ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Silver gun

    ลำดับตอนที่ #1 : 1

    • อัปเดตล่าสุด 23 ส.ค. 54



    บทที่ 1


     
     
                                   บรรยากาศหมอกสีทึมปรากฏในบริเวณเมืองฮาร์เวลล์เป็นปกติทุกๆเช้า สีครึมๆของท้องฟ้าสีหม่นเริ่มครอบคลุมมนุษย์ผู้เดินผ่านไปมาสัญจรภายใต้พื้นหม่นสีเทาและบริเวณบ้านเรือนที่สร้างด้วยอิฐเก่าๆ ชุดฮู้ดสีดำซึ่งถูกปิดปกคลุมใบหน้าดูเหมือนจะเป็นของคู่กันของชาวเมืองซึ่งปกคลุมไปด้วยความมืดครึ้มแห่งนี้ เสียงระฆังและเสียงปืนดังก้องดูเหมือนจะได้ยินจากที่ใดที่หนึ่งใกล้ๆ หากแต่ผู้คนต่างไม่สนใจ เนื่องจากมันเป็นเรื่องปกติ
     




    หากจะเปรียบเมืองนี้เป็นดั่งเงามืดในแผนที่โลก ก็ไม่ผิดนัก ไม่มีคำบันทึก ไม่มีคำร่ำลือใดๆ ผู้คนที่อยู่ที่นี้ เข้ามาที่นี้ ต่างตั้งหลักกันอยู่ที่นี่ โดยไม่คิดจะย้ายออกไป หากแต่จะมีออกไปบ้าง ก็มีแค่ส่วนน้อย ที่เดินออกไปและไม่กลับเข้ามาในเมืองอีกเลย
     
     
     
    เสียงปืนและเสียงฝีเท้าย่ำไปมา ไม่ได้อยู่ในความสนใจของ เฟริเอล ชารอส เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดซึ่งกำลังมีสมาธิจดจ่อกับงานที่ทำตรงหน้า  ร้านรวงมากมายตั้งตรงข้างทางถนนสายหลักแห่งเมืองฮาร์เวลล์ หนึ่งในนั้นคือร้านหนังสือของเด็กหนุ่ม ซึ่งดูเหมือนจะเป็นร้านเดียวที่แปลกแยกแตกต่างในละแวกนี้
     




            ดอกคาร์เนชันและดอกไฮเดนเยียสีสดใสปลูกไว้อยู่หน้าร้าน ด้วยเหตุผลที่จะดึงดูดคนเข้ามาในร้าน เฟริเอลลอบมองผ่านเลนส์กรอบแว่นหนาออกไป ผู้คนด้านนอกกำลังเร่งรีบด้วยความสับสนวุ่นวาย เด็กหนุ่มวางมือจากชั้นหนังสือ ก่อนที่จะลุกออกไปเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆที่หน้าร้าน
     


               ภาพชายจรจัดนอนจมกองเลือดกลางถนนปรากฏตรงหน้า ฟาริเอลดึงม่านในร้านบังอย่างไม่ใส่ใจ กฎเกณฑ์ ณ เมืองอื่นๆใช้ไม่ได้กับเมืองแห่งนี้ ณ ที่นี่ ผู้คนมีอิสระที่จะทำสิ่งใดก็ได้ ไม่ว่าถูกกฎหมายหรือผิดก็ตาม จนได้ชื่อเรียกว่า เมืองฮาร์เวลล์ สวรรค์แห่งนักฆ่า ที่ซึ่งมีอาชญากรรมเกิดตลอดแต่ไม่มีใครอยากยื่นมือไปยุ่ง ที่ซึ่งเหล่ามนุษย์ผู้ซึ่งมีฝีมือในการปลิดชีวิตผู้อื่นมารวมตัวกันเป็นชุมชนขนาดใหญ่
     
     แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาเป็นเพียง”มุมสงบๆเล็กๆน้อยๆของเมือง” โดยการรักษาร้านหนังสือที่ได้รับมาจากพ่อ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
     


     เฟริเอลเสยผมสีเทาที่ยาวระต้นคอพร้อมกับดันกรอบแว่นหนาของตนเอง พร้อมกับเก็บหนังสือให้เข้าที่ เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งจากหน้าร้านทำให้เด็กหนุ่มหันไปดู

     
    ชายในชุดสีดำสนิทเดินเข้ามาด้วยท่าทางไม่น่าไว้วางใจ ใบหน้าหยาบกร้านฉายแววอำมหิต พลางเอ่ยด้วยเสียงอันดัง
     
    “มีเงินเท่าไร ส่งมาให้หมด ไม่งั้นแกตาย”
     
    เฟริเอลถอนหายใจเมื่อเปิดร้านเช้าแรกก็มีแขกไม่ได้รับเชิญมาเสียแล้ว
     
    มีดสั้นสีดำจ่อคอเด็กหนุ่มซึ่งไม่แสดงอาการตกใจกลัวหรืออาการใดๆทั้งสิ้น แต่กลับยิ้มเฉยจนเป็นผู้บุกรุกที่หวั่นใจเสียเอง
    “นี่แก ไม่ได้ยินรึไง”
     
    “วันนี้คุณเป็นลูกค้ารายแรก อยากให้ผมแนะนำหนังสืออะไรไหมครับ”
     
    ชายแปลกหน้าถอยหลังผงะไปสองสามก้าวเมื่อชายหนุ่มไม่มีท่าทีกลัวแม้แต่น้อย เฟริเอลเดินไปที่เคาน์เตอร์พร้อมกับยิ้มอย่างเฉยเมย
     
    เสียงกรุ๊งกริ๊งของเหรียญดังขึ้นจากในลิ้นชักทำให้ผู้บุกรุกเกือบจะวิ่งปราดไป หากแต่ท่าทีของเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของร้านทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าเข้าไปเสียมากกว่า
     
    “กึกๆ” เสียงหนักๆทำให้ชายแปลกหน้าคิดเออออจินตนาการว่าในนั้นคงจะเป็นอาวุธอะไรสักอย่าง อาจจะเป็นปืน หรือไม่ก็บังตอหนักๆก็เป็นได้ เพราะในเมืองนี้เกือบทุกคนเป็นนักฆ่า จึงมีอาวุธติดตัวไว้ตลอดหากแต่เด็กหนุ่มเริ่มสนทนาจนทำให้ผู้บุกรุกสะดุ้ง
     
    “ผมพึ่งเสียลูกค้าประจำไปตอนเย็นเมื่อวานนี่เอง คนเข้าร้านนี้ยิ่งน้อยๆอยู่ด้วย เขาอยู่นั่นน่ะครับ ดูเหมือนจะไม่ยอมพูดอะไรกับผมเลยด้วย ผมเลยเกรงว่าร้านเราบริการไม่ดีหรือเปล่า ถ้ามีอะไรไม่พอใจก็บอกผมได้นะครับ” เฟริเอลเอ่ยขู่และยิ้มเย็น เด็กหนุ่มชี้ไปที่ศพชายจรจัดที่นอนกางอยู่กลางถนนเมื่อครู่ ชายผู้บุกรุกรีบวิ่งออกจากร้านอย่างรวดเร็ว พร้อมๆกับเฟริเอลที่ดึงของในลิ้นชักขึ้นมาสำเร็จ
     
    “อย่าพึ่งไปสิครับ คุณลูกค้า” เฟริเอลเอ่ยพร้อมกับวิ่งตามเมื่ออีกฝ่ายวิ่งหายเข้าไปในหัวมุมของซอยขณะที่มือกำกระดาษและปากกาโลหะดำเมี่ยมขนาดใหญ่เอาไว้
     
     
    “ผมก็แค่จะสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อร้านเราเองนะครับ” 
     
     
                            เมื่อหมดเหตุการณ์วุ่นวายและมองเห็นชายแปลกหน้าวิ่งหนีหายไปแล้ว เฟริเอลจึงเดินกลับเข้าไปในร้านอีกครั้ง พลางค่อยๆจัดเรียงชั้นหนังสืออย่างระมัดระวัง
     
    หนังสือปกหนาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เป็นพันๆหน้า ถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ ขณะที่อีกชั้นหนึ่ง หนังสือบทกวีและนวนิยายทั่วๆไป ถูกจัดเรียงไว้สลับกัน
     
    มีหลายครั้งที่เด็กหนุ่มหยิบหนังสือมาอ่าน และอ่านซ้ำๆวนกันอยู่อย่างนั้น จนแทบจะจำรายละเอียดทุกบรรทัดในหนังสือเล่มที่ตนเองอ่านได้
     
             เฟริเอลเงยหน้ามองชั้นหนังสือซึ่งตนจัดเรียงเสร็จ พลางยืนกอดอกนึกในใจ เพราะถึงแม้ในร้านนี้จะเป็นร้านหนังสือที่มีไม่กี่แห่งในเมือง แต่กลับไม่มีลูกค้าสนใจสักเท่าไรนัก
     
    หรือจะพูดให้ถูกคือ ทำเลตั้งมันผิดที่ต่างหาก
     
     
    หากมองจากด้านนอกแล้ว ฟากซ้ายจากร้านหนังสือคือร้านขายอาวุธ ขณะที่ฟากขวานั้นคือร้านขายยาพิษ ที่เหล่าพวกนักฆ่าชอบเข้าไปสุมหัวกันการที่วันดีคืนดีจะพบร่างของใครสักคนนอนแน่นิ่งข้างถนนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หน้าร้านขายอาวุธกับร้านยาพิษ
     
    ส่วนร้านของเขา เป็นเพียงร้านธรรมดา ที่มีลูกค้าขาประจำเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
    เสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งดังขึ้นอีกครา พร้อมๆกับเฟริเอลที่เดินออกไปดู
     
    “อ้าว สวัสดี อเล็กซ์”
     
    ผู้ที่อยู่ตรงหน้าคือเด็กน้อยหัวแดงวัยสิบห้าปีชื่อ อเล็กซ์ เบอเนต ซึ่งเป็นลูกค้าประจำของร้าน เด็กชายอยู่ในชุดสีน้ำตาลทะมึนทั้งตัว ใบหน้าตกกระและแววตาฉายแววขี้เล่นขับให้น่าตาของเด็กชายดูยิ้มแย้มอารมณ์ดีตลอดเวลา เจ้าตัวยิ้มก่อนที่จะเดินเข้าไปในร้าน
     
    “พอมีหนังสือออกใหม่บ้างไหมฮะ”
     
    ฟาริเอลเดินเข้าไปหยิบหนังสือปกสีทองใหม่เอี่ยมจากชั้นวาง พร้อมกับยื่นให้ที่มือลูกค้าอย่างรวดเร็ว เด็กชายยิ้มอย่างยินดีราวกับได้ขนมหรือของเล่นใหม่
     
    “ตอนนี้มีแต่เล่มนี้ล่ะที่ออกใหม่ แต่ไว้มีอย่างอื่นอีกเมื่อไรจะเอามาลงเพิ่ม”
    “ขอบคุณฮะ งั้นผมขอเล่มนี้เลยก็แล้วกัน”
     
    ยิ้มก่อนที่จะควักเหรียญเงินส่งยื่นให้เด็กหนุ่ม ฟาริเอลรับไว้ด้วยความยินดี
    “ว่าแต่อเล็กซ์ ช่วงนี้ทำงานเป็นไงบ้างล่ะ”
     
    เจ้าของร้านตัดสินใจถามออกไป มือยังสาละวนอยู่กับการห่อปกหนังสือ ขณะที่เด็กน้อยนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ
    “ก็ดีฮะ ช่วงนี้มีงานเข้ามาเพิ่มขึ้น ก็เลยได้เงินเยอะหน่อย แต่ว่าเปลืองค่าอาวุธไปเยอะเหมือนกัน”
     
     
    เด็กน้อยตอบพลางเผยให้เห็นมีดสั้นในกระเป๋าเสื้อ พร้อมๆกับฟาริเอลที่ห่อหนังสือเสร็จ
    “ว่าแต่ ฟาริเอลไม่มาทำงานนี้ด้วยกันหรอกเหรอ”
    “ไม่ล่ะ มีร้านหนังสือตรงนี้ที่ต้องดูแลอยู่”
     
    เจ้าของร้านยื่นหนังสือให้ ขณะที่อเล็กซ์ยิ้ม
    “ดูเหมือนฟาริเอลจะเป็นคนเดียวนะที่ปฎิเสธงานนี้ ตอนนี้ในเมืองไม่ว่าเป็นใครก็ผันมาเป็นนักฆ่ากันหมดแล้วทั้งนั้น อายุเท่ากับผมก็เป็นกันเกือบหมดแล้วเหมือนกัน”
     
    “ก็ฉันไม่อยากแย่งงานคนอื่นนี่ นักฆ่าออกจะมีเยอะเกินไปแล้วด้วยซ้ำ”เฟริเอลเอ่ย
     
    “ถ้าคนไม่หมดโลกและมีความแค้นกันอยู่เรื่อยๆ งานก็มาเรื่อยๆนั่นแหละ ว่าแต่ฟาริเอล ฝากนี่ไว้หน่อยสิ”อเล็กซ์เอ่ยก่อนที่จะยื่นใบเอกสารหลายใบกองตรงหน้าเด็กหนุ่มที่ใบหน้าฉายแววสงสัย
    “นี่คือใบปลิวเกี่ยวกับกลุ่มที่ผมสังกัดอยู่น่ะ ในเมืองพวกนักฆ่าทั้งหลายเริ่มเกาะกลุ่มกันทำงานแล้วล่ะ ถ้าเกิดมีใครใหม่ๆมาร้านนี้ก็ฝากแจกด้วย เพราะกลุ่มผมอยากได้สมาชิกหน้าใหม่ๆอยู่พอดี อ้อ เรื่องค่าโฆษณา เฟริเอลไม่ต้องห่วง ผมจ่ายให้ด้วยแน่”
     
    เฟริเอลมองเอกสารบนโต๊ะที่เด็กชายพึ่งวางไป โดยที่เจ้าตัวไม่ลืมทิ้งเหรียญเงินสิบกว่าเหรียญไว้ด้วย
     
    “ฝากแจกด้วยล่ะฮะ แล้วถ้าเฟริเอลอยากเปลี่ยนงานเมื่อไรก็บอกผมนะ ผมยินดีต้อนรับเสมอ”อเล็กซ์ยิ้ม
    “ไม่ล่ะ ฉันขออยู่อย่างสงบๆไม่มีคนรบกวนจะดีกว่า”เฟริเอลเอ่ยตอบ พร้อมๆกับอเล็กซ์ที่หัวเราะ แล้วฮัมเพลงเดินออกจากร้านไป
     
    เจ้าของร้านหนังสือมองคล้อยหลังตามไป ฝนด้านนอกเริ่มตกเบาๆ ก่อนที่จะกลายเป็นตกหนักขึ้น กลิ่นสายฝนปนกับกลิ่นคาวเลือดลอยมาจากที่ใดที่หนึ่งสักแห่ง เฟรีเอลมองออกไปนอกหน้าต่าง พึมพำกับตัวเองเบาๆ
     
    “มืดดำไปหมดแล้วแฮะเมืองนี้”
     
    เอ่ยก่อนที่จะเดินไปคล้องป้ายปิดร้าน พลางเดินเข้ามาชงเครื่องดื่มอุ่นๆและเตรียมอาหารเย็น
     
     
    เสียงฝนตกด้านนอกยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเสียงลมพัดดังหวีดกระทบกับป้ายโฆษณาหรืออาคารแห่งใดสักแห่ง แต่นั่นก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจของเฟริเอลเท่าใดนัก
     
    เจ้าของร้านหนังสือมุ่งสมาธิโดยการก้าวเท้าขึ้นไปบนบันไดไม้เก่าผุๆอย่างแผ่วเบา เสียงเอี๊ยดอ๊าดของมันชวนให้เห็นว่าไม่สักวันใดก็วันหนึ่งมันอาจผุพังไปกับกาลเวลา เฟริเอลมองขึ้นไป ในร้านของเขาชั้นล่างมีไว้สำหรับขายหนังสือ ขณะที่ชั้นบนนั้นเป็นที่พักส่วนตัว
     
    เด็กหนุ่มเคาะประตูบานไม้บานหนึ่งอย่างแผ่วเบา พลางเปิดมันออก
     
    สภาพในห้องดูเก่าราวกับไม่เคยมีผู้ใดอยู่ แต่หากในห้องนั้นมีเครื่องของใช้ครบ และบนเตียงมีร่างหนึ่งนอนหลับสนิทอยู่ ร่างของเด็กหญิงวัยสิบขวบนอนหลับตาพริ้ม ผมสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกาย หลับสนิทไม่เคลื่อนไหวราวกับตุ๊กตาหากแต่รอบกายโยงระยางด้วยสายน้ำเกลือ
     
    “ซาแมนธา” เฟริเอลลูบผมของน้องสาวที่ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิด สิ่งเดียวที่ยังบ่งบอกว่ามีชีวิตอยู่ก็คือลมหายใจ
     
    เฟริเอลค่อยๆดึงผ้าห่มมาคลุมร่างของเด็กหญิงไว้ พร้อมๆกับปิดประตูอย่างแผ่วเบา
     
    “ราตรีสวัสดิ์นะ”
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×