ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : 1
บทที่ 1
บรรยากาศหมอกสีทึมปรากฏในบริเวณเมืองฮาร์เวลล์เป็นปกติทุกๆเช้า สีครึมๆของท้องฟ้าสีหม่นเริ่มครอบคลุมมนุษย์ผู้เดินผ่านไปมาสัญจรภายใต้พื้นหม่นสีเทาและบริเวณบ้านเรือนที่สร้างด้วยอิฐเก่าๆ ชุดฮู้ดสีดำซึ่งถูกปิดปกคลุมใบหน้าดูเหมือนจะเป็นของคู่กันของชาวเมืองซึ่งปกคลุมไปด้วยความมืดครึ้มแห่งนี้ เสียงระฆังและเสียงปืนดังก้องดูเหมือนจะได้ยินจากที่ใดที่หนึ่งใกล้ๆ หากแต่ผู้คนต่างไม่สนใจ เนื่องจากมันเป็นเรื่องปกติ
หากจะเปรียบเมืองนี้เป็นดั่งเงามืดในแผนที่โลก ก็ไม่ผิดนัก ไม่มีคำบันทึก ไม่มีคำร่ำลือใดๆ ผู้คนที่อยู่ที่นี้ เข้ามาที่นี้ ต่างตั้งหลักกันอยู่ที่นี่ โดยไม่คิดจะย้ายออกไป หากแต่จะมีออกไปบ้าง ก็มีแค่ส่วนน้อย ที่เดินออกไป
และไม่กลับเข้ามาในเมืองอีกเลย
เสียงปืนและเสียงฝีเท้าย่ำไปมา ไม่ได้อยู่ในความสนใจของ เฟริเอล ชารอส เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดซึ่งกำลังมีสมาธิจดจ่อกับงานที่ทำตรงหน้า ร้านรวงมากมายตั้งตรงข้างทางถนนสายหลักแห่งเมืองฮาร์เวลล์ หนึ่งในนั้นคือร้านหนังสือของเด็กหนุ่ม ซึ่งดูเหมือนจะเป็นร้านเดียวที่แปลกแยกแตกต่างในละแวกนี้
ดอกคาร์เนชันและดอกไฮเดนเยียสีสดใสปลูกไว้อยู่หน้าร้าน ด้วยเหตุผลที่จะดึงดูดคนเข้ามาในร้าน เฟริเอลลอบมองผ่านเลนส์กรอบแว่นหนาออกไป ผู้คนด้านนอกกำลังเร่งรีบด้วยความสับสนวุ่นวาย เด็กหนุ่มวางมือจากชั้นหนังสือ ก่อนที่จะลุกออกไปเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆที่หน้าร้าน
ภาพชายจรจัดนอนจมกองเลือดกลางถนนปรากฏตรงหน้า ฟาริเอลดึงม่านในร้านบังอย่างไม่ใส่ใจ กฎเกณฑ์ ณ เมืองอื่นๆใช้ไม่ได้กับเมืองแห่งนี้ ณ ที่นี่ ผู้คนมีอิสระที่จะทำสิ่งใดก็ได้ ไม่ว่าถูกกฎหมายหรือผิดก็ตาม จนได้ชื่อเรียกว่า เมืองฮาร์เวลล์ สวรรค์แห่งนักฆ่า ที่ซึ่งมีอาชญากรรมเกิดตลอดแต่ไม่มีใครอยากยื่นมือไปยุ่ง ที่ซึ่งเหล่ามนุษย์ผู้ซึ่งมีฝีมือในการปลิดชีวิตผู้อื่นมารวมตัวกันเป็นชุมชนขนาดใหญ่
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาเป็นเพียง”มุมสงบๆเล็กๆน้อยๆของเมือง” โดยการรักษาร้านหนังสือที่ได้รับมาจากพ่อ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
เฟริเอลเสยผมสีเทาที่ยาวระต้นคอพร้อมกับดันกรอบแว่นหนาของตนเอง พร้อมกับเก็บหนังสือให้เข้าที่ เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งจากหน้าร้านทำให้เด็กหนุ่มหันไปดู
ชายในชุดสีดำสนิทเดินเข้ามาด้วยท่าทางไม่น่าไว้วางใจ ใบหน้าหยาบกร้านฉายแววอำมหิต พลางเอ่ยด้วยเสียงอันดัง
“มีเงินเท่าไร ส่งมาให้หมด ไม่งั้นแกตาย”
เฟริเอลถอนหายใจเมื่อเปิดร้านเช้าแรกก็มีแขกไม่ได้รับเชิญมาเสียแล้ว
มีดสั้นสีดำจ่อคอเด็กหนุ่มซึ่งไม่แสดงอาการตกใจกลัวหรืออาการใดๆทั้งสิ้น แต่กลับยิ้มเฉยจนเป็นผู้บุกรุกที่หวั่นใจเสียเอง
“นี่แก ไม่ได้ยินรึไง”
“วันนี้คุณเป็นลูกค้ารายแรก อยากให้ผมแนะนำหนังสืออะไรไหมครับ”
ชายแปลกหน้าถอยหลังผงะไปสองสามก้าวเมื่อชายหนุ่มไม่มีท่าทีกลัวแม้แต่น้อย เฟริเอลเดินไปที่เคาน์เตอร์พร้อมกับยิ้มอย่างเฉยเมย
เสียงกรุ๊งกริ๊งของเหรียญดังขึ้นจากในลิ้นชักทำให้ผู้บุกรุกเกือบจะวิ่งปราดไป หากแต่ท่าทีของเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของร้านทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าเข้าไปเสียมากกว่า
“กึกๆ” เสียงหนักๆทำให้ชายแปลกหน้าคิดเออออจินตนาการว่าในนั้นคงจะเป็นอาวุธอะไรสักอย่าง อาจจะเป็นปืน หรือไม่ก็บังตอหนักๆก็เป็นได้ เพราะในเมืองนี้เกือบทุกคนเป็นนักฆ่า จึงมีอาวุธติดตัวไว้ตลอดหากแต่เด็กหนุ่มเริ่มสนทนาจนทำให้ผู้บุกรุกสะดุ้ง
“ผมพึ่งเสียลูกค้าประจำไปตอนเย็นเมื่อวานนี่เอง คนเข้าร้านนี้ยิ่งน้อยๆอยู่ด้วย เขาอยู่นั่นน่ะครับ ดูเหมือนจะไม่ยอมพูดอะไรกับผมเลยด้วย ผมเลยเกรงว่าร้านเราบริการไม่ดีหรือเปล่า ถ้ามีอะไรไม่พอใจก็บอกผมได้นะครับ” เฟริเอลเอ่ยขู่และยิ้มเย็น เด็กหนุ่มชี้ไปที่ศพชายจรจัดที่นอนกางอยู่กลางถนนเมื่อครู่ ชายผู้บุกรุกรีบวิ่งออกจากร้านอย่างรวดเร็ว พร้อมๆกับเฟริเอลที่ดึงของในลิ้นชักขึ้นมาสำเร็จ
“อย่าพึ่งไปสิครับ คุณลูกค้า” เฟริเอลเอ่ยพร้อมกับวิ่งตามเมื่ออีกฝ่ายวิ่งหายเข้าไปในหัวมุมของซอยขณะที่มือกำกระดาษและปากกาโลหะดำเมี่ยมขนาดใหญ่เอาไว้
“ผมก็แค่จะสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อร้านเราเองนะครับ”
เมื่อหมดเหตุการณ์วุ่นวายและมองเห็นชายแปลกหน้าวิ่งหนีหายไปแล้ว เฟริเอลจึงเดินกลับเข้าไปในร้านอีกครั้ง พลางค่อยๆจัดเรียงชั้นหนังสืออย่างระมัดระวัง
หนังสือปกหนาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เป็นพันๆหน้า ถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ ขณะที่อีกชั้นหนึ่ง หนังสือบทกวีและนวนิยายทั่วๆไป ถูกจัดเรียงไว้สลับกัน
มีหลายครั้งที่เด็กหนุ่มหยิบหนังสือมาอ่าน และอ่านซ้ำๆวนกันอยู่อย่างนั้น จนแทบจะจำรายละเอียดทุกบรรทัดในหนังสือเล่มที่ตนเองอ่านได้
เฟริเอลเงยหน้ามองชั้นหนังสือซึ่งตนจัดเรียงเสร็จ พลางยืนกอดอกนึกในใจ เพราะถึงแม้ในร้านนี้จะเป็นร้านหนังสือที่มีไม่กี่แห่งในเมือง แต่กลับไม่มีลูกค้าสนใจสักเท่าไรนัก
หรือจะพูดให้ถูกคือ ทำเลตั้งมันผิดที่ต่างหาก
หากมองจากด้านนอกแล้ว ฟากซ้ายจากร้านหนังสือคือร้านขายอาวุธ ขณะที่ฟากขวานั้นคือร้านขายยาพิษ ที่เหล่าพวกนักฆ่าชอบเข้าไปสุมหัวกันการที่วันดีคืนดีจะพบร่างของใครสักคนนอนแน่นิ่งข้างถนนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หน้าร้านขายอาวุธกับร้านยาพิษ
ส่วนร้านของเขา
เป็นเพียงร้านธรรมดา ที่มีลูกค้าขาประจำเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
เสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งดังขึ้นอีกครา พร้อมๆกับเฟริเอลที่เดินออกไปดู
“อ้าว สวัสดี อเล็กซ์”
ผู้ที่อยู่ตรงหน้าคือเด็กน้อยหัวแดงวัยสิบห้าปีชื่อ อเล็กซ์ เบอเนต ซึ่งเป็นลูกค้าประจำของร้าน เด็กชายอยู่ในชุดสีน้ำตาลทะมึนทั้งตัว ใบหน้าตกกระและแววตาฉายแววขี้เล่นขับให้น่าตาของเด็กชายดูยิ้มแย้มอารมณ์ดีตลอดเวลา เจ้าตัวยิ้มก่อนที่จะเดินเข้าไปในร้าน
“พอมีหนังสือออกใหม่บ้างไหมฮะ”
ฟาริเอลเดินเข้าไปหยิบหนังสือปกสีทองใหม่เอี่ยมจากชั้นวาง พร้อมกับยื่นให้ที่มือลูกค้าอย่างรวดเร็ว เด็กชายยิ้มอย่างยินดีราวกับได้ขนมหรือของเล่นใหม่
“ตอนนี้มีแต่เล่มนี้ล่ะที่ออกใหม่ แต่ไว้มีอย่างอื่นอีกเมื่อไรจะเอามาลงเพิ่ม”
“ขอบคุณฮะ งั้นผมขอเล่มนี้เลยก็แล้วกัน”
ยิ้มก่อนที่จะควักเหรียญเงินส่งยื่นให้เด็กหนุ่ม ฟาริเอลรับไว้ด้วยความยินดี
“ว่าแต่อเล็กซ์ ช่วงนี้ทำงานเป็นไงบ้างล่ะ”
เจ้าของร้านตัดสินใจถามออกไป มือยังสาละวนอยู่กับการห่อปกหนังสือ ขณะที่เด็กน้อยนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ
“ก็ดีฮะ ช่วงนี้มีงานเข้ามาเพิ่มขึ้น ก็เลยได้เงินเยอะหน่อย แต่ว่าเปลืองค่าอาวุธไปเยอะเหมือนกัน”
เด็กน้อยตอบพลางเผยให้เห็นมีดสั้นในกระเป๋าเสื้อ พร้อมๆกับฟาริเอลที่ห่อหนังสือเสร็จ
“ว่าแต่ ฟาริเอลไม่มาทำงานนี้ด้วยกันหรอกเหรอ”
“ไม่ล่ะ มีร้านหนังสือตรงนี้ที่ต้องดูแลอยู่”
เจ้าของร้านยื่นหนังสือให้ ขณะที่อเล็กซ์ยิ้ม
“ดูเหมือนฟาริเอลจะเป็นคนเดียวนะที่ปฎิเสธงานนี้ ตอนนี้ในเมืองไม่ว่าเป็นใครก็ผันมาเป็นนักฆ่ากันหมดแล้วทั้งนั้น อายุเท่ากับผมก็เป็นกันเกือบหมดแล้วเหมือนกัน”
“ก็ฉันไม่อยากแย่งงานคนอื่นนี่ นักฆ่าออกจะมีเยอะเกินไปแล้วด้วยซ้ำ”เฟริเอลเอ่ย
“ถ้าคนไม่หมดโลกและมีความแค้นกันอยู่เรื่อยๆ งานก็มาเรื่อยๆนั่นแหละ ว่าแต่ฟาริเอล ฝากนี่ไว้หน่อยสิ”อเล็กซ์เอ่ยก่อนที่จะยื่นใบเอกสารหลายใบกองตรงหน้าเด็กหนุ่มที่ใบหน้าฉายแววสงสัย
“นี่คือใบปลิวเกี่ยวกับกลุ่มที่ผมสังกัดอยู่น่ะ ในเมืองพวกนักฆ่าทั้งหลายเริ่มเกาะกลุ่มกันทำงานแล้วล่ะ ถ้าเกิดมีใครใหม่ๆมาร้านนี้ก็ฝากแจกด้วย เพราะกลุ่มผมอยากได้สมาชิกหน้าใหม่ๆอยู่พอดี อ้อ เรื่องค่าโฆษณา เฟริเอลไม่ต้องห่วง ผมจ่ายให้ด้วยแน่”
เฟริเอลมองเอกสารบนโต๊ะที่เด็กชายพึ่งวางไป โดยที่เจ้าตัวไม่ลืมทิ้งเหรียญเงินสิบกว่าเหรียญไว้ด้วย
“ฝากแจกด้วยล่ะฮะ แล้วถ้าเฟริเอลอยากเปลี่ยนงานเมื่อไรก็บอกผมนะ ผมยินดีต้อนรับเสมอ”อเล็กซ์ยิ้ม
“ไม่ล่ะ ฉันขออยู่อย่างสงบๆไม่มีคนรบกวนจะดีกว่า”เฟริเอลเอ่ยตอบ พร้อมๆกับอเล็กซ์ที่หัวเราะ แล้วฮัมเพลงเดินออกจากร้านไป
เจ้าของร้านหนังสือมองคล้อยหลังตามไป ฝนด้านนอกเริ่มตกเบาๆ ก่อนที่จะกลายเป็นตกหนักขึ้น กลิ่นสายฝนปนกับกลิ่นคาวเลือดลอยมาจากที่ใดที่หนึ่งสักแห่ง เฟรีเอลมองออกไปนอกหน้าต่าง พึมพำกับตัวเองเบาๆ
“มืดดำไปหมดแล้วแฮะเมืองนี้”
เอ่ยก่อนที่จะเดินไปคล้องป้ายปิดร้าน พลางเดินเข้ามาชงเครื่องดื่มอุ่นๆและเตรียมอาหารเย็น
เสียงฝนตกด้านนอกยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเสียงลมพัดดังหวีดกระทบกับป้ายโฆษณาหรืออาคารแห่งใดสักแห่ง แต่นั่นก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจของเฟริเอลเท่าใดนัก
เจ้าของร้านหนังสือมุ่งสมาธิโดยการก้าวเท้าขึ้นไปบนบันไดไม้เก่าผุๆอย่างแผ่วเบา เสียงเอี๊ยดอ๊าดของมันชวนให้เห็นว่าไม่สักวันใดก็วันหนึ่งมันอาจผุพังไปกับกาลเวลา เฟริเอลมองขึ้นไป ในร้านของเขาชั้นล่างมีไว้สำหรับขายหนังสือ ขณะที่ชั้นบนนั้นเป็นที่พักส่วนตัว
เด็กหนุ่มเคาะประตูบานไม้บานหนึ่งอย่างแผ่วเบา พลางเปิดมันออก
สภาพในห้องดูเก่าราวกับไม่เคยมีผู้ใดอยู่ แต่หากในห้องนั้นมีเครื่องของใช้ครบ และบนเตียงมีร่างหนึ่งนอนหลับสนิทอยู่ ร่างของเด็กหญิงวัยสิบขวบนอนหลับตาพริ้ม ผมสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกาย หลับสนิทไม่เคลื่อนไหวราวกับตุ๊กตาหากแต่รอบกายโยงระยางด้วยสายน้ำเกลือ
“ซาแมนธา” เฟริเอลลูบผมของน้องสาวที่ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิด สิ่งเดียวที่ยังบ่งบอกว่ามีชีวิตอยู่ก็คือลมหายใจ
เฟริเอลค่อยๆดึงผ้าห่มมาคลุมร่างของเด็กหญิงไว้ พร้อมๆกับปิดประตูอย่างแผ่วเบา
“ราตรีสวัสดิ์นะ”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น