ตอนที่ 3 : Chapter 03 ― Mercy
Chapter 3
Mercy
หลายวันแล้วที่แม็กนีไม่ได้ขยับตัวไปไหน
หลังถูกชาวบ้านพรากหลานชายเพียงคนเดียวไป ตาเฒ่าก็แทบไม่เหลือแรงกายแรงใจไว้ใช้ชีวิต แม็กนีไม่กินไม่นอน ร่างกายผ่ายผอมจนเหลือหนังหุ้มกระดูก เพราะเอาแต่อดทนคุกเข่าอยู่หน้ากองไฟกลางลานเล็กๆ ริมชายป่า
เมื่อยามเที่ยงคืนมาถึง ชายชราโยนแก่นไม้หอมลงสู่กองเพลิง
ทันใดนั้น เปลวไฟสีส้มแดงพลันกลายเป็นสีขาวโพลนราวก้อนเมฆ มันสาดแสงเจิดจ้าที่นุ่มละไมประหนึ่งสาดส่องลงมาสรวงสวรรค์ บังเกิดกลิ่นหอมประหลาดคลุ้งกำจายไปทั่วบริเวณ
ความร้อนจัดของเพลิงสีขาวถ่ายเทสู่อากาศ ผิวเหี่ยวย่นของแม็กนีแสบร้อนจนแทบทานทนไม่ไหว รู้สึกคล้ายมันกำลังจะหลอมเนื้อหนังและกระดูกเขาให้เหลวเป็นน้ำอย่างไรอย่างนั้น
ชายชรากัดฟันอดทน มือสั่นเทากอบไม้หอมใส่ลงกองไฟอีก เพื่อเร่งกลิ่นหอมให้ฟุ้งเข้มอบอวลมากยิ่งขึ้น
พันธุ์ไม้หอมชนิดนี้พบได้ทั่วไปทางแดนใต้ ทว่าหายากในป่ารอบภูเขาไฟเมานาโลอา เมื่อลำต้นตายแล้ว เนื้อไม้จะมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ และกลิ่นจะยิ่งหอมจัดขึ้นอีกเมื่อถูกไฟลน ชนชั้นสูงในแดนกลางนิยมนำไม้หอมนี้มาจุดไฟเพื่ออบห้องให้หอม สำหรับชาวป่าเชื่อว่ากลิ่นหอมของไม้ล้ำค่าคือสื่อกลางที่ทำให้พวกเขาสามารถติดต่อกับเทพเจ้าได้
แม็กนีวิงวอนต่อมหาบิดรแห่งสรรพชีวิตบนสรวงสวรรค์ ร้องขอต่อจ้าวแห่งความตายในนรกโลกันตร์
ขอให้ซาซุมปลอดภัย
ขอให้มังกรไฟเมตตาหลานข้า
และขอสาปแช่งให้หมู่บ้านสนแดงพินาศย่อยยับไปเสีย...
คำอ้อนวอนของแม็กนีเบาแสนเบาแทบไม่ต่างจากเสียงกระซิบ
พิธีขอพรนี้ ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น ทว่ากลิ่นหอมที่เกิดขึ้นนั้นยากจะปิดให้มิด โดยเฉพาะคืนนี้...ลมตะวันออกโหมแรงจนยอดหญ้าโน้มลงจรดดิน กลิ่นไม้หอมจึงถูกพัดพาไปไกลถึงหมู่บ้านสนแดง
ผ่านมาสิบสี่วันแล้วหลังจากซาซุมถูกส่งไปถวายแด่มังกร ชาวบ้านยังคงรวมตัวกันอยู่ในลานกลางหมู่บ้าน บทสวดอ้อนวอนขอความเมตตาจากมังกรไฟไม่เคยขาดห้วงหรือเสียจังหวะ
ทว่าจู่ๆ ราบันกลับหยุดบริกรรมคาถากลางคัน
หมอผีชราเป็นคนแรกที่ได้กลิ่นหอมมาตามลม นางลืมตาแล้วสูดลมหายใจลึก แน่ใจว่านี่มิใช่กลิ่นดอกไม้กลางคืนธรรมดาๆ หากแต่เป็นกลิ่นเฉพาะของไม้หอมที่ใช้บูชาเทพเจ้า
ใครบางคนกำลังทำพิธีสวดขอพรอยู่
พร... มีทั้งดีและร้าย ราบันมิอาจปล่อยผ่าน
“เอ็ด” นางเอ่ยเรียกเสียงพร่า
“ขอรับแม่เฒ่า”
เอ็ดคือชายเคราแดง ผู้นำของคนในหมู่บ้าน หรือก็คือคนที่อุ้มซาซุมไปจากอ้อมอกของแม็กนีในคืนนั้น
แม่หมอสั่งให้เอ็ดตามหาที่มาของกลิ่นหอมแปลกประหลาด เขากับชายในหมู่บ้านอีกสามคนจึงจุดคบเพลิงแล้วเดินออกจากลานทำพิธี พวกเขาตามกลิ่นไปราวกับสุนัขล่าเนื้อ กระทั่งพบกองไฟสีขาวลุกโชนอยู่ในความมืดบริเวณชายป่าหลังกระท่อมของตาเฒ่าแม็กนี
ทันทีที่รู้ว่าตัวต้นเหตุของพิธีกรรมลับคือใคร ชายเคราแดงพลันขบฟันกรอด หัวใจมอดไหม้อยู่ในเพลิงแค้น
สิบปีก่อน พ่อมดชั่วบุกมาจับคนไปค้าเป็นทาสที่แดนใต้ เอ็ดรอดมาได้เพราะถูกหมีกัดจนขาเป๋ แต่เมียและลูกสาวของเขากลับถูกจับใส่กรงขังเยี่ยงหมูหมา ปัจจุบันไม่ทราบว่าชะตากรรมเป็นอย่างไร
ความแค้นนี้ไม่มีวันจางหาย ไม่มีวันบรรเทา
เอ็ดเกลียดนีลชา เกลียดแม็กนี และเกลียดซาซุม
ห้าปีที่แล้ว...เขาเป็นหนึ่งในคนที่ทำร้ายนีลชาจนนางคลอดก่อนกำหนด
สิบสี่วันก่อน...เขาส่งลูกชายของนางไปถวายเป็นอาหารมังกรไฟ
ค่ำคืนนี้...เขาจะชำระความกับแม็กนีด้วยอีกคน
เมื่อเห็นชายชราคุกเข่าอยู่หน้ากองเพลิงสีขาว ริมฝีปากแห้งแตกบ่นพึมพำเป็นทำนองสูงๆ ต่ำๆ แปลกหู เอ็ดไม่รู้หรอกว่าแม็กนีกำลังขอพรหรือสาปแช่ง รู้แต่เพียงว่าต้องหาโคลนป้ายสีตาเฒ่าให้จงได้
ความสูญเสียของเขาจะต้องไม่สูญเปล่า
“มันสาปแช่งหมู่บ้านเรา!” เอ็ดชี้นิ้วคำรามลั่น
เดิมทีชาวบ้านกลัวภัยพิบัติจากมังกรไฟกันอยู่แล้ว ยิ่งรู้ว่ามีคนสาปแช่งหมู่บ้าน พวกเขาก็ยิ่งหวาดกลัว คนหนุ่มที่ติดตามเอ็ดมาจึงถูกปั่นหัวให้หลงเชื่อได้ง่ายดาย
“รีบช่วยกันดับไฟเร็ว!” เอ็ดตะโกนสั่ง
ชายทั้งสี่ช่วยกันรื้อทำลายกองไฟประหลาด ท่อนฟืนไหม้ดำถูกเตะกระจายจนขี้เถ้าปลิวว่อน พวกเขากระทืบแรงๆ บนเปลวเพลิงสีขาวเพื่อดับมันให้มอด...แต่ไม่เป็นผล
พยายามอย่างไร ไฟกองนี้ก็ไม่ยอมดับสิ้น
เอ็ดเห็นท่าไม่ดีจึงวิ่งไปที่กระท่อมของแม็กนี คว้าเอาถังไม้ใบใหญ่ไปตักน้ำจากลำธารนำมาสาดลงบนเพลิงสีขาว แทนที่ไฟจะดับ น้ำจากถังไม้ใบใหญ่กลับระเหิดหายกลายเป็นไอร้อนพวยพุ่ง
“ไปตักน้ำมาดับไฟอีก เร็วเข้า!” เอ็ดเร่งสั่งงานคนอื่นๆ
พวกเขาสลับกันไปตักน้ำมาดับไฟ แต่น้ำกี่ถังๆ ก็ไม่เกิดผล เปลวเพลิงเต้นระบำอย่างโอหังอยู่ในสายลม ราวกับจะอวดศักดาว่าไม่มีสิ่งใดทำลายไฟกองเล็กกระจิริดอย่างมันได้
มนุษย์มักกลัวเกรงสิ่งที่ไม่รู้...ไม่เข้าใจ นั่นเห็นจะเป็นจริง
ชายทั้งสี่ที่พบเหตุประหลาดพากันหวาดกลัวจนหน้าถอดสี เอ็ดเองก็กลัว แต่เขาไม่ได้มาเพื่อยอมพ่ายแพ้แค่นี้ ดวงตามุ่งร้ายจ้องมองชายชราที่คุกเข่าอยู่ ใบหน้าหยาบกร้านที่ปกคลุมด้วยเครารกรุงรังเผยยิ้มเหี้ยม
หรือสิ่งที่ควรถูกทำลายหาใช่กองไฟ
แต่เป็น...แม็กนีผู้จุดไฟนี้ต่างหาก
“หยุดได้แล้ว!” เอ็ดตะคอก
ชายชราถูกถีบจนล้มกลิ้งคลุกฝุ่น แม้เจ็บไปทั้งกายแต่แม็กนียังฝืนลุกขึ้นมาคุกเข่าต่อ ดวงตาฝ้าฟางมองไปที่กองไฟอย่างมุ่งมั่น ราวกับไม่มีสิ่งใดทำลายความตั้งใจนี้ได้แม้กระทั่งความตาย
“มหาบิดรโปรดเมตตา” แม็กนีพึมพำ
“หยุดเดี๋ยวนี้แม็กนี!” เอ็ดตะคอกอีกครั้ง
“ขอให้ท่านลงทัณฑ์คนบาปอย่างพวกเจ้า!”
สิ้นคำก่นด่าสาปแช่งจากปากของตาเฒ่าแม็กนี ความหวาดกลัวของชาวบ้านพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธเคือง ชายเคราแดงไม่ต้องเอ่ยปากสั่งหรือยุแยง คนหนุ่มที่เหลือก็ร่วมทุบตีและกระทืบชายชราอย่างไร้ปรานีทันที
แม็กนีไม่มีแรงต่อสู้หรือปกป้องตัวเอง ทำได้แค่ตะโกนสาปแช่งเท่านั้น
“พวกเจ้าจะต้องตาย...ตายทุกคน!”
“หุบปาก!” เอ็ดตวาดแล้วเตะร่างผ่ายผอมอย่างแรง หมายจะให้อีกฝ่ายหยุดพ่นคำสาปแช่ง
ทว่าแม็กนีกลับหัวเราะด้วยเสียงสูงอย่างน่าสยดสยอง ริมฝีปากแสยะยิ้มบิดเบี้ยว เหงือกและตอฟันที่เหลืออยู่ท่วมท้นไปด้วยเลือดแดงฉาน ความเจ็บปวดทำให้สติของชายชราเริ่มพร่ามัว เปลือกตาชุ่มเลือดใกล้จะปรือปิด ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือเปลวไฟสีขาวที่ยังคงลุกไหม้และส่งกลิ่นหอมอยู่ในความมืดมิด
ช่วยด้วย...
แม้ว่าลึกๆ แล้วหัวใจยังคงกังขา แต่สติสุดท้ายของชายชราก็ยังร่ำร้องหาความช่วยเหลือ
ตามตำนานเล่าว่ามหาบิดรเป็นผู้สร้างโลกและสรรพสิ่ง ท่านดูแลคาโฮเกียอย่างใกล้ชิดมานาน เมื่อใดที่คุกเข่าขอพรต่อหน้ากองไฟสีขาว ความปรารถนาทุกประการจะเป็นจริง
ทว่าเกือบสามพันปีมานี้ ไม่ว่าคุกเข่าอ้อนวอนนานแค่ไหน พรใดๆ ล้วนเป็นได้แค่ความสิ้นหวัง แม็กนีไม่รู้ว่าเป็นเพราะมหาบิดรละทิ้งคาโฮเกียไปนานแล้ว
หรือว่า...
เทพเจ้าไม่เคยมีอยู่จริงกันแน่
‘ช่วยด้วย’
สายลมจากป่าใหญ่พัดพาเสียงกระซิบพร่าเลือนมาถึงหูใครบางคนที่ยืนนิ่งอยู่บนยอดผาสูง
ชายหนุ่มผู้นั้นมีเรือนผมสีทองสว่างราวแสงอรุณ ร่างสูงสง่ากำยำสวมชุดคลุมสีขาวสะอาดปักดิ้นทองลวดลายสลับซับซ้อน เนื้อผ้าเบาพลิ้วนั้นทิ้งตัวนิ่งไม่ไหวติงแม้มีลมแรงโหมผ่าน
ขณะทอดสายตาไปยังป่าเบื้องล่าง มือแกร่งที่ไขว้หลังอยู่พลันกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ กลิ่นคาวเลือดที่เจือปนในกลิ่นไม้หอม ทำให้ดวงตาสีฟ้าจัดจ้าราวท้องฟ้ากลางฤดูร้อนส่องประกายเจ็บปวด
นานแล้วที่ไม่มีใครสวดหา...
นานแล้วที่เขาไม่ได้ปรากฏกายบนคาโฮเกีย
เป็นเพราะชายชราผู้นี้สวดอ้อนวอนมาหลายคืน เขาถึงได้ยอมตื่นจากการหลับใหลอันยาวนาน ก้าวย่างพริบตาจากสรวงสวรรค์เหนือมหาวิหารเจนัวร์ลงมาดู หารู้ไม่ว่าจะถูกเรียกมาเป็นพยานความโหดร้ายไปเสียอย่างนี้
“มนุษย์ก็เช่นนี้ ท่านทำใจเถิด”
ใครบางคนคงได้ยินเสียงอ้อนวอนเช่นเดียวกัน
ร่างในชุดคลุมสีดำปกปิดตั้งแต่หัวจรดเท้าปรากฏกายในเงามืด ยามเดินทอดน่องมาช้าๆ เสื้อคลุมสีดำสนิทราวจับท้องฟ้ายามราตรีมาห่มร่างยาวลากระพื้นหญ้าจนเกิดเสียงดังแสกสาก หมอกควันเยียบเย็นที่ลอยระเรี่ยออกมาจากชายผ้าแช่แข็งใบไม้ใบหญ้าในบริเวณนั้นจนกลายเป็นน้ำแข็ง สิ่งมีชีวิตที่สัมผัสโดนไอเย็นถึงคราวตายอย่างผิดธรรมชาติในพริบตา
ชายผมทองกะพริบตาเพียงครั้งเดียว ร่างนั้นก็หายตัวมายืนเคียงไหล่เขาแล้ว พวกเขาทั้งสองมองลงไปเบื้องล่าง รอบกายเงียบงันจนได้ยินเสียงแห่งความโกรธแค้นที่เกิดขึ้นไกลออกไป
“ข้าสร้างปีศาจขึ้นมา” เขาเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย
“ท่านเพียงมอบชีวิตให้ มันจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจ ขึ้นอยู่กับสำนึกผิดชอบชั่วดี หาใช่การกำหนดจากท่านไม่”
ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน ชายชราที่ถูกทำร้ายก็ใกล้จะสิ้นสติเต็มที่ ใบหน้าที่มีเลือดไหลอาบจากบาดแผลจ้องมองไปที่กองไฟ จิตใจแน่วแน่ส่งเสียงอ้อนวอนมาถึงข้างหูของชายทั้งสอง
‘ใครก็ได้...’
ชายผมทองปิดเปลือกตาลงเมื่อได้ยินเสียงเว้าวอนนั้น ไม่ว่าใครจะล้มลงตายอยู่ตรงหน้า เขาก็จะไม่ยื่นมือไปช่วยเหลือใครอีกแล้ว เพราะใจเขาสิ้นหวังกับพวกมนุษย์แล้วจริงๆ
ใครจะเป็นจะตาย ไม่สำคัญกับเขาอีกต่อไป
‘ช่วยซาซุมหลานข้าที’
เขาลืมตาขึ้นอีกครั้งอย่างแปลกใจ
แทนที่จะวอนขอความช่วยเหลือให้แก่ตนเอง ชายชรากลับขอให้หลานชายตนปลอดภัยอย่างนั้นหรือ
เขาเคยคิดว่าดินแดนคาโฮเกียคือความผิดพลาดชิ้นใหญ่ มนุษย์ที่เขาสร้างชั่วร้ายเลวทรามยิ่งกว่าปีศาจ แต่ความปรารถนาอันแรงกล้าของชายชราผู้นี้แฝงล้นด้วยความรักและความหวังดีอย่างบริสุทธิ์ใจยิ่ง
หัวใจที่ด้านชามานานของเขาเริ่มมีความหวัง…
หรือมนุษย์จะไม่ได้เลวร้ายไปเสียหมดอย่างที่เขาคิด
‘ได้โปรดมหาบิดร...’
‘หากท่านมีตัวตนอยู่จริง ช่วยคุ้มครองหลานข้าด้วย’
เสียงเงียบหายไปหลังจากนั้น เพราะชายแก่สิ้นสติไปแล้ว
ใบหน้าคมคายผินมองปากปล่องภูเขาไฟเมานาโลอาที่ปรากฏอยู่ไกลลิบๆ ในความมืด มือแกร่งกระตุกเส้นผมสีทองของตนเองออกมา ผมเส้นนั้นกลายเป็นกลีบดอกไม้สีขาวที่มีแสงสีทองเรื่อเรืองห่อหุ้มไว้
เขาปล่อยให้มันปลิวละล่องหายไปกับสายลม
และหวังว่าทุกอย่างจะไม่สายเกินไป...
ปาฏิหาริย์!
บาบัคไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เห็นอะไรอย่างนี้
อมารันท์—นายของมัน มังกรไฟของมหาบิดร ผู้ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความดุร้ายและหยิ่งทะนง เวลานี้กำลังกอดลูกมนุษย์วัยกระเตาะตัวเท่าลูกหมาไว้ในอ้อมแขน ช่วยให้เด็กน้อยรอดพ้นจากอันตรายไปได้อย่างหวุดหวิด
“เกือบไปแล้วนะ เจ้าตัวเล็ก”
กิ้งก่าหนามเอียงคอฟังเสียงทุ้มนุ่มรื่นหู มุมปากของมันยกยิ้มกริ่มเมื่อเห็นมังกรหนุ่มทอดถอนใจอย่างโล่งอก
ใครกันหนอเคยพูดไว้
‘มันจะไปไหนก็ช่าง ไม่เกี่ยวกับข้า’
ไหนว่าไม่สน ไหนว่าไม่เกี่ยว พอเจ้าตัวเล็กทำท่าจะตกบันได คนปากแข็งแถวนี้ก็รีบแปลงกายมาช่วยทันที บาบัคเห็นแล้วอดเหล่มองด้วยสายตาล้อเลียนไม่ไหวจริงๆ
แต่จะว่าไป...
นี่ก็เกือบสามพันปีแล้วที่มันไม่ได้เห็นนายตนในร่างนี้
ตั้งแต่ถูกจองจำครั้งนั้น อมารันท์ก็ไม่เคยกลับร่างมนุษย์อีก ผมสีดำเงางามราวเส้นไหมที่ไม่ได้ตัดมานานจึงทอดตัวยาวเหยียดลงไปกองอยู่บนพื้น ผิวกายที่ไม่ได้พบพานแสงอาทิตย์มานานก็ดูขาวซีดมากกว่าที่เคยเป็น
บนเรือนร่างอมารันท์ไม่มีเครื่องประดับสักชิ้น ซ้ำยังสวมใส่เครื่องแต่งกายแปลกประหลาด คล้ายนำผ้าม่านหรือผ้าปูโต๊ะผืนใหญ่ๆ เนื้อกำมะหยี่สีแดงคล้ำมาห่มคลุมร่างไว้แล้วคาดด้วยเชือกแบบขอไปที ชายผ้าด้านหลังลากยาวเกะกะพื้นแข่งกับเส้นผมที่ทอดลากดิน รอยแยกของผ้าที่ทบกันไว้ลวกๆ ด้านล่างเผยสูงขึ้นมาถึงต้นขา ด้านบนแหวกลึกถึงกลางอกขาวผ่อง
โอ๊ะ โอ๊ย แต่งตัววับๆ แวมๆ น่าตีเสียจริงนายข้า
บาบัคนึกบ่นขรมแล้วเอาเท้าหน้าปิดตาตัวเองข้างหนึ่ง เหลือตาอีกข้างไว้สำรวจมองร่างนายตนต่อ พอเห็นว่าอมารันท์ดูผ่ายผอมลงไปมากก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาจนน้ำตาปริ่ม
โถ นายข้า...
ถูกขังมานานคงตรอมใจ ผอมลงขนาดนี้เชียวหรือ
บาบัคจำได้ว่าอมารันท์เคยมีรูปร่างแข็งแรงมากกว่านี้ สมัยก่อนยามสวมเกราะเหล็กออกรบ มังกรหนุ่มดูองอาจสง่างามไม่แพ้ใคร ทว่าในยามนี้เจ้าตัวกลับเหลือเพียงรูปร่างสูงโปร่งกับเนื้อตัวผอมบาง มองเผินๆ คล้ายเจ้าชายสูงศักดิ์ที่ถูกเลี้ยงในหอคอยงาช้าง มือไม้ไม่เคยจับอะไรหนักไปกว่าปากกาขนนก
เอาเถิด ผอมไปบ้างแต่ยังงามอยู่...
เจ้ากิ้งก่าหนามเหม่อมองแล้วทำตาเยิ้ม
อาจเพราะถือกำเนิดจากเลือดของจ้าวนรก อมารันท์จึงได้เค้าความงามของท่านผู้นั้นมาตั้งแต่หัวจรดเท้า ต่างเพียงเทพแห่งความตายธูริซอซ์มีดวงตาสีดำมืดมิดและงดงามเยือกเย็นอย่างเกล็ดน้ำแข็ง ส่วนมังกรไฟอมารันท์นั้นมีนัยน์ตาสีแดงเจือแต้มด้วยสีเหลืองทอง ซ้ำยังงดงามบาดตาบาดใจอย่างลาวาที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิง
ถึงแม้จะอยู่ในร่างมนุษย์ รังสีอำมหิตของอมารันท์ก็ยังทรงอานุภาพร้ายกาจ สัตว์น้อยสัตว์ใหญ่และมนุษย์ขี้ขลาดแค่ถูกมองจ้องก็กลัวกันจนหัวหด ไม่เว้นกระทั่งเจ้าลาที่เพิ่งวิ่งเตลิดหายไป
รูคเผ่นหนีไม่คิดชีวิต มันกลัวจนขนสีดำเงาแทบกลายเป็นสีดอกเลา พอปอดแหกสมองก็ฝ่อหาย ลืมสิ้นทุกอย่าง ทั้งความฉลาดและทางกลับบ้าน แม้แต่เด็กที่เฝ้าแบกเฝ้าเลี้ยงมาตั้งหลายวัน มันก็ลืมคาบไปด้วย
อมารันท์ทันเห็นก้นลาไวๆ ที่ปากถ้ำ ใบหน้างามเมินเฉยไม่ใส่ใจ เพราะไม่ถือเป็นธุระกงการใดๆ ของตนเอง
ธุระก้อนใหญ่กำลังหนักอยู่บนตัวเขานี่
มังกรหนุ่มก้มลงมองเจ้าก้อนนุ่มในอ้อมแขน พบว่าหนูน้อยนิ่งเงียบเหมือนวิญญาณหลุดจากร่างไปแล้ว
อมารันท์อุ้มเด็กชายออกห่างตัว ลองเขย่าเบาๆ จนศีรษะน้อยๆ โยกไปมาคอพับคออ่อนเหมือนไม่มีกระดูก ดวงตาที่หลับพริ้มไม่มีทีท่าว่าจะยอมเปิดปรือขึ้นมาแม้แต่น้อย
“บาบัค มะ...มันตายหรือเปล่า”
ถามได้ไม่ทันไร เสียงกรนฟี้ก็ดังขึ้น...
“เจ้าหนูแค่หลับไปขอรับ” บาบัคหัวเราะ
อมารันท์ไม่ขำด้วย เมื่อไม่มีอะไรร้ายแรงน่ากังวล เด็กน้อยจึงถูกวางลงบนพื้นหินเย็นเฉียบ มังกรหนุ่มปรายตามองร่างกลมเล็กน้อย เห็นมันนอนเปิดพุงอยู่เลยดึงผ้าขนสัตว์มาคลุมให้ ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะหันกายเดินกลับขึ้นบันไดไป
ทว่าก้าวเท้ายังไม่ทันพ้นสองก้าว อมารันท์กลับรู้สึกหนักอึ้ง ผ้าผืนหนาที่สวมใส่ถูกถ่วงรั้งจากด้านหลัง สาบเสื้อด้านหน้าแหวกกว้างไปถึงไหล่กับแผงอกขาวเนียนจนเขาเกือบจับไว้ไม่ทัน
เดี๋ยวเถอะ!
อมารันท์หันขวับ สายตาดุดันเข้มงวดปราดมอง
บาบัคที่ป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ร้อนตัวรีบซ่อนรอยยิ้มขำ ส่วนหนูน้อยตัวต้นเหตุก็กอดชายผ้ารั้งเขาไว้แล้วหลับปุ๋ย ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับความน่าเกรงขามของเขาเลย
มือขาวซีดพยายามดึงชายผ้าคืน แต่เจ้าตัวเล็กจับแน่นไม่ยอมปล่อย ร่างน้อยที่หนาวเหน็บขดตัวเข้าหาผ้าอุ่นๆ อย่างน่าสงสาร ทำให้คิ้วที่ขมวดมุ่นของคนมองค่อยๆ คลายลง
แม้ไม่พอใจ แต่ก็...ทำอะไรใจร้ายไม่ลง
อมารันท์มองเจ้าหนูที่หลับสนิทอย่างนึกเอ็นดู ผ้าขนสัตว์กับท่านอนชวนให้คิดถึงหนอนบุ้งอ้วนๆ กลมๆ ขนฟูบนใบไม้ เขาก้มลงลูบเส้นผมนิ่มลื่นสีดำ ก่อนใช้หลังมือแตะแก้มนุ่มยุ้ยที่มอมแมมอย่างกับลูกหมาตกบ่อดิน
“เจ้าตัวยุ่ง” มังกรหนุ่มบ่นเบาๆ
“เดี๋ยวก็เจ้าตัวเล็ก เดี๋ยวก็เจ้าตัวยุ่ง เอ็นดูมันมากหรือขอรับ” บาบัคกระเซ้าถาม
พอรู้ตัวว่าถูกบาบัคจับตามองอยู่ อมารันท์ก็รีบชักมือกลับ ทำสีหน้าดุดันกลบเกลื่อน
“เอ็นดูอะไร พวกมนุษย์น่ารำคาญจะตาย”
“โอ้ งั้นหรือขอรับ” เจ้ากิ้งก่าหนามยียวน
มังกรหนุ่มหมั่นไส้บริวารตัวเองเต็มทน แต่ยังไม่ทันได้จับบาบัคโยนออกนอกถ้ำ บางสิ่งก็ดึงความสนใจเขาไปเสียก่อน
ใบหน้างดงามเงยมองเมื่อรู้สึกถึงความเคลื่อนไหว
กลีบดอกไม้สีขาวกลีบหนึ่งกำลังร่วงหล่นลงมาจากปล่องถ้ำสูงเทียมฟ้า มันหมุนวนเล่นลมอย่างเชื่องช้าอ้อยอิ่ง ก่อนร่อนลงสัมผัสผิวแก้มของอมารันท์อย่างนุ่มนวล
“อมารันท์”
เจ้าของนามคล้ายได้ยินเสียงกระซิบติดริมหู
ต่อให้ถูกคำสาปกักขังหรือหลับใหลนานกี่ร้อยกี่พันปี อมารันท์ก็ไม่มีวันหลงลืมเสียงของผู้ให้กำเนิด ร่างสูงโปร่งรีบคุกเข่า มือขวายกขึ้นทาบลงกลางอกซ้ายบริเวณเหนือหัวใจ ดวงหน้าก้มต่ำแสดงความเคารพสูงสุด
“มหาบิดร” อมารันท์ตอบรับการเพรียกหา รอคอยคำสั่งจากเทพผู้เป็นเจ้าชีวิตของสรรพสิ่งทั้งปวง
“ปรานีเด็กด้วยเถิด”
ฟังคล้ายคำขอร้อง มิใช่คำสั่ง
ดวงตาสีแดงเหลือบมองเด็กคนที่ว่า
อมารันท์ลุกขึ้นยืนแล้วเตะกิ้งก่าหนามที่ขำคิกคักออกไปห่างๆ ก่อนช้อนอุ้มหนูน้อยเข้าสู่อ้อมแขนอย่างอ่อนโยน
ทันทีที่พบเจอสิ่งที่อบอุ่นกว่าชายผ้าคลุม เจ้าตัวเล็กจึงยอมปล่อยมือจากผ้า มันซุกๆ มุดๆ เข้าหาไออุ่นจากแผ่นอกเขาด้วยท่าทีออดอ้อนน่ารัก ทำให้เขาต้องกอดมันแน่นกว่าเดิม
ปรานีก็ปรานี...
เป็นเพราะมหาบิดรขอไว้หรอกนะ ไม่ได้เห็นว่าเจ้าตัวเล็กนี่น่ารักน่าชังหรือแก้มน่าหยิกอะไร ไม่เลยสักนิด
เฮอะ!
--- พูดคุยในแท็ก #วิกเชียส ได้จ้า ---
talk.
มาแล้วจ้า ตอนหน้าเป็นตอนของอมารันท์กับน้องซาซุมยาวๆๆๆ น้า
ถ้ารัก ถ้าชอบ อย่าลืมกดหัวใจหรือทิ้งคอมเมนต์ไว้น้า
ขอบคุณค้าบ รักๆ
ฝนมกรา.
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

//ร่วมแอบดูอกขาววับๆ แวมๆ ด้วยคน อิอิ
ขอบคุณนะคะ <3
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ ช่วงนี้เราติดงาน จะอัปตอนต่อไปช้านิดนึง รอก่อนนะคับ ;w;
ติดตามนะคะคุณไรท์
แงงงงงงงงงน้องงงงงงงงงงงน้อง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!ฮืออออออออออออตั้ลล้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก//ดีดดิ้นนะคะ
ขอบคุณที่แวะมาอ่านน้าาาา
ขอบคุณมากๆๆๆ น้า
ทุกคนแซวคนพี่กันหมดเลยยย ตอนหน้าเดี๋ยวจะมีอะไรให้แซวอีก อิอิ
ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ^^
รอตอนต่อไปนะคะะ
ขอบคุณนะคะะะะ เริ้บๆ
*รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
ขอบคุณมากนะคะ เริ้บๆๆๆ
ฮึ่ย อมารันท์แบบน่าหยิกแก้มมาก ปากแข็งนักนะคุณณณ
ขอบคุณมากค่า