ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Arthos Fantasy Tales. ผจญภัยต่างโลก

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2 : เมือง

    • อัปเดตล่าสุด 22 พ.ย. 57


                    “อืม... นี่คือที่รวบรวมมาทั้งหมดสินะ”วศินพึมพำ แล้วมองดูเขี้ยวเล็บของพวกแร็ปเตอร์ที่เขารวบรวมมา พวกมันดูแข็งแรงมากทีเดียว “เฮ้อ เนื้อไดโนเสาร์นี่ก็กลิ่นหอมดีนะ”

     

                    ชายหนุ่มหันไปมองกองไฟที่เขาจัดทำลวกๆ หลังจากที่ต่อสู้เสร็จก็ตกเย็นแล้ว วศินนั้นฆ่าไปมากมายพอสมควรเลย จนร่างกายตัวเองเรียกว่าเมื่อยล้าสุดๆเลยละ หลังจากนั้นก็ลอกหนังแร็ปเตอร์ตัวนึงที่สภาพยังดีอยู่ มาห่อเอาเขี้ยวเล็บของพวกมันกลับมา แล้วไม่รีบเฉือนเนื้อสันในของมันมาด้วย

     

                    จากนั้นก็ทำการหากิ่งไม้แห้งแล้วก็ใช้วิชาทหารก่อตั้งค่ายไฟที่ถ้ำเดิมที่เขาอยู่นั่นเอง ยังดีที่ด้านหลังถ้ำที่พักใหม่ซึ่งเขาเจอนี่ไปอีกประมาณสี่ร้อยเมตรมีลำธารสายเล็กๆไหลผ่านอยู่ จึงไม่มีปัญหาเรื่องน้ำดื่มอะไรนัก ชายหนุ่มหยิบกิ่งไม้แห้งมาเติมเชื้อไฟ แล้วเหลือบมองดูแร็ปเตอร์สันในเผาเสียบไม้ว่าสุกยัง ก่อนจะเอื้อมมือไปขยับไม้หมุนเพื่อเปลี่ยนมุมเผา

     

                    “เอาละ ตอนนี้ก็โอเคขึ้นมามากแล้ว”

     

                                   

    ชื่อ : วศิน อาทิตยาทิพย์

    ระดับ : 7

     

    แต้มค่าสถานะพิเศษที่คงเหลือ : 5

     

    สถานะปัจจุบัน

    กล้ามเนื้อ : 9 (+)

    ความคล่องตัว : 20 (+)

    พละกำลัง : 17 (+)

    ความเร็ว : 19 (+)

    การฟื้นฟู/ความอึด : 23 (+)

    ประสาทการตอบโต้ :

    สมาธิ : 31 (+)

    พลังพิเศษ : 4 (+)

     

     

    สกิลพิเศษติดตัว

    (Unique)โลกที่เวลาแทบจะหยุดเดิน : เพิ่มความสามารถในการตอบโต้ให้ถึงสุดขีดของความสามารถ สามารถมองเห็นทุกอย่างช้าลงหรือแทบหยุดเวลาลงไป และหากผู้ใช้มีความสามารถเพียงพอก็จะสามารถตามความเร็วที่ตัวเองมองเห็นได้

     

     

                    “ทำไมมันถึงขึ้นมาได้ ทั้งๆที่เลเวลก็ไม่ได้อัพนะ หรือว่าเป็นค่าสถานะแถมตามเลเวล”วศินฉงนใจเป็นอย่างมาก แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ “หรือว่าโลกนี้ทุกอย่างมันเหมือนกับความจริง เพราะไอ้เหนื่อยล้าจนสายตัวแทบขาดนี่ก็ของจริงเหมือนกัน ถ้าเกิดว่านะ โลกนี้ก็เหมือนโลกที่แล้ว ฝึกวิ่งก็ได้วิ่ง ฝึกโจมตีก็ได้โจมตี”

     

                    ชายหนุ่มนึกถึงตอนที่ตัวเองหักโหมตั้งสมาธิฆ่าล้างฝูงแร็ปเตอร์ที่มาล่าเขาได้ เขาเองก็ฝืนร่างกายตลอด แต่วินาทีนั้นเรียกได้ว่าอยู่หรือตาย ทำให้ไม่มีเวลามาสนใจความเหนื่อยล้า ไอ้ค่าสถานะพวกนี้อาจจะเป็นค่าสถานะในปัจจุบันก็ได้ แต่หลอดพลังอย่างหลอดความเหนื่อย ความล้าอะไรพวกนี้มันไม่มีให้เห็น ถึงร่างกายจะพัฒนาขึ้น แต่ก็ต้องได้รับการพักผ่อนซ่อมแซมอยู่ดี

     

                    พอตีความเข้าใจเป็นในแบบของตัวเองแล้วก็ตัดสินใจเก็บค่าสถานะพิเศษที่เหลือเอาไว้ทั้งหมดทันที

     

                    นั่นเพราะว่าเขานึกถึงสภาพตอนที่ตัวเองสามารถวิ่งร้อยเมตรสิบวินาที ถ้าได้รับการฝึกและพัฒนาตัวเอง แต่ถ้าหลังจากเร็วได้เท่านั้นแล้วใส่ค่าสถานะเสริมเข้าไปละ? เขาแทบไม่อย่างคิดเลยละ ว่าจะเร็วขนาดไหน หรือจะเป็นตอนที่เขาอาจจะฟันได้แรงสุดๆ แต่ถ้าบวกค่าสถานะพละกำลัง และ สถานะ กล้ามเนื้อเข้าไปละ?

     

                    “นี่มันโกงนี่หว่า”เขาร้องออกมา แล้วทำหน้าฝันหวาน “ในโลกที่ช้าลงนั่นรู้สึกเหมือนว่าจิตใจจะเร้าให้ร่างกายตอบสนองความเร็วนี่หว่า ที่จริงแล้วนี่เหมือนได้สูตรอัพค่าสถานะในตัวด้วยเลย แบบนี้ถ้าฝืนใช้สู้เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ยังไงก็ชนะเห็นๆ”

     

                    ชายหนุ่มหัวเราะออกมา แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้อยู่ตัวคนเดียว แล้วก็เหงาเหมือนกัน ไอ้หลุดมาต่างโลกน่ะมันเหลือเชื่อก็จริง แต่ถามว่าอยากกลับไปบ้านไหม ก็ไม่เท่าไหร่ เพราะนิสัยเขาเป็นคนลุยๆอยู่แล้ว ความสะดวกสบายนี่ก็ไม่ค่อยสนใจมากเท่าไหร่ ตามมีตามเกิดไปก็ไม่เป็นไร

     

                    วศินหยิบเนื้อย่างที่สุกได้ที่มาลองกัดดู

     

                    “เหนียว”

     

                    ชายหนุ่มพึมพำ หลังจากที่เคี้ยวเนื้อแร็ปเตอร์อย่างยากลำบาก รสชาติคล้ายๆเนื้อไก่บ้าน แต่เหนียวกว่าแข็งกว่าเข้มกว่าเยอะ

     

                    พอทำธุระทุกอย่างเสร็จแล้วก็นั่งงีบหลับทันที แล้วเหมือนเป็นโชคดีที่ไม่มีตัวอะไรเข้ามากวนในตอนเขาหลับ อันที่จริงมีอยู่ แต่ก็เป็นแค่สัตว์เล็กๆอย่างกระต่ายเท่านั้นที่หลงเข้ามาในถ้ำ ซึ่งพอเห็นกองไฟก็วิ่งแจ้นหนีไปทันที และนั่นยิ่งทำให้เขาวางใจว่าการหลับนั้นไม่ทำให้สัญชาติญาณระวังตัวลดลงไปได้

     

                    วศินตื่นมาตอนเช้าอันสดใส ไปลำธารลูบเนื้อลูบตัวพักใหญ่ แล้วกลับมาในสภาพสดชื่นเต็มพลัง ชายหนุ่มตัดสินใจสละเวลาช่วงเช้าในการออกกำลังกายใช้ดาบฟันลมเพื่อวอร์มอัพเรียกเหงื่อ อาการปวดเมื่อยตามตัวยังมีอยู่ แต่ก็น้อยลงมาก

     

                    แถมตัวชายหนุ่มเองยังรู้สึกว่าเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น คล่องขึ้น มีพละกำลังมากขึ้นและสมาธิสูงขึ้นด้วย พอรู้สึกว่าตัวเองพัฒนามาถูกทางแล้วก็ยินดีขึ้น วศินคว้าดาบเหล็ก ตั้งใจวันนี้จะต้องหาเมืองให้เจอให้ได้

     

                    ชายหนุ่มเดินทางไปอีกระยะใหญ่ เจอมอนสเตอร์แปลกๆตั้งแต่สแลม ก็อบลิน หมูป่าขนสีดำเทา ซึ่งเขาเองก็จัดการต่อสู้และผ่านมาได้ด้วยดี แต่น่าเสียดายที่ระดับของเขานั้นหยุดลงที่ระดับ 7 และยังไม่เพิ่มขึ้นอีกเลย

     

                    วศินหลบหลีกลูกธนูของก็อบลินอาเชอร์ แล้วพุ่งเข้าไปฟันใส่ ตอนนี้ชายหนุ่มกำลังเผชิญกับฝูงก็อบลินประมาณยี่สิบตัวได้ พวกมันอ่อนแอ แต่จำนวนมาก และนี่เป็นกลุ่มที่สามแล้วที่เขาเจอมา และโชคดีที่ดูเหมือนเขาจะได้ของดีๆจากก็อบลินไม่น้อยเลย

     

                    ไม่ว่าจะเป็นเหรียญทองในถุงผ้ากำมะหยี่อย่างดีกว่าสิบเหรียญ เสบียงอาหารและน้ำที่พวกมันพกพามาด้วย รองเท้าบู้ทที่ไซส์พอดีกับเท้าของเขาพอดี แต่ที่ดีที่สุดคือดาบเล่มใหม่ที่เขาได้มา

     

                    วศินหยิบไพ่หินสีดำออกมา แล้วเอามันไปแตะลงที่ตัวดาบในมือ ซึ่งมันเป็นดาบเหล็กกล้าที่ดูแข็งแกร่ง ประดับโกร่งดาบด้วยอัญมณีสามสี แต่ไพ่สีดำที่เขาใช้แตะนั้นเป็นความลับใหม่ที่เขาพึ่งค้นพบ เพราะทันทีที่มันแตะลงบนดาบเล่มนี้ มันก็แสดงออกมาทันที

     

     

    ตรวจสอบสถานะ : ดาบ

    ชื่อ : ลิจิค

    ระดับ : 10

     

    ข้อมูล : ดาบที่ถูกสร้างขึ้นมาจากช่างฝีมือชื่อดังในอดีต ลิจิค เนื่องจากเป็นผลงานที่ดีที่สุดของนายช่างลิจิค ดาบเล่มนี้จึงถูกตั้งชื่อตามผู้สร้าง ตัวดาบสร้างจากเหล็กปริศนาที่ไม่ถูกเปิดเผยที่มาที่ไป มีพลังอำนาจพิเศษที่ทำให้เมื่อถ่ายเทพลังเวทลงไปในตัวดาบแล้ว จะสามารถฟันเหล็กด้วยกันให้ขาดได้ง่ายเหมือนหั่นเนย ดาบเล่มนี้ถือเป็นสมบัติตกทอดในตระกูลอัศวินชั้นสูง ต่อมาทายาทคนล่าสุดได้เข้าร่วมคาราวาน และถูกกองทัพโจรก็อบลินสังหารตาย ดาบเล่มนี้จึงตกมาอยู่ในมือของก็อบลิน และเหล่าก็อบลินผู้โชคร้ายก็ถูกชายหนุ่มนิรนามสังหารตายทั้งกลุ่ม ดาบเล่มนี้จึงตกมาอยู่ในมือของชายหนุ่มนิรนามในที่สุด

     

     

                    “เฮ้ย โคตรดาบ”วศินกำมือที่ถือดาบเป็นท่า เยส แล้วเก็บไพ่หินลงในกระเป๋าเสื้อ “ไม่คิดเลยว่าพวกก็อบลินจะปล้นอะไรเจ๋งๆแบบนี้ได้ด้วย”

     

                    ชายหนุ่มตวัดดาบไปมา ตัวดาบหนักพอสมควร เพราะมันเป็นดาบยาวที่ใช้สองมือถือ ชายหนุ่มเก็บดาบเข้าฝัก ก่อนที่จะเดินทางย้อนรอยตามรอยเท้าไป เพราะเชื่อว่าพวกมันพึ่งจะปล้นเสร็จแน่นอน แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ไม่นานนักเขาก็หลุดออกมาที่ถนน มีซากคาราวานที่พังยับเยิน ศพมนุษย์ประมาณยี่สิบคนได้

     

                    “อุ้บ”เขาปิดปากเอาไว้ สะอิดสะเอียนเลือดเล็กน้อย แต่ด้วยความที่มีจิตใจเข้มแข็งทำให้พอจะผ่านมันไปได้ ชายหนุ่มจัดแจงเดินทางไปตามถนนใหญ่ที่ปูทางเอาไว้ทันที

     

                    ระหว่างทางเดินเขาก็เจอก็อบลินปล้นสะดมบ้าง แต่จะเป็นเหยื่อให้วศินใช้ดาบเล่มใหม่ฟาดฟันเอามากกว่า ดาบเล่มใหม่สุดยอดแค่ไหนละ? ก็สามารถฟันดาบตรงข้ามให้หักขาดจากกันได้เหมือนใช้มีดตัดเนยเลยไงละ เพราะความเหนือชั้นจากดาบ ทำให้เขาใช้วิธีหลบหลีกแล้วฟันตรงสู้ไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ชนะหมด

     

                    เสบียงกรังกับน้ำ เขาก็ได้จากพวกก็อบลินที่มันเก็บเอาไว้ ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องอาหารและน้ำ ยิ่งเดินทางไปเท่าไหร่ โอกาสเจอมอนสเตอร์ก็น้อยลง ป่าเองก็เริ่มโปร่งขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้ายก็เห็นเมืองอยู่ที่สุดขอบสายตา เป็นเมืองขนาดไม่ใหญ่มากนัก

     

                    “เมืองละ”เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก “รอดแล้วตู”

     

                    เมืองแห่งนี้คึกคักพอสมควร วศินเห็นกองคาราวานหลายกองที่มีนักรบถือดาบขี่ม้าเดินสวนไปหลายขบวนเหมือนกัน ดูเหมือนป่าที่เขาผ่านมานั้นจะอันตรายพอดูเลยละ

     

                    “เฮ้ย เจ้าหนู”เสียงตะโกนดังขึ้น พร้อมม้าที่ขยับมาใกล้ๆ วศินตื่นตัวเล็กน้อยแล้วหันไปมองชายคนนั้น

     

                    “ครับ ว่าไง”

     

                    ชายรูปร่างใหญ่ ถือหอก ผิวขีแดงเข้มดวงตาดุ อยู่ในชุดหนังอย่างดีกำลังขมวดคิ้ว

     

                    “เจ้าผ่านป่าปีศาจมาคนเดียวเลยหรือเปล่า”

     

                    “ครับ”วศินรีบตอน “พอดีผมรีบเดินทางมาพอดี”

     

                    “งั้นได้เห็นกองคาราวานกองใหญ่ที่ผ่านเข้าไปก่อนไหม”

     

                    วศินขยับตัวอึดอัดเล็กน้อย ดาบยังเหน็บอยู่ข้างเอว แต่เขาใส่ผ้าคลุมสีดำรุ่ยๆที่ปล้นมาได้ทับ ทำให้มองไม่เห็นรูปร่างของอาวุธชัดเจนนัก

     

                    “เห็นครับ ข้าเห็นตอนพวกเขาถุกพวกก็อบลินปล้น ฆ่าล้างไปหมดแล้ว ข้าเองก็แข็งแกร่งไม่พอจึงไม่สามารถเข้าช่วยเหลือได้”วศินรีบชี้แจงบอก “พวกมันมีในป่าเยอะมาก ข้าเองกว่าจะหลบหนีมาที่นี่ได้ก็เหนื่อยทีเดียว”

     

                    “งั้นหรอกหรือ”ชายคนนั้นพึมพำ “พวกเราเร่งเดินทาง ดยุคโบเรียสน่าจะถูกพวกก็อบลินปล้นแล้วเสียชีวิตแล้ว พวกเราต้องรีบไปแล้ว”

     

                    เขาหันมาตะโกนกับพวกพ้องในกองคาราวาน แล้วล้วงเงินเข้าไปในกระเป๋า ก่อนจะโยนถุงทองออกมาให้ วศินรับมันเอาไว้ทันที

     

                    “นี่ค่าตอบแทนสำหรับข่าว เจ้าเองก็ฝีมือใช้ได้นะที่หลบรอดจากพวกก็อบลินได้ ถ้าอยากเป็นทหารรับจ้าง ให้ถามหากลุ่มหอกสีเพลิงเอาไว้แล้วกัน”เขายิ้ม แล้วควบม้าจากไปทันที

     

                    วศินเปิดถุงดูเงินข้างใน ก็พบเหรียญเงินสิบเหรียญกับเหรียญทองอีกเหรียญนึง น่าจะเยอะพอดูเลยทีเดียว ชายหนุ่มกระชับดาบข้างเอวให้แน่นขึ้นอีกนิด ก่อนที่จะเดินเข้าไปในเมือง

     

                    การผ่านเมืองนั้นง่ายมากๆเลยในความคิดเขา แค่เดินผ่านทหารยามก็แค่เหลือบมองเท่านั้น เมืองแห่งนี้ปักป้ายเอาไว้หน้าเมืองว่า รูเบียส เป็นเมืองขนาดกลางที่ดูอบอุ่น อากาศเย็นสบาย เขาเดินไปมาอีกซักพักก็หยุดที่พัก โรงเตี้ยมคนจร

     

                    ข้างในนั้นแม้ในตอนนี้จะยังเป็นแค่ยามบ่าย แต่ก็คึกคักไปด้วยผู้คน ชายหนุ่มก้าวยาวๆผ่านโซนโต๊ะอาหารไปที่โต๊ะที่ตั้งไว้สำหรับจ่ายกุญแจห้อง หญิงสาวหน้ามนสไตล์ยุโรปเงยหน้าขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง

     

                    “คืนละเท่าไหร่ครับ”ชายหนุ่มถามสั้นๆ

     

                    “คืนละร้อยกิลค่ะ”เธอหยิบกุญแจดอกหนึ่งที่สลักเลข 224 เอาไว้ นั่นคงหมายถึงชื่อห้อง

     

                    วศินไม่รู้ว่า ร้อยกิลคิดแป็นเหรียญอะไร จึงหยิบเหรียญทองในกระเป๋ามาวางไว้ หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อย

     

                    “มีเหรียญเงินหนึ่งร้อยกิลไหมคะ พอดีว่าเหรียญทองหนึ่งหมื่นกิลเราเองก็พอจะมีทอนอยู่บ้าง แต่มันค่อนข้างหนักกระเป๋า...”

     

                    “เข้าใจแล้ว”ชายหนุ่มตัดบท แล้วหยิบเหรียญเงินในกระเป๋าให้หญิงสาวแทน ก่อนจะเก็บเหรียญทองกลับมา

     

                    ชายหนุ่มจัดแจงขึ้นไปดูห้องก่อน ห้องจัดแต่งได้เรียบหรูสไตล์ยุโรป แต่ที่แปลกตาคือห้องอาบน้ำที่มีฝักบัวให้ด้วย ทำให้ชวนนึกว่าเทคโนโลยีของที่นี่มันแปลกๆเล็กน้อย แต่บางทีอาจจะเป็นเวทมนตร์ก็ได้ ชายหนุ่มปัดความคิดเล็กๆน้อยๆออกไปจากใจ

     

                    พอสำรวจห้องเสร็จก็กลับลงมาและเดินสำรวจเมืองทันที เป้าหมายของเขาคือหาข้อมูลให้ได้มากที่สุดว่าที่นี่คือที่ไหน และที่สำคัญคือเรื่องการหาเงินนั่นเอง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×