คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 แสงที่เรืองรอง
ภายใต้หิมะที่ค่อยๆตกลงมาอย่างบางเบา ใบหน้าของฟิลลิปดูเศร้าอย่างประหลาด
"ลูเซ่คือ...คือฉันจะต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ"ฟิลลิปพูดอย่างติดๆขัดๆ
"แล้วจะไปเมื่อไหร่หรือคับ"
"เที่ยงคืนวันนี้"
"แล้วไปนานเท่าไหร่หรือคับ"เมื่อได้ยินอย่างนั้นผมก็เริ่มใจไม่ดี
"ฉันบอกไม่ได้แต่คงจะอีกหลายปีกว่าจะจบ"
"จะกลับมาหาผมได้ไหมคับ"
"คงจะไม่ได้หรอก มันเป็นโรงเรียนประจำไม่อนุญาติให้นักเรียนออกมาข้างนอก"
"แล้ว...แล้วผมจะได้เจอพี่ฟิลลิปอีกไหมคับ"น้ำตาของผมก็เริ่มคลอออกมา
"อย่าร้องไห้สิลูเซ่ ชั้นจะต้องกลับมาแน่นอน ชั้นไปเรียนไม่นานหรอก"ในขณะนั้นฟิลลิปก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบของสิ่งหนึ่งออกมา มันเป็นล็อกเก็ตสีเงินที่ดูสวยงาม
"เก็บไว้ดีๆนะ"ฟิลลิปยื่นล็อกเก็ตมาใส่ไว้ที่คอของผมอย่างเบามือ
"ลองเปิดข้างในดูสิ"เมื่อผมได้ยินอย่างนั้นผมจึงค่อยๆเปิดมันออกช้าๆ
สิ่งที่ผมเห็นก็คือรูปถ่ายคู่ของผมกับฟิลลิป
"น...นี่คือ"
"ฉันอยากให้นายเก็บไว้เพื่อนายจะคิดถึงชั้นจะได้มีไว้ดูต่างหน้า"
"พ...พี่ฟิลลิป แง แง แง "ผมร้องไห้หนักมาก ในตอนนั้นความรู้สึกเหมือนถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวค่อยๆคืบคลานเข้ามาในตัวผม
"ไม่เป็นไรนะลูเซ่อย่าร้องไห้เลย"เมื่อได้ยินอย่างนั้นผมก็รีบเช็ดน้ำตาบนหน้าแล้วยิ้มให้ฟิลลิปอย่างช้าๆ
"ติดต่อกลับมาบ้างนะคับ"
"แน่นอนชั้นไปก่อนนะเมอรี่คริสต์มาส"ฟิลลิปค่อยๆเดินจากไปพร้อมหิมะที่ร่วงหล่น เหลือแต่ผมที่ยืนยิ้มส่งเค้าอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางลมหนาว "เมอรี่คริสต์มาสคับพี่ฟิลลิป"
ระหว่างที่ผมกำลังปาดน้ำตาแล้วคิดจะกลับโบสถ์ผมก็เจอชายหญิงคู่หนึ่งที่ดูอบอุ่น ทั้งสองมองมาทางผม พวกเขามีหน้าตาที่สะอาดสวยงามหมดจดจนหาอะไรมาเทียบไม่ได้
"ย...ยังไม่กลับกันหรอคับ"ผมถามด้วยความแปลกใจเพราะตอนนี้ก็เริ่มมืดแล้วแต่ตรงที่สองคนนั้นยืนอยู่กลับสว่างแปลกตา
"กำลังจะกลับน่ะจ๊ะ"ผู้หญิงคนนั้นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น
"เห็นเธอคุยอยู่เลยไม่อยากกวนคนที่คุยด้วยเพื่อนหรือจ๊ะ"
"ใช่คับ"
พวกเขาก็ชวนผมคุยเรื่องต่างๆไปเรื่อยไม่ว่าจะชีวิตประจำวันการศึกษา เพื่อนหรือเรื่องต่างๆนาๆของผมตอนคุยกับพวกเขาผมรู้สึกถูกชะตาอย่างประหลาด ผมรู้สึกคุ้นเคยเหมือนรู้จักพวกเขามานานเราคุยจนท้องฟ้าเป็นสีดำ
"มืดขนาดนี้แล้วหรือเนี่ย"ผมคุยเพลินจนลืมดูเวลาจึงลาทั้งสองคน"ขอตัวก่อนนะคับ"
"อย่าเพิ่งไปสิจ๊ะฉันมีอะไรจะให้"อยู่ดีๆผู้หญิงคนนั้นหยิบผมแอปเปิลจากที่ไหนไม่รู้มาให้ผม"เมอรี่คริสต์มาสนะจ๊ะ"ผมรับมาแต่โดยดีแล้วขอบคุณพวกเขา"งั้นพวกเราไปก่อนนะจ๊ะไปเถอะค่ะคุณ" เธอบอกกับสามีแล้วก็เดินจากไป
"เป็นคนดีจังแหะ" ผมเดินไปพลางกัดแอปเปิ้ลไปมันหวานอร่อยแบบที่ผมไม่เคยกินมาก่อนเลยในชีวิตสงสัยจะแพงมาก ผมรีบกลับไปที่โบสถ์เพื่อที่จะเตรียมตัวนอนสักที
ระหว่างที่ผมจะเข้าห้องไปหยิบอุปกรณ์อาบน้ำหลวงพ่อก็เรียกผมเข้าไปคุยที่ห้อง
"นั่งก่อนสิลูเซ่"
"คับหลวงพ่อมีอะไรหรอคับ"ผมถามอย่างแปลกใจเพราะนี้ก็ดึกมากแล้วหลวงพ่อจะมีเรื่องอะไรจะพูดกับผมกันนะผมไม่ได้ทำอะไรผิดมาสักหน่อย
"พ่อมีอะไรจะให้นะ"หลวงพ่อหยิบของอย่างหนึ่งออกมามันเป็นกำไลสีทองสองวงไร้ลวดลายแต่ก็สวยมาก
"ท่าจะแพงมากเลยนะคับ"ก็มันเป็นทองแถมยังสวยขนาดนี้ไม่แพงก็แย่แล้ว
"มันติดมาตอนลูกถูกทิ้งไว้ที่หน้าโบสถ์"
"ตอนนั้นเป็นอย่างไรหรอคับ"ผมไม่เคยถามหลวงพ่อว่าผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเพราะผมก็มีความสุขดีอยู่แล้วที่ได้อยู่ที่นี่ได้อยู่กับหลวงพ่อเล่นกับฟิลลิปแต่ครั้งนี้ต่างออกไป ผมรู้สึกเหงาทำให้ผมอยากถามชาติกำเนิดของผมดู
หลวงพ่อเล่าย้อนไปเมื่อสิบปีที่แล้วในวันคริสต์มาสอีฟเหมือนวันนี้ ตอนหลวงพ่อมาประจำที่โบสถ์ใหม่ๆหลังจากภรรยาและลูกประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต หลวงพ่อเสียใจมากจึงอุทิศตัวให้พระเจ้าคอยช่วยเหลือผู้คน
ในวันหนึ่งหลังจากเสร็จพิธีผู้คนกลับไปกันหมดแล้ว หลวงพ่อเก็บของอยู่ข้างในโบสถ์ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กดังออกมาจากข้างนอกโบสถ์ สิ่งที่หลวงพ่อพบก็คือเด็กน้อยน่ารักที่มีหน้าตายิ้มแย้มอยู่ในตะกร้าที่คลุมด้วยผ้าห่มผืนหนาพร้อมซองซองหนึ่งในนั้นเขียนไว้ว่า "ถ้าเด็กโตขึ้นมาแล้วไม่มีใครมารับตัวก็ให้มอบกำไลให้แก่เด็กเพื่อที่เขาจะได้รู้ความจริงของตน" หลวงพ่อตอนนั้นคิดว่าพระผู้เป็นเจ้าเมตตาทรงประทานเด็กคนนี้มาให้เลี้ยงดูเพื่อที่จะชดเชยความสูญเสียของตนจึงเลี้ยงดูอย่างดีจนผมโตถึงทุกวันนี้
"วันนี้พ่อก็เห็นว่าลูกโตแล้วก็เลยมอบกำไลคู่นี้ให้ เพื่อที่ลูกจะได้รู้ว่าใครคือพ่อแม่ของลูก"
"แล้วผมจะรู้ได้ยังไงละคับ"ผมแปลกใจว่าแค่กำไลสองวงจะทำให้ผมรู้จังพ่อกับแม่ได้ยังไง
"เรื่องนี้พ่อก็ไม่รู้หรอก"
"งั้นหรอคับ"ผมก็ยังงงกับกำไลอยู่ดีนั่นแหละ
แล้วหลวงพ่อก็บอกให้ผมไปอาบน้ำนอนได้แล้วเพราะนี้ก็ดึกมากแล้วผมเดินกลับห้องไปด้วยความรู้สึกงุนงง
ผมนั่งมองกำไลทั้งสองวงอยู่ในห้องเพราะยังสงสัยอยู่ แล้วลองสวมกำไลไว้ที่แขนทั้งสองข้างข้างละวงมันรู้สึกประหลาด เหมือนอะไรสักอย่างวิ่งไหลในตัว มันทั้งผมรู้สึกสบายตัวและอบอุ่น
ในขณะนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงอะไรสักอย่างดังมาจากห้องหลวงพ่อ ผมรีบไปดูทันทีสิ่งที่ผมเห็นก็คือเงาสีดำรูปร่างคล้ายผู้หญิงแต่มีปีกกำลังบีบคอหลวงพ่อแล้วยกขึ้นสูงที่มุมปากหลวงพ่อมีเลือดไหลออกมา
"ลูเซ่หนีไป"หลวงพ่อตะโกนออกมาผมทำอะไรไม่ถูก เข่าผมทรุดลงด้วยความกลัว เจ้าเงานั้นโยนหลวงพ่อไปกระแทกกับตู้แล้วมองมาทางผม
"ข้าหาเจ้าเจอเสียที" เสียงผู้หญิงที่ดูน่าสยดสยองดังออกมาจากเงานั้นมันค่อยๆเข้ามาใกล้ผมแต่ผมไม่สามารถขยับตัวได้เหมือนถูกสะกด
"อย่ายุ่งกับเด็กคนนั้นนะ"หลวงพ่อปาดาบประดับผนังใส่เงานั่นมันแผดเสียงลั่นแล้วปล่อยคลื่นสีดำใส่หลวงพ่อจนกระแทกตู้พังลงมาแล้วสลบไป ผมตกใจมากจึงรีบเข้าไปดูอาการทันที โดยไม่ได้ดูเลยว่ากำไลทั้งสองข้างนั้นเรืองแสงอยู่
"หลวงพ่อเป็นอะไรไหมคับ"ผมรีบดูอาการของหลวงพ่อโดยทันทีท่านกระอักเลือดออกมาเยอะมากร่างกายตรงที่โดนคลื่นกระแทกค่อยๆเป็นสีดำและลุกลามไปตามร่างกาย
"พ่อไม่ไหวแล้วละ"หลวงพ่อพูดออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา
"หลวงพ่อคับ"ผมเรียกท่านด้วยน้ำตา
เงาปีศาจนั่นค่อยๆคืบคลานเข้ามาใกล้พวกเราอย่างช้าๆ
"ลูเซ่นี่เป็นคำขอสุดท้ายของพ่อ เรียกข้าว่าพ่ออย่างเต็มปากซักครั้งได้ไหม"
"ไม่ต้องให้เรียกคุณก็เป็นพ่อของผมอยู่แล้วคับ " น้ำตาของผมไหลอาบเต็มหน้าทำให้เห็นอะไรไม่ค่อยถนัด
เงานั่นเข้ามาใกล้ผมทุกขณะ "คุณพ่อ" ผมตะโกนเสียงลั่นกำไลนั้นเปล่งแสงจ้าแสบตาออกมา แสงนี้ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน รอยปานบนตัวของพ่อเลือนหายไปพร้อมกับเงาร่างนั้น มันแผดเสียงกรีดร้องอย่างน่าสยดสยองก่อนที่จะหายไปแบบไม่เหลือซาก
หลังจากนั้นสติของผมก็ดับวูบลง
จบบท
ความคิดเห็น