คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 2 การพบเจอที่'ไม่'บังเอิญ (รีไรท์ 0 %)
อยากอ่านตอนเก่าก่อนรีไรท์อยู่ด้านล่างเลยเจ้าค่ะ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ตอนที่ 2 การพบเจอที่(ไม่)บังเอิญ
ยามเย็นที่ท้องฟ้าเป็นสีส้มสว่าง ดั่งดอกหางนกยูงที่ผลิบานแรกแย้ม สายลมพัดเอื่อยๆ ในยามอาทิตย์อัสดง ฝูงนกบินผ่านเพื่อกลับสู่รวงรังและดำดิ่งสู่ห้วงแห่งนิทราอีกครั้ง
สถานที่แห่งนี้คือสุสาน ...จุดศูนย์รวมของเหล่าเรือนร่างไร้วิญญาณของผู้ที่เคยมีชีวิต หากแต่สุสานแห่งนี้กลับเป็นที่ที่พิเศษกว่าสถานที่แห่งไหน ...สถานที่ที่ฝังคนที่เค้ารักมากที่สุดเอาไว้ ...สุสานโรลดาวาน...
ชาเวสโซ่ รัสไทน์ ทายาทปีศาจเสือดำสายเลือดแท้ ที่ถูกเลี้ยงดูด้วยบาทหลวงของโบสถ์แห่งหนึ่ง บุคคลเพียงคนเดียวที่ยอมรับในพลังและตัวตนที่แท้จริงของเค้า ดูแลและเลี้ยงดูเค้าเปรียบเสมือนลูกคนหนึ่ง และเค้าเองก็ให้เกียรติบาทหลวงคนนั้นเสมือนพ่อของเค้าเช่นกัน ...หากแต่ความสุข มักจะอยู่กับเราได้ไม่นานนักหรอก... วันนั้นคือวันที่ทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นลง ปีศาจบุกเข้าสังหารคนในโบสถ์จนหมดสิ้น ...แน่นอน ไม่เว้นแม้แต่บาทหลวงที่เปรียบเสมือนพ่อของเขา...
...จุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาปลดปล่อยพลังแห่งปีศาจพยัค ...ก็ในเมื่อเขาไม่เหลืออะไรแล้ว พวกมันก็ต้องไม่เหลืออะไรเช่นกัน... แม้จะรู้ดีว่าไม่อาจช่วยคนที่ตนรักได้ ...ช่วยคนที่เปรียบเสมือนพ่อแท้ของเขาไม่ได้ แต่อย่างน้อย ...อย่างน้อยก็ขอทำตามหัวใจที่กำลังร่ำไห้ ...ร่ำไห้ให้ต่อคนที่เขารักมากที่สุด ...ร่ำไห้ให้ต่อร่างไร้วิญญาณที่มิอาจหวนคืนมามีชีวิตอีกครั้ง ...ทางเดินที่ถูกเลือกเพื่อกวาดล้างต้นตอที่ทำให้หัวใจของเขาต้องเจ็บปวด ...กวาดล้างปีศาจที่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับเค้าให้สิ้น...
...ขอให้ลูกมีชีวิตที่ดีได้อย่างที่ลูกหวังนะรัส ...ลูกของพ่อ...
คำพูดสุดท้ายของพ่อ ที่ยังคงตราตรึงอยู่ในจิตใจอยู่เสมอ สายตาและรอยยิ้มที่อ่อนโยน ที่ไม่ว่าเวลาไหนพ่อก็มักจะมีให้เขาทุกครั้ง แม้ในยามที่พ่อ...หมดลมหายใจต่อหน้าเค้าก็ตาม
“จะให้ผมมีชีวิตอย่างที่ผมหวังได้ยังไง ...ในเมื่อชีวิตที่ผมต้องการ คือชีวิตที่มีท่านพ่ออยู่ด้วยกับผม...”
ชายหนุ่มยืนอยู่ต่อหน้าหลุมศพ แววตามีเพียงความโศกเศร้าที่มิอาจหาที่สิ้นสุด นัยน์ตาคมเข้มสีอำพันถูกฉาบไว้ด้วยหยาดน้ำตาสีใส เรือนร่างสั่นเทาด้วยความอดกลั้นต่อความเจ็บปวดมากว่า 200 ปี
...ชาร์ล รัสไทน์... ชื่อที่ถูกสลักไว้บนแผ่นหินสีขาวบริสุทธิ์ ชื่อที่จะไม่มีวันลบเลือนไป และเป็นชื่อ...ที่จะถูกสลักบันทึกไว้ในใจเขาตลอกกาลเช่นกัน...
รัสหลับตาลงแน่นสนิทเพื่อข่มอารมณ์ที่ยังคงพวยพุ่งอยู่ในอก ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ และมองตรงไปยังหลุมฝังศพอีกครั้ง แต่ตอนนี้สายตาของเขากลับไม่ได้สนใจแผ่นหินบนหลุมฝังศพอีกต่อไป แต่สิ่งที่เขาสนใจกลับเป็นเพียงดอกไม้สามดอกที่วางไว้ตรงหลุมศพของพ่อเค้า ...กุหลาบสีขาว กุหลาบสีชมพูเข้ม และกุหลาบสีดำ...
กุหลาบสีขาว ...ความรักที่มั่นคงและบริสุทธิ์...
กุหลาบสีชมพูเข้ม ...ขอบคุณ...
กุหลาบสีดำ ...การลาจาก ความเป็นนิรันดร์...
ดอกไม้ทั้งสามดอกที่อยู่ดีๆ ก็มาปรากฏต่อหน้าหลุมศพของพ่อเขาเมื่อประมาณ 3 เดือนก่อน โดยทุกวันจะมีดอกใหม่มาวางแทนดอกเก่าเสมอ ดอกไม้ที่เขาพยายามตีความหมายและตามหาคนที่เอามันมาวางมาตลอด ...แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจหาความหมายที่สอดคล้องกับหลุมฝังศพของพ่อเขาได้เลย รวมไปถึงกลิ่นอายที่ยังติดอยู่บนดอกไม้พวกนี้ แม้ว่าจะเป็นของมนุษย์แต่มันก็ช่างเบาบางเหลือเกิน ...เบาบางจนไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นมนุษย์จริงรึเปล่าด้วยซ้ำ...
“อ๊ะ!”
เสียงอุทานที่ดังขึ้นทำให้รัสรีบหันกลับไปมองตามสัญชาตญาณ และสิ่งที่เค้าได้เห็นก็คือ ...เด็กผู้หญิงผมสีทองสว่าง นัยน์ตาสีฟ้าสดใส และที่สำคัญคือ...เธอมีดอกกุหลาบสามดอกอยู่ในมือ...
“ขะ...ขอโทษค่ะ”
เด็กสาวพูดตะกุกตะกัก ก่อนจะรีบหันกลับและพยายามจะเดินหนี หากแต่ฝ่ามือของรัสก็รีบฉวยข้อมือบางของเธอเอาไว้ เด็กสาวจึงต้องจำใจหันกลับมาอีกครั้ง ...และก็สบตาเข้ากับดวงตาสีอำพันสว่างของรัสเข้าพอดี...
+++++ ต่อจ้า +++++
...เหมือน...เหลือเกิน...
ความคิดเพียงหนึ่งเดียวที่พุ่งเข้ามาในหัวโดยไร้ซึ่งข้อโต้แย้งใดๆ สายตาคมได้แต่จ้องมองใบหน้าของเด็กสาวตาไม่กะพริบ หัวใจที่เฉยชาต่อทุกสิ่งมานานนับร้อยปีก็กลับเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะเสียอย่างนั้น
“เธอ...เป็นใคร”
แม้ในใจจะแอบหวังว่าอาจเป็นคนๆนั้นที่กลับคืนมา ...คนที่เค้ารักมากที่สุด หากแต่ในโลกแห่งความจริงอะไรๆก็เกิดขึ้นได้เสมอ ...เผลอๆเด็กคนนี้ อาจเป็นแค่คนที่มาเคารพศพใครสักคนที่ตายไป และมาวิงวอนต่อพ่อของเขาที่เคยเป็นบาทหลวงเฉยๆก็ได้...
“สะ...สทอเรียล เดอ ลอค์กค่ะ”
โอน่าเอ่ยแนะนำตัวเองด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แววตาสีฟ้าสดใสก็จ้องมองไปยังดวงตาสีอำพันด้วยอาการสั่นน้อยๆ
“เธอเป็นคนที่เอาดอกไม้มาวางไว้ที่หลุมศพพ่อของผมสินะ?”
รัสเอ่ยถาม สายตาก็เลื่อนไปมองดอกไม้สามดอกที่เด็กสาวกำไว้ และปล่อยมือที่กำลังจับข้อมือของเธอ
“ค่ะ”
“แล้วเธอเอามาวางไว้ทำไม? รู้จักกับพ่อของผมด้วยงั้นหรอ”
“ไม่รู้จักหรอกค่ะ เพราะท่านเสียไปตั้งนานแล้วนี่คะ ...แต่ว่าฉันรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนและโอบอ้อมอารีของท่าน คุณอาจจะไม่เชื่อนะคะ แต่ทุกครั้งที่ฉันมาที่นี่ ...ยืนตรงนี้ ...ฉันจะรู้สึกดีขึ้นจากความรู้สึกแย่ๆเสมอ ฉันก็เลยเอาดอกไม้มาวางไว้แทนคำขอบคุณน่ะค่ะ”
โอน่าพูดพลางมองแผ่นหินที่สลักชื่อของดวงวิญญาณที่คิดว่าช่วยเธอเสมอ สลับกับดอกไม้ทั้งสามสีที่อยู่ในมือเธอ แววตาสีฟ้าสดใสที่ก่อนหน้าสั่นเทาดั่งกับว่าหวาดกลัวต่อบุคคลตรงหน้า บัดนี้เหลือเพียงความอบอุ่น มีความสุข และอ่อนโยนเกินกว่าจะหาคำบรรยายใดๆ บนใบหน้าของเธอตอนนี้ก็ถูกประดับไว้ด้วยรอยยิ้มที่แลดูมีความสุขยิ่งนัก
แสงอาทิตย์ยามอัสดงที่สาดส่องลงบนเรือนร่างของเด็กสาวในชุดกระโปรงสีขาว เส้นผมสีทองสว่างช่างล่อแสงแห่งทิวากาลยามเย็นยิ่งนัก ดวงตาสีฟ้าที่ทอดมองยังกลุ่มดอกไม้ในมือก็ช่างงดงามเกินกว่าจะหาคำบรรยายใดๆ ...ภาพตรงหน้าที่เกิดขึ้นจากความบริสุทธิ์ใจของเด็กสาว ช่างงดงามดั่งภาพที่สวรรค์บรรจงสร้างมันขึ้นมาโดยแท้...
“คุณบอกว่าท่านเป็นพ่อของคุณ ...งั้นคุณก็คงไม่ใช่มนุษย์สินะคะ”
“ใช่ครับ”
ถามมาตรงๆ รัสก็ตอบกลับตรงๆ ทั้งยังรอดูปฏิกิริยาของเด็กสาวตรงหน้าว่าจะ ...รังเกียจเค้ารึเปล่า
“สุดยอดไปเลยนะคะ ...ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันคงจะมีความสุขมากแน่เลย”
คำตอบที่เกินคาดของเด็กสาวทำให้ชายหนุ่มได้แต่ตะลึงเบาๆ อยู่ในใจ
...ไม่ได้รังเกียจ แถมยังบอกว่าเค้าสุดยอดอีก แปลกคนชะมัด แต่ว่าถ้าลองให้เธอมาเป็นฉันจริงๆ เธอคงได้รู้ว่ามันไม่ได้มีความสุขอย่างที่เธอคิดซักนิด...
รัสได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่น ...การที่ต้องทนเจ็บปวดเพราะต้องเห็นคนที่เรารักตายต่อหน้าต่อตามานานกว่า 200 ปี มันจะเรียกว่ามีความสุขได้รึไง...
“...คุณคงได้รับการดูแลจากท่านสินะคะ ถึงได้มองหลุมศพหลุมนี้ด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ขนาดนั้น”
“ครับ พ่อของผมเป็นบาทหลวง ท่านเก็บผมมาเลี้ยงตั้งแต่ผมยังเป็นทารก รวมถึงท่านก็ไม่เคยรังเกียจสายเลือดปีศาจของผมสักนิดเดียว”
รัสตอบคำถาม ความรู้สึกไว้ใจที่ก็เกิดขึ้นในใจอย่างมิทราบสาเหตุ ทำให้เขาบอกเล่าความจริงแก่เด็กสาวแปลกหน้าได้อย่างไม่กังวลใดๆ
“ฉันน่ะ ไม่มีความทรงจำตอนเด็กๆอยู่เลย ...ไม่รู้ว่าพ่อเป็นใคร แม่เป็นใคร หรือแม้แต่ว่าตัวเองอาจเป็นเด็กกำพร้าก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ จำความได้ก็ตอนถูกกักขังอยู่ในห้องใต้ดินที่มืดสนิท ถ้าไม่ถูกเอาไปทดลอง ก็จะถูกทำร้ายและถูกกลั่นแกล้งทุกๆวัน ...มันช่างเป็นช่วงเวลาที่ทรมานและเจ็บปวดเหลือเกิน...”
โอน่าพูดถึงอดีตของเธอได้ไม่นาน น้ำตาหยดใสก็ไหลรินลงอาบแก้มของเธอในไม่ช้า แววตาที่สดใสเมื่อครู่บัดนี้เหลือแต่ความปวดร้าวและทรมาน ...ดั่งนางฟ้าที่กำลังร่ำไห้อยู่ก็ไม่ปาน...
“...วันที่ฉันหนีออกมาได้ คือวันที่ปีศาจบุกเข้าทำลายที่นั่น ...ตอนที่ทุกอย่างกำลังพังพินาศลง ฉันคิดว่าคงไม่มีทางรอดออกไปได้แน่ๆ แต่ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น ...มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งบอกว่าจะช่วยพาฉันหนีออกไป พวกเราสองคนหนีมาด้วยกัน จนมาถึงลิฟต์ที่เป็นทางออก แต่ปีศาจก็มาเจอเราเข้า เด็กผู้ชายคนนั้นหันมากอดฉันไว้แล้วพูดกับฉันว่า ...ขอให้เธอได้เจอกับโลกใบใหม่ที่มีความสุขนะ น้องของพี่... แล้วเด็กผู้ชายคนนั้นก็ผลักฉันเข้าไปในลิฟต์ พร้อมกับยัดอะไรบางอย่างใส่ในมือฉัน แล้วเอาตัวเองเข้าขวางปีศาจไว้ ...ฉันเห็นเค้าถูกฉีกร่างออกเป็นชิ้นๆ ต่อหน้าต่อตา ก่อนที่ลิฟต์จะพาฉันออกมาจากจุดนั้น...”
โอน่าหยิบสร้อยเส้นหนึ่งที่คล้องคอเธอไว้ขึ้นมา ล็อกเก็ตสีทองที่ตรงกลางประดับไว้ด้วยทับทิมสีแดงน้ำงาม ลวดลายบนล็กเก็ตก็ตวัดอย่างประณีตงดงาม เธอเปิดล็อกเก็ตออกปรากฏให้เห็นภาพของเด็กผู้ชายผมสีดำสนิทและเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆกำลังยิ้มอย่างสดใส โดยอีกฟากหนึ่งของล็อกเก็ตมีอักษรเขียนไว้ว่า ...เธอคือคนที่พี่รักที่สุด และรักตลอดไป โอน่าน้องรัก...
“นี่คือสิ่งที่เด็กคนนั้นให้ฉันไว้ ล็อกเก็ตที่เป็นหลักฐานว่าเด็กคนนั้นคือพี่ชายของฉัน ...บุคคลในครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของฉัน และได้หมดลมหายใจลงต่อหน้าต่อตาฉันในวันนั้นเช่นกัน...”
เด็กสาวกำล็อกเก็ตไว้แนบอก ร่างกายสั่นสะท้านจากการสะอื้นไม่หยุด ก่อนจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นปาดน้ำตา ข่มอารมณ์ที่แสนโศกเศร้าให้สงบลง เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องร้องไห้หนักกว่านี้
“ขะ...ขอโทษด้วยนะคะ ที่เล่าอะไรก็ไม่รู้ให้ฟัง ไม่ต้องใส่ใจกับมันหรอกคะ”
โอน่าเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ ทั้งๆที่ใบหน้ายังเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาที่ไม่อาจหยุดไหล เด็กสาววางดอกไม้ในมือลงบนหลุมศพและหยิบดอกไม้ชุดเก่ามาไว้ในมือแทน
...นั่นสินะ ฉันยังโชคดีที่อย่างน้อยก็ยังมีคนคอยดูแลและปลอบโยน ...ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาฉันมัวเศร้าใจอยู่ทำไมนะ ทั้งๆที่ท่านพ่อก็บอกให้มีชีวิตที่ดีแท้ๆ...
รัสเผยอยิ้มขึ้นน้อยๆ เข้าใจแล้วว่าที่พ่อนั้นกล่าวไว้คืออะไร ...ไม่ใช่เพื่อให้ยึดติด แต่เพื่อให้เริ่มต้นใหม่ ...ก้าวเดินไปสู่ความเป็นจริง ทำในสิ่งที่เราปรารถนา ...นั่นต่างหากที่เป็นความหมายที่แท้จริงของมัน...
“ฉันต้องกลับไปทำงานแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ”
โอน่าเอ่ยขอตัวก่อนจะหมุนตัวกลับ และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่รัสคว้าข้อมือของเธอไว้...
“ถ้าไม่รังเกียจ ...ขอให้ผมได้ปกป้องคุณจะได้มั้ย ...ปกป้องคนที่เจ็บปวดยิ่งกว่าผม ...ให้ผมอยู่เคียงข้างคุณ...ได้มั้ย?”
+++++ ต่อจ้า +++++
“ห๊ะ! อะ...อะไรนะคะ?”
โอน่าถึงกับตะลึงในคำพูดของอีกฝ่าย สายตาของเธอเต็มไปด้วยความสับสน ...แหงสิ ประโยคแบบนี้ มันต่างจากการสารภาพรักตรงไหน แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เธองงได้ยังไง...
“เอ่อ...”
“ผมชื่อ รัส ...ชาเวสโซ่ รัสไทน์ อย่างที่คุณรู้ ผมไม่ใช่มนุษย์ ...เผ่าพันธุ์ของผมคือ ปีศาจเสือดำ อายุตอนนี้คือ 250 ปี อาชีพอย่างคนปกติคือรับงานพาร์ทไทม์ งานอดิเรกคือออกล่าปีศาจตอนกลางคืน ฝีมือการต่อสู้ยอดเยี่ยม ...และผมก็พร้อมที่จะปกป้องคุณ”
รัสเอ่ยแนะนำตัวเองออกมารวดเดียวจบ แบบแทบไม่หยุดหายใจ แววตาจริงจังและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ไม่มีท่าทีลังเลใดๆ รวมทั้งยังไม่สนด้วยว่าเธอจะตกใจในงานอดิเรกของเค้ารึเปล่า
...ชีวิตที่ผมเลือกเดินคือ ชีวิตที่มีอยู่เพื่อปกป้องครับ ผมจะปกป้องคนที่ต้องทรมานยิ่งกว่าผม ปกป้องให้เค้าไม่ต้องเศร้า ปกป้องเค้าจากน้ำตา ปกป้องคนๆนั้นด้วยชีวิต ...แล้วผมก็เลือกแล้วเช่นกัน แม้จะดูเห็นแก่ตัวไปสักหน่อย แต่ผมเลือกเธอ ...คนที่ปลุกผมให้ตื่นขึ้นจากความเจ็บปวด ปลุกผมให้ตาสว่างอีกครั้ง ...คนที่แสนอ่อนโยนและเหมือนกันกับท่านเหลือเกิน ท่านพ่อครับ...ผมเชื่อว่าท่านเห็นด้วยที่ผมจะปกป้องเธอ...
“เอ่อ...ค่ะ โอน่าค่ะ ...ชื่อเต็มคือ สทอเรียล เดอ ลอค์ก ทำงานอยู่ในองค์กรสังหารปีศาจ The Serus ค่ะ ...ยะ ...ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการ(มั้ง)นะคะ”
แล้วเธอก็เออออห่อหมก แนะนำตัวเองคราวๆ กลับอย่างพอเป็นพิธี
“องค์กรสังหารปีศาจ?”
รัสทวนคำอย่างสงสัย ...ก็แล้วเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ทำไมถึงไปอยู่ในองค์กรสังหารปีศาจกันล่ะ...
“ค่ะ...ก็ไม่อยากเห็นคนอื่นต้องมาตายอย่างไร้เหตุผลนี่คะ เพราะอยากปกป้อง ก็เลยเข้าทำงานกับองค์กร”
โอน่าตอบตรงๆ ไม่อ้อมค้อม น้ำตาบนใบหน้าก็เหือดหายไป ตอนนี้เหลือเพียงรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าเท่านั้น
“งั้นผมต้องทำยังไงถึงจะได้เข้าองค์กรหรอครับ ...เพราะผมเอง ก็มีคนที่อยากปกป้องเหมือนกัน...”
พูดจบก็ปรากฏรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์บนใบหน้า ชายหนุ่มมองลึกเข้าไปในดวงตาของเด็กสาว แววตาก็บ่งบอกว่าสิ่งที่พูดไปทั้งหมด คือความจริงที่ออกมาจากใจ
“ถ้าเรื่องเข้าทำงานล่ะก็... นี่ค่ะ!”
โอน่ายื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้กับรัส ...แน่นอน จดหมายที่ดำสนิทที่มีตราประทับรูปตัว S นั้นเอง...
“ถ้าคุณจะทำงานที่นี่จริงๆ ก็ไปได้เลยนะคะ บอกว่าขอพบฉันก็ได้ แล้วเดี๋ยวฉันจะช่วยดำเนินการต่อให้...”
โอน่าพูดด้วยรอยยิ้ม ...ตอบคำถามของบุคคลตรงหน้า โดยไม่มีท่าทีโอนอ่อนไปกลับคำพูดหวานเลี่ยนของชายหนุ่มแต่อย่างใด...
“...อ๊ะ! เลยเวลามามากแล้ว ต้องขอตัวก่อนนะคะ ...แล้วฉันจะรอการพบกันอีกครั้งของเรานะคะ”
โบกมือลาแล้วก็รีบวิ่งจากไป ปล่อยให้รัสยืนอยู่ที่หน้าหลุมศพต่อไปคนเดียว
...การพบกันอีกครั้งของเรา มันจะมาถึงในไม่ช้าครับ โอน่าของผม(?)...
ความคิดที่รัสได้แต่ยืนยิ้มอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน ความรู้สึกผูกพันที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ ...และแล้วพระอาทิตย์ก็ต้องโบกมือบ๊ายบายลาลับขอบฟ้าไปเช่นกัน
ณ ทุ่งดอกไม้ ...อีกฟากหนึ่งของสุสาน
ทุ่งดอกไม้ที่กว้างใหญ่ไกลสุดสายตา ดินแดนที่อยู่ใกล้กับลานแห่งความตายเพียงต้นไม้สูงใหญ่กั้น ...พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลับขอบฟ้า ท้องฟ้าเริ่มไร้แสงสี มีเพียงความมืดมิดที่ค่อยๆเข้ากลืนกิน
เด็กสาวผมสีทองก้าวเข้ามาอย่างช้าๆ ฝ่ามือข้างหนึ่งก็ยังคงถือดอกไม้ทั้งสามสีไว้ หากแต่สายตาที่เคยสดใสกลับเหม่อลอยเรือนรางเสียเหลือเกิน ดั่งกับว่าเรือนร่างนี้กำลังจะไร้ซึ่งลมหายใจในไม่ช้าก็ไม่ปาน...
ก้าวแล้ว ก้าวเล่า ที่เดินย่ำเข้าไปในทุ่งดอกไม้กว้าง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเหล่าต้นหญ้าและดอกไม้นานาชนิด ...เด็กสาวมองดอกไม้ทั้งสามในมือ ก่อนที่มันจะค่อยๆ เลือนหายไปดั่งไอหมอกในยามสายัณห์
“พ่อพอจะช่วยให้ความทุกข์ในใจของลูกเบาลงได้บ้างมั้ย?”
เสียงเบาบางที่ก้องกังวานใสดังขึ้นในโสตประสาทของเด็กสาว ใบหน้าเลื่อนลอยค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองช้าๆ ...ภาพตรงหน้าของเธอคือ บุรุษใบหน้าหมดจดที่ดูอายุราว 40 ปี เรือนผมสีทองสว่าง นัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างใส ...หากแต่เพียงเรือนร่างของบุคคลตรงหน้าช่างโปร่งแสงและดูเบาบางเสียเหลือเกิน... ดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์ ...บาทหลวงชาร์ล รัสไทน์...
“คุณพ่อคะ สมควรจะเป็นฉันจริงๆหรอคะ?”
เด็กสาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาที่อ้างว้างก็ถูกฉาบไว้ด้วยหยาดน้ำตาอีกครั้ง
“เค้าเลือกลูก เพราะลูกคือคนที่เหมาะสมแล้ว จงอย่าได้กังวลไปเลยลูกพ่อ”
บาทหลวงเอ่ยราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือเรื่องราวที่สมเหตุสมผล
“แต่จิตใจของเค้าบริสุทธิ์ยิ่งนัก ลูกไม่อยากให้เค้าต้องมาแปดเปื้อน...”
“งั้นถ้าพ่อบอกว่า ...จิตใจของลูกก็บริสุทธิ์ พ่อไม่อยากให้ลูกทำงานล่าปีศาจอีก ไม่อยากให้ลูกต้องเจ็บตัวเพียงแค่ต้องปกป้องคนที่ไม่รู้จักกัน ลูกจะยอมงั้นหรอ?”
“จะให้ลูกยอมได้ยังไง! ลูกทนเห็นคนตายไปมากกว่านี้ไม่ได้หรอก”
“เขาเองก็เหมือนกัน ...ไม่อาจทนเห็นคนที่เขาต้องการปกป้องต้องมานั่งเศร้าและเจ็บปวดได้หรอก เพราะนั่นคือความปรารถนาของเขา”
เด็กสาวได้ฟังแล้วก็เข้าใจ ...นั่นสินะ! ไม่มีใครสามารถห้ามความปรารถนาของใครได้หรอก ขนาดความปรารถนาของเธอ คนอื่นยังมาห้ามไม่ได้ และกับความปรารถนาของคนอื่น จะให้เธอไปห้ามได้อย่างไร...
“แล้วความปรารถนาของพ่อล่ะคะ?”
เด็กสาวเอ่ยถาม นัยน์ตาสีฟ้าที่เหม่อลอยก็กลับมาสดใส สายน้ำตาที่ไหลก็ค่อยๆ เหือดแห้งลง เหลือไว้เพียงรอยยิ้มเบาบางที่ถูกแต่งแต้มลงบนริมฝีปากบาง ...แม้จะเป็นความรู้สึกที่ต้องจำใจรับ แต่ก็มิอาจต่อต้านมันได้แต่อย่างใด...
“ความปรารถนาของพ่อ คงเป็นการเกิดใหม่...”
เด็กสาวได้ยิน ก็ตั้งใจจะเอ่ยกล่าวลา หากแต่บาทหลวงก็เอ่ยต่อขึ้นมาว่า...
“ลูกจะรับการเกิดใหม่ของพ่อไว้ได้มั้ย?”
“ได้สิคะ”
เอ่ยตอบอย่างไม่ลังเล เป็นดั่งพันธะสัญญาที่เสร็จสมบูรณ์ ก่อเกิดพิธีกรรมรับมอบการเกิดใหม่ของวิญญาณกับสิ่งมีชีวิต ...พิธีที่เป็นดั่งการละจากทุกสิ่งของวิญญาณเพื่อกลับคืนสู่อ้อมกอดแห่งพระเจ้าและรอการเกิดใหม่อย่างบริสุทธิ์ ...สิ่งมีชีวิตก็รับการถ่ายทอดความรู้สึกที่ถูกเลือกไว้ของวิญญาณดวงนั้น ซึ่งอาจเป็น ความโกรธ ความเกลียด ความอาลัย หรือแม้แต่ความโศกเศร้า และจะเปลี่ยนแปลงไปตามสถานะของสิ่งมีชีวิต
แต่สำหรับพิธีกรรมนี้ ความรู้สึกที่ดวงวิญญาณเลือก คือ ‘ความรัก’ ...ความรักอันบริสุทธิ์ที่พ่อมีต่อลูกไม่มีวันจืดจาง... ที่เมื่อเด็กสาวได้รับไปแล้วนั้น มันจะแปรเปลี่ยนความรู้สึกนั้นให้กลายเป็น
.
.
.
...ความรักนิรันดร์ที่แม้ความตายก็มิอาจพรากเรา...
‘กุหลาบสีขาว ...ความรักที่มั่นคงและบริสุทธิ์...
กุหลาบสีชมพูเข้ม ...ขอบคุณ...
กุหลาบสีดำ ...การลาจาก ความเป็นนิรันดร์... และอีกความหมายที่คุณอาจคาดไม่ถึง ...การเกิดใหม่...
...ดูให้ดีสิ... เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เหมือนดั่งดอกไม้ที่เรียงตัวอยู่เลยมิใช่หรออย่างไร...’
+++++ 100% +++++
B B
ความคิดเห็น