ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [End] เมื่อสิ้นกำแพงชิน่า - Attack on Titan [Yuri] [Mikannie]

    ลำดับตอนที่ #38 : ตอนพิเศษ 5 ศึกนครแห่งขุนเขา [ยูมิล x คริสต้า]

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.พ. 59


    ตอนพิเศษ 5 ศึกนครแห่งขุนเขา [ยูมิล x คริสต้า]

    บนถนนสายหนึ่งในนครแห่งขุนเขาเมื่อตะวันลาลับฟ้าไปแล้ว ถนนสายนี้มีโคมไฟแขวนอยู่เป็นระยะๆ ส่องสว่างให้เห็นร่างของเด็กสาวร่างเล็กเดินผ่านฉับๆไปโดยไม่สนใจแวะพักกลางทาง เธอสวมฮู้ดปกคลุมปิดหน้าและแต่งกายแบบสามัญชน ทั้งๆที่จริงๆแล้วมันไม่ใช่อย่างที่เห็น

    ยูมิลยืนรออยู่ใต้เสาแขวนโคมไฟเสาหนึ่ง สองสามวันก่อนเธอได้รับจดหมายจากขานกพิราบ ดูเหมือนพิราบตัวนั้นจะถูกฝึกให้ตามหาตัวเธอโดยเฉพาะ ภายในจดหมายนั้นมีใจความเพียงแค่สถานที่นัดพบ เวลา วันและชื่อผู้ส่ง

    “ฮิสตอเรีย” ยูมิลทักผู้ที่นัดเจอเธอ “มีเรื่องจะคุยกับฉันงั้นเหร... อุ้!?”

    ไม่ทันที่ยูมิลจะพูดจบกระโยคคริสต้าก็โผเข้ากอดโดยไม่บอกไม่กล่าว ยูมิลก็มองอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง จึงเกาหัวแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายกอดต่อไปจนกว่าจะพอใจ

    “มีเรื่องอะไรรึเปล่า” ยูมิลถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายถอนกอดแล้ว

    “ฉันกำลัง...จะต้องแต่งงาน”

    “ห๊ะ!?! แต่งงา... อุ้บ! อู้???” ไม่ทันที่ยูมิลจะตะโกนปลุกชาวบ้านตื่น เธอถูกถึงคริสต้าดึงลงมาตะครุบปากไว้ก่อนจะลาไปหลบในสวนสาธารณะที่จะไม่ไปรบกวนเวลานอนของใครเข้า ยูมิลดิ้นจนหลุดและหอบหายใจเพราะโดนปิดจมูกไม่ให้หายใจไปครู่ใหญ่ “หมายความว่ายังไงกัน นี่มันเรื่องอะไร”

    “เจ้าชายจอห์นแห่งเกาะอังกฤษเดินทางมาพร้อมกองเรือเมื่อสามสี่วันก่อน พวกเขาต้องการสงครามเพราะเห็นว่าฉันไล่นักการทูตของพวกเขากลับไปในครั้งก่อน”

    “นั่นไม่ใช่ความผิดเธอ ทูตบ้านั่นมันไม่ได้ให้เกียรติกับเธอเลย สมควรที่จะโดนแล้ว” ยูมิลตอบ

    “พวกเขามีเงื่อนไข หากเราไม่ต้องการสงคราม ฉันจะต้องแต่งงานกับเจ้าชายจอห์น แล้วจะไม่มีใครต้องเจ็บตัว” คริสต้าเล่าต่อ “ฉันไม่มีทางเลือก”

    “ทำไมล่ะ! พวกนั้นมันก็แค่เต่าในกระดอง พวกนั้นทำอะไรตลอดสองร้อยปีที่พวกเราสู้ ฆ่าและตายเพราะไททัน พวกนั้นไม่เคยโผล่หัวมาสนใจ คิดว่าพวกนั้นจะชนะสงครามรึไง”

    “..........” คริสต้าไม่ตอบอะไร เธอเพียงแค่ชี้ให้ดูปราสาทกลางเมืองซึ่งเคยงดงาม บัดนี้กลายเป็นซากปรักหักพังแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม มีรอยไฟไหม้และการกระแทกทำลาย

    “ปืนใหญ่เหรอ?”

    “ระยะ 800 หลาจากกลางทะเล พวกนั้นถล่มเมืองเราได้โดยไม่ต้องขึ้นฝั่งด้วยซ้ำ เราไม่มีปืนใหญ่ที่ดีขนาดนั้นไปสู้ ไททันกำแพง 23 คนตายเพราะกระสุนปืนใหญ่แบบระเบิดตอนที่พยายามปกป้องเมือง ทั้งหัว...และท้ายทอย ไม่เหลือ” คริสต้าบอก “คุณฮันซี่มาที่นี่เมื่อวาน เธอบาดเจ็บและเล่าว่านครแห่งทะเลสาบยอมจำนนแล้ว พวกนั้นพร้อมโจมตีตลอดเวลาและมีกองทัพเรือมากกว่าที่ถล่มปราสาทนั้นหลายเท่า ระหว่างชัยชนะกับชีวิตคนเธอเลือกอะไรเหรอยูมิล”

    “จะให้จัดการพวกนั้นใช่ไหม” ยูมิลคิดเอาเอง

    “ไม่ยูมิล ฉันแค่...มาบอกลา เป็นทางที่ดีกว่าถ้าพวกเราจะไม่ให้พวกอังกฤษรู้เรื่องของอาณาจักรลาสวู้ด”

    “ฮิสตอเรีย มันต้องมีทางออกอื่น ฉันขอเวลาหน่อย เราเคยเจอนรกบนดินกว่านี้มาแล้ว” ยูมิลบอก

    “ฉันจะต้องลงเรือไปเกาะอังกฤษ พรุ่งนี้แล้ว มันไม่มีเวลาหรอกยูมิล”

    “เธอจะปล่อยให้นครแห่งขุนเขาไม่มีคนดูแลงั้นเหรอ” ยูมิลแย้ง

    “แจนจะดูแลที่นี่แทนฉัน ไม่เป็นไรหรอก เขาตัดสินใจได้ดีกว่าฉันเยอะ”

    “ฉันจะไปด้วย”

    “ไม่ได้ พวกนั้นต้องฆ่าเธอแน่”

    “ทำไมล่ะ?!

    “เธอก็รู้นี่ยูมิล คราวก่อนที่ทูตอังกฤษทำท่าขยะแขยงเธอแล้วเอาแต่มาประจบฉันน่ะ พวกเขาเหยียดสีผิว”

    “แล้วจะไม่ให้ฉันทำอะไรเลยจริงๆน่ะเหรอ” ยูมิลพูด

    “ขอโทษนะ” คริสต้าตอบ “แล้วก็ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”

     

    เรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ล่องฝ่าคลื่นลมของทะเลออกจากฝั่งในยามเช้า คริสต้ายืนมองผู้คนที่มาส่งเธอบนฝั่งและโบกมือลา มีคนเพียงไม่กี่คนที่หายไปแม้เธอพยายามจะมองหาสักเพียงใดก็ตาม ซาช่า โคนี่และก็... ยูมิล สำหรับสองคนแรกนั้นไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ ดูจากความเป็นไปได้นั้นทั้งคู่ก็คงจะตื่นสายไม่ก็ไปหาอะไรกินจนเพลิน แต่ยูมิล... จากที่เมื่อวานได้คุยกัน ยูมิลจบการสนทนาด้วยการหันหลังให้และวิ่งหนีไปโดยไม่มีการกล่าวลาใดๆ

    “ราชินีฮิสตอเรีย” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งเรียกเธอ เมื่อคริสต้าหันไปกลับต้องพบกับหญิงสาวผมสั้นขาวสวมแว่นคนหนึ่ง อีกฝ่ายดูคุ้นตาแต่คริสต้าก็นึกไม่ออกว่าเธอเป็นใคร

    “ขอโทษนะ ฉันรู้จักคุณไหม” คริสต้าถาม เธอไม่ยึดถือเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์เพราะเธอไม่ได้ถูกเลี้ยงมาแบบนั้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีอายุมากกว่าจึงถามแบบให้เกียรติ

    “..........” อีกฝ่ายก็มองคริสต้าอย่างไม่ค่อยแน่ใจ แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ “เธอ?! ทหารฝึกหัดนี่ แล้วราชินี... ”

    “ฉันนี่แหละราชินี” คริสต้าตอบ “คุณ... เคยเป็นทหารประจำการสินะ คุณ... ”

    “ริโกะค่ะ” ริโกะตอบ ทำท่าเคารพอย่างที่เคยชินคือมือขวาทุบอกซ้ายถวายหัวใจแด่ราชา

    “เลิกทำแบบนั้นเถอะ” คริสต้าบอก

    “เอ๋...?”

    “ก็เธอ...ย้ายฝ่ายแล้วไม่ใช่เหรอ” คริสต้าจ้อง

    “เราไม่ใช่ศัตรูกับอังกฤษ...ไม่ใช่เหรอคะ” ริโกะถาม ดูเหมือนเธอไม่ได้รู้เรื่องที่กองทัพเรืออังกฤษระดมยิงถล่มนครแห่งขุนเขาเพียงเพราะคริสต้าไม่ยอมอภิเษกสมรสกับเจ้าชายจอห์น

    “อาจจะเป็นแบบนั้นหลังจากนี้ในทางการเมือง แต่ไม่ใช่ในความรู้สึกหรอก” คริสต้ากระซิบจนริโกะแทบไม่ได้ยิน “เธอมาตามตัวฉันไม่ใช่เหรอ จะไปกันรึยังล่ะ”

     

    “โอ๊ยโคนี่ อย่าเหยียบมือฉัน” ยูมิลกัดฟันไม่ให้เผลอร้องเสียงดัง

    “ก็หีบนี่มันแคบนี่! จะให้ทำยังไงเล่า”

    “ชู่! อย่าส่งเสียงดังสิ” ยูมิลเอ็ด

    “เฮ้ย! นั่นใครน่ะ!” เสียงของทหารอังกฤษดังขึ้น ยูมิลมองเห็นเขาผ่านช่องที่หีบแง้มออก เขาชักดาบออกมาและเดินมาทางพวกเธอแล้ว แต่อยู่ๆเขาก็ชะงักไป

    “เหอๆๆๆ เนื้ออ... ยอดไปเลยย เหออๆๆ เนื้ออ... ” ทหารขวัญอ่อนคนนั้นแทบจะกระโจนหนีหายไปในพริบตาเมื่อบังเอิญไปเจอหน้าของซาช่าตอนที่กำลังหิวโซและกำลังแทะเนื้อแห้งที่เก็บไว้รวมกับสัมพาระอย่างเอาเป็นเอาตาย

    “ผีทะเล!!!” ทั้งยูมิลทั้งโคนี่ได้ยินเสียงทหารคนนั้นตะโกนลอยมาก็แทบจะกลั้นขำกันไม่อยู่

    “รีบเปลี่ยนที่ซ่อนเถอะ ไม่งั้นคงมีคนแห่กันมาดูผีทะเลหัวมันแน่ๆ” ยูมิลกระโดดออกจากหีบ รู้สึกเหมือนไม่ได้สัมผัสสายลมเย็นๆไปตั้งนาน “ลุกเร็วโคนี่”

    “เออน่า กำลังตามไป” โคนี่ตอบ ไม่ลืมที่จะลากซาช่าพร้อมถุงเสบียงไปด้วย

    “นี่ไงที่ซ่อน” ยูมิลหลบทหารอังกฤษเข้ามาในส่วนของคอกม้า เรือทุกลำมีคอกม้าเพื่อบรรทุกม้าของพวกอัศวิน “เราจะซ่อนที่นี่จนกว่าเรือจะไปถึงเกาะอังกฤษ”

    “ฉันว่ามันคงไม่ใช่แค่สองสามวันแน่ๆ” โคนี่พูด แต่ก็ไม่มีที่ซ่อนอื่นที่ดีกว่านี้ พวกเขาเป็นคนตกลงยอมตามยูมิลมาเอง เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทั้งสามคนก็เตรียมใจรับไว้แล้ว

     

    เวลาผ่านไปหลายวัน กองเรือเดินสมุทรของอังกฤษก็ยังล่องอยู่ในมหาสมุทรกว้างใหญ่โดยไม่มีวี่แววของแผ่นดิน เสบียงที่ทั้งสามคนมีนั้นหมดไปแล้ว และพวกเขาต้องผลัดกันไปขโมยเสบียงจากห้องเก็บเสบียงโดยไม่ให้ทหารอังกฤษคนใดเห็นพวกเธอ งานนี้ซาช่าจึงได้ออกโรงบ่อยๆ และไม่นานนักเรือลำนี้ก็มีข่าวลือเรื่องผีทะเลแพร่สะพัดจนทำให้ทหารทั้งหลายขวัญหนีดีฝ่อ จนไม่มีใครอยากเป็นเวรเฝ้าห้องเสบียงสักคน

    ในเช้าที่มืดมน ท้องฟ้ามืดครึ้มเหมือนจะมีฝนตก แต่คำว่าพายุสำหรับชาวเรือในมหาสมุทรนั้นไม่ต่างจากสมรภูมิรบของทหาร เส้นทางที่กองเรือกำลังมุ่งหน้าไปนั้นมืดครึ้มจนน่ากลัว

    “ราชินีฮิสตอเรีย ลงไปหลบในห้องก่อนเถอะค่ะ” ริโกะบอก และดึงตัวคริสต้าลงไปใต้ท้องเรือโดนไม่รอฟังคำตอบ ไม่นานหลังจากนั้นเรือก็เริ่มโคลงและกองเรือทั้งหมดก็ฝ่าเข้าไปในมรสุมพายุฝน

    “หุบใบเรือ! หุบใบเรือให้หมด!” เสียงตะโกนสั่งจากดาดฟ้าเรือดังอยู่เรื่อยๆ ขณะที่คริสต้าทำได้เพียงนั่งมองทะเลคลั่งอยู่ภายในห้องของตัวเองเท่านั้น ทุกครั้งที่คลื่นใหญ่ซัดตัวเรือ ข้าวของภายในห้องก็จะพากันเลื่อนไปตาพื้นเอียงๆและเทร่วงลงมาแตกบนพื้น แรกๆคริสต้าก็พยายามจับข้าวของพวกนั้นไว้ แต่สุดท้ายเธอก็ทำเพียงนั่งมอง

    “เร็วเข้า ซาช่าเข้าไปเร็ว” โดนไม่มีเสียงเคาะประตูเตือน โคนี่และซาช่าก็ชนประตูเปิดออก ซาช่าลากใครอีกคนมาด้วย โคนี่รีบปิดประตูและหันมาพบคริสต้าพอดี “ฮิสตอเรีย โอ้ นึกว่าจะไม่ได้เจอเธอซะแล้ว”

    “มาทำอะไรกันที่นี่เนี่ย” คริสต้าถาม

    “เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ มีผ้าพันแผลไหม” โคนี่ถามกลับ

    “ยูมิล?” คริสต้าอุทานชื่ออีกฝ่าย ใบหน้าอีกฝ่ายมีรอยแตกยาวและมีเลือดไหลอาบ

    “พวกม้าในคอกมันตกใจตอนที่พายุเข้า พอพวกเราจะหนีออกมาก็มีม้าตัวหนึ่งเตะหัวยูมิลพอดี”

    “ทำไม... ” คริสต้าเข้าไปดูยูมิลใกล้ๆ “ ...ทำไมแผลถึงไม่สมานตัวเองล่ะ”

    โคนี่กับซาช่ามองหน้ากัน ทั้งคู่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม และยูมิลก็บอกพวกเธอไม่ได้แล้วในตอนนี้ ที่ทำได้จึงมีเพียงทำแผลให้ยูมิลและรอให้อีกฝ่ายฟื้นขึ้นมา ทั้งสี่คนอยู่ในห้องนั้นจนกระทั่งพายุสงบ

    ปึงๆๆ “ราชินีฮิสตอเรีย ปลอดภัยดีรึเปล่า” เสียงริโกะทุบประตูดังขึ้นเรื่อยๆเพราะประตูถูกปิดล็อกและไม่มีเสียงตอบกลับ คริสต้ามองอีกสามคนที่แอบขึ้นเรือมาอย่างไม่แน่ใจ เธอเลือกที่จะไล่ให้โคนี่กับซาช่าปีนออกนอกหน้าต่างไปและซ่อนร่างยูมิลไว้ใต้โต๊ะที่ล้มขาหักระหว่างช่วงพายุเข้า ผ้าปูโต๊ะนั้นยาวพอจะบดบังร่างยูมิลไว้ได้

    “ฉันไม่เป็นไร” คริสต้าเดินไปเปิดประตูในที่สุด

    “ดีใจที่พระองค์ปลอดภัยดีนะราชินี” ทว่าคนที่ยืนรออยู่กับเป็นเจ้าชายจอห์น เขาผลัดกประตูเปิดและมองดูภายในห้อง “โอ้ ข้าคงต้องให้พวกคนใช้มาจัดห้องให้ท่านใหม่เสียแล้วสิ”

    “ไม่!” เจ้าชายจอห์นหันขวับทันทีที่คริสต้าเผลอหลุดปาก “หมายถึง... ไม่ต้องลำบากหรอก ฉันจัดการเองได้”

    “ท่านเป็นถึงราชินี จะให้มาทำงานของคนชั้นต่ำแบบนั้นได้ยังไงกันเล่า” เจ้าชายจอห์นดีดนิ้วแล้วก็มีสาวใช้สองคนเข้ามาจัดเก็บของภายในห้องอย่างคล่องแคล่ว “จะว่าไปแล้ว... ”

    เป็นอีกครั้งที่คลื่นสูงซัดใส่ตัวเรือ ทำให้สาวใช้คนหนึ่งเซตามเรือที่เอียงมาชนกับคริสต้า ทำให้ล้มลงไปบนพื้นด้วยกันทั้งคู่ โครม... คริสต้าลุกขึ้นและยื่นมือให้สาวใช้จับ ทว่าเจ้าชายจอห์นกลับขวางไว้

    “ยัยชั้นต่ำเอ้ย! ทำไมไม่ทำงานให้มันดีๆ ฮะ!” เจ้าชายจอห์นไล่สาวใช้ไปจัดของไกลๆ

    “อย่ามาทำแบบนี้ต่อหน้าฉัน” น้ำเสียงราบเรียบชวนขนลุกทำให้เจ้าชายจอห์นเสียวสันหลังวาบ หันมามองคริสต้าอย่างไม่แน่ใจว่าเมื่อครู่เป็นเสียงจากปากของเธอรึเปล่า “จะเป็นสาวใช้หรือราชินีก็เป็นมนุษย์ด้วยกันหมด อย่ามาทำท่าเหมือนอยู่เหนือใครให้ฉันเห็นอีกเป็นครั้งที่สองจะดีมากนะคะเจ้าชายจอห์น”

    “ฮ..ฮะ?” เจ้าชายจอห์นมองนัยน์ตาสีฟ้าสวยที่จ้องมองมาที่เขาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อแล้วพยายามกลืนน้ำลาย “ต..แต่ว่าพวกนั้นมันก็แค่... ”

    “?!?!?” สาวใช้คนเมื่อครู่สะดุ้งตกใจอยู่ด้านหลังเจ้าชายจอห์น เธอบังเอิญไปเปิดเจอยูมิลเข้าใต้โต๊ะขาหัก อีกฝ่ายมองมาทางคริสต้าพร้อมสีหน้าตกใจ เธอขมวดคิ้วส่ายหน้าตอบ อีกฝ่ายจึงพยายามทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ทว่าเจ้าชายจอห์นเห็นท่าทีแปลกๆของคริสต้า เขาจึงหันหลังไปมอง

    “ข...ขอโทษค่ะ ฉันทำของพัง” สาวใช้คนนั้นแก้ตัว

    “อีกแล้วเหรอ เจ้า... ”

    “เจ้าชายจอห์น” คริสต้าเรียกอีกฝ่ายเสียงหวาน จนเจ้าชายจอห์นต้องหันกลับไปมองอีกรอบ เมื่อกี้เสียงน่ากลัว คราวนี้เสียงหวาน ต่อไปจะอะไรอีกล่ะ “ถ้ายังพอมีความเกรงใจกันบ้างเชิญกลับไปที่ๆคุณควรอยู่ทีนะคะ... ”

    “ฮึ! เห็นแก่ความเมตตาของ... ”

    “ ...ไม่งั้นหัวอาจจะหลุดไปไม่รู้ตัวนะคะ” เท่านั้นแหละ เจ้าชายจอห์นเดินหนีออกจากห้องแทบไม่ทัน

    “นี่จะต้องแต่งงานกับผู้หญิงน่ากลัวแบบนี้จริงๆเหรอเนี่ย” เจ้าชายจอห์นพูดแล้วก็ขนลุกเมื่อออกจากห้องไป

    “ขอบใจที่เก็บเงียบนะ” คริสต้าบอกสาวใช้ ดูเหมือนทั้งสองคนจะเห็นยูมิลแล้วทั้งคู่ คริสต้าเดินไปเปิดผ้าปูโต๊ะออก แต่กลับพบว่ายูมิลไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว “ผู้หญิงที่อยู่ตรงนี้ล่ะ”

    “อยู่ๆก็วิ่งไปกระโดดหน้าต่างเพคะ ดิฉันห้ามไม่ทัน” สาวใช้คนหนึ่งตอบแบบสำเนียงชาวสก็อตแลนด์

    “งั้นเหรอ” คริสต้ามองดูสิ่งที่ยูมิลทิ้งไว้ให้ภายในห้อง มันคือนกกางเขนปีกเงิน ชาวลาสวู้ดมักใช้เหยี่ยวในการส่งจดหมายระยะไกล “แต่ยังไงก็...อย่าบอกใครเรื่องนี้นะ เข้าใจไหม”

    “ค่ะ/เพคะ” ทั้งคู่ตอบ

     

    “ยูมิล ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ” ซาช่าถาม ถึงแม้เธอจะพูดปกติกับคนอื่นได้แล้ว แต่เธอก็ยังติดนิสัยพูดเพราะผิดปกติกับคริสต้าและยูมิลอยู่ดี ตอนนี้ทั้งสามคนห้อยโหนอยู่ข้างตัวเรือโดยไม่มีใครสังเกตเห็น แต่จะให้เกาะตรงนี้ไปตลอดก็คงไม่ได้ ถ้าหลุดมือไปอาจจะตกน้ำและถูกทิ้งไว้กลางมหาสมุทรเลยก็ได้

    “ทำไมถึงรักษาตัวเองไม่ได้ล่ะ” โคนี่ถาม

    “ควอร์ตไซต์คิดยากดยีนไททันขึ้นมาได้ ถึงจะไม่ได้ออกฤทธิ์ตลอดไปก็เถอะ เขาขอให้ฉันเป็นคนทดลองให้เขาฉีดยานั้นให้” ยูมิลตอบ ดูเหมือนข่าวดีจะมาผิดเวลาไปหน่อย

    “ยาจะหมดฤทธิ์เมื่อไหร่น่ะ” โคนี่ถามต่อ “จะให้เจอทหารแล้วเธอสู้ด้วยร่างคนนี่มีหวังตายกันหมดแน่เลยนะ”

    “หมดเมื่อไหร่ไม่รู้หรอก นั่นคือสิ่งที่ควอร์ตไซต์อยากรู้ แต่ฉันตามฮิสตอเรียมาก่อนการทดลองจบ” ยูมิลตอบ ทำเอาโคนี่หน้ามืด “ไม่ต้องห่วงน่า ถึงฉันไม่ติดหนึ่งในสิบอันดับทหารฝึกหัด ฉันก็เก่งกว่าเจ้าเอเลนเยอะนะ”

    “หา?” โคนี่มองยูมิลงงๆ “ยิ่งอยู่กับเธอนานๆยิ่งรู้เรื่องอะไรแปลกๆเพิ่มเรื่อยๆแฮะ”

    “เฮ้นั่น... ใช่ที่ฉันคิดรึเปล่า” ซาช่าชี้ไปที่เส้นขอบฟ้าที่กองเรือกำลังมุ่งหน้าไป

    ...เกาะอังกฤษ...

     

    ยูมิล ซาช่าและโคนี่กระโดดลงจากเรือก่อนที่กองเรือจะเทียบท่าและว่ายน้ำไปขึ้นฝั่งในจุดที่ห่างจากเมือง ถ้าหากชาวอังกฤษเหยียดสีผิวจริงอย่างที่คริสต้าบอก ทั้งสามคนจะถูกรุมประชาทัณฑ์ทันทีที่เหยียบเข้าเมืองใหญ่ หรือแม้แต่เมืองเล็กก็อาจไม่ต่างกัน ยูมิลเลือกที่จะปล้นรถม้าที่วิ่งผ่านระหว่างเมืองเพื่อหาเสื้อผ้าและอาหาร และไม่นานหลังจากนั้นก็มีอัศวินกลุ่มหนึ่งถูกส่งมาไล่ล่าโจรไร้ชื่อสามคน พวกเธอจึงได้ฤกษ์หลบหนีขึ้นเหนือ

    “เอ่อ... ” โคนี่มองป้ายไม้ที่สลักตัวอังษรน่ากลัวๆไว้ว่า...ป่าเชอร์วู้ด ยินดีต้อนรับ...อย่างปวดกบาล “ฉันว่าเราเดินมาเจอเจ้าป้ายหน้าตาน่าขนลุกป้ายนี้เป็นรอบที่ห้าแล้วนะ”

    “เว้ย ซาช่า อย่ามัวแต่ละเมอหาหัวมันดิ ช่วยกันหาทางออกจากป่าก่อน” ยูมิลจับซาช่าที่เอาแต่เพ้อหาหัวมันมาเขย่าให้ตื่น แต่เขย่าไปก็เท่านั้น ดูเหมือนถ้าไม่มีอาหาร ซาช่าจะไม่ขยับไปไหนทั้งนั้น

    “เฮ้ย! เนื้อ!” โคนี่ลองตะโกนหยั่งเชิง

    “ฮะ!? ไหน?!” ซาช่ามองไปทางโคนี่แล้วน้ำลายไหล

    “โฮกกก!!!” โคนี่ถึงกับตัวแข็งเป็นหิน เมื่อสิ่งที่อยู่ด้านหลังเขานั้นหายใจรดหัวเกรียนของเขาอยู่ เขาขยับหันไปช้าๆและก็พบกับหมีสีน้ำตาลตัวโตกำลังจ้องมาที่เขา

    “เนื้อจ๋า!!!” ซาช่าคว้าธนูที่ทำขึ้นเองและยิงใส่หมีตัวนั้นแทบจะทันที แต่มันโดนเพียงไหล่ของหมีตัวนั้นเท่านั้น มันตวัดอุ้งเล็บใส่โคนี่อย่างหัวเสีย แต่ยูมิลก็ลากคอโคนี่ออกมาได้ทัน

    ฟ้าววว! ฉึก!! ร่างหมีตัวโตกลับลงไปนอนแน่นิ่งบนพื้นในวินาทีต่อมา

    “แม่นมากซาช่า” ยูมิลบอก

    “..........”

    “ซาช่า?”

    “ฉันยังไม่ได้ยิง” ซาช่ามองลูกธนูหางขนนกสีแดงอย่างแปลกใจ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนใจ จะสนทำไมในเมื่อเนื้อมันวางกองอยู่ตรงหน้านี้แล้ว “เนื้อจ๋า! ฉันมาแล้ววว”

    “ช่างเป็นคนที่แปลกดีจริงๆนะ” เด็กหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เขาแต่งตัวมอซอและถือคันธนูพร้อมกับลูกธนูที่มีหางขนนกสีแดง เขาคือเจ้าของลูกธนูที่ล้มหมีได้ในคราวเดียว “ยินดีที่ได้รู้จัก...คนแปลกหน้า อ้อ แล้วก็...ส่งของมีค่ามา นี่คือการปล้น ส่งมาดีๆและฉันจะได้ไปไวๆ”

    “เราไม่มีเงิน เรามีแต่... ” พริบตาที่โจรหนุ่มเผลอ ยูมิลก็พุ่งเข้าไปประชิดตัวและปล่อยหมัดเข้าใส่อีกฝ่ายเต็มแรง พลั่ก! อีกฝ่ายหงายท้องลงไปนอนกุมกรามที่พื้น มีฟันสองสามซี่ร่วงออกจากปากเขาระหว่างที่ล้ม โคนี่เห็นว่ายูมิลไม่ต้องการความช่วยเหลือแล้วจึงไปช่วยซาช่าแล่เนื้อหมีแทน “น่าสมเพศชะมัด”

    “โอยย... เอ๋? เจ้าไม่ใช่คนอังกฤษนี่” อีกฝ่ายทัก

    ทั้งสามคนใช้ฮู้ดของชุดคลุมทีมสำรวจปกปิดสีผมและใบหน้าเอาไว้ ตลอดทางจึงไม่มีใครสงสัยอะไรแม้จะเดินสวนกันบนถนนกลางป่า แต่เพราะยูมิลรีบเกินไป ฮู้ดที่ปิดหน้าไว้จึงเปิดออก

    “เออ แล้วไง” ยูมิลคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายขึ้นมาเตรียมจะชกอีกรอบ

    “เดี๋ยวๆๆ ใจเย็นๆ เราพวกเดียวกัน!” โจรหนุ่มยกมือขึ้นกัน

    “ฉันไม่รู้จักแก”

    “อ้อ งั้น เฮ้ หวัดดี ฉันชื่อเมอร์รี่ เมน เรียกเมอร์รี่ก็ได้ เธอชื่ออะไร” โจรหนุ่มทักทายราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดจะปล้นทั้งสามคนมาก่อน “พวกเราเป็นคนเถื่อน คนนอกกฎหมาย ไม่ใช่คนของแผ่นดินอังกฤษ”

    “พวกเรา?”

    “ใช่ ว่าแต่พวกเธอชื่ออะไรกัน” เมอร์รี่ถาม

    “ไม่ใช่เรื่องของแก” ยูมิลโยนอีกฝ่ายทิ้งแล้วยึดธนูมา

    “ไม่สนใจจะมาอยู่กับพวกเราเหรอ ฉันว่าฝีมือการต่อสู้ของเธอก็ใช่ย่อยนะ” เมอร์รี่ตามตื้อ แต่ดูเหมือนยูมิลจะเอาแต่มองท้องฟ้า เขามองตามก็เห็นนกกางเขนตัวหนึ่งบินมาเกาะที่มือของยูมิล

    “เฮ้ นกโรบินนี่ ไม่ค่อยเห็นแถวนี้เลย บินมาจากไหนกันล่ะเนี่ย” เมอร์รี่ชวนคุยไปเรื่อย เขายังไม่ยอมไปง่ายๆ ได้เจอคนเก่งๆที่ไม่ใช่พวกทหารหรืออัศวินแล้ว เรื่องอะไรจะปล่อยไปง่ายๆ

    “ไปให้พ้น ไอ้กระจอก” ยูมิลไล่จนเมอร์รี่ถอดใจหันหลังให้ ก่อนจะเปิดจดหมายอ่าน มันถูกส่งมาจากคริสต้า

    ท่าเรือนอร์ทวู้ด วันที่ 4 มีเรือออก กลับไปเถอะยูมิล เธอกำลังเอาชีวิตของทุกคนมาเสี่ยง เธอต้องหยุด

    “เฮ้เมอร์รี่ ขอฟังข้อเสนอของแกอีกรอบซิ”

    “หา? เอาจริงดิยูมิล โจรเนี่ยนะ” โคนี่ที่แอบฟังอยู่ตลอดหันมาแย้ง

    “เราปล้นคนรวยแจกคนจน นั่นคือวิธีของเรา” เมอร์รี่บอก “เอ้าแล้ว สรุปเธอชื่ออะไรล่ะ ฉันยังไม่รู้เลย”

    “ยู... นั่นสิ ชื่ออะไรดีนะ” ยูมิลตอบ มองดูนกกางเขนที่จ้องตอบแบบไม่เข้าใจความหมาย

    “อยากลบประวัติตัวเองสินะ” เมอร์รี่พูดพลางมองนกกางเขนและมองผ้าคลุมมีฮู้ดสีเขียวของยูมิล “โรบินไหมล่ะ ชื่อเดียวกับพันธุ์นกของเธอเลย เอาเป็น... โรบินฮู้ด”
     

    <<<<<+>>>>> To Be Continued <<<<<+>>>>>
     

    ***********************************************************
     

    >>>หลังฉาก<<<


    ขออภัยสำหรับผู้ที่ติดตามหรือมาอ่านทีหลัง

    โปรดเข้าใจตรงกันก่อนว่าเรื่องนี้ไรท์ไม่แต่งต่อแล้ว

    ลาก่อยยย

    ไรท์จะไปแต่งนิยายของตัวเองบ้าง

    เพราะแฟนฟิค... มันเอาไปประกวดหรือรวมเล่มขายไม่ได้

    ว่าง่ายๆว่าไม่ได้ตังอะ -+-"

    เข้าใจตรงกันนะ เข้าใจนะ เข้าใจใช่ไหม?

    ไม่เข้าใจจะส่งแอนนี่ไปตามเก็บรายคนนะ //ผิด

    แวะไปอ่านนิยายออริจินอลไรท์บ้างก็ได้

    สาบานเลยว่าสนุกกว่าเรื่องนี้แน่เพราะเรื่องนี้มันคือการแต่งแบบด้นสดและตัดจบมาก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×