป็นตัวเเทนความรักของฉัน อ่ะ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด"
เอวาพูดเสียงเเผ่วสั่งนาซิก เด็กสาวมองภาพเบื้องหน้าเเล้วได้เเต่พยักหน้ารับเพราะร่างกายของเเวมไพร์สาวเหลือเพียงเเค่ครึ่งร่างกายส่วนบนก่อนที่ใบหน้าเเละส่วนต่างๆจะค่อยๆย่อยสลายจนเกือบหมดเเล้วพลันร่างทั้งร่างของหญิงสาวก็หายไปเป็นผุยผงในทันที .....ยกเว้นเพียง สร้อยข้าวหลามตัด ของเธอ
เธอรักษามันจนวินาทีสุดท้าย...
น้ำตาของนาซิกไหลออกมาข้างเเก้ม เเต่จู่ๆเสียงหัวเราะเเหลมก็ดังขึ้นลั่น
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
วริณหัวเราะเสียงดังลั่น ทุกคนหันขวับกลับไปมองเด็กชายในอ้อมกอดของสาวใช้ เด็กชายกลอกตามองทุกคนในห้องโถงเเล้วค่อยพูดขึ้นมาเสียงสั่นราวกับระงับอารมณ์อันบ้าคลั่งของตนเอง
"ความรักงั้นเหรอ ความห่วงหางั้นเหรอ สิ่งสำคัญงั้นเหรอ มันเป็นเเค่สิ่งที่คนเราสร้างขึ้นมาไม่ใช่เหรอ ฮ่าๆๆๆ ไร้สาระ น่าขัน ตลก ตลกเสียจริงฮ่าๆๆๆๆ"
ทุกคนในห้องนั้นตะลึงไปชั่วขณะจนเสียงเปร่งๆของซินเซียดังขึ้นพร้อมกับเศษเซนเดอเลียหรูชิ้นใหญ่ที่ไปกระเเทกกับหัวของเด็กชายเต็มๆจนมันสามารถเรียกเลือดจากเด็กชายได้
"เเกไม่รู้จัก "ความรัก" ก็อย่ามาปากดี ไอเด็กโรคจิต"
"หึ เเน่ใจเหรอครับ?"
เด็กชายปาดเลือดที่ไหลมาจากหัวอย่างเยาะเย้ยเเล้วหันไปมองหน้าสาวใช้เชิงออกคำสั่ง หญิงสาวพยักหน้ารับน้อยๆก่อนจะเดินหายเข้าไปในม่านเเดงจนเหล่าตุ๊กตาที่เหลือที่บางคนเดินไปหยิบสร้อยของเอวาต้องร้องเรียกเสียงดังลั่นจังหวะเดียวกันกับที่ไคโตะวิ่งไปเปิดม่านออกเเต่ก็ไม่ทัน พวกผู้คุมเกมทั้งสองหายไปเเล้ว
"เอาเเล้วไงล่ะ"
นาซิกพูดขึ้นมาขณะกำสร้อยในมือเเน่น เธอมองไปรอบห้องอย่างหาทางออกเเต่ก็ไม่พบเหมือนทุกรั้งจนเห็นทาเวียที่กำลังเดินไปยังกระถางดอกไม้อันใหญ่ด้วยท่าทางสั่นเกร็งเพราะความเจ็บปวดที่เเขนที่ถูกตัดไปตั้งเเต่บริเวณข้อศอกลงไป
"เธอ...ชื่อทาเวียใช่ไหม?"
นาซิกเดินเข้าไปหาทาเวียเเล้วถามเสียงเเผ่ว
"ค...ค่ะ" เด็กสาวหันกลับมาตอบอย่างกลัว สีหน้าของเธอดูซีดเผือกกว่าทุกๆทีเพราะเสียเลือดระคนกับความกลัว
"จะดันกระถางนั้นเหรอ?"
"ค่ะ...."
"ฉันช่วย"
นาซิกพยักหน้าเเล้วผลักกระถางนั้นล้มลงกับพื้นเสียงดังโครมใหญ่เเล้วประตูเล็กที่พอให้คลานเข้าไปก็ปรากฏขึ้นสู่สายตาของเด็กสาวทั้งสอง นาซิกหันไปมองทกคนห้องเเล้วตะโกนขึ้นมา
"พี่ๆทึฃุกคน นาซิกกับทาเวียเจอทางที่คาดว่าเป็นทางออกเเล้วล่ะค่ะ"
ทุกคนได้ยินคำว่าทางออกก็วิ่งกันเข้ามามุงดูเเล้วก็เห็นประตูทางออกเล้กๆนั้น
"ต้องให้คนไปดุก่อนสินะ"
ซินเซียพูดเสียงเปร่งๆเพราะยังมึนที่ถูกถาดฟาดหัวไปไม่หายดี เธอหันขวับไปยิ้มให้คาโอรุหวานๆเเล้วกระชากเขามายืนหน้ากลุ่ม
"คา...โอ....รุ คุงงงงง ไปดูทางนี่ให้น้องหน่อยได้ไหมจ๊ะ"
น้ำเสียงหวานหยดย้อยของซินเซียดังขึ้นข้างหูคาโอรุเหมือนกับจะขอร้องเเต่มือเรียวที่กำลังบีบไหล่ของชายหนุ่มเเน่นนั้นเเตกต่างกันเหลือเกิน คาโอรุหันไปเหล่มองซินเซียเเละสายตาสงสารของไคโตะถึงกับหน้าซีดเเต่ก็ต้องย่อตัวลงเปิดประตูบานเล็กๆนั้นออกก่อนจะมุดเข้าไปเงียบๆ
"ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก"
เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นจากประตูบานเล็กนั้น......
-------------
คาโอรุ เธอ (หะ??)จะรอดไหมเน้อออออออออ :3
ติดตามกันต่อไป !!!!
ความคิดเห็น