คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5 พรเสวย
บทที่ 5
พรเสวย
คัลลัคพยายามท่องกับตัวเองว่า
อย่ามองลงไป
สถานที่สอบวัดพลังเวทนั้นคือ
ลานลอยฟ้าที่แขวนอยู่ระหว่างกิ่งหลักของมหาพฤกษา ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางเท่าสนามกีฬา
มันใหญ่จนไม่รู้สึกว่าอยู่สูง แต่การข้ามสะพานแขวนไปยังลานต่างหากที่ทรมานคัลลัค สุดท้ายเธอก็ไปนั่งหน้าซีดอยู่ในลานจนได้และพยายามหาอะไรทำเพื่อให้ไม่คิด
เรื่องที่ว่าใต้ลานแขวนนี้ไม่มีผืนดินมั่นคงรองรับอยู่
“ทำอะไรอยู่นั่นน่ะ” เป็นครั้งแรกที่มีผู้เข้าสอบหันมาสนใจคัลลัค
“เจ้าคือคนที่มีจดหมายใช่ไหม ข้าจำได้”
“คัลลัค” คัลลัคเบลอจนนึกว่าอีกฝ่ายถามชื่อ
“อ้อ เอ่อ... สวัสดีคัลลัค ข้าชื่อเพโลวี” อีกฝ่ายแนะนำตัวบ้าง
เธอเป็นเด็กสาวผมสีเทาแซมดำและมีดวงตาสีเทาพายุ “เพโลวี ลัตช์ เผ่าสมิงผี
พันธุ์เสือดาวหิมะ”
“แต่เจ้าดู... ” คัลลัคมองอีกฝ่ายหัวจรดเท้า “เป็นมนุษย์”
“นี่คือร่างจำแลงของข้า” เพโลวียิ้มรับ “น่ารักไหมล่ะ”
“อ..อื้ม” คัลลัคไม่กล้าตอบไปว่าน่ากลัว เพราะอีกฝ่ายตัวสูงกว่าเดธิเลียด้วยซ้ำ
อีกทั้งกล้ามเป็นมัด ๆ อย่างกับนักเพาะกาย
ไม่มีใครกล้าขัดใจเจ้าของกล้ามแบบนั้นแน่
บริเวณกลางลานมีช่องว่างซึ่งล็อกผลึกอำพันสีเหลืองอร่ามชิ้นใหญ่เท่าบ้านเอาไว้
เพโลวีผู้พล่ามไม่หยุดก็อธิบายว่ามันคืออำพันซึ่งเกิดจากยางไม้ของต้นเอิร์กร่า
มันจะดูดซับพลังเวทมนตร์ส่วนหนึ่งจากผู้ที่แตะต้องมัน
แล้วปรากฏการเปลี่ยนแปลงขึ้นเพื่อแสดงระดับพลังเวทให้เห็นได้
ซึ่งจะได้รับการตีความโดยครูผู้เชี่ยวชาญต่อไป
“ใครที่ถูกขานชื่อ ให้ก้าวออกมาและวางมือลงบนอำพัน” การสอบนี้มีครูมาคุมถึงสี่คน
เนื่องจากเข้ามาอยู่ในเขตโรงเรียนชั้นในแล้ว
ครูแต่ละคนมีหน้าที่ดูแลรายชื่อเด็กที่มาจากแต่ละทิศ
ผู้เข้าสอบที่ผ่านรอบสองมาเหมือนจะมีน้อย แต่นั่นเป็นเพียงผู้เข้าสอบจากประตูเมืองทิศเดียว
เมื่อมาถึงลานจึงได้รู้ว่าผู้เข้าสอบจากอีก 3 ทิศที่เหลือได้มาถึงก่อนแล้ว
อำพันวัดระดับก้อนนี้สูงจากพื้นเกือบห้าเมตร
แต่นั่นยังไม่รวมกับก้นของมันที่ถูกฝังไว้ใต้พื้นอีกครึ่งหนึ่ง
ความจริงเธอไม่ต้องขึ้นมาบนนี้ก็ได้เพราะเธอไม่ต้องสอบ
แต่เธอจะให้คนอื่นรู้ไม่ได้ว่าเธอกลัวความสูง นั่นอาจทำให้จดหมายเชิญนี้ถูกฉีกทิ้ง
คัลลัคไม่อยากเสี่ยง
“เพโลวี ลัตช์” ชื่อนั้นถูกประกาศเป็นชื่อแรก
คัลลัคจึงนั่งแข็งเป็นหินตามเดิมเมื่อไม่มีเพื่อน
กลัวทั้งความสูงและกลัวทั้งเดธิเลียที่นั่งอยู่ไม่ไกล
พวกรุ่นพี่ก็ไม่อยู่แล้วเพราะมีครูมาคุมแทน
“สวัสดี ข้าชื่อคัลลัค เจ้าชื่ออะไร” คัลลัคลองทักทายเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้าง
ๆ
“แฟเรล” อีกฝ่ายตอบอย่างไม่ใส่ใจ อีกทั้งมองตอบกลับมาด้วยสายตาเหยียดเต็มพิกัด
“ชื่อคล้ายเพื่อนเก่าข้าเลย นางชื่อเรสเทล เอล ๆ เหมือนกัน” คัลลัคพยายามจะชวนคุย
แต่ก็ไม่มีสกิลพูดไม่หยุดอย่างเพโลวี ความเชื่อมโยงจึงแทบติดลบ “เอ่อ...
ข้าชื่อคัลลัค ยินดีที่ได้รู้จัก”
เธอเผลอแนะนำตัวซ้ำ
“ข้าไม่ยินดี” แฟเรลตอบ ก่อนจะเมินเธอไป
“ได้เพื่อนใหม่ไวไปนะ” เพโลวีวิ่งกลับมา
การสอบของเธอผ่านด้วยการทำให้อำพันเปลี่ยนเป็นสีเขียวนิด ๆ ส่วนคัลลัคส่ายหน้าทันควัน
โบกไม้โบกมือว่าอย่าไปนับรวมว่าแฟเรลเป็นเพื่อนใหม่เธอเชียว
“สวัสดี ข้าเพโลวี” แต่สมิงสาวหาฟังไม่
“เหม็นสาบสัตว์” แฟเรลนิ่วหน้า ก่อนจะลุกหนีไปนั่งที่อื่น
“อะไรฟะ ไร้มารยาทที่สุด” เพโลวีแยกเขี้ยวใส่
“ซาร์ธีน เอเวนดรอส” เสียงครูประกาศเรียกรายชื่อถัดไป
“คิดว่านางจะมีพลังแค่ไหน” คัลลัคถาม
“องค์หญิงรึ ไม่รู้สิ แต่รู้สึกจะเป็นนักเรียนรับเชิญนี่ใช่ไหม” เพโลวีถามกลับ “ถ้าอยากอวดแต่พลังเวทน้อยละก็...
ข้าจะล้อนางยาว ๆ แน่”
ซาร์ธีนทาบมือลงไปบนอำพัน
สีของมันซีดลงและส่องแสงสีขาวบริสุทธิ์ สว่างขึ้นทีละน้อย ๆ จนไม่สามารถทนมองได้อีกต่อไป
เจ้าหญิงจึงชักมือกลับ ทว่าแสงนั้นยังคงสว่างนานนับนาที ก่อนที่มันจะจางหายไป
ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องกลืนน้ำลาย
มันแตกต่างกับระดับของคนเข้าสอบทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด
ต่อให้ไม่ต้องมีครูมาตีความให้ก็รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่า...
ซาร์ธีน เอเวนดรอส
คือ ตัวอันตราย
“ข้าขอถอนคำพูด” ไม่มีใครกล้าปริปากนอกจากเพโลวี
เสียงพูดคุยถูกกลบด้วยเสียงลมพัดและนกร้อง
ก่อนที่เสียงปรบมือจะดังขึ้น จากผู้ชมที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมา
“ยอดเยี่ยม” ครูใหญ่ธารีสเดินผ่านกลุ่มผู้เข้าสอบมา
โดยเหลือบมองคัลลัคและยิ้มให้เล็กน้อย “สมกับเป็นพระราชธิดาของราชินีพรอนเดส
พรสวรรค์เหลือล้นจริง ๆ ”
ซาร์ธีนมองครูใหญ่ตอบอย่างขัดใจ
ก่อนจะตอบไปตามมารยาท “ขอบคุณค่ะ” แต่เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ชอบคำชมนั้น ก่อนที่จะเดินกลับไปนั่ง
“ต่อเลย ๆ ไม่ต้องหยุดเพราะข้า” ครูใหญ่เอ่ย
“ต่อไปชิน เดกัส” ครูคุมสอบประกาศต่อ
เมื่อชินแตะอำพัน
มันส่องแสงเบาบางสีนวล
“ริว เดกัส” สองคนนี้หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ จะต่างกันก็เพียงเสื้อผ้าที่สวม
ดูท่าว่าจะเป็นฝาแฝดกัน
เมื่อริวแตะอำพัน
ไม่มีการเปลี่ยนแปลง...
ครูคุมสอบมองครูใหญ่อย่างหนักใจ
ก่อนจะจดบันทึกผลลัพธ์ที่ได้ลงบนกระดานในมือไปตามจริง
ในขณะที่ริวพยายามแตะอำพันใหม่ เผื่อว่าจะมีอะไรผิดพลาด แต่ก็ไม่
อำพันไม่ตอบสนองต่อการแตะต้องของริว
“เขาไม่ผ่าน” เดธิเลียพูดลอย ๆ
“อย่าไปแช่งเขาสิ” คัลลัคหันไปดุ
ก่อนจะสะดุ้งเพราะไม่คิดว่าเดธิเลียจะมาอยู่ตรงนี้
“เด็กส่วนใหญ่จะยังใช้เวทมนตร์ไม่ได้
ถ้าไม่ใช่พวกที่มีเวทมนตร์โดดเด่นจนได้รับจดหมาย
พวกเขาจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อมาทดสอบที่นี่เท่านั้น” เพโลวีอธิบาย “พวกเขาไม่ได้เตรียมใจมาสอบตกรอบสุดท้ายหรอก
พวกเขาพกมาแค่ความหวัง”
“งั้นรึ” คัลลัคถาม
เพโลวีพยักหน้า “ข้าล่ะกลัวแทบแย่
นึกว่าตัวเองจะไม่มีเวทมนตร์เสียแล้ว”
“ถ้าคิดอย่างนั้น ทำไมถึงมาสมัครล่ะ” คัลลัคถาม
เพราะค่าสมัครสอบตามปกติก็แพงบรรลัยแล้ว โดยที่ยังไม่แน่ว่าจะสอบผ่านไหม
ถ้าพลาดก็ไม่ต่างจากการเทเงินทิ้ง
“เพราะย่าของข้าใช้เวทมนตร์ได้ พี่ชายพี่สาวของข้าด้วย พวกเราที่นี่ก็มาเพราะแบบนั้นแหละ
ใครสักคนในครอบครัวเราต้องใช้เวทมนตร์ได้ พวกเราถึงจะมีโอกาส
แต่ยิ่งเป็นญาติห่างเท่าไหร่ โอกาสก็ยิ่งน้อย” เพโลวีตอบ
“แล้ว... ” คัลลัคแอบมองเดธิเลีย พลางกระซิบเบาจนแทบไม่ได้ยิน “เจ้าคิดว่านางจะผ่านไหม”
“นางไหน...? อ๋อ คุณหนูเดธิเลีย ได้ยินมาว่าตระกูลแวนธีสผู้หญิงจะมีเวทมนตร์ทุกคน
แต่ผู้ชายจะไม่มี เป็นแบบนั้นมาทุกรุ่น พึ่งมีเมื่อไม่กี่ปีก่อนที่มีแวนธีสผู้ชายใช้เวทมนตร์ได้เป็นครั้งแรก” เพโลวีตอบ “เมอดอร์
แวนธีสน่ะ เคยได้ยินไหม? เขาได้รับจดหมายเชิญเมื่อ 2 ปีก่อน เพราะเผลอระเบิดวิหารด้วยเวทมนตร์”
“อ้อ...” คัลลัคทำเป็นนึกออก เธอไม่ได้บอกเพโลวีว่าตัวเองก็เป็นแวนธีส และเมื่อได้รู้ว่าอีกฝ่ายรู้จักเดธิเลีย
แถมใช้วิธีเรียกแบบพวกคนรับใช้ เธอยิ่งไม่กล้าบอก
เพราะพวกคนรับใช้ของแวนธีสคงรู้จักเธอจากชื่อเสียมากกว่าชื่อเสียง “ก็เคยได้ยินอยู่”
“เดธิเลีย แวนธีส” ในที่สุดก็มีคนลากริวออกไปจากอำพันเวทมนตร์ได้สำเร็จ
“ขอให้สอบตก” คัลลัคแช่งดังไปนิดจนเดธิเลียหันมาแยกเขี้ยวใส่
คัลลัคถึงพึ่งรู้ตัวว่าลืมเบาเสียง
“จะบ้าหรือไง ไปแช่งคุณหนูได้ยังไง” เพโลวีตีแขนคัลลัคดัง ป้าบ! ดังจนคนข้าง ๆ ตกใจหันมามอง
“โอ๊ย ก็แค่คำพูด” คัลลัคลูบแขน
“คำพูดของผู้มีเวทมนตร์น่ะไม่ใช่แค่คำพูดหรอกนะ” เพโลวีเตือน “นางอาจจะสอบตกจริงก็ได้”
“ก็ดีนะแบบนั้น นางเกลียดข้าอยู่แล้ว ถ้าต้องมาเรียนด้วยกัน
นางได้เชือดข้าแน่” คัลลัคตอบ
“เจ้าไปทำอะไรให้คุณหนูโกรธกันเนี่ย” เพโลวีหงุดหงิด
คัลลัคไม่ตอบ
เธออาจจะแกล้งจนเดธิเลียโกรธก็จริง แต่จากประวัติที่ได้รู้มา ถึงเธอจะไม่ทำอะไรเลย
เดธิเลียก็เกลียดเธอเข้าไส้มาก่อนแล้ว แต่จะอย่างไรก็ตาม
คำแช่งของเธอไม่มีผลกับการสอบนี้ เพราะมันเป็นการวัดที่พลังดิบล้วน ๆ
พลังเวทในกายเท่านั้นที่จะตัดสิน
เดธิเลียมองอำพันขนาดมหึมาเบื้องหน้า
แม้จะเตรียมใจมาพร้อม แต่เมื่อถูกแช่งต่อหน้าต่อตาก็อดประหม่าไม่ได้
เธอยื่นมือแตะอำพัน...
และมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ได้ยังไงกัน” เพโลวีอุทานเสียงแผ่ว
เหล่าเด็กที่คุยกันจ้อต่างพากันเงียบกริบโดยมิได้นัดหมาย “แต่แวนธีสผู้หญิงมีพลังทุกคนนี่...”
วินาทีนั้นคัลลัคเห็นใบหน้าของเดธิเลียสะท้อนในอำพัน
คนส่วนมากต่างรู้เรื่องที่แวนธีสผู้หญิงจะมีพลังจนไม่ต้องลุ้น
แต่อำพันกลับไม่มีการตอบสนองใด ๆ กับเดธิเลีย สีหน้าที่ควรโกรธหรือโศกเศร้า
มันกลับนิ่งเฉยราวกับเวลาหยุดชะงัก
“นางไม่ผ่าน” เพโลวีเอ่ยกระซิบ
“แต่...” แม้คัลลัคจะแช่งแบบนั้น แต่ก็ไม่เชื่อหรอกว่าเดธิเลียจะสอบไม่ผ่านจริง
ๆ “นางตั้งใจมากเลยนะ”
“ไม่มีผลอะไรหรอก การสอบก่อนหน้านี้มีแค่เพื่อคัดคนออก
คะแนนที่รวมกันมา สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้” เพโลวีเอ่ย
“ออกมาได้แล้ว เดธิเลีย” ครูคุมสอบเอ่ยเรียก เมื่อเห็นว่าเดธิเลียยังคงยืนนิ่งอยู่
ไม่อาจเดาได้เลยว่าเธอจะช็อกหรือผิดหวังขนาดไหน
ปัก!
เดธิเลียชกอำพันไปเต็มแรง
มือของเธอชาจนไร้ความรู้สึก ก่อนที่เลือดจะไหลลงพื้นเมื่อชักมือกลับ
มันมีแผลหนังเปิดแต่เดธิเลียไม่สนใจ เธอหันกลับมาและกระชากคอเสื้อคัลลัคจนตัวแทบจะลอยขึ้นจากพื้น
เพราะเทียบความสูงกันแล้ว คัลลัคก็เตี้ยกว่าเดธิเลียเกือบคืบหนึ่ง
“เจ้าทำอะไรกับข้า?!” เดธิเลียตวาดลั่น
ก่อนจะชกคัลลัคหงายไปกับพื้นจนมีรอยเลือดเปื้อนติดปาก
ไม่รู้ว่าเลือดจากมือเดธิเลียหรือคัลลัคปากแตกกันแน่ “ข้าถาม!
ตอบข้ามาเดี๋ยวนี้ ยัยตาเงิน! ”
เดธิเลียกระชากผ้าคาดตาของคัลลัคออก
สายตาที่เด็กคนอื่นมองเธอเปลี่ยนไปในทันที ไม่เว้นแม้แต่เพโลวี
เธอกำลังจะเข้ามาห้าม แต่ก็ชะงักฝีเท้า ก่อนจะถูกเด็กคนอื่นดึงให้ถอยออกไป
“เจ้าไม่มีเวทมนตร์! อย่ามาโทษข้าสิ! ” คัลลัคลุกขึ้นนั่งลูบปากตัวเอง
ก่อนจะร้องแอ้ก เพราะถูกเตะไปสองครั้งที่ท้องน้อยและลิ้นปี่
เธอล้มลงและงอตัวเพื่อไม่ให้โดนเตะจุดเดิมซ้ำ แต่เดธิเลียดูจะไม่ยอมง่าย ๆ
“เจ้าสาปแช่งข้า!” เดธิเลียดึงคอเสื้อให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น
แต่คัลลัคไม่ใช่คนที่จะอยู่เฉย ๆ เธอคว้าผมเปียของเดธิเลีย
ซึ่งถักมาเป็นพิเศษเพื่อโอกาสที่ควรจะน่ายินดีนี้ ก่อนจะกระชากจนอีกฝ่ายหน้าคะมำ
“ครูกินรา!” ครูใหญ่ธารีสขึ้นเสียง ดุครูคุมสอบทิศใต้ที่ไม่ยอมห้ามเด็ก
ซึ่งอีกฝ่ายก็ขมวดคิ้วเหมือนไม่ค่อยอยากช่วยเด็กที่มีดวงตาสีเงินนัก
แต่พอคัลลัคกำลังจะได้เปรียบ เธอก็ก้าวเข้าไปห้ามทันที
โครม! คัลลัคถีบท้องเดธิเลียคืนจนอีกฝ่ายกลิ้งไปชนอำพัน
ก่อนที่ครูกินราจะมาคว้าเธอเอาไว้
“ข้าจะฆ่าเจ้า! ” เดธิเลียโซเซลุกขึ้น
มือเปื้อนเลือดยันอำพันเวทมนตร์เพื่อจะพยุงไม่ให้ตัวเองล้ม
เปรี๊ยะ! อำพันส่งเสียงลั่นขึ้นในทันทีที่สัมผัส
ก่อนที่อำพันสีเหลืองส้มสวยงามจะเปลี่ยนเป็นสีดำ กระจายจากส่วนที่เกิดรอยร้าว
ซึ่งวิ่งแล่นจากบริเวณที่ถูกเดธิเลียทำเลือดเปื้อน
เดธิเลียรีบถอยจากอำพันในทันที
พลางมองครูใหญ่ธารีสหน้าซีด เพราะเธอพึ่งทำพลอยล้ำค่าของเอเวนไฮด์ร้าว
แล้วมันก็ไม่น่าจะกลับคืนเป็นแบบเดิมด้วย
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ” เดธิเลียลืมเรื่องที่จะชกกับคัลลัคไปเสียสนิท
ความวุ่นวายในหมู่เด็กคนอื่นก็หยุดชะงักเช่นกัน
“มนต์ดำ” ครูใหญ่ธารีสตีความการตอบสนองของอำพันเวทมนตร์ ก่อนจะยิ้มออกมาบาง ๆ “ไม่เลว”
คัลลัคไม่ค่อยแน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น
เธอรู้สึกระบมไปหมดทุกจุดที่โดนซ้อม
แต่ก็พอรับรู้ว่าเลือดจากมือเดธิเลียใช้บอกระดับเวทมนตร์ได้
นั่นก็แปลว่าอีกฝ่ายผ่านการสอบนี้
+++
โรงแรมหินหิ่งห้อย
ย่านที่พักนักท่องเที่ยว
คัลลัคต้องมานั่งทำแผลเอง
เพราะวีวี่ปฏิเสธที่จะช่วย ด้วยอ้างเรื่องมารยาทอันไม่สมควรระหว่างชายหญิง คัลลัคจึงดูจะทรมานกับการเอี้ยวตัวพันแผลมากกว่าการอยู่เฉย
ๆ เสียอีก
“วันนี้วันลม มะรืนวันไฟจะเป็นวันปฐมนิเทศกับย้ายของเข้าบ้านพัก
หยุดวันเงาวันหนึ่ง แล้วก็เปิดเทอมวันดิน” วีวี่มายืนแจกแจงกำหนดการให้ฟังจากนอกประตูห้อง
“ส่วนมีดเวทมนตร์ที่ไปสั่งช่างทำจะได้ประมาณพรุ่งนี้บ่าย
เพราะงั้นวันนี้คุณหนูควรพักรักษาตัวอยู่แต่ในห้องนะขอรับ”
คัลลัคลุกไปเปิดประตู
แต่ก็พบวีวี่ยืนขวางไม่ไปไหน
“ยิ่งขยับตัว แผลจะหายช้า ได้โปรดอย่าออกไปไหนเลย
ข้าจะเตรียมอาหารมาให้ในแต่ละมื้อ” วีวี่พูดจบก็ดันประตูปิด
คัลลัคนิ่งไปครู่หนึ่ง
ก่อนจะยิ้มเหี้ยม ๆ คิดจะกักบริเวณคนอย่างเธอน่ะ มันเร็วไปร้อยปี
และเมื่อมีสาวเสิร์ฟนำอาหารมาให้ถึงห้อง คัลลัคก็ฟาดอีกฝ่ายสลบและปลอมตัวหนีออกไป
มันคงจะง่ายกว่าถ้าออกทางหน้าต่าง เสียแต่ว่าเธอกลัวความสูง
ความจริงเธอจะแค่พักอยู่ในห้องตามที่วีวี่แนะนำก็ได้
แต่ในมือของเธอตอนนี้มีจดหมายฉบับหนึ่ง
บอกสถานที่และชื่อของใครคนหนึ่งที่เธอควรจะไปเจอให้ได้ในเมืองนี้
จดหมายฉบับนี้
เรสเทลมอบให้เธอก่อนออกเดินทาง
แม้จะยังปวดระบม
แต่ในเมื่อมีเวลาน้อยที่จะสำรวจเมืองแห่งเวทมนตร์ คัลลัคก็จะไม่ทิ้งโอกาสไป
เธอแวะไปยังร้านอาวุธเวทมนตร์ก่อน แต่ช่างก็ยังทำไม่เสร็จ
เธอจึงเดินตามแผนที่ในจดหมายไปจนถึงร้านอาหารตรากระต่ายบิน
ภายในร้านคึกคักไปด้วยลูกค้าและถาดบินได้ พวกมันคืออุปกรณ์เวทมนตร์
รับอาหารจากครัวและลอยไปเสิร์ฟด้วยการควบคุมจากจอมเวทที่น่าจะเป็นเจ้าของร้าน
“สวัสดีจ้า จะรับอะไรดี” เด็กสาวผมสีแครอทเดินเข้ามาถาม “นี่เมนูนะ
ลองเลือกดูเลย ขอโทษที่ตอนนี้โต๊ะไม่ว่าง แต่รออีกเดี๋ยวก็จะมีคนลุกแล้วล่ะ”
คัลลัครับเมนูมา
ก่อนจะรีบก้มหลบถาดบินที่เฉียดหัวเธอไปเหมือนไม่กลัวว่าอาหารบนนั้นจะหกไหม
“สวัสดีจ้ะสาวน้อย สนใจไปนั่งดื่มกับพี่หน่อยไหมจ๊ะ” เสียงทักทายอย่างพวกขี้เมาชอบลวนลามดังมา
พร้อมกับแขนที่พาดไหล่คัลลัคอย่างถือวิสาสะ แต่เธอจำน้ำเสียงนี้ได้
และหันกลับไปมอบความคิดถึงให้ผู้ทักทาย...
ด้วยการชกท้องน้อยอย่างรักใคร่
“ใครอนุญาตให้แต๊ะอั๋ง หืม? โรเดน” คัลลัคถาม
แต่ถึงอย่างนั้นก็สวมกอดเพื่อนรักด้วยความคิดถึงอยู่ดี และหมัดที่ชกไป
ความจริงก็ไม่ได้แรงนัก “แล้วเรสเทลล่ะ”
“ลุงกันตินี่มารับเธอที่สเตลลาคาร์ต ข้าเลยมาที่นี่คนเดียว” โรเดนเอ่ยตอบ
ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ “คิดถึงสุดที่รักเหรอจ๊า~ ”
“หุบปากไปเลย” คัลลัคดุ ก่อนจะชูจดหมาย “แล้วไงต่อ นางให้ข้ามาติดต่อใครที่นี่มิใช่รึ”
“เขาอยู่ทางนั้น” โรเดนนำทางไปที่มุมร้าน
คัลลัคจึงหันไปบอกพนักงานว่าได้ที่นั่งแล้ว ไม่ต้องหาให้ “ทำความรู้จักกันเสียสิ
คัลลัค นี่อิล อิล นี่คัลลัค”
“อิล แอล. อัชทาห์ ยินดีรับใช้” เด็กหนุ่มเอ่ยทักทายคล้ายจะเป็นผู้ดี
แต่ขาทั้งสองที่พาดเหนือโต๊ะกลับให้อารมณ์ตรงกันข้าม
เขามีผมสีทองแดงเงางามกับดวงตาสีดำขลับทั้งดวงแบบคนต่างทวีป... ชาวไอดัส
“โอ... เค” คัลลัคตอบ ก่อนจะหันไปกระซิบถามกับโรเดน “ขออีกทีซิ
ให้ข้ามาเจอเขาทำไมนะ”
“เขาจะคุ้มครองเจ้า เรสเทลเชื่อว่าเจ้าสร้างศัตรูได้มากกว่ามิตร
มีคนคุ้มครองหน่อยก็เป็นเรื่องดี” โรเดนเอ่ยตอบ
“เจ้าเป็นรุ่นพี่เหรอ” คัลลัคหันไปถามอิล
“เปล๊า” เขาตอบ พลางตะไบเล็บตัวเอง
“เจ้าทำงานในเอเวนไฮด์รึ” คัลลัคถามต่อ
“ก็เปล่า” อิลตอบ เป่าปลายนิ้วตัวเอง
“แต่เจ้าไม่ได้เข้าสอบ เจ้าก็ไม่ใช่นักเรียนเอเวนไฮด์ แล้วเจ้าจะเข้าไปคุ้มครองข้าได้ยังไงมิทราบ” คัลลัคทักท้วง
“แอด ๆ ๆ ทายผิดหมดเลย ให้ข้าเฉลยก็แล้วกัน” อิลเอาขาลงจากโต๊ะ
ก่อนจะเริ่มทำท่าจริงจัง “ข้าจะเข้าเอเวนไฮด์ในฐานะเด็กฝาก เจ้าคงยังไม่รู้
เอเวนไฮด์รับนักเรียน 3 ประเภท เด็กผู้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ คนขยันผู้โตมาพร้อมพรแสวง
แล้วก็สุดท้าย... ผู้ร่ำรวยและผู้มีสิทธิพิเศษ ผู้นอนลอยมากับพรเสวย”
“จะใช้เงินฟาดเข้าเรียนรึ” คัลลัคส่ายหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่ ๆ เงินอย่างเดียวฝากเข้าเรียนไม่ได้หรอก ต้องมีเส้นสายด้วย
ไม่งั้นเพื่อนเจ้าคงฝากตัวเองแทนข้าแล้ว” อิลยิ้มร่า
ก่อนจะชี้ไปที่พนักงานผมสีแครอท “เห็นเด็กคนนั้นไหม นางชื่อริสต้า
แม่ของนางเป็นครูของเอเวนไฮด์ เจ้าจะไม่ได้เห็นนางสอบ
แต่นางจะกลายเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของเจ้าแน่ ไม่เชื่อก็ลองถามนางดู”
คัลลัคจึงลองถามริสต้าระหว่างสั่งอาหาร
“เจ้าสอบเข้าเอเวนไฮด์ได้รึ” เธอถามคัลลัคด้วยความตื่นเต้น “ดีเลย
ข้าก็จะไปเรียนที่นั่น พวกเราต้องสนุกกันแน่ ๆ พอดีข้าเนี่ยนะ ฉอด ๆ ๆ ๆ”
“อื้ม คงเป็นเพื่อนใหม่ที่ช่างคุยดีแท้” โรเดนเอ่ย
หลังจากริสต้าเข้าครัวไปแล้ว ขนาดไม่ถามยังพล่ามออกมาเองหมด
ความลับอะไรก็คงเก็บไม่อยู่สำหรับเธอคนนี้
“เห็นไหม เอเวนไฮด์รับเด็กเส้น ไม่ต่างจากโรงเรียนปกติทั่วไปหรอก” อิลยักไหล่ “ทีนี้ก็...
เรื่องค่าใช้จ่าย”
“อะไร เรสเทลจ่ายค่าจ้างให้ไปแล้วมิใช่รึ” โรเดนท้วง
“ก็ใช่ แต่ข้ารับเฉพาะค่าฝากเข้าเรียน” อิลว่า “ในโรงเรียนใช้เงินคนละสกุลกัน
พวกเจ้าจ่ายเงินที่ข้าต้องใช้ที่นั่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นข้าจะรับช่วยเหลือเป็นงาน ๆ
ไป”
คัลลัคเริ่มรับรู้ถึงแววฉิบหาย
“เจ้าต้องจ่ายข้าด้วยอำพันเวทมนตร์” อิลบอกกับคัลลัค “ราคาขึ้นอยู่กับระยะเวลาและความยากของงาน
มาหาข้าได้ทุกเมื่อที่เจ้าจ่ายไหว ข้าพร้อมรับใช้ตลอดทุกโมงยาม”
คัลลัคพยักหน้ารับกับข้อตกลง
มันเป็นความจริงที่สกุลเงินของโลกภายนอกถูกห้ามใช้ในเอเวนไฮด์
จะไปโทษอิลก็ไม่ได้ที่เขาจะปฏิเสธค่าจ้างล่วงหน้าที่เป็นเงินของปุถุชนคนธรรมดา
แต่ก็...
“ข้าเกลียดเขา” คัลลัคสรุปทันทีที่เดินออกจากร้าน
ความคิดเห็น