คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #55 : ตอนที่ 55 สงครามเมืองจันทรา สงครามเวหา
“ท่านราชครู ลูกหินเพลิงชุดแรกที่โจมตีเข้าไป ทำอะไรพวกมันไม่ได้เลย”หัวหน้าหน่วยปืนใหญ่ลูกหินเดินเข้ามารายงานชายชราผมขาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รอฟังข่าวอย่างใจเย็น
“ไม่แปลก เมืองๆนี้สามารถฝึกมนุษย์ให้ใช้เวทได้กันเกือบหมดแล้ว จึงไม่แปลกใจเลยที่พวกนั้นจะป้องกันลูกหินเพลิงได้ แต่ทว่า ถ้าพวกเราโจมตีเข้าไปเรื่อยๆ พวกมันที่มีไม่ถึงครึ่งแสน จะต่อกรกับพวกเราที่มีนับแสนได้รึ”ชายผมขาวว่าพร้อมกับสะบัดมือให้ลูกน้องไปทำงานต่อ
“ยัยแก่ แกจะทนทานการผสานเวทและศาสตราได้รึ”ชายชราหัวเราะออกมาคนเดียวอย่างหยุดไม่อยู่ แม้ตลอดมาเขาจะพ่ายแพ้ศึกที่เมืองนี้ตลอดแต่ตอนนี้เขามีสิ่งที่ดีกว่าคราวที่แล้วแล้ว จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่มีผิดพลาดเหมือนคราวที่แล้ว
“เพื่อหินเวท และภารกิจที่ราชาของแกมอบให้ นี่แกอุตส่าห์ยกไพร่พลมาเพื่อการนี้เลยรึ”เสียงของบุรุษดังขึ้นที่ด้านหลัง ทำให้ชายชราหันไปมองอย่างตื่นตกใจ แต่เมื่อเขาเห็นว่าเป็นใครก็แย้มยิ้มอย่างยินดี
“ท่านมาส่งศาตราวุธแล้วรึ ท่านรองสมาคมนินจา”ชายชราพูดอย่างยินดีเมื่อเห็นชายชุดดำกำลังเดินทางเข้ามาสมทบเรื่อยๆ โดยที่ตรงกลางมีคนลากเกวียนบรรทุกอาวุธมาด้วย
“ตามที่ตกลงกันไว้ ส่งเร็ว บวกค่าเหนื่อย 20 เปอร์เซ็นต์”ชายชุดดำที่ถูกเรียกว่ารองไม่สนใจ เขาทำเพื่อธุรกิจเท่านั้น
“สมกับเป็นผู้ค้าความตายจริงๆ”ชายชราพึมพำเบาๆ แล้วเรียกให้คนรับใช้นำทองที่ถลุงแล้วออกมา
“นี่คือทองที่มีมูลค่ากว่า 500,000 เหรียญทอง คงคุ้มกับค่าศาตราวุธที่ท่านนำมาส่งให้นะ”ชายชราพูดยิ้มๆขณะที่ชายชุดดำก็ปรายตามองเงินเฉยๆ แล้วก็เรียกให้ลูกน้องมาขนกลับไป
“ค่าวัสดุที่พวกข้าหามา มันก็กินมูลค่ากว่า 400,000 Silver Gold แล้ว ค่าเหนื่อยการขนส่งข้าไม่เห็นได้เลย”ชายชุดดำพูดด้วยท่าทีนิ่งเรียบ ทำให้ชายชราหุบยิ้มทันที เมื่อเห็นว่าผู้ค้าอาวุธเริ่มเล่นลิ้น
“ข้าทำสัญญาการซื้อขายกับสมาคมนินจาของท่านมานานแสนนานแล้ว ทำไมช่วงที่เปลี่ยนมือมา สมาคมของท่านเปลี่ยนไปมากนัก”ชายชราพูดเสียงเรียบทั้งๆที่ในใจเริ่มเห็นว่าตัวเองกำลังโดนโกง
“ในยุคสมัยนั้น ค่าการแลกเปลี่ยนจากด้านในออกด้านนอกราคามันยังไม่ต่างกันเท่าไหร่ อดีตผู้นำจึงขายอย่างไม่เกรงกลัวการขาดทุน แต่เจ้ารู้มั้ยว่า ตอนนี้การแลกเปลี่ยนอัตราเงินเข้ามามันมีราคาสูงกว่าเดิมหลายเท่าตัวนัก ส่วนราคาขายออกก็ถูกลงเหลือเกิน เจ้าคิดว่าการที่ข้าต้องคิดค่าภาษีมันถูกที่จะทำหรือเปล่าล่ะ”รองสมาคมนินจาพูดจบ ชายชราก็นิ่งสะอึกทันที เขาเองก็พอรู้ว่าอัตราการใช้เงินของโลกมนุษย์ (โลกมนุษย์จริงๆ) มีทุนการใช้ที่สูงมาก
“ได้ งั้นข้าให้พวกท่านได้อีกแค่ 20,000 เท่านั้น เพราะการรวบรวมอำนาจเงินตราของเมืองข้ามีขีดจำกัด”ชายชรากล่าวจบ ลูกน้องของเขาก็นำกองเหรียญทองอีกกองมาให้ โดยที่ชายชุดดำก็แย้มยิ้มที่มุมปาก
“ก็ยังดี การค้าขายเสร็จสิ้นแล้ว”ชายชุดดำพูดจบก็ยื่นมือไปจับ แต่ชายชรายังไม่ทันแตะมือก็ต้องหันไปมองที่ทางเข้าผาอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นเครื่องยิงลูกหินกำลังพังทลาย โดยทหารที่เป็นหน่วยลูกหินก็ต่างล้มตายโดยไม่ทราบสาเหตุ
“เรียนท่านราชครู กองปืนใหญ่เรา ถูกความร้อนจนตายเองพะยะคะ”ผบ.หน่วยปืนใหญ่พูดอย่างตื่นตระหนก ส่วนพวกสมาคมนินจาก็หันไปมองหน้ากันไปมา
พรึบ!! อยู่ๆเครื่องยิงปืนใหญ่ที่มีขนาดความสูงกว่า 5 เมตรก็ลุกติดไฟโดยพร้อมเพรียงกัน โดยที่ไฟนี้เป็นสีดำสนิท มองไม่เห็นส่วนลึกของตัวเปลวเพลิงเลย
“ไฟทมิฬ”เหล่าผู้เล่นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน เนื่องจากไฟนี้พึ่งถูกรู้จักอย่างกว้างขวาง ด้วยเมืองเธอเรียมถูกไฟนี้ทำลาย ธาตุและทักษะนี้จึงถูกจับตามองจากสมาคมต่างๆ
“เขาอยู่ที่นี่หรือไง”รองสมาคมนินจาหันมาพูดกับชายชราเสียงเรียบแต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความเป็นกังวลปนยินดี
“ใช่ พวกข้าทราบข่าวจากทหารสายสืบของเราที่แฝงตัวอยู่ในเมืองว่า พวกเขาพึ่งเข้ามาในเมืองตอนรุ่งสางของวันนี้”ชายชราตอบหน้าเครียด หลังไปเห็นเปลวไฟกำลังคร่าชีวิตทหารของเขาเป็นว่าเล่น
“สังหารทุกอย่างที่ติดไฟสีดำซะ”ผบ.หน่วยปืนใหญ่ร้องสั่งการอย่างเสียดายขณะจ้องมองลูกน้องของตนที่ต่างล้มตายกันไปเรื่อยๆ
“เยี่ยม เรารู้แล้วว่ามันอยู่ไหน”รองสมาคมนินจากล่าวจบก็ประกาศข่าวของจอมมารให้ทุกคนในช่องสื่อสารทราบ แต่ยังไม่ทันที่จะได้แอ๊ดลงไปที่ช่องสื่อสาร เขาก็ถูกลูกน้องสะกิดให้ดูอะไรบางอย่างที่บนผาหิน
เหล่านักบวชหญิงต่างโผล่ขึ้นมาเพื่อคำนวณจำนวนศัตรู ส่วนที่ช่องผาก็มีอสูรโกเลมที่พวกเธอปลุกเสกกำลังพากันวิ่งออกมาอย่างเป็นระเบียบและมีเป็นจำนวนมากตามจำนวนนักเวทที่อัญเชิญอสูรมา
เหล่านักบวชสาวเมื่อเห็นว่าจำนวนศัตรูมีมากก็ทำการร่ายเวทเพื่อตัดกำลังทางทหารซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ในการศึกแขนงหนึ่ง พอพวกเธอกะระยะการโจมตีได้ก็ต่างร่ายเวทเป็นเสียงเดียวกัน
“กรงล้อแห่งเพลิง”เมื่อพูดจบพลังธรรมชาติที่อยู่โดยรอบก็ต่างบีบตัวเข้ามาที่ด้านหน้าเหล่านักบวช พอพวกเธอได้พลังที่ต้องการก็ทำการปล่อยเวทที่หน่วงจนกลายเป็นกรงล้อไฟให้พุ่งใส่กองทัพทหารที่ตั้งทัพรออยู่
เหล่าผู้เล่นที่ถูกจ้างมาต่างทำหน้าที่กันอย่างแข็งขันด้วยการกางอาณาเขตเวทจนที่ด้านหน้าของกองทัพปรากฏม่านพลังที่มีความกว้างใหญ่กว่า 200 เมตร เนื่องจากค่าพลังพิเศษของผู้เล่นจะมีค่าความเข้มข้นของพลังมากกว่าค่าพลังของนักบวชเอไอที่พึ่งเรียน กรงล้อเพลิงเมื่อกระทบม่านพลังเลยแตกสลายกลายเป็นไอความร้อนไปกันหมด
นักบวชหญิงทั้งหลายเมื่อเห็นว่าการโจมตีด้วยกรงล้อเพลิงไม่มีผลต่อศัตรูตนก็เลยตั้งสมาธิบังคับอสูรโกเลม ทำให้อสูรพุ่งเข้าใส่กำแพงม่านพลังเวทที่ร่ายกันไว้อยู่
กองทัพของชายชราผมเห็นอสูรโกเลมก็ยิ้มกันได้ เพราะการทำสงครามครั้งนี้พวกเขาเตรียมตัวมาดี ชายชราจึงยกมือส่งสัญญาณโดยที่พวกนักบวชหญิงไม่รู้ว่ามันคืออะไร
“อึ๊ย”เหล่านักบวชต่างทำหน้าหวาดกลัวเมื่อเห็นว่ามีตัวอะไรโผล่ขึ้นจากพื้น
‘อสูรของผู้รุกราน Scorpion Man (มนุษย์แมงป่อง) เลเวล 120 ค่ะ’เสียงของระบบรายงานเหล่าผู้เล่นที่อยู่ในเมืองจันทรายาวเหยียด เมื่อผู้บัญชาการของเมืองพบเจอกับอสูรที่มีลำตัวล่างแบบแมงป่อง แต่มีส่วนบนเป็นลำตัวมนุษย์ส่วนบน
‘อสูรของผู้รุกราน Mantichore (มัลติคอร์) เลเวล 120 ค่ะ’ระบบรายงานถึงอสูรอีกตัวที่มีลักษณะตัวเหมือนสิงโต แต่มีใบหน้าเหมือนมนุษย์ มีฟันแหลมคม 3 แถว และที่สำคัญมีหางแบบแมงป่อง
เมื่ออสูรทั้ง 2 ชนิด ร่วมนับพันตัวโผล่พ้นจากพื้นดินแล้ว พวกมันก็พากันพุ่งเข้าสังหารอสูรโกเลมกันอย่างรวดเร็ซ โดยอสูรที่มีรูปร่างสิงโตใช้หางแมงป่องพ่นกรดสีเขียวเข้าใส่อสูรโกเลม ส่วนอสูรแมงป่องก็ใช้มือที่มีลักษณะเหมือนก้ามแมงป่องหวดเข้าใส่จนเหล่าอสูรของนักบวชแตกพ่ายสลายไปหมด
“ดีเยี่ยม”ชายชราชื่นชม เขาคิดไม่ผิดจริงๆที่ให้ภารกิจกับผู้เล่นเพื่อแลกกับเงินไปตามจับพวกอสูรพวกนี้ แล้วนำมาใช้เป็นตัวชนเหล่าโกเลมที่เขาเคยพ่ายแพ้มาครั้งหนึ่งเมื่อหลายๆครั้งก่อน
เหล่านักบวชสาวต่างมองดูผลความพ่ายแพ้ของตนด้วยใจระทึกเล็กน้อย แต่พวกเธอคือนักเวทที่ชาญศึก ไม่นานก็ทำใจให้ว่างเปล่าและเตรียมอัญเชิญอสูรต่อไปได้ต่อทันที
“กำเนิดจากสายลม และต่อสู้เพื่อสายลม”เหล่านักบวชสาวอัญเชิญอสูรอีกครั้ง หลังจากนั้นสายลมด้านหน้าเหล่านักบวชก็ปรากฏเป็นพายุที่มีรูปร่างคล้ายประตูสีมรกต
“ออกมาเถิดนักรบแห่งสายลม ไซเมิร์ก”สิ้นเสียงร่าย ประตูที่ปิดสนิทก็เปิดออกมา โดยอสูรมีปีกและใส่เกราะบินออกมาตามจำนวนคนที่อัญเชิญ พอพวกอสูรสายลมออกมาจนครบครึ่งแสน ประตูที่พวกมันออกมาก็สลายหายไป
‘อสูรสายลม ไซเมิร์ก เลเวล 135 ค่ะ’
“พวกเจ้ายังกล้ากลับมาอีกรึ”ไซเมิร์กตัวหนึ่งที่ใส่ชุดเกราะระดับสูงสุดของเผ่าถามพวกกองทัพมนุษย์ที่อยู่ข้างล่างด้วยน้ำเสียงที่ดังกึงก่อง ด้วยไซเมิร์กเป็นอสูรที่มีสติปัญญาระดับหนึ่งพวกมันเลยพอมีความคิดในการโต้ตอบอยู่บ้าง แล้วยิ่งพวกที่มาบุกคราวนี้เป็นพวกเดียวกับที่พ่ายแพ้ให้กับพวกมันในครั้งที่แล้วด้วย พวกมันจึงถามอย่างสงสัย
“ครั้งที่แล้ว พวกข้าไม่รู้เฉยๆ”ชายชรากล่าวจบ ก็ยกมือขึ้นอีกครั้ง ส่วนเสนาของกลุ่มก็ยิงปืนสั้นที่อยู่ในมือขึ้นฟ้า ซึ่งกระสุนนั้นก็ระเบิดที่บนท้องฟ้า แล้วปรากฏเป็นสัญลักษณ์มังกร
หลังจากไอพรุปะทุเป็นครั้งสุดท้ายก็สลายไป พร้อมกับท้องฟ้ารอบทิศทางปรากฏร่างของอสูรชนิดหนึ่งออกมาเรื่อยๆ
‘มังกรแห่งสายลม ไวเวิร์ด เลเวล 130 ค่ะ’เสียงของระบบรายงานเมื่ออสูรที่มีรูปร่างแบบมังกรบินมาจนเกือบถึงเมืองโดยวัดทิศทางอากาศแล้วมีระยะห่างกันเพียง 5 กิโลเท่านั้น
“ไม่นึกว่าจะได้เรียกใช้พวกท่านจริงๆ กิลด์มังกรสายลม ไวเวิร์ด”ชายชรากล่าวทักทายผู้เล่นที่สุดแบบอัศวิน ซึ่งขี่มังกรสีเขียวตัวหนึ่งลดเพดานบินลงมาที่ด้านหน้าเขา
“พวกเราทำทุกอย่างด้วยการค้า ขอแค่คุณจ่ายเงินตามราคาที่ตกลงไว้ก็โอเค”ผู้เล่นหนุ่มตอบเสียงเรียบ ส่งผลให้ชายชรายิ้มแย้ม เงินไปงานมา แค่นั้นก็พอใจแล้ว
“ครั้งนี้แค่สังหารอสูรสายลมไซเมิร์กเฉยๆ คงไม่ตึงมือท่านเกินไปสินะ”
“พวกนั้นมีเลเวลแค่ 135 ส่วนตัวผมมีเลเวล 140 บวกกับราชาไวเวิร์ดที่มีเลเวล 150 ผมคิดว่าคงจะจัดการได้ง่ายๆ แล้วอีกอย่างกิลด์ของผมก็ยกกันมาเกือบหมดด้วยเหมือนกัน”ชายหนุ่มพูดจบ เหล่ามังกรสายลมที่มีผู้บังคับก็ลดเพดานบินลงมา โดยพวกมันมาตั้งกองทัพอยู่ที่ข้างหลังมังกรราชาแห่งสายลม ซึ่งมีลักษณ์ที่พิเศษกว่าตัวอื่นๆด้วยขนาดที่โตกว่า และแฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม
เหล่าผู้เล่นและประชาชนที่อยู่ในเมืองจันทราต่างหันไปมองหน้ากันไปมาด้วยความหวาดกลัว แม้สงครามจะเกิดขึ้นบ่อยแต่ก็ไม่เคยเห็นว่าฝั่งศัตรูจะทุ่มกำลังมามากขนาดนี้
นักบวชที่เป็นนักรบประจำเมืองนั้นต่างมีใบหน้าเคร่งเครียดไปตามๆกัน แม้พวกเธอจะไม่รู้ว่าพวกผู้เล่นและกลุ่มที่รุกรานเมืองพูดอะไรกัน แต่พวกเธอก็รู้สึกหวาดกลัวกันพอสมควร เนื่องจากพวกที่มารุกรานนั้นมีการเตรียมพร้อมที่มากกว่าเดิม จนครั้งก่อนๆเทียบกันไม่ได้เลย
“เอายังไง นายหญิง โปรดสั่งการ”อสูรไซเมิร์กตัวหนึ่งที่มีใบหน้าระอ่อนหันมาถามอย่างกระตือรือร้นกับนายกองที่เป็นคนอัญเชิญตนออกมา
“พวกเราคงต้องสู้อย่างเดียวเท่านั้นล่ะ”ผบ.สาวกล่าวอย่างจนปัญญาและไม่มีทางเลือก
“ถูก ถ้าไม่สู้ แล้วพวกเธอจะชนะได้ยังไง”เสียงหญิงสาวปริศนาดังขึ้นที่ด้านบน ทำให้พวกนักบวชและไซเมิร์กหันไปมองอย่างแปลกใจ
“คุณอนาตาเซีย คุณไรน่า”ลูน่าที่อยู่ด้านท้ายของทัพอุทานออกมาเมื่อเห็นหญิงสาวผมดำมาพร้อมกับปีกสีดำและไรน่าที่มาพร้อมกับหูและหางสีขาวบริสุทธิ์
“เรียกเบาๆข้าก็ได้ยิน”อนาตาเซียเอ็ดกลับอย่างมีอารมณ์ ทำให้ผู้ทักต้องหุบปากทันที เธอเรียกเพราะความตกใจน่ะเมื่อกี้
“โอ้ มังกรที่กินลมไปวันๆ ตอนนี้พวกมันกล้าออกศึกแล้วเหรอเนี่ย”มังกรแห่งความมืดในร่างมนุษย์บ่นอย่างอารมณ์เสีย หลังมองเห็นพวกไวเวิร์ดนับแสนที่บินอยู่บนท้องฟ้ารอบๆเมืองจันทราแห่งนี้
มังกรที่ผู้เล่นบังคับจริงๆมีไม่กี่พันตัวหรอก แต่ทุกตัวที่ผู้เล่นบังคับส่วนใหญ่จะเป็นมังกรระดับผู้นำอย่างลอร์ดระดับสูง (130+) และราชาทั้งสิ้น (130-150) เลยทำให้มังกรใต้อาณัติตัวอื่นๆ ไม่มีทางเลือกและต้องเข้าร่วมสงครามอย่างไม่มีทางเลี่ยง
“พวกมันเติบโตขึ้นตอนที่เธอไม่อยู่นั่นล่ะ”หญิงสาวผมน้ำเงินที่มาในชุดเดรสสีขาวเป็นผู้ตอบคำถาม ก่อนจะปรากฏตัวออกมาพร้อมกับกลุ่มของพวกพรอม ที่อยากจะมาดูสนามรบ
“เท่าที่คำนวณดูแล้ว พวกมันมีมากกว่าพวกอสูรสายลมเยอะเลยนะคะ”ไรน่ากล่าวพร้อมกับกระดิกหางอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่ไซเมิร์กที่มองเห็นก็ต่างทำหน้าเหม่อ เพราะอสูรสาวที่จะสวยเข้าตานั้น หายากสุดๆ แม้จะอยู่คนละสายพันธุ์ก็ไม่เป็นไร ยังไงๆ ในโลกนี้ก็มีอสูรเกิดใหม่มากมายอยู่แล้ว
“จำนวนไม่สำคัญหรอก จำตอนที่อยู่เมืองเริ่มต้นได้หรือเปล่าล่ะ”ริเรียน่ากล่าวเสียงเย็น ก่อนยกเรียกเคียวตัวเองออกมาถือ
“นั่นก็ใช่อยู่หรอกค่ะ แต่ตอนนั้นพวกเรามีมากกว่าแถมพวกที่มาป่วนก็มีเลเวลไม่ห่างกับเรามากนะคะ”แฟร์ค้าน ในตอนนั้นถ้าไม่ได้เรื่องจำนวนและเขตสงครามที่กว้างล่ะก็ ไม่รู้ผลจะเป็นยังไงนะ
“อย่าพูดตัดกำลังใจกันเองสิแฟร์”เทียร่าหันมาว่า ก่อนจะชักดาบเรเปียร์ออกมาถือไวพร้อมกับทำสมาธิเพื่อควบคุมพลังสายความเร็ว
“แต่ว่าครั้งนั้น เขาแทบจะฉายเดี่ยวเลยนะคะ”จาเนียบ่นถึงเจ้านายตัวเอง เขาคนนั้นชื่นชอบสงครามจะตาย แล้วตอนนี้หายไปไหนแล้วเนี่ย
ลูน่าที่ฟังอยู่หัวเราะแห้งๆ ก่อนจะสะกิดเธอเรียมที่อยู่ด้านหลัง ทำให้ผู้ถูกสะกิดต้องหันมาถามด้วยความสงสัย ผู้เล่นจะมามีธุระอะไรกับคนไร้อำนาจทางการเมืองแบบเธออีก
แต่ลูน่าไม่ได้ตอบคำ เธอแค่ชี้นิ้วไปยังหญิงสาวผมดำที่กำลังกอดอกแล้วยืนมองกองทัพของผู้บุกรุกอยู่ที่ริมหน้าผา แม้ใบหน้าจะเรียบเฉย แต่ประกายสายตากลับเย็นชาและว่างเปล่าจนพวกอนาตาเซียที่ว่าดวงตาน่ากลัวแล้ว ยังได้ไม่ถึงครึ่งเลย
“คุ้นๆแหะ”ไรน่าและอนาตาเซียหันมาถามกันทันที หลังมองตามมือของลูน่าไป
จาเนียเอียงคอมองตาม เธอรู้สึกคุ้นจริงๆนั่นแหละ แต่ไม่รู้ว่าเคยเจอกันที่ไหน
ต่างกับลีเวียธาน ที่พยักหน้าให้กับหน้าอกที่อยู่ไซน์เดียวกันกับเธอ ถึงของเธอจะใหญ่กว่าหลายเซ็น แต่ก็ยังดีกว่าตูมอยู่คนเดียวล่ะนะ
“หือ”ดูเหมือนผู้ที่ถูกมองจะพึ่งรู้ตัว เมื่อเธอหันกลับมามองอย่างแปลกใจ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครแล้ว ประกายสายตาจากที่เคยว่างเปล่าเย็นชา ก็กลายเป็นดวงตาอันอ่อนโยน ที่พวกอนาตาเซียจำได้ขึ้นใจ
“เจ้านาย/นาย/เจ้าหื่น”คำทักทายสุดท้าย สงผลให้เอรีสทำหน้าเซ็งก่อนจะเปลี่ยนใบหน้าเป็นเรียบเฉยตามนิสัยไม่สนโลกปกติ
“ทำไมถึงแปลงร่างเป็นผู้หญิงล่ะคะ”เอลฟ์สาวเริ่มสอบปากคำอย่างสงสัย การเปลี่ยนเพศไม่ใช่เรื่องแปลก แค่มีพลังอะไรก็ทำได้ แต่เธอไม่คิดว่าจะแปลงได้เนียนขนาดนี้
“ไม่เชิงว่าแปลงหรอก พอดีมันเกิดเหตุผิดพลาดนิดหน่อย แต่ก็ดีไปอย่าง ที่ร่างนี้ไม่ถูกจับตามองดีน่ะ”เอรีสกล่าวก่อนจะโชว์เวทที่ตนเรียนมาให้ดู ร่างกายของหญิงสาวกลับเป็นร่างของชายหนุ่มปกติ แต่ทว่า มันกลับได้เพียงไม่กี่วินาที เวทก็คลายตัวออก ก่อนจะกลับเป็นร่างหญิงสาวตามเดิม สงสัยจะยังไม่ถนัดเวทสายนี้แหะ
“ก็อย่างที่เห็นล่ะ”เอรีสยักไหล่ให้ เป็นเชิงว่าตนทำได้ดีแค่นี้แหละ แต่พวกอสูรกลับหันไปยิ้มให้กัน ก่อนจะหันมามองหญิงสาวผู้เป็นร่างใหม่ของเฟตด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมผิดปกติ
“อ่ะ เดี๋ยวๆ มันจักจี๋นะ”เอรีสร้องออกมา หลังจากถูกอสูรแกล้งด้วยการลูบไล้และสะแขวสร่างกายจนสยิวไปหมด
“นี่ๆหยุดแกล้งเขาก่อน มาช่วยกันสู้ก่อนดีกว่ามั้ย”ลูน่ารีบสะกิดพวกอสูรที่กำลังจะสอนให้เจ้านายได้รู้จักว่า ร่างกายผู้หญิง ประสาทการรับรู้ไวกว่าผู้ชายหลายเท่านะ
“ผมรู้อยู่แล้วล่ะ ว่าร่างกายผู้หญิงไวต่อการสัมผัสแค่ไหน”เอรีสกล่าวเสียงเรียบ ขณะหันไปมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยอสูร
ทางผู้บัญชาการฝั่งนั้นคงสั่งโจมตีเข้ามาแล้วแน่ๆ
“แต่เรื่องนั้นคงไม่สำคัญเท่ากับตอนนี้หรอกนะ”อสูณทั้งหมดของเฟตกล่าวพร้อมกัน หลังจากดวงตาอสูรของพวกเธอมองออกไปนอกเมืองจนเห็นกองทัพเสริมของศัตรูที่กำลังใกล้เข้ามา แต่ถ้าทัพเสริมธรรมดาคงไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่นี่มันดันขึ้นธงป้ายว่าทัพหลวง แถมยังมีจำนวนมากกว่าทัพปัจจุบันนี่หลายสิบเท่าเลยด้วย
อสูรไซเมิร์กเรียกม่านลมมาป้องกันเคียวสายลมของมังกรไวเวิร์ดกันอย่างพร้อมเพรียง เมื่อศัตรูโจมตีมาด้วยเคียวสายลม ซึ่งทำให้ทักษะลมของไวเวิร์ดสลายไปทั้งหมด เพราะทั้ง 2 สายพลังเป็นธาตุสายเดียวกัน
เมื่ออสูร 2 สายพันธ์เห็นว่าการโจมตีด้วยพลัง ทำอะไรกันไม่ได้เลย ก็ต่างเรียกอาวุธประจำตัวออกมาและพุ่งเข้าใส่กัน ฝ่ายไซเมิร์กได้เปรียบเรื่องเลเวล ที่มากกว่ากันเล็กน้อย แต่ทางไวเวิร์ดกลับได้เปรียบเรื่องจำนวน จนหลายๆครั้งอสูรที่ปกป้องเมืองต้องตกเป็นรอง ดีที่ได้พวกนักบวชช่วยหาเวทมาเสริมประสิทธิภาพให้กับอสูรของตนเอง ทำให้สงครามในตอนนี้อยู่ในระดับกินกันไม่ลง
“คิดว่ายังไงล่ะครับ”ชายผมดำที่คลุมผ้าแบบแม่ทัพหันมาถาม หญิงชราที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ตรงกำแพงเมืองชั้นในของเมืองจันทรา
“เมืองของชายคนนั้น ทำสงครามกับเมืองจันทรามาเป็นเวลานานแล้ว การที่พวกเขายกกองกำลังมาถึงเพียงนี้ คงเป็นการทำสงครามครั้งสุดท้าย หรือไม่ก็ต้องมีอะไรแอบแฝง”หญิงชราวิเคราะห์ตามที่เห็น ก่อนจะหันไปมองรอบๆ น่านฟ้าของเมืองที่เกิดสงครามเวหาอยู่
หลังจากหญิงชรากวาดตามองสักพักก็หันกลับมามองชายผมดำที่กำลังซ้อมตวัดคาตานะสายอิไอ เป็นการฝึกมือ ส่งผลให้หญิงสาวผมฟ้าอ่อนข้างๆ ต้องใช้มือเคาะหัว เพราะกลัวว่าการซ้อมจะทำให้คนตายจริง
“ว่าแต่ พวกเธอทั้ง 2 จะนั่งเฝ้ายายอีกนานมั้ย”หญิงชราถามด้วยความสงสัย หลังจากเสียงระบบประกาศว่าเมืองนี้ตกอยู่ในสถานะสงคราม ชิออนและฟ้าใสก็มาเป็นบอดี้การ์ดเธอทันทีเลย
“ก็ จนกว่าสงครามจะสิ้นสุดค่ะ”
“ภารกิจของนักเวทสินะ”หญิงชราคาดเดา ซึ่งฟ้าใสก็พยักหน้าให้ ตอนนี้พวกผู้เล่นที่เป็นนักเวทในเมืองต่างได้รับภารกิจเดียวกัน ซึ่งก็คือการปกป้องไม่ให้ เลอร์อินซา จ้าวเมืองปัจจุบันเป็นอะไรไป
ในขณะที่ฟ้าใสกับชิออนกำลังปรึกษากันไปมา ว่าจะเอาอะไรเข้ามากินฆ่าเวลาดี ก็มีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งแว่วเข้ามาซะก่อน
“คุณยาย อีกฟากหนึ่งกำลังมีทัพหลักมาเสริม เห็นป้ายแจ้งว่าเป็นราชาด้วย”เสียงหวานใสดัง ก่อนจะปรากฏร่างของหญิงสาวในชุดสุดวาบหวิว ผ้าคลุมที่พันอยู่รอบอก ส่งผลให้ชายหนุ่ม 1 เดียวในสถานที่ตาโตจนเกือบจะถลนออกมา
“ทัพหลักของเมืองนั้นมาถึงแล้วรึ”หญิงชราอุทานแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมกับฟ้าใส แต่ชิออนยังคงจ้องมองหน้าอกที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลสีขาวอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่าต้องตาต้องใจหรือยังไง
“เป็นอะไรอีกล่ะ”ฟ้าใสถามแฟนตนเองที่แหงะมองหญิงชุดขาวกับสลับก้มหน้า
“แค่เห็นหน้า และผ้านั้น ใจของผมก็เหมือนจะสลายไปเลย”ชิออนพึมพำเบาๆ แต่ฟ้าใสที่ได้ยินถึงกับเครียด ก่อนจะแค่นเสียงกล่าวพร้อมกับพลังที่พุ่งปรี๊ดออกมา
“กล้าพูดดีนี่”แต่ยังไม่ทันที่จะได้ฤกษ์สังหาร หญิงสาวผมดำในชุดคลุมกลับยกมือห้ามพร้อมกับส่งซิก ทำให้ฟ้าใสพยักหน้าแบบเอ๋อๆ หลังรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร
แต่ยังไม่ทันที่ฟ้าใสจะได้ทักทาย เจ้าตัวก็หายไปพร้อมกับวงแหวนเวทที่ช่วยเคลื่อนย้ายร่างไป
“เวทเคลื่อนย้ายนี่”ฟ้าใสถึงกับอุทาน เวทสายนี้เป็นเวทสายที่เล่นยากมาก ไม่ใช่ว่าฝึกยากอะไรหรอก แต่คนสอนน่ะ หายาก
“อ้าว เธอหายไปไหนแล้วล่ะ”ชิออนลุกพรวดมาถามเหมือนคนตกอยู่ในภวังค์ แต่สักพักก็ส่ายหัวอย่างได้สติ ก่อนจะหันไปมองหน้าฟ้าใสที่ยิ้มให้แบบแปลกๆ
“เขาไปแล้ว”หญิงสาวตอบก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา พี่น้องจะตกหลุมรักกันเนี่ยนะ คิดแล้วขำ แต่นั่นยังไม่เท่าที่ 2 คนนี้เป็นผู้ชายทั้งคู่นะ
ในขณะที่พวกชิออนกำลังหยอกล้อกันอย่างไม่ซีเรียว เจ้าเมืองสูงวัยกลับคิดไปอีกด้าน
เลอร์อินซามองประชาชนของตัวเองที่เหลืออยู่ในเมืองด้วยความเหนื่อยและหนักใจ เมื่อผู้เล่นที่อาศัยอยู่ในเมืองกำลังหนีไปทางด้านหลังของเมือง เพื่อหนีออกจากสงครามที่เกิดตัวในปัจจุบันนี้ ทั้งๆที่พอจะเป็นกำลังหลักของเมืองจันทราได้แล้วแท้ๆ พวกที่เหลืออยู่ก็เลยมีแค่พวกนักบวช กับพวกทหารเอไอที่รักบ้านเกิดของตัวเองเท่านั้นเอง
แต่เมื่อสตรีสูงวัยหันมามองที่ด่านหน้าแห่งสงคราม ก็ยิ้มออกมาที่กลุ่มผู้เล่นซึ่งเคยเป็นข่าว ว่าเป็นผู้ทำลายเมืองและเป็นอาชญากร กำลังเป็นกำลังหลักให้ทหารของเธอทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของพวกเขาเลย การที่ชิออนและฟ้าใสมาอยู่ตรงนี้ก็อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาต้องการให้ทหารองครักษ์ของเธอมีกำลังใจอยู่บ้าง และเอรีสที่อยู่แนวหน้าก็เช่นกัน ทั้งๆที่เมืองนี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญหรือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเหมือนเมืองอื่นๆ แต่พวกเขากลับอยู่เพื่อเป็นตัวหลักให้พวกทหารได้มีกำลังใจ อยู่หน้าท้าชนโดยไม่หนีหายไปไหน ทั้งๆที่ศึกนี้ คำว่าชนะอาจจะสะกดได้ยากยิ่งกว่าคำว่าแพ้
“ถ้าเมืองของพวกท่านต้องมาจบลงวันนี้ ด้วยน้ำมือการบริหารของข้า ข้าก็ต้องขออภัยจริงๆนะคะ”หญิงชราเอ่ยกับท้องฟ้าด้วยเชื่อว่าตนเองไม่มีสิทธิ์ชนะ คนไม่ถึงแสน จะสู้กับกองทัพนับล้านได้ยัง แค่คิดก็ท้อแล้ว
“นี่นาย”ลีเวียธานร้องเรียกหญิงสาวในชุดคลุมยาวสีดำ ซึ่งแน่นอน ภายในเธอไม่ได้ใส่ชุดแบบปกติเหมือนใคร แถมยังมีหน้ามาเดินโชว์ตัวอยู่บนกำแพงสูงเพื่อล่อเป้าอีกด้วย
“หืม”เอรีสที่ถูกทักหันมาถามด้วยเสียงในจมูก
“ก็เข้าใจนะ ว่านายกลับร่างไม่ได้ และยังไม่คุ้นกับการเป็นผู้หญิง ขนาดฉันเองก็ยังต้องทำความคุ้นอยู่ตั้งนาน กว่าจะรู้ว่าการหนักอกหนักใจมันเป็นยังไง แต่ว่า......... อย่าโชว์ตัวมากได้มั้ยย๊ะ!!!! นายทำให้พวกทหารหื่นกันหมดแล้ว ในร่างผู้ชายก็ดันหื่นใส่พวกฉัน พอร่างผู้หญิงก็ดันชวนให้ผู้ชายหื่นอีก”หญิงสาววีนแบบโมโห เป็นอย่างที่เธอพูดจริงๆ เอรีสใส่แค่เสื้อคลุมยาว แต่ภายในไม่ได้ใส่อะไรปกปิดไว้เท่าไหร่เลย จะมีก็แค่กางเกง 3 ส่วน กับผ้าพันแผลที่พันหน้าอกไว้ป้องกันการกระเพื่อมเท่านั้นเอง
“ไม่สบายเหรอ”เอรีสถามสั้นๆ ก่อนจะเงยหน้ามองอสูรไซเมิร์กและมังกรลมไวเวิร์ดที่กำลังสู้กันอยู่เหนือหัวไป
“เฮ้อ”ลีเวียธานถอนหายใจยาว ก่อนจะหันกลับมาดูกลุ่มอสูรของเฟต ที่พยักหน้าให้กันเหมือนคิดไว้อยู่แล้ว เจ้านายพวกเธอน่ะ ต่อให้อยู่ในสถานการณ์ไหน ยังไงก็ไม่มีวันตื่นเต้นหรอก ไม่สนใครอีกต่างหาก
ถึงจะไม่สนใคร แต่เอรีสก็รู้ว่าหากปล่อยไว้แบบนี้ต่อไป สถานการณ์ในเมืองคงตกเป็นรอง จนเธอาจจะไม่มีที่พักแน่ๆ ตนจึงใช้ทักษะไฟของตัวเอง จัดตั้งสุมกองไว้ไปทั่วเมือง เพื่อให้พวกนักธนูเอาหัวลูกดอกมาจิ้ม ก่อนจะใช้โจมตีออกไป
“จาเนีย เป็นยังไงบ้าง เหนื่อยมั้ย”หลังจากปล่อยพลังเสริมให้ทัพธนูแล้ว เอรีสก็เดินไปถามทัพทหารที่ใช้อาวุธประชิด ซึ่งกำลังเตรียมฟังคำสั่งจากจาเนียที่เป็นเอลฟ์นักรบ และมีประสบการณ์ในการรบระยะประชิดมากที่สุด ในขณะนี้
“ไม่เหนื่อยค่ะ”เอลฟ์สาวหันมาตอบด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่เอรีสเอาผ้าเช็ดหน้าของตนเข้ามาช่วยซับเหงื่อให้ เพราะรู้ว่าผู้บัญชาการเองก็มีความเหนื่อยอยู่เหมือนกัน เพียงแต่เป็นการเหนื่อยภายในใจจากความเครียดอ่ะนะ
“อย่าทำอะไรเกินตัวไปนะ”หญิงสาวที่ซับเหงื่อให้อยู่กล่าวพร้อมกับทำสายตาอ่อนโยน จนพวกผู้ชายที่ดูอยู่ถึงกับเคลิ้ม แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ที่ผู้หญิงกับผู้หญิงแตะกันด้วยความห่วงใยแล้ว พวกเขาก็ถึงกับขนลุกซู่ พูดอะไรกันไม่ออกเลยทีเดียว
“แม้ร่างจะเปลี่ยน แต่ใจไม่เคยเปลี่ยนไปเลยนะคะ”
“แม้ร่างกายผมจะเปลี่ยนไปหรือหายไป แต่ใจผมไม่เคยเปลี่ยนนะครับ ผมยังคงอยู่ในใจพวกคุณตลอดไป”
“ไปหาหน่วยพยาบาลกันเถอะค่ะเจ้านาย”ไรน่าขัดจังหวะคำพูดหวานๆ เนื่องจากเธอรับหน้าที่เป็นเลขาด้านดูแลผู้บาดเจ็บ มีเรื่องเร่งด่วนอะไรจะเอามาแจ้งให้หญิงสาวผู้นี้ทราบเสมอ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ”เอรีสหันมาถามอย่างรวดเร็ว เธอให้อนาตาเซียช่วยเตือนเรื่องสงคราม กับไรน่าที่เตือนเรื่องผู้ได้รับบาดเจ็บนั้น เป็นเพราะพวกเธอมีประสาทสัมผัสในการรับรู้มากกว่าใครๆ และแน่นอน พวกเธอสื่อจิตแทบจะถึงกัน มองตาก็รู้ใจแล้ว
“ไปดูเองเถอะค่ะ”ไรน่าไม่ตอบ แต่ชี้นิ้วไปยังทิศทางที่อยู่ไกลลิบๆ เอรีสที่มีสายตาในระดับมนุษย์ทั่วไปทำหน้างงเล็กน้อย ก่อนจะร่ายเวทเคลื่อนย้ายส่งตัวเองไปยังพื้นที่เป้าหมาย
“นี่ ปล่อยผมนะ ผมมาเพื่อตามหาพี่ผม”ชายผมแดงพยายามสะบัดตัวเพื่อให้หนีจากการเกาะกุมของทหารเทพที่กำลังลากตนเข้ามาในพื้นที่พยาบาลของเมืองจันทรา
“มาหาในพื้นที่สงครามเนี่ยนะ น่าเชื่อตายล่ะ”หญิงสาวชุดคลุมนักเวทกล่าวด้วยความไม่เชื่อ
“ที่พวกคุณยังมาได้เลยนี่ครับ ผมมามั่งไม่ได้เหรอ”ชายผมแดงค้านเสียงเบาๆ เมื่อเห็นสายตาของผู้เล่นที่เป็นทหารเทพ
“ที่พวกผมมา เป็นเพราะเมืองนี้เป็นเมืองที่เทพปกครองอยู่ การที่พวกผมที่เป็นทหารเทพมาช่วยนั้นไม่แปลกอะไรหรอก แต่คุณที่เป็นพวกของฝ่ายมารนี่สิ ไม่น่าเชื่อ แถมยังเป็นมารของแดนเหนืออีก”ชายหนุ่มที่สะพายดาบใหญ่กลางหลังกล่าวเสียงเรียบ ตามแบบฉบับของผู้นำ ซึ่งคำพูดของเขาก็ทำให้ชายผมแดงคิดได้และหันไปมองซ้ายขวาด้วยความหวาดกลัวที่ตนดันเผลอทำอะไรพลาดไป
“ก็ ผมไม่นึกว่าเขาจะห้ามเข้าตอนนี้นี่ครับ”ชายผมแดงกล่าวเสียงเศร้า ก่อนที่ด้านหน้าตนจะมีวงแหวนเวทปรากฏขึ้น
“หือ เวทชั้นกลาง เวทเคลื่อนย้ายแบบบุคคล”หญิงสาวที่ใส่ชุดแบบนักเวทอุทานเมื่อเห็นประกายแสงที่เกิดตรงหน้า
“อ้าว มาทำอะไรกันเนี่ย กลุ่มอัศวินเทพของนิค และ อืม หัวแดงๆ หน้าตาห่วยๆแบบนี้ แรนลอฟซินะ”หลังจากวงแหวนเวทหายไป ผู้ปรากฏตัวก็กล่าวทักทายแบบไม่แนะนำตัว เนื่องจากปกติเธอก็ไม่ได้สนใจใครอยู่แล้ว ถึงแม้คำพูดและการกระทำจะทำให้ผู้ที่พบเห็นตะลึงค้างไปแล้วก็ตาม
แอนจิลล่าและเมย์จิกเชี่ยนที่เป็นหญิงสาวเพียง 2 คนในทีมของนิคนั้นต่างหันไปมองหน้ากันด้วยความอิจฉาในความสวยของหญิงสาวตรงหน้า แถมยังใจกล้าถึงขั้นไม่สวมชุดชั้นในอีกด้วย ตามเรทของเกมมันก็ไม่ผิดหรอกนะ หากไม่อายหุ่นหรือสายตาใครล่ะก็
“เข้ามากันได้ยังไงเหรอ”เอรีสเห็นคนพวกนี้มัวแต่ตะลึงก็รีบถามซ้ำอีกครั้ง เพราะในเวลาสงคราม อย่ามัวรอ
2 สาวทีมของนิคหันไปมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนจะหันไปดูเพื่อนตัวเองที่ยังหน้าแดงเพราะกำลังหลงใหลในความสวยและความชวนหื่นของหญิงสาวที่พึ่งปรากฏตัว
“คือ ที่เมืองนี้เป็นเมืองที่ฝั่งเทพได้สัมปทานในการปกครองค่ะ ทหารเทพอย่างพวกเราเลยได้รับอนุโลมในการเข้าออก แล้วยิ่งเวลาแบบนี้ ผู้เล่นสามารถเข้าช่วยเหลือเมืองได้ค่ะ”เมย์จิกเชี่ยนอธิบาย ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่า ผู้หญิงที่ถามเธอนี่เป็นใคร
“แล้วแรนลอฟล่ะ”เอรีสหันไปถามชายผมแดงที่มองมาอย่างเหม่อลอย 2 สาวทีมของนิคเห็นคนที่ถูกถามไม่มีสติก็เลยพยักหน้าให้กันเล็กน้อย แล้วหันมาหาผู้ถาม
“เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญค่ะ ขอสถานที่เงียบสงบกว่านี้ได้มั้ยคะ”แอนจิลล่าร้องขอ เมื่อเห็นว่าการคุยตรงนี้คงไม่สะดวกเท่าไหร่ เมื่อเตียงผู้รับบาดเจ็บข้างๆ ชะเง้อหูมาพร้อมรับฟัง อันเป็นวิสัยปกติของพวกสอดรู้
“ห้องนั้น ก็ดีนะ”ลีเวียธานที่เดินมาถึงทีหลังแนะนำขณะชี้มือไปยังศูนย์บัญชาการทหาร ที่เป็นที่พักของทหารชั้นผู้นำของเมืองจันทรา
“แต่ว่า นั่นมัน”เอรีสจะค้าน แต่ถูกอสูรสาวค้าน ก่อนจะลากตัวเข้าไป แต่ก่อนที่จะเข้าไปก็ไม่ลืมที่จะกระซิบบอกนักบวชสาว ให้ตามองค์ประชุมมาให้ครบด้วย เพราะดูท่านี่จะเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งพวกนักบวชสาวก็รับคำอย่างงงๆ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ที่อุตส่าห์มาช่วยเหลือก็ยอมอำนวยความสะดวกให้
ที่ห้องฝ่ายบัญชาการ หลังจากได้องค์ประชุมหลักครบ ก็มีการจัดเวรยามอันหนาแน่นเพื่อป้องกันความลับรั่วไหล
“ยังไง ที่ว่าสงครามนี้เกินมือของมนุษย์ธรรมดาเกินไป”เอรีสที่อยู่มุมหนึ่งของห้องเปิดประเด็นถาม หลังจากพวกเมย์จิกเชี่ยนเอาข่าวใหญ่อย่างเช่นเมืองนี้ถูกมารบุก มาเล่าให้ฟัง
“ก็อย่างที่กล่าวไว้นั่นแหละค่ะ สงครามครั้งนี้ หากให้พูดตามหลักสงครามของเกมแล้ว ไม่อาจชนะได้เลย เพราะฝ่ายที่มาบุกเป็นถึงฝ่ายมาร และเท่าที่ทราบมา ราชาของทางนั้นคือผู้เล่น ที่อยู่สายมาร อาจเป็นไปได้ว่า เขามาทำภารกิจอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับมารก็ได้ ตามปกติ ผู้เล่นที่อยู่สายมารและเป็นถึงผู้ปกครองระดับสูงเช่นราชาจะไม่ออกตัวถึงเพียงนี้”ทีมสาวของนิคอธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกสายมารจะอยู่บนโลกมนุษย์ แต่มันแปลกที่คนระดับนั้นทำไมถึงออกตัวถึงขนาดนี้ต่างหาก ปกติเทพและมารที่มาอาศัยในโลกจะไม่ค่อยเปิดเผยตัวสักเท่าไหร่
“งั้นเหรอ”เอรีสรับคำยานครางแบบไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ ต่างกับพวกผู้เล่นคนอื่นๆ ที่รู้ว่าพวกสายมารกำลังจะเปิดศึกถล่มเมืองที่เทพปกครอง
“ดูไม่ค่อยตื่นเต้นเลยนะคะ”แอนจิลล่าถามแทนทุกคนในห้อง ซึ่งมองมาที่เอรีสเป็นตาเดียว คนอื่นเขาเครียดกันแทบตาย แต่คนๆนี้กลับพ่นลมเหมือนรำคาญเสียมากกว่า
“เทพ มาร ชื่อก็ตรงตัวอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเป็นปรปักษ์ ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกอะไรเลย ที่พวกเทพหรือมารพวกนั้นจะมอบภารกิจให้พวกผู้เล่นมาทำสงครามกัน ไม่เห็นจะแปลกเลย”เอรีสกล่าวไม่ทันจบ ประตูห้องประชุมก็ถูกเปิดออก ด้วยน้ำมือของทหารชั้นผู้นำที่เข้ามาอย่างรีบร้อน ทำให้ห้องประชุมหันไปมองเป็นตาเดียวกัน
“กองทัพไม่ทราบฝ่าย ได้เดินทางมาตั้งค่ายห่างจากจุดตั้งทัพของผู้รุกรานแล้วพะยะคะ”แม่ทัพระดับสูงนำข่าวที่ซ้ำเติมความสิ้นหวังมาสู่ทุกคนในห้อง
ก่อนที่ทุกคนจะได้เตรียมใจ ข่าวที่ตามมากลับตอกย้ำความสิ้นหวังหนักขึ้นไปอีก
“ตอนนี้อสูรสายลมของเรา กำลังเสียเปรียบอย่างหนัก หลังจากพวกเผ่ามังกร (ผู้เล่น) เข้าร่วมต่อสู้ กับมังกรสายพันแท้ (อสูร)”
“บ้านเมืองสิ้นชื่อในวันนี้แล้วล่ะมั้ง”เลอร์อินซากล่าวแบบรู้ตัว ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ประธาน ซึ่งเหล่าทหารชั้นสูงและผู้เล่นระดับผู้นำต่างๆ ก็พากันทำหน้าสิ้นหวัง เมื่อผู้นำว่าแบบนั้น
“สงครามยังไม่จบ อย่าพึ่งนับศพทหาร”เอรีสกลับกล่าวไปอีกทาง มนุษย์น่ะ มีทั้งแพ้และชนะ หากคิดแต่แพ้ ยังไงก็ต้องแพ้ แต่หากอยากจะชนะ ก็ลองมีใจสู้กันหน่อยซิ
“ก็ไม่ได้อยากขัดหรอกนะคะ แต่ช่วยดูอะไรตรงนี้หน่อยได้มั้ยคะ”เธอเรียมอดีตราชา (?) ที่เข้ามาร่วมประชุมในฐานะ แกนนำของกิลด์ 4 เทพีพิทักษ์เสนอ พร้อมกับชี้นิ้วออกไปยังบานหน้าต่างข้างหลังตัวเอง ซึ่งกลุ่มอสูรของเอรีสก็พยักหน้า ก่อนจะตรงมาประชิดบานหน้าต่างอย่างรวดเร็ว
“ไม่รู้ว่านี่เป็นวันสิ้นโลกหรือยังไงนะ ที่พวกเจ้าต้องมาเจอกับทัพมนุษย์ที่เป็นพวกกึ่งมนุษย์และแวมไพร์”อนาตาเซียเอ่อยพร้อมกับถอนหายใจ พวกเธอใช้ดวงตาอสูรจึงพอมองเห็นว่าข้างนอกนั้นมีอะไร แต่เธอเรียมที่ชี้ให้ดูกลับทำหน้าเอ๋อ เธอแค่รู้สึกว่าทางนี้มันเย็นแบบแปลกๆ จึงเรียกให้มาดูเฉยๆ ไม่ได้คิดว่าจะเจอกับอะไรแบบนี้เลยนะเนี่ย
“แวมไพร์เหรอ เป็นไปได้ยังไง ไม่ทันจะค่ำเลยนะ”ริเรียน่า ผู้เล่นอิสระระดับสูงและเป็นเผ่าชั้นสูงค้านออกมาอย่างสงสัย
“เวทเปลี่ยนกลางวันให้เป็นกลางคืนของพวกมารยังไงล่ะ (สุริยุปราคา)”ลีเวียธานที่ถือว่าอยู่สายมารเหมือนกัน อธิบายให้ฟัง พร้อมกับความมืดที่ลามมาตั้งแต่กองทัพของศัตรู จนเกือบจะถึงเขตหน้าของเมืองอยู่แล้ว ซึ่งไม่ต้องถามเลยว่า ผู้ที่ใช้เวทนี้ อยู่ที่ไหน
“ทำไมล่ะ”เอรีสที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับใครถามด้วย ในขณะที่คนในห้องต่างทำหน้าเครียดกันหมด
“ปกติ แวมไพร์เป็นอสูรที่มีความแข็งแกร่งมากๆในยามค่ำคืน เมื่อพวกนั้นได้อยู่ในจุดที่ไม่มีแสงอาทิตย์ส่องถึง ร่างกายจะมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น จนมีสถานภาพไม่ต่างกับทหารเทพเลย ไม่สิ อาจเหนือกว่าด้วยซ้ำ เพราะเป็นความสามารถเฉพาะตัวของเผ่าๆนี้”
“แต่ถึงอย่างไร พวกเราก็ต้องได้อานิสงส์สงจากความมืดมั่งนะคะ ไหนๆก็มาถึงเมืองจันทราแล้ว พวกเทพก็น่าจะมอบพลังให้เราต่อสู้กับฝ่ายมารแน่ๆ”แอนจิลล่ากล่าวแบบขวัญเสีย
“นั่นก็คงจะได้ ถ้าพวกนั้นไม่ชิงร่ายเวทมหาเวทอย่างเวทกลืนแสงซะก่อน”หญิงชราเลอร์อินซาตอกย้ำความสิ้นหวังเสียงเรียบ แล้วหันมามองหน้าผู้เล่นและผู้นำต่างๆที่อยู่ในห้องด้วยใบหน้าที่เหมือนจะทำใจได้แล้ว
“ออกไปเถอะ ตอนนี้ยังไปทัน”หญิงชรากล่าวจบก็เดินออกจากห้องไปเพื่อไปเป็นกำลังให้กับทหารของตน
“แล้วทหารเทพคนอื่นๆล่ะคะ”กลุ่มแฟร์ที่นั่งอยู่กองหลังของเธอเรียมร้องถามพวกนิคที่นั่งซึมเพราะความสิ้นหวังในใจ หลังจากรู้ว่า พวกตนหลงชอบเฟตในร่างเอรีสเสียแล้ว
“ก็อย่างที่เกริ่นมาไว้ตั้งแต่ต้นล่ะค่ะ ว่าตอนนี้ไม่ใช่มีแต่ที่นี่เท่านั้นที่เกิดสงคราม ทั่วทวีปของเราทั้ง 3 โลก ก็กำลังเกิดสงครามเช่นกัน พวกเทพตนอื่นๆ จึงถูกส่งไปประจำกองหน้าบ้าง กองหลังบ้าง หรือเมืองหลักๆบ้าง ตามแต่ความสำคัญที่สภาเทพจะมองเห็น แต่หลักสำคัญคือ เรื่องของโลก พวกเทพจะไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่ เพราะได้ไม่คุ้มเสีย”เมย์จิกเชี่ยนอธิบายหน้าเศร้า ทีมของเธอถือว่าเป็นเทพปลายแถวเลยก็ว่าได้ การที่มายืนตรงจุดนี้นั้น เป็นเพราะว่าภารกิจที่เทพเฮสเทียมอบให้เป็นภารกิจที่ดูจะได้กำไรดี พวกเธอจึงยอมรับภารกิจ โดยลืมดูผลที่จะตามมาแบบนี้ล่ะ
ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังหมดเครียดและหมดหวังกับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น เอรีสหญิงสาวที่อดีตคือชายหนุ่มกลับไม่สนใจใคร เธอเดินออกมาจากห้องแบบเงียบๆ เพื่อมาดูสถานที่และเหตุการณ์จริง สงครามกับใครไม่เห็นจะต้องไปกลัวเลย ในเมื่อคนพวกนั้นก็ตายได้เหมือนกัน แค่มีความสามารถสูงกว่ามนุษย์เท่านั้นเอง
“นั่นเหรอแวมไพร์”หลังจากมาถึงกำแพงสูงและยาว เอรีสก็พึมพำออกมา ดูไกลๆ แทบจะดูเหมือนมนุษย์เลย ดีที่มีดวงตาที่แปลกไป เลยเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
“ครับ พอดีพวกทหารที่พวกเขาเอามา น่าจะเป็นมนุษย์กึ่งแวมไพร์ทั้งหมด ไม่งั้นกองทัพของศัตรูคงไม่น่ากลัวขนาดนี้”ทหารยามที่เฝ้าอยู่ได้ยินคำถามจึงตอบออกมา ซึ่งตัวเขายังคงสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว หลังเห็นดวงตาสีเลือดสดสะท้อนแสงมองมาทางเมืองนี้ เหมือนอยากจะกลืนกินพวกตนไม่ให้เหลือซากเลย
“พวกแวมไพร์แพ้อะไร รู้หรือเปล่า”
“เอ่อ ถ้าเป็นอาวุธ ก็น่าจะเป็น พวกอาวุธที่ทำจากเงินนะครับ แต่ถ้าเป็นอสูร ก็น่าจะเป็นพวกมนุษย์หมาป่า ที่ไม่มีในเขตเมืองใกล้ๆนี้”
หลังจาได้ยินคำตอบที่ไม่น่าพอใจแล้ว เอรีสก็เอียงคอมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วเริ่มคิดทบทวนว่า ตนจะนัวกับเขายังไงดี ร่างอย่างงี้ กำลังก็แค่นี้ สู้อะไรใครได้ ซึ่งทางทหารที่ตอบคำถามก็หันมามองด้วยความแปลกใจว่าตนคุยกับใครฟะ ซึ่งพอเขาเห็นก็ทำหน้าตะลึง นี่มัน นางฟ้าหน้าตายชัดๆ
ณ กองทัพทหารกึ่งแวมไพร์ที่ตั้งอยู่นอกเมือง
“หญิงสาวคนสวยนั้นเป็นใครกัน ทำไมพวกเราถึงไม่รู้ว่ามีคนสวยๆอยู่ในเมืองนั้นด้วย”เหล่าทหารที่ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นอสูรกึ่งแวมไพร์บ่นกันระงึมระงำ จนเรื่องถึงหูราชครูของกองทัพ ชายชราจึงออกมาดูด้วยตาตัวเอง
“สวยจริงๆ สวยเหมือนเฮเลน สตรีที่งามที่สุดแห่งโลกล่าเลย”ราชครูพึมพำเบาๆคนเดียว
“ท่านราชครู ที่ระยะ 5 กิโลเมตร กองทัพของราชากำลังเดินทางมาพะยะคะ”เสียงดังขึ้นขัดความคิดทำให้ราชครูหันไปมองด้วยแววตาสีแดงฉาน
“ทำให้ข้าและทหารข้า เป็นเช่นนี้แล้ว ยังกล้ามาอีกนะ”ชายเฒ่ากล่าวอย่างมีโทสะ แต่เหล่าทหารกลับไม่แปลกใจ แม้ว่าชายชราคนนี้จะว่าราชาของพวกตนอยู่ก็ตาม
“เอ่อ ท่านราชครู ที่ด้านข้างถัดไป 7 กิโล ยังมีกองทัพของพวกมนุษย์ชั้นสูง (ผู้เล่น) ที่มาตั้งค่ายอยู่ด้วยนะพะยะค่ะ”ผู้รายงานคนเดิมยังรายงานข่าวสำคัญอีก ทำให้ราชครูหันมามองอย่างแปลกใจ กองทัพผู้เล่นปริศนานี้มาเพื่ออะไรกันแน่
“พวกนั้น เป็นพวกที่ตามล่าจอมมารเฟต ที่เจ้าอย่างกำจัดก่อนเข้าโจมตีเมืองนี้ยังไงล่ะ”รองสมาคมนินจาที่ยังไม่ได้กลับอธิบายออกมา ด้วยตนเป็นคนปล่อยข่าวออกไปเอง ทำไมจะไม่รู้ความนัยของกองทัพที่พึ่งมากันล่ะ
ชายชราได้ยินดังนั้นก็หันมามองหน้ารองสมาคมเล็กน้อย แล้วละความสนใจไป เพราะอย่างน้อยๆถ้ามีคนมาคอยกันผู้เล่นที่ได้ชื่อว่าจอมมารอันมีนามที่พวกทหารหวาดกลัวออกไป ก็คงทำให้กองทัพของเขามีกำลังใจขึ้นไม่น้อยล่ะนะ
ที่น่านฟ้าเหนือพื้นดิน เหล่าผู้เล่นที่ขี่หลังมังกรเองก็จับจ้องไปยังเอรีสที่ยืนอยู่เหนือสุดตัวเมืองด้วยเช่นกัน
“พี่ หญิงสาวคนนั้นสวยมากจนน่ากลัวเลยนะครับ”เสนาธิการของสมาคมพูดกับชายหนุ่มที่ขี่มังกรตัวใหญ่สุด
“ถ้ามีการจัดอันดับล่ะก็ หญิงสาวคนนี้คงจะได้ตำแหน่งเฮเลนที่ 2 ไปครองได้เลย”ชายหนุ่มคู่สนทนาตอบเสียงเรียบหลังจากใช้ดวงตาอสูรแหงะมองไปแวบนึง
“ทัพอสูรไซเมิร์กใกล้จะหมดแล้ว พวกเราจะร่วมสงครามต่อดีมั้ยพี่”เสนาธิการคนเดิมถามอีกครั้ง ก่อนจะมองลงพื้นไปดูกองทัพที่จ้างพวกตนมาด้วยเงินจำนวนมหาศาล ทำธุรกิจกับพวกนี้ มีแต่ได้กับได้
“คงไม่ต้องหรอก พวกมันเตรียมพร้อมทุกอย่างมาขนาดนี้แล้ว”ชายหนุ่มว่าจบก็ขับให้มังกรไล่โจมตีอสูรไซเมิร์กตัวหนึ่งอย่างรวดเร็ว
เมื่ออสูรไวเวิร์ดมีผู้ควบคุม จากความเร็วที่น่ากลัวของมันก็กลายเป็นสิ่งที่ทรงแสนยานุภาพได้เลย เหล่าอสูรไซเมิร์กต่างตามความเร็วและสติปัญญาของผู้บังคับไวเวิร์ดไม่ทัน จนเป็นเหตุให้ถูกกำจัดและสลายกลับไปยังบ้านเก่าของตัวเอง เพื่อรอการอัญเชิญครั้งต่อไป หากหายบาดเจ็บแล้วล่ะก็นะ
“เสียดายจังเลยแหะ”เอรีสพึมพำคนเดียวพร้อมกับส่ายหัวมองการต่อสู้บนอากาศ
“แล้วทำไมถึงไม่ใช้ไฟทมิฬล่ะคะ”จาเนียที่ตามมาเงียบๆ ถามอย่างแปลกใจ เจ้านายเธอมีความสามารถสูงจะตาย หากจะช่วย อะไรก็ทำได้นี่
“พลังนี้มีข้อจำกัดเรื่องระยะทางและการใช้พอสมควรน่ะ ถ้าใช้กับอากาศ มันจะมีผลที่ไม่ตายตัว ไฟอาจจะไปถูกอะไรที่ไม่ต้องการก็ได้ แต่ถ้าใช้กับอาวุธที่มีการโจมตีที่เฉพาะเจาะจงล่ะก็ มันจะดีกว่านี้”เอรีสตอบอย่างเสียดาย สงครามครั้งนี้ถ้าเกิดขึ้นในร่างผู้ชายล่ะก็ เขาคงลงไปบรรเลงเลือดกับศัตรูและบินไปสู้กับมังกรไปตั้งแต่แรกแล้ว
จาเนียเหมือนจะรู้ว่าเจ้านายตัวเองอยากที่จะบรรเลงเลือด ตนจึงเดินไปเกาะไหล่เบาๆ พร้อมกับกุมมือของ ‘เขา’ ไว้ด้วย 2 มือตัวเอง ‘เขา’ ผู้นี้ชอบให้ความช่วยเหลือ แม้จะดูเย็นชากับโลก แต่ ‘เขา’ ดูตามถูกผิดเสมอ และศึกครั้งนี้ พวกที่มาบุกก็ผิดอย่างเห็นได้ชัด ถึงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่ผู้เล่นจะมาทำภารกิจ แต่ถ้ามองจากมุมของคนในเมืองนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่พวกเขาจะปกป้องเมืองอันเป็นที่รัก และ เอรีส ก็เลือกที่จะช่วยเหลือเสียด้วยซิ
“ก็ไม่เห็นยากเลยนี่”อนาตาเซียที่มองอยู่นานกล่าวเสียงเรียบ เอรีสจึงปรายตาไปมอง แต่ไม่ยอมหัน เพราะบรรยากาศของตนกับจาเนียกำลังหวานใช้ได้ ถึงจะไม่ใช่ร่างผู้ชาย แต่ก็ได้ฟิวส์อยู่เหมือนกัน
“ใช่ค่ะ ปกติเจ้านายไม่ใช่พวกลุยด้วยพลังอยู่แล้ว”ไรน่าที่อยู่ด้วยกับอนาตาเซียตลอดกล่าวก่อนจะเดินมาแตะที่ผ้าคลุมสีขาวของเอรีส ซึ่งมันก็ขยายส่วน เพิ่มผ้าคลุมหลังกับไหล่ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งแม่ทัพออกมา
“สิ่งที่นายต้องการและปรารถนา ไม่ใช่สงครามหรอก แต่เป็นสิ่งนี้ต่างหาก”ลีเวียธานชี้นิ้ว พร้อมกับดูอนาตาเซียที่แตะเข้าตรงกลางหลังของเอรีส ส่งผลให้ปีกดาบแทงออกมา แล้วมาเรียงตัวสวยอยู่ข้างตัวผู้เป็นนายในร่างใหม่
เอรีสที่ถูกล้อมอยู่ ถึงกับอึ้ง ทั้งๆที่ตนพยายามจะเปลี่ยนด้วยทักษะและอะไรหลายๆอย่างแล้ว แต่ของพวกนี้ไม่เห็นจะทำตามเลย
เอลฟ์สาวเห็นเจ้านายตัวเองกำลังอึ้ง ก็เลยกำมือเบาๆ ส่งผลให้เอรีสรู้ตัว พร้อมกับหันมามองหน้าบรรดาอสูรที่ฉีกยิ้มเหี้ยมให้
“ฆ่ามันให้เหี้ยน”อนาตาเซียกำหมัดให้กำลังใจ ส่งผลให้เอรีสพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแบบโรคจิต ก่อนจะก้าวมาถือดาบที่แทงตัวติดอยู่กับพื้น ซึ่งปีกดาบทั้งหมดก็รวมเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นดาบสีทองเล่มเดียว แต่ปกติตัวเธอไม่ได้ใช้อาวุธประเภทนี้อยู่แล้ว ตนจึงเรียกใช้ทักษะพร้อมกับดาบที่เปลี่ยนร่างตามทักษะเฉพาะตัว
“ไม่เจอกันนานเลยนะ King Sniper”เอรีสกล่าวพร้อมกับลูบไล้ดาบที่เปลี่ยนไปเป็นอาวุธสุดเลิฟ ซึ่งมีขนาดและน้ำหนักที่มากขึ้นกว่าเดิมหายเท่าตัว แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา กับของที่รัก ต่อให้หนักกว่านี้ยังไง ‘เขา’ ก็ไหว
หญิงสาวผู้ถือปืนสไนเปอร์ถอดแม็กกาซีนที่แถมมาออกมาเช็คดู เมื่อเห็นว่ามันเป็นกระสุนธรรมดา ตนก็ทำการเสริมพลังเข้าไป เป็นเหตุให้หัวกระสุนเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทและมีไอสีดำลอยออกมาเรื่อยๆ หลังจากได้สิ่งที่ต้องการ เอรีสก็เสียบแม็กกาซีนกลับเข้าช่อง พร้อมกับดึงคันรั้งเพื่อนำกระสุนมรณะสายพันธุ์ใหม่เข้าสู่รังเพลิง
“One Bullet One life”เอรีสพึมพำกับการใช้อาวุธของตัวเอง ซึ่งหลังจากบ่นเสร็จ เธอก็ลั่นไกในมือขวาไปทันที
ปากกระบอกปืนที่มีขนาดกว่า 12 มม. ดูดอากาศเข้ามา จนลำกล้องเกิดแสงสว่างวาบ เพียงพริบตาเดียว มันก็คำรามดังกึ่งก้อง พร้อมกับส่งกระสุนหายนะออกไปจากรังเพลิง
กระสุนหัวแหลมที่มีไอพลังสายใหม่ถีบตัวออกจากรังเพลิงไปด้วยความเร็วที่สูงถึง 3000 เมตร/ วินาที ซึ่งจุดที่เจ้าของปืนยิง คือฝูงไวเวิร์ด ที่พวกนั้นมารวมตัวกันมากที่สุด
เหล่าผู้เล่นที่เป็นผู้ขับขี่มังกรไวเวิร์ดต่างได้ยินเสียงระเบิดของดินปืนกันโดยพร้อมเพรียง ทำให้พวกเขาหันไปมองทิศทางเสียง พอพวกเขาเห็นว่าเป็นหญิงสาวที่มีความงามเลิศล้ำกำลังถือปืนอยู่ก็ต่างรู้สึกมึนงงเล็กน้อย เพราะข่าวที่พวกเขาได้ยินมาและรู้ๆกันมาก็คือ ผู้เล่นคนเดียวที่มีเทคโนโลยีเรื่องปืนที่ก้าวล้ำในเกมตอนนี้มีเพียงชายหนุ่มที่ถูกตั้งฉายาว่าจอมมาร
“เธอยิงใคร”เสนาธิการกิลด์มังกรไวเวิร์ดหันมาถามเลขาตัวเองอย่างรวดเร็ว หญิงสาวคนนั้นเล็งปืนมาทางนี้นี่ ถ้ามองไม่ผิด
“รายงานไม่มีผู้เสียชีวิตครับ”เลขาหนุ่มหันมาตอบ แต่เมื่อกลุ่มพวกเขาหันไปมองลูกน้องมังกรที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของมังกรของตนก็ต่างหน้าถอดสีกันไปตามๆกัน เมื่อมังกรนับพันที่ถูกลูกกระสุนปืนวิ่งผ่านหรือเฉียดในระยะ 5 เมตรกำลังร้องโหยหวนทุรนทุรายอยู่
จากมังกรที่มีสีเขียวเนื่องจากกำเนิดจากสายธาตุลม ตอนนี้พวกมันได้กลายเป็นมังกรสีดำที่มีความร้อนอยู่ในตัวเป็นจำนวนมาก และสิบวินาทีต่อมา พวกมันก็กลายเป็นลูกไฟสีดำแล้วตกลงไปสู่พื้นด้านล่างที่เป็นกองทัพแวมไพร์ เป็นเหตุให้ทัพของราชครูเกิดเหตุการณ์วุ่นวายกันอย่างมากเนื่องจากถูกไฟสีดำกลืนกินในร่างแวมไพร์ที่ถือว่าเป็นร่างอมตะ เมื่ออยู่ในความมืด
เหล่าแวมไพร์ลูกครึ่งต่างทุรนทุรายเมื่อถูกไฟสีดำเผาร่างกาย และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย พวกมันเห็นว่าตายดีกว่าทรมาน จึงเลือกทิ้งชีวิตนิรันด้วยการวิ่งหนีออกจากเงาของเวท เพื่อไปเจอกับแสงดวงอาทิตย์ ที่จะช่วยให้ร่างพวกมันกลายเป็นร่างของอสูรธรรมดา
กิลด์มังกรสายลมไวเวิร์ดต่างหน้าซีดกันเป็นแถวเมื่อเห็นจำนวนมังกรที่ถูกสอยตกลงไป ปกติเผ่ามังกรสายลมจะเป็นอสูรที่มีปฏิกิริยาในการรับรู้ที่สูงมาก ฉะนั้นพวกมังกรน่าจะรู้ตัวว่าตกเป็นเป้าหมายในการถูกยิง แล้วหลีกหนีได้ทัน แต่เท่าที่ดู พวกมันไม่ได้รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าถูกยิงไปแล้ว ส่งผลให้พวกผู้เล่นเผ่ามังกรรับรู้ว่า อาวุธของหญิงสาวคนนั้น น่ากลัวกว่าความเร็วของไวเวิร์ดเสียอีก
“หืม กระสุนนี่ ใช้ได้เลยแหะ ถึงจะถีบไปหน่อยก็เหอะ”เอรีสพึมพำ พร้อมกับขอบคุณที่เลอร์อินซาให้ความรู้เกี่ยวกับเวท จนเธอสามารถผสานพลังเข้ากับวัตถุได้ และกระสุนปืนก็คือวัตถุดีๆนี่เอง เพียงแต่ เสียเวลานิดหน่อยเท่านั้นตอนใส่กระสุน
“เรื่องนั้นค่อยว่ากันทีหลังเถอะ จะถล่มไอ้พวกจิ้งเหลนให้หมดก่อนก็รีบทำ ก่อนที่ความมืดจะเข้ามาคลุมเมือง จนพวกนั่นเข้ามาได้”ลีเวียธานรีบร้องบอก หลังเห็นว่าเงาของเวทสุริยุปราคากำลังกลืนกินแสงเงาที่ด้านหน้าของผาทางเข้า ทำให้พวกทหารและนักบวชที่อยู่ใต้เงาต้องรีบถอยหนี เนื่องจากพวกแวมไพร์เดินทัพไล่ตามความมืดที่ไปถึง
“อ่ะ อ้อ ได้เลย”เอรีสรับคำอีกครั้ง ก่อนจะดึงคันรั้งกระสุน เพื่อถอดปลอกที่ใช้แล้วออกมา ปืนรุ่นนี้สามารถเปลี่ยนเป็นระบบออโต และเซมิได้ เหมาะกับคนที่ชอบของแบบนี้อย่างเธอจริงๆ
“ท่านไม่ต้องห่วงนะคะ ทางนี้เราจะคอยป้องกันให้เองค่ะ”จาเนียกล่าวเพื่อเสริมความั่นใจให้กับเจ้านาย ก่อนจะหันกลับมามองอสูรไวเวิร์ดกำลังตีวงล้อมเข้ามา ตามคำสั่งของหัวหน้าเผ่า
“ฝากด้วยนะ”เอรีสเองก็เชื่อในสิ่งที่อสูรบอกเช่นกัน เธอดึงขาทรายของปืนออกมาและตั้งมันติดกับกำแพงเมือง เมื่อปืนมันถีบมาก ขาทรายนี่ล่ะมันจะเป็นตัวช่วยชั้นดีของเธอเลย
เมื่อตั้งขาทรายได้แล้ว เอรีสก็นอนราบกับพื้นแล้วเล็งปืนไปที่มังกรที่มีผู้บังคับ ถ้าเธอจำไม่ผิดไรน่าบอกไว้ว่าพวกมังกรที่ไร้ผู้บังคับ เป็นมังกรลูกสมุนของมังกรที่มีผู้เล่นบังคับ ฉะนั้นเป้าหมายก็คือคนพวกนี้นั่นล่ะ
เอรีสเรียกแม็กกาซีนสำรองออกมาหลายกล่องเหล็ก ก่อนจะเสริมพลังให้เพื่อความพร้อมกับสำหรับการยิงชุดต่อไป
“จะว่าไป เป้าหมายเยอะเหมือนกันนะเนี่ย”หลังจากใช้กล้องซูมสังเกตพวกผู้เล่นเผ่ามังกรแล้ว เอรีสก็พึมพำ เพราะจำนวนมันเยอะเกินไป หากให้ยิงทั้งหมด ต่อให้เขามีกระสุนถึงพันนัดก็ไม่พอ
“เอาเถอะ ฆ่าเพื่อปกป้อง ไม่ใช่ฆ่าเพราะความชอบ”เอรีสกล่าวกับตัวเอง พร้อมกับล็อคเป้าหมายด้วยลำกล้อง ซึ่งเมื่อพร้อม เธอก็ลั่นไก ส่งกระสุนคำรามตรงไปหาเป้าหมาย ซึ่งแน่นอน กระสุน 1 นัด สามารดดับชีวิตผู้เล่นได้ถึง 5 คนเลยทีเดียว เนื่องจาก 3 คนแรกอยู่ซ้อนกันตามที่เอรีสต้องการ ส่วนอีก 2 คนนั้น ถือว่าเป็นของแถมแล้วกัน ก็อยากอยู่กันเยอะทำไม
“ไปเถอะ ฉันกับยัยจิ้งจอกจะอยู่กันเอง”ลีเวียธานโบกมือไล่ หลังจาก อนาตาเซียกับจาเนียมองหน้ากันเองหลายครั้ง
“แต่ว่า”เอลฟ์สาวกำลังจะค้าน เพราะตนพึ่งให้คำสัญญากับเจ้านายตัวเองไป
“ไปเถอะค่ะ การที่พวกเธอไปสู้นั้น เท่ากับว่าช่วยผ่อนแรงของผู้เป็นนายนะคะ อีกอย่าง เรา 2 คนไม่มีปีกแบบพวกเธอซะหน่อย”ไรน่าโบกมือลาพร้อมกับหางที่โบกไปมา ทำให้ 2 อสูรผู้มีปีกพยักหน้า ก่อนจะนำปีกเฉพาะตัวออกมา แล้วบินหายไป ทิ้งให้เอรีสอยู่ภายใต้การดูแลของอสูรทั้ง 2
หลังจากบินขึ้นมาจนได้ความสูงในระดับเดียวกับพวกไวเวิร์ด จาเนียกับอนาตาเซียก็ส่งซิก ก่อนจะกระจายกำลังกันไป
เอลฟ์สาวเลือกอย่างที่เจ้านายตัวเองเลือก คือไล่สังหารผู้เล่นที่ควบคุมมังกร ซึ่งความสามารถของเธอ ก็สามารถสังหารผู้เล่นได้อย่างง่ายดาย เพราะผู้เล่นพวกนี้ไม่ได้ใช้ร่างของเผ่า เมื่ออยู่ในร่างมนุษย์ ความแข็งแกร่งและคงทนก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์เลย
“ยัยเอลฟ์นั่นเป็นใครวะ เร็วยังกับแสง”เสียงโวยวายดันเป็นทอดๆ พร้อมกับเสียงร้องของผู้เล่นที่บังคับมังกร แต่พลาดถูกจาเนียใช้ดาบคู่ประจำตัวเสียบเข้าที่จุดอ่อน จนตายภายในดาบเดียว
แต่โวยวายไปก็เท่านั้น เพราะเอลฟ์สาวใช้ทักษะเท้าผสมกับปีกในการก้าวจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง ทันทีที่ตนขึ้นไปบนหลังของมังกรที่มีผู้เล่นโดยสาร เธอก็เสียบดาวเข้าสู่หัวใจและตัดหัวออก ก่อนจะใช้ทักษะของตนมุ่งไปยังเหยื่อรายถัดไป ที่ยังไม่รู้ว่า จะจับเธอที่มีความไวเท่าแสงได้ยังไง
ในขณะที่ด้านหนึ่งกำลังวุ่นวายเพราะการสู้ในระยะประชิดของจาเนีย อีกด้านที่ถูกมังกรตัวเขื่องก็กำลังโวยวายเช่นกัน เมื่อมังกรสีดำตัวนี้โผล่ออกมา พร้อมกับไล่ฟาดจนพวกมังกรไวเวิร์ดเละไปในทีเดียว
“เป็นไปได้ยังไงวะ มังกรแห่งความมืด ทำไมถึงมาอยู่ในนี้”เป็นเสียงบ่นกันระงึมระงำ ยิ่งอยู่ใต้เวทที่ไร้แสงด้วยแล้ว ดูเหมือนอนาตาเซียจะเป็นอมตะเช่นเดียวกับพวกแวมไพร์เลย ทั้งความแข็งแกร่ง และความเร็ว ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่นัก แถมตอนที่พวกไวเวิร์ดสวนคืน ร่างนั้นดูจะไม่เป็นอะไรเลยด้วยซ้ำ
อนาตาเซียที่กลับมาใช้ร่างจำแลงของตัวเองไม่สนใจจะตอบคำใคร ว่าตนสามารถใช้พลังธรรมชาติโดยรอบได้ เหมือนกับตอนที่ตนยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งนี่คือความน่ากลัวของมังกรเผ่าเธอ อันถือว่า มารชัดๆ
แต่ยืมใช้ได้ ไม่ใช่ไม่มีข้อจัดกัด การจะยืมใช้พลังได้ เธอก็เสียค่าพลังทางวิญญาณไปเหมือนกัน แต่ยังดีที่ว่า เธอได้รับรอยสักอันเปรียบเสมือนกับถังกักเก็บพลังมาแล้ว ส่งผลให้วิญญาณของเธอไม่มีอันตรายอะไร แต่ต้องแลกไปด้วยพลังที่เธอดูดซับไว้ที่รอยสัก ซึ่งพอหมดลง คงต้องไปดูดเพิ่มจากผู้เป็นนายล่ะนะ
มังกรอนาตาเซียยังคงไล่ตบพวกไวเวิร์ดอยู่อย่างสนุกสนาน ซึ่งพวกมังกรตัวน้อยก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างโรคจิตที่มังกรแห่งความมืดส่งออกมา สงสัยจะห่างการสู้ไปนาน อนาตาเซียจึงชอบใจแบบนี้
ในขณะที่มังกรสาวกำลังไล่ตบอยู่ เธอก็เหล่ไปเห็นว่าพวกผู้เล่นเผ่ามังกร กำลังบังคับให้อสูรมารวมกัน เพื่อจะใช้ทักษะระดับสูง เมื่อเห็นเช่นนั้น อนาตาเซียก็ไม่ปล่อยให้เหยื่อได้ต่อสู้ เธอรวบรวมพลังความมืดของเวทอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลืนกินอสูรกลุ่มนั้นเข้าไปยังพลังที่ตนพึ่งปล่อยออกมา
“แบล็คโฮใครฟะ อ้ากกกกก!!!”นั่นคือเสียงร้องของผู้เล่นกลุ่มที่พลาดไปรวมตัวกัน พร้อมกับอนาตเซียที่ละความสนใจ แล้วหันไปไล่ตบยุงอย่างสนุกสนานต่อ
ในขณะที่ด้านบนกำลังสนุกกันใหญ่ เหล่าผู้เล่นสายไวเวิร์ดที่ได้รับภารกิจ ก็ตรงเข้าหากลุ่มของเอรีสที่ยังรอคอยอยู่ ซึ่งจำนวนพวกที่ล่อนลงมา ก็มีมากเกินกว่าที่ลีเวียธานจะรับมือเสียด้วยซิ
“คิกๆๆ”เสียงหัวเราะแบบแปลกๆของไรน่าดังขึ้น พร้อมกับหางทั้ง 3 ของเธอที่ชูขึ้นก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีขาวนวลเหมือนกับแสงของดวงจันทร์ ทันทีที่พวกศัตรูมาอยู่ในระยะเป้าหมาย ไรน่าก็สะบัดหาง ส่งเส้นแสงการโมตีออกไป
หากอนาตาเซียใช้รอยสักในการเก็บพลัง ไรน่าก็ใช้หางล่ะนะ
ตูม!!!! เสียงระเบิดพร้อมกับเส้นแสงที่เข้าปะทะกับมังกรที่พุ่งเข้ามาหา เหล่าผู้เล่นที่ลองเชิงด้วยการส่งกองหน้าไปหน้าซีดเผือดเป็นแถวๆ เมื่อเห็นซากมังกรกำลังกระจายเต็มท้องฟ้า แต่ยังไม่ทันที่จะได้ปรึกษาว่าจะเอายังไงกันดี เส้นแสงอีก 3 สายก็พุ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ทุกอย่างจะเลือนหายไปพร้อมกับร่างที่แหลกเละเพราะการอัดกระแทก
“แหม ยังใช้ได้เหมือนเดิมเลยนะคะ”ไรน่าหันมาหัวเราะคิกคักกับลีเวียธาน ที่อึ้งอยู่ เธอไม่นึกว่ายัยจิ้งจอกนี่จะมีเวทรุนแรงขนาดนี้ เท่าที่เธอได้ยินมา ปกติทิวเมสเซียนมันเป็นสายป้องกันกับหนีไม่ใช่เหรอ ดูเหมือนจิ้งจอกสาว 3 หางจะเข้าใจความคิดตนจึงหันมาอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“คนเราเอาแต่หนีก็ไม่มีทางชนะซิคะ ไรน่าเลยต้องค้นหาอะไรใหม่ๆมาป้องกันตัวบ้าง เอาแบบแรงๆ และเร็วๆ ก็เลยได้แบบนี้ล่ะคะ”
การต่อสู้ระหว่างกองทัพไวเวิร์ดรุ่นใหม่ กับอดีตอสูรผู้เจนศึกยังคงดำเนินการต่อไป จนกระทั่ง ราชามังกรไวเวิร์ดออกหน้ามาสู้ เพื่อให้ดูว่าเขาเองก็มีความสามารถนะ
แต่เมื่อถูก 3 อสูรสาวร่วมมือกัน ภายในพริบตา เขาก็ต้องหนีไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ 3 อสูรสาวที่ร่วมมือกันส่ายหัวอย่างเศร้าใจ ที่เห็นราชาไวเวิร์ดขี้ขลาดขนาดนี้
“สังหารกันได้ไม่ถึงพันตัวเลยนะ”ลีเวียธานที่รับบทนับแต้มกล่าวออกมา
“พวกเราแค่สังหารตัวหลักๆเองค่ะ ว่าแต่ว่า ทำไมเขาถึงยังไม่หยุดยิงอีกล่ะคะ”เอลฟ์สาวถามไปถึงเจ้านายตัวเอง ที่เปลี่ยนแม็กกาซีนเป็นอันที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ แถมรอบนี้ยังไม่ได้ใช้ขาทรายอีกแล้วด้วย
“ไม่รู้ซิ เห็นยิงไปยังกองทัพนั่นตั้งแต่ตอนที่พวกเธอไล่ต้อนพวกผู้เล่นแล้ว”ลีเวียธานส่ายหัวไม่รู้ เธอเห็นเจ้านายเปลี่ยนท่ามาเป็นยืนยิงตั้งนานแล้ว แต่ไม่รู้ว่ายิงอะไร เพราะขี้เกียจสนใจ คนๆนี้ยิ่งมีความคิดแปลกๆ อาจจะแอบสอยนกกินก็เป็นได้
ความคิดเห็น