ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    EdenChildren แก๊งป่วนก๊วนพิทักษ์โลก

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 เริ่มเดินทาง

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.ย. 55


    27 ธันวาคม สนามบิน กรุงเบิร์น สวิสเซอร์แลนด์
         มาถึงตอนนี้ผมก็เริ่มคิดแล้วว่าการเดินทางครั้งนี้ต้องไม่ง่ายแน่ๆ
         ผมนั่งรอที่สนามบินได้สักครึ่งชั่วโมงคุณไดลาน่าก็มาบอกว่าถึงเวลาต้องขึ้นเครื่องแล้วเราเดินผ่านที่ตรวจพาสปอร์ตได้โดยไม่ต้องตรวจผมเดินผ่านร้านขายของต่างๆมากมายที่ยังประดับด้วยธีมคริสต์มาสอยู่ทำให้ผมคิดถึงเงินในกระเป๋าขึ้นมาว่ายังไม่ได้ซื้อของขวัญให้พ่อเลยผมจึงขอคุณไดลาน่าไปซื้อของสักครู่ของที่ผมซื้อมาเป็นโพสต์การ์ดลายเครื่องบินแล้วเขียนข้อความว่า"ถ้าคุณพ่อตื่นเมื่อไหร่ติดต่อผมมาด้วยนะคับผมอยู่กับองค์กรที่ดูแลหลวงพ่ออยู่ชื่อว่า อีเดน กาเด้น  ลงชื่อ ลูเซ่"แล้วผมก็ฝากคุณไดลาน่าส่งให้หลวงพ่อด้วยเธอบอกไม่ต้องห่วงของขวัญชิ้นนี้ต้องถึงมือผู้รับแน่นอนผมเดินต่อไปเรื่อยๆจนเจอเครื่องบินลำใหญ่อยู่ด้านนอกอาคารคุณไดลาน่าบอกว่านี่คือเครื่องที่เราจะนั่งไป
         พอผมเดินขึ้นเครื่องเจอพนักงานต้อนรับอยู่สองคนพวกเธอยิ้มให้ผมแล้วถามที่นั่งผมแต่พอคุณไดลาน่ายื่นบัตรบางอย่างให้พวกเธอก็พาผมขึ้นบันไดไปชั้นสองที่เป็นชั้นเฟิสต์คลาสมันเป็นห้องเล็กๆมีโซฟาอยู่สองด้านซ้ายขวาและโต๊ะตรงกลางหนึ่งตัวมีทีวีติดผนังเครื่องใหญ่อยู่ด้านในสุดของห้องด้านข้างประตูมีห้องน้ำเล็กๆอยู่สองห้องบนเพดานมีชั้นไว้เก็บกระเป๋าโดยมีพนักงวนช่วยเอาขึ้นไปวางให้ผมพอผมเดินไปนั่งก็รู้สึกถึงความนุ่มของโซฟามันนุ่มขนาดผมนั่งยังยุบได้ผมลองกระเด้งดูไม่นานก็ถึงเวลาเครื่องขึ้นจอทีวีขึ้นรูปการใช้เครื่องบินไปสักพักพนักงานเครื่องบินคนหนึ่งก็เข้ามารัดเข็มขัดให้ผมอย่างเรียบร้อยแล้วยิ้มให้ผมผมจึงยิ้มตอบเค้าไป
         พอเครื่องขึ้นไปได้สักพักก็มีพนักงานคนเดิมเข็นรถอาหารเข้ามาแล้วดึงที่วางอาหารออกมาจากข้างที่นั่งแล้ววางถาดอาหารมาไว้ข้างหน้าผมแล้วไปทำให้คุณไดลาน่าต่อ
         อาหารที่ผมได้มาเป็นสเต็กปลาชิ้นใหญ่ มันบด ขนมปังครัวซองและผลไม้มันเป็นอาหารมื้อใหญ่ที่อร่อยแบบที่ผมไม่เคยกินมาก่อนผมจึงกินไม่เหลือเลยซักอย่างสักพักพนักงานก็มาเก็บถาดอาหารแล้วยื่นน้ำผลไม้ให้ผม
         ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดอย่างน่าประหลาดคุณไดลาน่าถามผมว่าไม่นอนหรือผมบอกว่าผมยังไม่ค่อยๆง่วงคงเพราะผมสลบมาหลายวันคุณไดลาน่าเลยขอนอนก่อนถ้าผมมีปัญหาอะไรให้บอกพนักงานข้างนอกได้มันเป็นเวลาที่ยาวนานมากผมดูทีวีบ้างลุกไปเข้าห้องน้ำบ้างได้เกือบชั่วโมงจนเผลอหลับไป
         ผมตื่นมาอีกทีก็ตอนที่คุณไดลาน่าปลุกว่าถึงแล้วให้ลุกสะพายกระเป๋าได้พอผมลุกเดินออกจากห้องลงบันไดที่ทางออกก็มีพนักงานต้อนรับคอยขอบคุณอยู่ตามทาง   
         ผมค่อยๆเดินตามคุณไดลาน่าออกมารอรถหน้าสนามบินตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงของที่นี่ทำให้อากาศออกจะร้อนไปบ้างผมจึงถอดเสื้อตัวนอกออกแล้วเก็บใส่กระเป๋าพร้อมหยิบแซนวิชที่ซื้อมาจากสนามบินขึ้นมากิน
         ผ่านไปเกือบห้านาทีก็มีรถเล็กๆคันหนึ่งมาจอดข้างหน้าผมแล้วคนขับรถก็ลงมาทำความเคารพคุณไดลาน่าแล้วพาผมขึ้นรถไปยังชายทะเลที่ชานเมืองผ่านชายหาดที่มีผู้คนอยู่น้อยนิดเพราะยังไม่ถึงฤดูที่น่าเที่ยวผมอยากลองเล่นน้ำทะเลบ้างจังแต่เสียดายที่สวิสไม่มีทะเลให้เล่นได้แต่เห็นในทีวีไม่ก็หนังสือรถแล่นมาเรื่อยๆจนถึงที่ที่มีเรือหลายร้อยลำจอดอยู่เรียงรายพวกมันมีขนาดไม่ใหญ่มากแต่ดูหรูหราคนขับรถบอกว่าเรือของผมอยู่คันท้ายสุด
         เมื่อรถมาจอดที่ท้ายท่าเรือผมก็สะพายกระเป๋าลงมาจากรถโดยคุณไดลาน่าขอคุยธุระให้ผมเดินเล่นบนเรือไปก่อนผมเดินขึ้นเรือไปอย่างช้าๆเดินดูรอบๆมันเป็นเรือเหมือนลำอื่นๆแต่ดูเล็กกว่ามีบันไดอยู่กลางเรือไว้ลงไปชั้นล่างมีห้องคนขับอยู่ด้านหน้าและมีบันไดเล็กๆไว้ขึ้นไปบนดาดฟ้า
         ผมค่อยๆเดินขึ้นบันไดไปชมวิวรอบๆที่ดาดฟ้าแต่ผมก็ชนกับอะไรก็ไม่รู้ทำให้ก้นผมกระแทกพื้นดีที่พื้นไม่แข็งมากผมค่อยๆดูว่าผมชนอะไรล้ม
         ที่ผมเห็นคือผู้ชายร่างใหญ่สูงเกินร้อยแปดสิบมีผมสีดำเข้มที่ตัดสั้นเกรียน หน้าตาเกลี้ยงเกลาดวงตาสีเข้มภายใต้แว่นหนาใสกรอบเงิน ผิวสีเข้มเกรียนแดดแต่ก็ไม่ถึงกับดำเสื้อยืดลายดอกกล้วยไม้สีอ่อนกับกางเกงขาสั้นแต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องประหลาดใจที่สุดคือพุงที่พลุ้ยออกมาใต้เสื้อยืดนั่นมันสั่นไปมาตามการขยับตัวของเขา
         เขาค่อยๆยื่นมือมาดึงตัวผมขึ้นจากพื้นแล้วพูดกับผมด้วยภาษาแปลกๆสงสัยจะเป็นคนต่างชาติเมื่อเขารู้ว่าผมไม่เข้าใจก็รีบยกมือขอโทษเขาสูดหายใจลึกๆแล้วพูดด้วยภาษาอังกฤษที่เสียงออกทุ้มว่า
       "เป็นอะไร..ไหม..ครับน้อง"ภาษาอังกฤษของเขาดูตะกุกตะกักไปบ้างแต่ก็ยิ้มมาให้ผม
       "ไม่เป็นไรคับ"ผมพูดแบบช้าๆเพื่อให้เขาเข้าใจแล้วยิ้มตอบไประหว่างนั้นคุณไดลาน่าก็เดินขึ้นมาพอดี
       "เด็กคนนี้เป็นไงบ้างคิดติ"คุณไดลาน่าถามผู้ชายคนนั้นทั้งสองคนนั้นรู้จักกันมาก่อนดีอยู่แล้ว
       "กิตติครับ"เขาแย้งตอบแล้วมองมาทางผม"ก็โอเค..นะครับ..แต่อายุยังน้อยอยู่เลยนะครับ"คุณไดลาน่าคุยรายละเอียดของผมกับคนที่ชื่อ...อืม...กิตติมั้ง ออกเสียงยากจัง
         จากคำพูดของคุณกิตติทำให้รู้ว่าเขาเป็นนักเรียนของคุณไดลาน่าแล้วคุณไดลาน่าก็เป็นครูด้วยเมื่อพวกเขาคุยกันได้สักพักก็แนะนำตัวคุณกิตติให้ผมรู้จัก
         จากรายละเอียดที่คุณไดลาน่าบอกมาทำให้พอจะรู้ว่าคุณกิตติมีชื่อเต็มว่า กิตติชาญชลยุทธ มาจากประเทศไทย อายุ14ปี เป็นหัวหน้ากลุ่มที่ผมต้องเข้าไปอยู่พอการแนะนำตัวจบลงคุณไดลาน่าก็ลงจากเรือไปเธอบอกว่าต้องไปทำธุระต่อให้คุณกิตติคอยดูแลผมแทนเธอพอผมจะถามเธอว่าจะพาผมไปไหนแต่เธอก็ตอบแค่ว่าเดี๋ยวก็รู้
         คุณกิตติพาผมลงมาดูห้องพัก เมื่อผมลงบันไดไปเห็นห้องห้าห้องซ้ายขวาอย่างละห้องตรงกลางอีกสามห้องเขาพาผมไปดูห้องแรกด้านซ้ายซึ่งเป็นห้องนอนที่ตกแต่งอย่างเรียบๆมีเตียงเล็กๆอยู่ทางด้านซ้ายมีหน้าต่างบานใหญ่ที่สามารถมองออกไปด้านนอกเรือได้มีประตูด้านขวาเป็นห้องน้ำผมลองเดินดูรอบๆห้องลองนั่งบนเตียง ลองมองออกนอกหน้าต่าง
         พอผมหยุดเดินดูห้องไปนั่งพักคุณกิตติก็ขอตัวไปหาคนขับเรือก่อนถ้าผมหิวให้เข้าห้องตรงกลางข้างนอกแต่ถ้ามีปัญหาอะไรห้องของเขาอยู่ตรงข้าม
         ผมมองที่กำไลคู่ที่มือของผมทั้งสองข้างมันยังไม่มีอะไรที่ผิดปกติหรืออะไรที่ทำให้มันเรืองแสงได้ผมดูมันไปซักพักก็เหลือบไปดูที่หน้าต่างเรือเริ่มออกจากท่าแล้วมันค่อยๆผ่านทะเลไปด้วยความเร็วสูงผมจึงออกไปจากห้องเพื่อที่จะไปดูวิวที่ดาดฟ้าพอผมเดินขึ้นไปที่บันไดก็เจอคุณกิตติที่จะตามผมไปดูวิวพอดีเราสองคนจึงเดินไปพร้อมกัน
         ที่ดาดฟ้าลมเย็นสบายมีนกนางนวลบินอยู่รอบๆบางตัวก็เข้ามาเล่นกับผมขนของมันตอนโดนตัวทำให้ผมรู้สึกจักจี้ผมเล่นไปซักพักท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงคุณกิตติจึงชวนผมลงไปกินข้าว
         ในห้องครัวมีโต๊ะกินข้าวตัวเล็กๆตั้งอยู่กลางห้องด้านในมีตู้เย็นกับเตาไฟฟ้าแค่ตัวเดียว คุณกิตติเขาหยิบไข่ออกมาสองฟองแล้วตีทอดในกระทะที่ใส่น้ำมันไว้เล็กน้อยจนไข่เหลืองกรอบแล้วเอาข้าวที่เตรียมไว้ใส่ลงไปบนไข่โดยแบ่งเป็นสองด้านก่อนจะยกกระทะพลิกไข่อย่างสวยงามเขาตักข้าวห่อไข่ที่เหลืองกรอบมาแบ่งครึ่งใส่จานให้ผมผมลองกินดูมันเป็นไข่แบบที่ผมไม่เคยกินมาก่อนด้านนอกกรอบแต่ด้านในยังนิ่มปนกับข้าวข้างในเป็นอย่างดีคุณกิตติบอกว่ามันคือ ไข่เจียว เป็นอาหารที่ประเทศเขากินเป็นประจำเมื่อเรากินเสร็จคุณกิตติจึงชวนผมไปคุยรายละเอียดที่ห้องห้องของเขาคล้ายกับของผมแต่แค่สลับด้านกัน นอกหน้าต่างที่เป็นทะเลเริ่มมืดแล้ว
       "คุณกิตติคับ"ผมลองเป็นคนเริ่มคุยก่อนดู
       "ไม่ต้องมีคุณก็ได้กิตติเฉยๆก็พอยังไงเราก็เป็นเพื่อนร่วมกลุ่มกันแล้วนะ"เขาพูดพลางยิ้มให้ผม
       "กิตติคับ นี่เราจะไปไหนหรอคับ"
       "สวนอีเดนหนะสิ"เอ...สวนอีเดนมีอยู่จริงหรอเนี่ย
       "มันเป็นยังไงหรอคับ"
       "มันก็อธิบายยากอยู่นะ มันเป็นเกาะขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา"
       "แล้วเรือจะไม่จมเหมือนในหนังสือบอกหรอคับ"
       "ไม่หรอกที่นั้นสวยจะตายธรรมชาติก็ดี ..บ้านเรือนก็สวย..โรงเรียนก็น่าอยู่"

       “มีโรงเรียนด้วยหรือคับ”

       “ใช่ เพื่อที่จะใช้พลังให้ถูกต้องทุกคนต่างก็ต้องเรียนรู้ด้วยกันทั้งนั้น”
       "พลัง...พลังอะไรหรอคับ"กิตติทำหน้าแปลกใจประมาณว่า ไม่รู้เหรอ
       "ครูไดลาน่ายัง...ไม่ได้บอกสินะ"เขาคิดคำพูดอยู่สักพักแล้วจึงอธิบายให้ผมฟังว่าพลังจากพระเจ้าคือสิ่งที่พระเจ้ามอบให้แก่คนที่ถูกเลือกมันเป็นพลังที่ทั้งเหมือนและต่างกันไปในแต่ละบุคคลโดยโรงเรียนมีไว้เพื่อสอนให้รู้จักควมคุมพลังได้พลังนี้มีไว้ใช้เพื่อสู้กับปีศาจที่เกิดจากบาปของมนุษย์ที่กำลังมากขึ้นเรื่อยและทำให้โลกเสียสมดุลก่อเกิดภัยพิบัติต่างๆมากมาย
       พอกิตติอธิบายเสร็จเขาก็สาธิตการใช้พลังของเขาให้ผมดู
       "พลังของกิตติคือเวทมนต์ ซึ่งเป็นดั่งผู้สร้างและผู้ทำลาย มันคือสิ่งที่มวลมนุษยชาติในปัจจุบันขณะนี้ยากที่จะหยั่งถึง" เมื่อเขาพูดเสร็จแล้วค่อยๆควบคุมน้ำจากขวดน้ำให้ออกมาบินอยู่รอบห้องก่อนจะใช้นิ้วขีดไฟออกมาจากอากาศเพื่อทำให้น้ำระเหยหายไปจนหมดเขาแสดงพลังให้ผมดูสักพักจึงถามถึงพลังของผมบ้างผมก็บอกตามตรงว่ายังไม่รู้เยาจึงชวนคุยเรื่องต่างๆทำให้ผมรู้จักกิตติมากขึ้นอีกหน่อยเราคุยไปสักพักก็ได้ยินเสียงโครมครามมาจากด้านนอกเรือคุณกิตติแค่ยิ้มแล้วก็พูดว่า    "สงสัยจะมีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยือนแหะ"ก่อนจะพาผมขึ้นไปที่ดาดฟ้าเรือ
                           
    จบบท

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×