ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Tale Of Darksnow]THe Past

    ลำดับตอนที่ #5 : The past of Kuu : +kuuka no takai michi+

    • อัปเดตล่าสุด 22 ต.ค. 51


    + kuuka no takai michi+

    อากาศธาตุคือสรรพสิ่งที่อยู่รายล้อมตัวเจ้า

    หากเจ้ากลับไม่อาจได้มองเห็น

    ลึกล้ำ มวลละอองเล็กที่อยู่ทั้งภายนอกและภายในกายของเจ้า...

    หล่อเลี้ยงให้ชีวีของเจ้าได้ยืนยง...




    โลกของผมเป็นสีขาวดำ แล้วโลกของคุณล่ะ? เป็นสีอะไร?......


    เสียงวรุณกระหน่ำจากฟากฟ้าราวเสียดแทงทุกสรรพสิ่งเบื้องล่าง เนตรน้ำตาลไหม้เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างกระจก ห้องเล็กที่แสนจะเหน็บหนาวหากแต่ไม่เคยที่จะทำให้ร่างนี้อ่อนแอ ใบหน้าคมสวยที่บ่งชัดว่าเป็นเพียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เส้นผมสีนิลย่าประบ่า ชุดนอนเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวสีขาวตัดกับเส้นผมนุ่มสลวย ร่างเล็กของเด็กหญิงวัย10ปีหยิบหนังสือประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นออกจากตักแล้วเดินจากเบาะรองนั่งสีนิลไปยังประตู

    กรอบรูปหลายชิ้นที่ประดับภายในห้องแบบญี่ปุ่นบ่งบอกถึงเวลาที่ร่วงเลย รูปที่ชายหนุ่มและหญิงสาวชาวญี่ปุ่นยิ้มร่าเริงกับชุดแต่งงานแบบญี่ปุ่นลัทธิชินโต บนกรอบหลายใบยังมีรูปใบหนึ่งที่แขวนไว้บนผนังสีขาว

    ...รูปใบหนึ่ง...ที่ชายหนุ่มผมสีนิล ใบหน้าซึ่งมีกรอบแว่นบังดวงเนตรเล็กน้อยที่อุ้มร่างของทารกตัวน้อยๆ หากแต่...กลับขาดหายไป.

    ....ภาพที่ไม่สมบูรณ์....

    ประตูเปิดออก ร่างเล็กผู้มีใบหน้าเฉยชา เดินมายังห้องที่มีเสียงพูดคุยกันอยู่

    “ขออนุญาตค่ะ”

    น้ำเสียงราบเรียบดังขึ้น ก่อนที่บานประตูกระดาษจะถูกเปิดเลื่อนออก ชายหญิงวัยทองนั่งรับประทานอาหารกันอย่างปกติเช่นทุกวัน สำรับอาหารชุดหนึ่งวางไว้ยังโต๊ะ โทรทัศน์ส่งเสียงบ่งบอกว่าถึงเวลาข่าวช่วงเย็น

    “ไม่ทานข้าวที่นี่เหรอ?” หญิงวัยทองเอ่ยถามเมื่อกับข้าวถูกยกไปทั้งถาดเช่นเคย หากแต่อดไม่ได้ที่จะซักถาม

    “ไม่หรอกค่ะ จะรีบไปทำการบ้านค่ะ คุณย่า...”

    เด็กหญิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ เนตรน้ำตาลไหม้หรี่ลงอย่างเฉยชา แล้วยกถาดขึ้น ทว่ากลับมีเสียงค้านขึ้น

    “คูกะ...เมื่อเช้า...ใครก็ไม่รู้ทำน้ำหกที่หน้าตู้เย็น จนปู่ลื่นหวิดหัวฟาดพื้น...” ชายวันทองเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงคร่ำเคร่ง ชาเขียวถูกวางลงบนโต๊ะดำขลับในขณะที่เนตรน้ำตายหลับลง สูดลมหายใจ ก่อนจะเอ่ยตอบทั้งที่หันหลังให้

    “จริงเหรอคะ” ยืนนิ่ง เม้มริมฝีปากแน่น “เมื่อเช้ารีบไปโรงเรียน เลยไม่ได้เช็ดให้เรียบร้อยค่ะ”

    บึก!

    แก้วเซรามิกสำหรับใส่ชาถูกเขวี้ยงชนใส่หลัง ทว่าร่างเล็กหลับไม่สะทกสะท้าน เดินต่อไปข้างหน้า

    “หัดทำตัวเป็นเหมือนคนปกติบ้างสิวะ! แค่น้ำยังไม่มีปัญญาถือให้มันดีๆ แล้วจะมีปัญญาที่ไหนมาทำงานฟะ!”

    “....” ใบหน้าเรียบเฉยหันมองมา ไร้ซึ่งเสียงเอ่ยตอบ คูกะไม่สนใจ หันหลังกลับแล้วเดินจากไป

    “เอ๊ะ! นังหลานคนนี้นี่! ไม่ต้องหนี! มารับโทษซะดีๆ!”

    ไม้เรียวที่ติดไว้ที่ห้องรับแขกเสมอถูกหยิบขึ้นมา

    เพียะ!

    เสียงของไม้เรียวที่แว่วดัง กระทบกับผิวของร่างเล็ก หากแต่ร่างที่เดินต่อไปนั้นไม่สะทกสะท้าน

    เพียะ!

    “แกมันก็แค่กากเดนมนุษย์! แกทำให้บ้านนี้มันชิบหาย! อย่ามาดื้อด้าน! ข้าวของเงินทองก็หายไปเพราะแก!”

    เพียะ!


    “ค่ะ.....” เสียงหอบหายใจแสดงถึงความเหนื่อยกับการอาละวาดของหญิงวัยทอง เด็กหญิงเอ่ยตอบด้วยใบหน้าเย็นชา

    “ค่ะ..หนูคือกากเดนมนุษย์....สวะไร้ค่า....”

    หมุนตัวแล้วเดินขึ้นไปยังห้องของตนเอง

    ประตูถูกประแทกปิดลง อาหารวางยังโต๊ะที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นโต๊ะทำงาน ทั้งหนังสือ เอกสารประกอบการเรียน รูปที่วาดค้างไว้ ถูกจัดให้อยู่พอมีที่ให้วางสำรับกับข้าว

    “หึ....ปล่อยให้อาละวาดเดี๋ยวก็หายเองล่ะนะ....” เอ่ยบอกกับตัวเอง

    สัตว์เลี้ยงน่ะ...ถ้าไม่อยากให้เจ้านายไม่พอใจ...ก็ไม่ต้องกัด...ไม่ต้องแสดงกิริยาดื้อดึง...

    ...ถ้าไม่อยากถูกเฉดหัวออกจากบ้าน ต่อให้ต้องก้มหัวเลียรอยเท้าเปื้อนโคลนที่ทำเลอะไว้หน้าบ้านก็ต้องยอม...

    คงเป็นที่นี่กระมัง ที่จะทำอะไรรกรุงรังได้ตามอำเภอใจ....

    พ่นลมหายใจ แล้วนั่งลงยังเก้าอี้พลาสติกสีฟ้า พนมมือแล้วเริ่มรับประทานอาหาร

    นับตั้งแต่พ่อไปทำงานแสวงหารายได้ที่ต่างประเทศ ก็ต้องอยู่กับแม่จนอายุหกขวบ แต่ภาพที่เห็นจนชินตาคือผู้ชายมากมายที่รายล้อมแม้ ถ้อยคำที่เอ่ยบอกว่าเขานั้นคือคุณพ่อคนใหม่ ถึงแม้จะไม่ชอบใจ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ

    สวะไร้ค่า....มีสิทธิ์จะอุทธรณ์ได้เหรอ?...

    รู้ว่าการเกิดมาของตนเกิดอย่างไม่เห็นชอบของคนทั้งสอง หนุ่มสาวอนาคตไกลที่หลงใหลกับความรักตั้งแต่วัยรุ่น อยู่ร่วมกันอยู่กินจนแต่งงานมีลูกโดยการคัดค้านของญาติทางสามี ด้วยวุฒิแค่ป.6ของทั้งคู่ ทำให้สามีเชื้อสายแดนอาทิตย์อุทัยต้องจากบ้านไกลไปยังแดนแผ่นดินใหญ่เพื่อแสวงหารายได้จุนเจือครอบครัว

    แต่เวลาที่ผ่านมาจนลูกสาวที่มีเพียงคนเดียวเติบโตเป็นเด็กน้อยวัย5ปี เวลา5ปีที่แทบจะไร้ข่าวสารจากผู้เป็นพ่อ เวลานี้นานเกินไปสำหรับผู้เป็นแม่ ในเมื่อการรอคอยภายในบ้านที่มีแต่การกดขี่ของแม่ผัว เธอจึงตัดสินใจพาลูกสาวหนีไปอยู่กับครอบครัวของเธอที่ต่างจังหวัด

    เด็กหญิงต้องจากเพื่อนชายกลุ่มแรกไป ด้วยความห้าวหาญและความบ้าบิ่น ของเล่นที่ควรจะเป็นตุ๊กตาเจ้าหญิงกลับเป็นปืนพกของเล่น ธนู ดาบไม้ การจากลานี้ทำให้หัวใจที่แสนสดใดเริ่มหม่นหมอง

    อิชิน คูกะ อาศัยกับแม่ของตนได้หนึ่งปี ญาติฝ่ายพ่อจึงรับไปอยู่ที่บ้านของตน ด้วยความที่ทนพฤติกรรมเจ้าชู้ของหญิงผู้เป็นมารดาไม่ไหว อีกประการ ข่าวล่าสุดคือบิดาเลิกส่งเบี้ยเลี้ยงและเงินก้อนใหญ่ เพียงเพราะได้ข่าวถึงการเป็นหญิงชั่วที่หักหลังตนแล้วสมคบชู้ในระหว่างที่อาศัยอยู่ต่างแดน

    ดินแดนแห่งกรงขัง คือที่แห่งนี้ บ้านที่มีสามชีวิตเล็กๆ...

    ตะเกียบไม้ถูกใช้คีบอาหารเข้าปาก ใบหน้าเรียบเฉยของเด็กน้อยเหม่อมองกรอบรูปที่มีรูปฉีกขาด สักพักรอยยิ้มจึงระบายออกมา

    “พ่อ...ตอนนี้ทำอะไรอยู่เหรอ...วันนี้....ย่าเขาด่าหนูว่ากากเดนอีกแล้วล่ะ? พ่อล่ะ? วันนั้นพ่อก็บอกเองว่าย่าก็ด่าทุกคนที่ไม่ได้เรื่องเท่านั้นแหละ....” หัวเราะในลำคอ ก่อนจะซดซุปมิโสะไปเต็มๆ

    “โกหกใช่ไหม? หนูมันกากเดนขนานแท้นี่เนอะ กากเดนที่ไม่มีเพื่อน กากเดนที่ทำประโยชน์อะไรให้ใครไม่ได้...”

    หยิบสำรับวางลงกับพื้นที่ว่างๆ หยิบกรอบรูปขึ้นมาแล้วยิ้ม


    “กลับมาล่ะก็..น่าดู...”

    ถ้าพ่อพูดมามันจริงล่ะก็..พิสูจน์สิ..บอกว่าหนูไม่ใช่กากเดน...

    ชลเนตรที่รินไหลออกมาไม่รู้ตัว เรียกให้ใบหน้าขมวดมุ่น มือเรียวเช็ดน้ำตาของตนเบาๆ แล้วขบขันเสียเอง

    “ทำไมกันนะ น้ำตามันถึงได้ไหลออกมา....บอกหน่อยได้ไหม? พ่อที่ไม่ได้เรื่องของหนู....”

    กากเดน...เศษมนุษย์....แสนพิสุทธิ์..แต่ไร้ค่า...

    ...ขวางโลก....โศกเศร้า...เคล้าทุกข์....ไร้สุขสม...

    ...กล้ำกลืน...ฝืนทน...หม่นหมอง...ร้องไห้...

    ....เย็นชา...ค่าน้อย...ด้อยปัญญา....บ้าบิ่น


    “เจ้าคนน้ำตาตื้นเอ๊ย.....” แผ่นหลังครูดกับประตู ใบหน้าหม่นหมองซึ่งอาบด้วยน้ำตา มือที่กำแน่นบ่งบอกถึงความอดกลั้นที่มากล้น และพร้อมที่จะปะทุได้ทุกคราหากใครได้สะกิดมัน

    .....กากเดนจริงๆเลยนะ..เรา....

    +- +- +- +- +- +- +- +- +- +-

    หลังจากคดีเรื่องทำน้ำหกหน้าตู้เย็น เด็กหญิงก็กลับมาเป็นปกติ เดินเท้าไปโรงเรียนอย่างเคย เนตรน้ำตาลไหม้มองไปรอบๆกาย เพื่อนฝูงที่หลายคนมีผู้ปกครองมาส่ง ใบหน้ายิ้มแย้มเรียกให้ใบหน้าคมหยักยิ้ม

    ....อยากบอกว่าไม่เคยเสียใจเลย...ไม่มีพ่อแม่เราก็ไม่ตายหรอก....

    ....สัตว์เลี้ยงของบ้านพ่อ....มันน่าขำเนอะ....ทั้งๆที่เป็นสัตว์เลี้ยงไม่ได้เรื่อง ทำข้างของพัง ทำบ้านเลอะ แต่เจ้านายกลับทนเลี้ยงดู....

    ...เอาเถอะ ค่าที่ยอมทนเป็นตุ๊กตาให้ระบายอารมณ์...ทนไปอีกสักหน่อยไม่กลั้นใจตายหรอก....

    “แง~~! ไม่อาววว จะอยู่กับหม่าม๊า!” เสียงร้องไห้จ้าของเด็กหญิงตัวเล็กๆที่งอแงกับการมาเรียนโดยเจ้าตัวยังเพิ่งเป็นเด็กใหม่


    ....ไม่ต้องการหรอกน่า....พ่อแม่อะไรกัน....อยู่คนเดียวแบบนี้ไม่ตายหรอก....อีแค่ห่างพ่อแม่ไปวันเดียว จะตายแล้วหรือไง?....

    หลังจากผ่านประตูรั้วโรงเรียน เด็กหญิงจึงเดินมาสมทบเพื่อนหลายคน ตามปกติของทุกวันคือเล่นด้วย สนุกด้วย แต่ก็ยังรักสันโดษ

    หากไม่เรียกนาม ไม่เรียกหา ก็จะไม่เข้าไปยุ่ง...

    “คูกะ...ช่วยเราทำการบ้านภาษาอังกฤษหน่อยสิ”

    “คูกะ ช่วยเราทำเวรหน่อยสิ”

    “คูกะ ขยะเหม็นอ่ะ เอาไปทิ้งให้หน่อยสิ”

    “เออ....เดี๋ยวช่วย”

    เดินทักๆไปช่วยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แม้จะได้ชื่อว่าสันโดษแต่ในใจลึกๆแล้ว หากไม่ทำตัวให้เป็นประโยชน์จะไม่มีใครคบหาด้วย

    ก็แค่...ไม่อยากเป็นสวะนี่นา...ผิดด้วยเหรอ?.....

    จะหนักหนาแค่ไหนก็ยอมทำ เด็กหญิงเดินถือถีงขยะลงไปชั้นล่าง เทลงไปยังกองขยะ

    “เหวอ....” ดูเหมือนดีกรีความซุ่มซ่ามมีไม่น้อย น้ำเหม็นที่หยดเปื้อนมือเรียกให้เพื่อนที่เดินมาด้วยถึงกับปิดจมูก

    “ว้ายๆ งั้นฉันไปก่อนนะ จะรีบไปกวาดห้อง”

    “อือ” ขมวดคิ้วแต่ก็ไม่พูดอะไร เดินไปยังห้องน้ำแล้วล้างคราบเหม็นชวนอาเจียนออก

    ก็แค่ขยะ.....เปื้อนนิดหน่อยก็ล้างออกเดี๋ยวก็สะอาดแล้ว

    แต่จิตใจคนล่ะ ใช้อะไรล้างมันก็ไม่สะอาดขึ้นหรอก...

    หลังจากทิ้งขยะก็ต้องมีติวเตอร์ให้คนอื่นอีก จริงทีเดียวที่เป็นแค่เบ๊ของห้อง แต่ก็ไม่ค่อยจะปริปากบ่นเนื่องด้วยอยากอยู่ในกลุ่มต่อไป

    และพิสูจน์ความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่กากเดนอย่างที่ถูกกรอกหูทุกวัน....


    คูกะเก็บหนังสือเข้ากระเป๋า ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ขณะที่กำลังจะปิดประตูห้องก็ได้ยินเสียงของเพื่อนจากอีกห้อง

    “เจ้าคูกะมันสติดีหรือเปล่าวะ? ใช้นั่นใช้นี่ก็ทำหมด” เสียงของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นจากห้องข้างๆ

    “นั่นสิ เอ...หรือมันไร้สมองกันแน่...สงสัยมันอยากให้เราใช้มันเป็นทาสเนอะ!”

    “คิกๆ เราว่านะไม่ใช่หรอก...ก็นังเอ๋อที่ยอมให้คนอื่นใส่แอกเท่านั้นแหละ มันไม่ใช่เพื่อนตั้งแต่แรก”



    ใครจะอยาก...เป็นเพื่อน...กับกากเดนอย่างเรากัน......



    หากสิ่งนั้นคือเข็มล่ะก็ หัวใจของตนคงถูกเข็มนับพันแทงทิ่มให้สะท้านไปถึงทรวง ปวดมวนทรมานราวกับอยู่ในนรก ลิ้มรสแห่งการถูกหักหลังเต็มประดา

    อยากเป็นเพื่อน....ทั้งๆที่อยากเป็นเพื่อน ฉันมีความสุขที่ได้เห็นพวกเธอยิ้มและหัวเราะ...แล้วทำไม?..แล้วทำไม.....


    “บ้าที่สุด!”

    ข้าวของถูกปาทิ้งเกลื่อนกระจายไปทั่วห้อง ตะโกนก้องร่ำร้องด้วยน้ำเสียงทรมาน น้ำตาอาบไหลด้วยความสิ้นหวัง หมดสิ้นซึ่งความไว้เนื้อเชื้อใจ

    ไม่ไว้ใจอีกแล้ว....

    “อีพวกสัตว์ตัวเมีย! อีพวกสิ่งมีชีวิตตัวเมียปลื้นปล้อน! อีพวกมารยา! เกลียดที่สุด! เกลียดนังตัวเมียที่สุด!”


    กายเราคือสิ่งมีชีวิตเพศหญิง....มันแต่กาย...แต่ตัวตนภายในคือสิ่งไหนไม่อาจรู้ แต่ที่รู้ เราไม่ใช่สิ่งที่พวกมันเป็น!


    เพื่อนกลุ่มแรกคือเด็กผู้ชาย พวกนั้น...ไม่เสแสร้ง ไม่มีความลับ ตรงไปตรงมา...

    ...พอเข้าประถม นังพวกนี้ก็ปั่นหัวเล่น...โกหก หลอกลวง ไร้สาระ....



    ‘คูกะ....แม่รักลูกนะ’


    แม่รักหนู แม่รักหนู แม่รักหนู แม่รักหนู แม่รักหนู


    พูดมาได้! คุณมันไม่ใช่แม่ของฉัน! คุณก็แค่ผู้ให้กำเนิด! คนแบบนี้! มันใช่แม่เหรอ!


    ‘คูกะเป็นเพื่อนของเรานะ มีอะไรก็บอกเราได้ เอ....ตอนนี้เราทำตังค์หายน่ะ ขอยืมสัก200เยนทีสิ’


    เธอคือเพื่อนของเรานะ เพื่อนของเรา เพื่อนของเรา เพื่อนของเรา เพื่อนของเรา

    โกหก! นังเพศเมียหน้าโง่! คิดว่าฉันจะโง่ให้แกอีกเหรอ? หน้ากากที่แกสร้างขึ้นมา ภาคภูมิใจนักหรือไง ห๊า!

    มีดปอกผลไม้กรีดแทงยังหนังสือสังคมศึกษา หนังสือที่ทำทิ้งเอาไว้ที่ห้องก่อนไปทัศนศึกษา ก่อนหน้านั้นทะเลาะกับเพื่อนด้วยความต้องการหาความยุติธรรม แต่ถูกคนทั้งห้องใส่ร้าย จึงเขียนด่าลงไปด้วยความอาฆาต

    กรีดกระชากอย่างบ้าคลั่ง แววตาของนักล่ากระหายเลือด รับรู้ถึงความสะใจที่ได้ทำลายล้าง


    “เกลียดที่สุด!”

    เบื่อ....เบื่อเหลือเกิน......เบื่อที่สุด......เกลียดที่สุด.....อยาก...ทำลายเหลือเกิน.....


    ยอมกล้ำกลืนการถูกหักหลัง หากแต่ไม่ยอมให้ข่มเหงเช่นเก่า ร่างเล็กที่มักมีรอยยิ้มแจ่มใสกลับถูกเปลี่ยนด้วยโฉมหน้าแห่งความเย็นชา ยังคงความเก่งกาจและพึ่งพาได้ หากแต่มีหลายสิ่งที่ได้สร้างขึ้นไว้ปกป้องตนจากภายนอก

    กำแพงสูงตระหง่าน ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ยังหัวใจที่แท้จริง....



    “มีเด็กต่างเมืองมาเรียนป.3ด้วยล่ะ คนอะไรไม่รู้ แปลกๆ”

    “นั่นสินะ....แต่ก็งั้นๆนะ ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่”

    เด็กสองสามซุบซิบด้วยใบหน้าสนุกสนาน คูกะเดินผ่านไปด้วยใบหน้าเฉยชา


    ....ย้ายมาคนเดียวเหรอ?...

    ....จะอยู่เดียวดายหรือเปล่านะ?


    ทันทีที่คิดถึง ภาพของเด็กหญิงที่ค่อนข้างสูง ด้วยผิวสีน้ำผึ้งที่แตกต่างจากเด็กชายญี่ปุ่น ด้วยรูปร่างสูงใหญ่ เส้นผมสีรัตติกาลเงางามพร้อมด้วยเนตรน้ำตาล ใบหน้าน่ารักยิ้มร่ากับเพื่อนที่รายล้อม หากแต่สังเกตได้ถึงความอ้างว้างบางสิ่ง


    ....เดียวดาย...หรือเปล่านะ?...


    ในวันนั้น....ที่สนามเด็กเล่น...

    ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร ถึงได้ปั่นจักรยานที่แม่ซื้อให้ตอนวันเกิดมายังที่แห่งนี้ สนามเด็กเล่นที่ปกติก็มีแต่ตัวเองนั่งเล่นอยู่เดียวดาย บัดนี้เด็กหญิงคนนั้นยังคงนั่งเล่นที่ชิงช้ากับเพื่อน หยอกล้อพูดคุย

    ...ไม่อยากสนใจ..เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ...แล้วค่อยมาห่วงคนอื่น..


    “นี่ๆ เธอน่ะมาจากประเทศทางยุโรปหรือเปล่านะ?” เด็กคนหนึ่งเอ่ยถาม

    “ประเทศแถบลาตินใช่มะ? ผิว...เอ่อ....ค่อนข้างเข้มนะ....”

    ...แล้วไง....คุณค่าของคนมันดูที่ภายนอกเหรอ?...

    หมับ!

    มือเรียวแตะที่ไหล่ของเด็กหญิงคนหนึ่ง

    “มันไม่เห็นสำคัญว่าจะอยู่ประเทศไหนนี่ เอาเป็นว่ายังไงเราก็เป็นเพื่อนกันแล้ว เรามีพูดคุยเรื่องอื่นกันเถอะ”

    “อ๊ะ! รุ่นพี่คูกะนี่เอง สวัสดีค่ะ” ปฏิกิริยามากเกินคาด เมื่อรุ่นพี่ที่มีกิตติศัพท์ว่าพูดไม่ถึง100คำต่อวันหากไม่จำเป็นมายืนอยู่ตรงหน้า จริงที่ว่าคุณรุ่นพี่พูดน้อย แต่ไม่ใช่คนไร้มนุษยสัมพันธ์ เป็นคนที่น่านับถือ หากแต่ไม่ควรเข้าใกล้

    “อืม สวัสดี ว่าแต่เธออีกคนน่ะ ชื่อเซเรทีน่าใช่ไหม?” เอ่ยถามกับเด็กที่ย้ายมาใหม่ เด็กหญิงพยักหน้า

    “อ๋อ พี่คนนั้นนี่เอง” เธอหมายถึงรุ่นพี่ที่เดินไปมาด้วยใบหน้าบึ้งตึง ตรวจตราการแปรงฟันตอนกลางวันตามกฎของโรงเรียน

    “อืม..ก็นะ...มีเรื่องจะคุยด้วยน่ะ”


    โว้ย~~! ทำอะไรของแก ไอ้คูกะ~~!

    ตีอกชกตัวเองในใจ ไม่เคยคิดว่าจะมีใครหน้าไหนที่ทำให้เขาสนใจเท่านี้มาก่อน

    แค่กลัวใครสักคนจะเดียวดายเพราะอยู่ในที่ไม่คุ้นเคยก็เป็นห่วง

    บ้าหรือเปล่านะเรา?


    แต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงได้ติดใจเด็กคนนี้ ที่แสนจะใจดี น่ารัก แต่ก็ไม่อ่อนแอ เซเรทีน่าย้ายมากับคุณแม่เพราะงาน มีพี่สาวอีกคน ซึ่งไม่ได้อยู่ด้วยกัน ช่วงวันหยุดจึงได้มาเที่ยวที่บ้านบ่อยๆ

    “อ่านหนังสือด้วยกันไม่ได้ค่ะ ซักผ้าอยู่” เซเรทีน่าเอ่ย พลางขยี้เสื้อซึ่งกองพะเนินอยู่ในกะละมัง คูกะหัวเราะพรืดด้วยความขำ

    “งั้นจะช่วย” ว่าพลางถลกแขนเสื้อแล้วคว้าม้านั่งเตี้ยมาช่วยงาน

    ...เกิดมาไม่นับถุงเท้าและเสื้อผ้าส่วนตัว..ไม่เคยได้ซักมือ

    อยากซักก็จับลงเครื่อง....

    แต่เพื่อเธอคนนี้...ทำไมกันนะ....ถึงได้ทำเพื่อเธอได้เพียงนี้


    เสียงพูดคุยอย่างสนุกสนานภายในห้องน้ำห้องเล็กๆ กลิ่นฟองคละคลุ้งไปทั่ว ไม่ช้าผ้ากองเบ้อเริ่มจึงได้ตากอย่างเป็นระเบียบ

    “เฮ้ออ กว่าจะเสร็จ” เด็กหญิงเอ่ยพลางปาดเหงื่อ เรียกให้รอยยิ้มของรุ่นน้องปรากฏ

    “ขอบคุณนะคะ พี่คูกะ!”

    ป๊าบ!

    ฝ่ามือกระแทกหลังจนต้องร้องจ๊าก

    “โอ้ยย เจ็บบบ” หลังเพิ่งหายเคล็ดก็กลับมาเคล็ดต่อ เห็นอย่างนี้ก็เถอะ ที่บ้านเองก็แอบเลี้ยงแบบคุณหนู ให้ซักผ้าเหรอ? ลงเครื่องเสมอ....

    “ฮ่ะๆๆ”

    ร่างสูงของรุ่นน้องที่ทำให้เจ็บใจกับส่วนสูงน่าปวดหัวเดินไปยังห้อง กวักมือเรียก จริงๆไม่ชอบการถูกสั่ง การเรียกร้อง แต่ทำไมถึงได้ยอมเธอ ป่านนี้ยังไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว

    เอาเถอะ...มีเวลาอีกเยอะที่จะถามใจตัวเอง


    นานวันก็ยิ่งสนิทสนม จนคุณแม่ของเธอไว้วางใจ ผูกพันธแน่นแฟ้นจนไม่น่าเชื่อว่าจะมีวันนี้ได้

    “พี่คูกะ..กลับด้วยกันนะ”

    “เออ” กระเป๋าที่หนักเพราะเอกสารของเธอ สุดท้ายตัวเองก็ต้องแบกช่วย ทั้งๆที่หนักแบบนี้ คนที่เลี้ยงแบบคุณหนูถ้าไม่นับการด่าทอเหมือนทาสเองก็เหนื่อยใช่ย่อย แต่พอมีรอยยิ้มของเธอคนนี้ กลับไม่เหนื่อยจนน่าแปลกใจ


    ...จะจบแล้ว..เวลาเจออาจน้อยกว่าเดิม...แต่ว่า...ยังไงก็เรียนใกล้ๆกัน


    “วันนี้ค้างที่บ้านหนูก็ได้!” หลังจบงานวันเกิดของเธอ ใบหน้าระรื่นเริ่มจะขึ้นสีแดงระเรื่อ

    ดีใจ....ที่คนอย่างเราไม่เป็นที่รังเกียจ

    “จะดีเหรอ” เว้นวรรค “แล้วที่นอน?”

    “เตียงหนูออกจะกว้าง~! นะๆ”

    “อ่ะ...ก็ได้...” จำไม่ได้ว่าเคยได้ค้างบ้านเพื่อนใคร แต่ที่รู้คือ อย่างน้อยให้รู้ว่าตัวเองมีใครสักคนที่สำคัญมาก สำคัญจนยากที่จะพรากจาก

    ไฟในห้องถูกปิดลง เตียงที่หนานุ่มเรียกให้สติเริ่มดับลง หากแต่สัมผัสกลิ่นอายของเธอ

    .....ดั่งดอกเดซี่สีขาวอันแสนบริสุทธิ์....งามงดเปี่ยมด้วยน้ำใจ

    แม้นได้ชื่อว่าไร้เดียวสา...หากแต่ดูดี..มีคุณค่า...และแข็งแกร่ง

    “ราตรีสวัสดิ์”

    เพราะสูงส่ง จึงยากเอื้อม

    เพราะไร้เดียงสา จึงยากทำให้เปื้อนแปด

    เพราะอยากให้เธอมีความสุข จึงยากจะเข้าใกล้

    เพราะอยากให้เธอสูงส่ง จึงยากจะใกล้ชิด

    เพียงเอื้อมมือหากแต่แสนไกล แม้นเธอจะไม่ได้งามงด เลิศแค่ไหน แต่ตัวตนที่ซ่อนข้างไหนนั้นงดงาม

    ตาของตนไม่เคยโกหก เหมือนกับใจที่เปิดรับกว้างถึงภายในของใครสักคน

    สัญญากับตัวเอง


    ...เธอคือคนที่ฉันอยากปกป้อง....

    ...เธอคือสิ่งสำคัญของฉัน...

    ผู้หญิงที่ฉันอยากจะปกป้องและถนอม....

    ดั่งเดซี่สีขาวที่ไม่ต้องการให้สิ่งใดแปดเปื้อน


    +++++++++++++

    “พี่คูกะ....หนูต้องย้ายบ้าน”

    “เหรอ?” หลุบต่ำ ไม่อาจมองใบหน้าได้ “ก็ดี ที่นี่มันบ้านนอก รักษาตัวให้ดีนะ”


    “ค่ะ...” ร่างสูงกว่าของเด็กสาวเดินเข้าหา “พรุ่งนี้จะไปแล้วนะคะ”

    “อืม...” ใบหน้าคมหยักยิ้ม ยิ้มอ่อนโยนที่แสนเจ็บปวด “แล้วเจอกัน....”

    หากพบเจอย่อมมีพรากจาก.....


    เจ็บปวด.....เหลือเกิน.....

    “ไม่ไปหาเซเรทีน่าเหรอ?” เสียงของคุณย่าที่ดังจากชั้นล่าง เรียกให้ใบหน้าคมยิ้ม พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง

    “ไม่อยากให้เธอเห็นน้ำตาของคนโง่ค่ะ”

    กลัว...กลัวให้เธอเห็นน้ำตาของฉัน

    ที่มันหลังออกมาจนเธอต้องทุกข์ใจ

    ดอกเดซี่ของฉัน.....

    ผ่านพ้นหลายเรื่องราว ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ผันผ่าน

    เจ้าดอกไม้สีขาว ต้นเล็กเบ่งบานบนแผ่นดิน

    จงเติบโตขึ้น แม้นปุ๋ยที่หล่อเลี้ยงเจ้าคือโลหิตของข้าที่หลั่งริน

    ‘พี่คูกะคะ ไม่ต้องช่วยหนูขนาดนั้นก็ได้’ ถ้อยคำเอ่ยเตือน เมื่อร่างของทายาทแห่งอิชินที่กำลังขะมักเขม้นล้างจานให้ แม้แผลที่มือที่เกิดจากมีดคัตเตอร์จะเริ่มแสบจากน้ำยาล้างจาน

    ‘ฮ่ะๆๆ เล็กน้อยน่า’

    ‘อยู่เป็นเพื่อนหนูหน่อยนะ’

    ‘ได้สิ’

    ‘ว้ายยย เนื้อที่ทอดไว้จะไหม้แล้ว!’

    ‘เฮ้ย! เดี๋ยวช่วย’


    ถึงแม้ฉันจะได้ชื่อว่าเป็นกากเดน

    แต่จะขอเป็นกากเดนที่เผาผลาญกายตนเพื่อใครสักคน

    ฉันก็แค่...อยากป้องปก.....ใครสักคนหนึ่งเท่านั้น....

    ....เพียงแค่..อยากให้ใครสักคน...ได้โปรดบอกฉัน

    ว่าฉันไม่ใช่กากเดน..เท่านั้น

    ต้องการฉัน...ต้องการมือทั้งสอง....ของฉัน

    อยากให้ฉันช่วย..บอกมาสิ.....ฉันจะช่วย


    ‘ขอบคุณนะคะ...พี่....’


    ฉันก็ขอบใจนะ เซเรทีน่า ผู้หญิงที่ฉันอยากจะปกป้องเธอไปจนวันตาย.....

    ขอบคุณสำหรับความบริสุทธิ์ที่แสนอ่อนโยน

    ขอบคุณที่ทำให้ฉันรู้ว่า เราดูคนจากภายนอกไม่ออก
    จะเพศไหน ฐานะไหน มันไม่เคยวัดคุณค่าของใครได้

    ขอบคุณจริงๆนะ....เดซี่สีขาว....


    หลังจากนั้น....เรื่องราวมากมายจึงได้ก่อเกิดราวบทเพลงแห่งความมืดมน



    ลิ่วล้อของห้องที่ได้อันดับติดท็อปเท็นแต่ไม่เคยได้อันดับดีไปมากกว่าหมายเลข3ของห้อง บัดนี้ได้แสดงออกถึงความสามารถที่แท้จริง คะแนนสอบเข้าอันดับหนึ่งจากนักเรียนห้าร้อยคนเรียกให้มีศักดิ์ศรีอยู่บ้าง แต่คนฉลาดคราบคนโง่ใครหรือจะได้เห็นถึงความจริงที่ปกปิดด้วยภายนอกที่ทั้งเย็นชาและไร้ลายลวดนี้

    เพื่อนใหม่ สังคมใหม่ กับการเปลี่ยนแปลง จริงทีเดียวที่การเข้าอยู่กับสังคมเป็นไปด้วยดี หากแต่กำแพงตระหง่านนั้นยังคงทำหน้าที่ได้ดี เพราะไม่มีใครได้ล่วงล้ำเข้ามาได้

    จากเบ๊ของห้องขึ้นไปถึงรองหัวหน้าห้องและไต่เต้าเป็นหัวหน้าห้อง อันที่จริงมันเกิดจากการอาสาทั้งนั้น ไม่ได้มีใครเลือก เพราะหน้าตาและท่าทางเหมือนคนโง่ แต่เพิ่งจะเห็นแก่นแท้ว่าลูกแก้วเปื้อนโคลนแท้จริงคือเพชรเม็ดงามก็ตอนที่เจ้าตัวแสดงความเก่งกาจที่ซ่อนไว้อย่างเฉียบคม

    “กราบซะ!” ใบหน้าโกรธา และท่าทีเอ่ยสั่งเพื่อน เมื่อเจ้าตัวกระโดดข้ามหนังสือ

    “ค่ะ....” เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อย คนบ้าที่บูชาหนังสือเป็นพระเจ้าถอนหายใจ ดีที่สั่งเอาได้ง่ายๆ

    “คราวหน้าจะข้ามอะไร ดูด้วย..หนังสือมันสูงค่ารู้ไหม?”


    ....ไม่ได้แข็งกร้าว....หากแต่ไม่อ่อนแอ.....

    “เป็นอะไรไป” เพื่อนสาวที่เดินมาด้วยเอ่ยถามด้วยใบหน้าสงสัย

    “กระเป๋าหายล่ะ” ใบหน้าแสยะยิ้ม พลางหันคอไปทางพวกเด็กผู้ชายที่เอากระเป๋าตัวเองไป

    “อยากลองดีใช่ไหม?” ถลึงตาแล้วมองเพื่อนสามคนที่ลอกลิ้นปลิ้นตา ขณะโยนกระเป๋าหนังสือไปมา


    มือที่กำพจนานุกรมแน่นสั่นระริก เพื่อนสาวมองหนังสือถูกบูชากำลังจะกลายเป็นของสังเวย ไม่สนใจเลยว่าจะอยู่ลานสำหรับพักผ่อน เด็กหญิงผมดำกระโจนไปข้างหน้า คว้าเพียงอากาศ ความโมโหจึงบังเกิด


    มันอะไรกันนักกันหนา! ครั้งที่เท่าไหร่แล้ววะ!

    เฟี้ยว!

    บึก!

    พจนานุกรมถูกขว้างใส่เหยื่อผู้โชคร้าย ร่างเล็กกระโจนฉวยกระเป๋า พลางหยิบหนังสือเล่มหนาที่มีร่องรอยของดิน ก่อนจะหันมองด้วยใบหน้าโมโห

    “ไอ้คนอย่างแก..สักวันต้องเจอดี”


    ทุกๆวันต้องทนกับการกลั่นแกล้งสารพัด เดิมทีมีเพื่อนผู้ชายนิสัยดีๆมากมาย แต่กับพวกเด็กเวรพวกนี้แล้วยากจะรับมือ จนกระทั่ง

    วันหนึ่งในชั่วโมงภาษาอังกฤษ ที่ระดมชกหน้าเพื่อนต่อหน้าเพื่อนทั้งห้องและอาจารย์ เพราะถูกเหยียดหยาม

    ....มายุ่งอะไรกับชีวิตฉัน!...


    อย่ามายุ่ง!...ถ้ามายุ่งล่ะก็...จะเจ็บตัวไม่รู้ด้วยนะ?


    “คูกะ!!!” เพื่อนสาวอีกคนกระโจนใส่ พลางจับแก้มแรงๆ เล่นเอาใบหน้าบึ้งกว่าเดิม

    ..ไม่ชอบให้มาเข้าใกล้ ไม่ชอบให้มาแตะตัว...


    ....อย่ามาใกล้ฉัน....อย่ามายุ่งกับฉัน


    “วันนี้ไม่ไปเที่ยวเหรอ?” เสียงของย่าตะโกนมาจากชั้นล่าง

    “ไม่ค่ะ ไม่ชอบ”

    ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...ที่พบหน้าใครไม่ได้


    ดินสอขีดเขี่ยยังกระดาษแผ่นหนา รูปของเด็กหญิงผมสีดำยาวถึงกลางหลังที่กำลังยิ้มร่า

    แม้แต่รูปถ่ายของเธอก็ไม่มีสักรูป....

    มีเพียงแค่ความทรงจำ เท่านั้น.....

    “เซเรทีน่า....เราจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่....”


    คงเพราะขาดสิ่งสำคัญ....จึงได้ลืมเลือนความเป็นมนุษย์ไปเรื่อยๆ

    ชักไม่อยาก.....เห็นหน้าคนซะแล้ว...


    ถ้าไม่นับไปโรงเรียน ก็แทบไม่ออกจากบ้านไป ขลุกกับตัวเองไปวันๆ นั่งวาดรูป อ่านนิยายที่ชอบ ไม่ก็นอนหลับ เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเวลาการอยู่ในห้องนานมากเสียจนคนที่บ้านเริ่มห่วง

    วันหยุดจะเห็นคูกะก็ตอนที่ตื่นสาย ลงมาอาบน้ำแปรงฟัน โยนเสื้อผ้าลงถังซักผ้า หยิบอาหารขึ้นไปกิน นอกนั้น ถ้ามีธุระก็ไปบ้าง แต่ส่วนมากมักอยู่ในห้อง


    เวลาที่ล่วงเลยกับร่างกายที่หัวใจตายด้าน กำลังมีเหตุการณ์ที่พลิกชีวิตให้ผันแปรครั้งยิ่งใหญ่......


    +- +- +- +- +- +- +- +- +- +-

    วันเกิดครบรอบ15ปี...

    ตรงหน้ากระจกเงาชัดแจ่ม เนตรที่แปรเปลี่ยน ฝ่ามือที่ควรจะเล็กกลับใหญ่ขึ้น ใบหน้าตรงหน้ากระจกแทนที่จะเป็นเด็กสาวแต่กลับเป็นเด็กหนุ่มร่างสูง เรือนร่างที่เคยใฝ่ฝันจะได้เป็น แม้จะต้องการเป็นเพียงร่างสูง หากแต่มันมากจนถึงขนาดเป็นเพศที่ตรงกันข้าว

    “มัน...เกิดอะไรขึ้น.....”เส้นผมสีนิลที่เรียวสั้นลง แล้วเนตรราว พยัคฆา เขี้ยวที่งอกเรียวชัดแจ่ม


    พ่อ....บอกได้ไหม....ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

    เสื้อผ้าของบิดาที่ถูกเก็บรักษาไว้ในตู้เสื้อผ้าถูกหยิบออกมาสวมใส่ ร่างสูงในชุดเสื้อยืดแขนยาวคอกลมสีดำกับกางเกงผ้าสีดำยาวค้นเอกสารที่พ่อส่งมาให้

    มีทั้งจดหมายที่ส่งให้มารดาของตนและอะไรต่างๆมากมาย นั่งอ่านดูแล้วเรื่องราวปริศนาจึงได้ถูกถักทอเป็นเรื่องราว


    ....ลูกครึ่งแวมไพร์.....

    เข้าใจว่าทำไมถึงได้เป็นเช่นนั้นเรื่อยมา ทั้งความสุขที่ได้ต่อสู้ ชื่นชอบสีแดงชาดของหยดเลือด ลิ้มเลียเลือดที่ทะลักจากปากแผลของตัวเอง จมปรักกับความมืดมิดและสังคมมนุษย์


    ....เรามันตัวประหลาดนี่เอง....ใครๆถึงไม่อยากเข้าใกล้...

    กลิ่นอายของอมนุษย์กำลังแผ่พุ่งไปทั่วร่าง เพศที่ต้องการ บัดนี้กลับไม่ต้องการ หากนี่คือปาฏิหาริย์ คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่ปรารถนาก็เป็นได้

    จะให้....คนสำคัญรู้ไม่ได้เด็ดขาด

    จะทำอย่างไรดี? ทำให้กากเดนที่ตอนนี้กลายเป็นอมนุษย์มีคุณค่า?....

    กริ๊งงงงงงง

    โทรศัพท์ที่ต่อจากด้านล่างถูกยกขึ้น เสียงที่นานๆทีจะได้ฟังดังขึ้น คูกะในร่างของเด็กหนุ่มรับด้วยใบหน้างงงวย

    “เจ้าลูกรัก พ่ออยากบอกว่าพ่อร่วมหุ้นขุดแร่ แล้วได้กำไร15ล้าน! จะรีบโอนเงินให้นะ!”

    เจ้าพ่อที่ไม่ได้เรื่อง กำลังจะทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยน

    “อืม....รีบๆล่ะพ่อ ปู่กับย่าคงน้ำตาไหลเป็นสายธารที่คนไม่ได้เรื่องอย่างพ่อทำได้”

    “ฮ่ะๆๆ นั่นสิ ว่าแต่เสียงแมนขึ้นนะเราน่ะ” กรอกลูกตาไป จะให้บอกเลยก็กระไร จึงไม่บอก เพียงแค่ตอบห้วนๆไป

    “นิดหน่อย...แค่นี้ล่ะพ่อ จะทำการบ้าน”

    กริ๊ก

    วางลงอย่างรวดเร็ว

    มีทางรอดแล้ว..พระเจ้าทีจะสร้างปาฏิหาริย์ก็นานๆจะสร้าง หากแต่โยนมาทีเดียวก็รับแทบไม่ทัน

    จริงสิ...ต้องวางแผนซะแล้ว

    ชีวิตม.ต้นหมดไปแล้ว และกำลังจะคิดที่จะเรียนสูงๆ เงินทุนมาพอจะเรียนได้ หากแต่จะให้เข้าสังคมมนุษย์ธรรมดาก็เป็นไปยากยิ่ง เกิดอยากกินเลือดขึ้นมา เพื่อนไม่ต้องลำบากแย่เหรอ?

    ขอกันดีๆไม่ได้หรอก...เราไม่ใช่คนสำคัญของใคร....

    อีกอย่าง...อยากจะหนีๆไปให้พ้นสังคมเหล่านี้

    หนีไปที่สักแห่ง...ที่ไม่ได้พบปะผู้คนและพบเจอกับคนหลอกลวง...

    ...ที่นี่....ตรงนี้....ไม่มีที่ให้เราเหยียบหรอก?..จริงไหม?.....



    และในวันนั้น.....ร่างขจองเด็กหนุ่มจึงแปรเปลี่ยนเป็นเด็กสาว เสื้อคลุมสีดำถูกใส่รัดกุม เสื้อผ้า อุปกรณ์ขนลงยังกระเป๋าหนัง ทิ้งจดหมายไว้ยังโต๊ะรับแขก สายลมพัดพาราวกับสั่งให้คนไม่สำคัญจากที่แห่งนี้ไป

    ต่อจากนี้ไป....คงไม่มีหลานห่วยแตกที่ทำให้ข้าวของพังอีกแล้ว

    ต่อจากนี้ไป....คงไม่มีคนโง่ๆ ที่แม้แต่จานก็ล้างไม่ตรงตามวิธีที่ชาวบ้านเขาทำ

    ต่อจากนี้ไป....คงไม่มีใครที่แปลกประหลาด ชอบหมกตัวในห้องไปวันๆ

    ต่อจากนี้ไป....คงไม่มีคนที่ชื่อ อิชิน คูกะ อยู่ในบ้านหลังนี้....

    หากการมีอยู่ของตัวเองทำร้ายใครล่ะก็....ถ้าเช่นนั้น....ควรที่จะจากไปยังที่แห่งนี้

    มันไม่มีที่ให้เราเหยียบหรอกจริงไหม?

    เจ้ากากเดนมนุษย์.....


    +- +- +- +- +- +- +- +- +- +-

    “หุบเขา...ที่นี่.....คงจะดี”

    ในขณะที่กำลังง่วนกับเส้นทางไปยังจุดหมาย อิชิน คูกะ ในชุดกิโมโนสีขาวดู ซึ่งทับด้วยเสื้อคลุมสีดำสนิท นั่งมอง แผนที่ในสถานีรถไฟ

    “ไร้ศักดิ์ศรีขนาดขโมยกระเป๋าผู้หญิงเชียว!” เสียงแกร่งกร้าววงอำนาจของเด็กสาวคนหนึ่งเรียกให้มองด้วยความสงสัย เรือนผมหยักศกตรงปลายสีขาว และเนตรสีหยก ชุดโกธิกโลลิต้าดูแปลกสักนิดสำหรับคนญี่ปุ่น หากแต่ก็ดูเป็นคุณหนูต่างแดน แต่ดูเหมือนเธอจะเผชิญหน้ากับชายหุ่นเทอะทะที่กำกระเป๋าของเหยื่อ ขณะที่ถูกต้อนด้วยดาบเลเปียร์ ดาบทหารม้าเรียวเล็กซึ่งพาดยังลำคอของคนร้าย

    ....คุณหนู....ที่แสนกล้า.....

    “หนวกหู! ถ้าไม่อยากเจ็บตัว เอาออก!” ทันใดนั้นกระเป๋าถูกโยนใส่หน้า ทำให้เสียหลัก ไม่ทันตั้งตัว มีดที่ถูกชักขึ้นได้เฉี่ยวต้นแขนของเธอจนเสื้อสีขาวฉีก

    “อย่าคิดว่าฉันจะอ่อนข้อให้เธอ!” ไอ้คนสกปรกเอ่ย ขณะที่พรรคพวกถืออาวุธครบมือมารายล้อม แถมตำรวจก็ยังมีช้าอีก

    ....รบกวนการไปซะแล้ว...เจ้าพวกนี้....

    หนังสือแนะนำการเดินทางปิดลง พร้อมทั้งร่างของเด็กสาวลุกขึ้น ดาบที่ห่อไว้ถูกดึงขึ้นมา

    “พี่ชาย...มาเล่นด้วยกันเถอะ...เล่นกับเด็กผู้หญิงคนเดียวมันไม่สนุกนะ” ยิ้มหยามเหยียด ขณะชักดาบขึ้น

    “เซเบอร์เรอร์เหมือนกันเหรอ?” เด็กสาวเอ่ยถาม เรียกใบหน้าให้ยิ้มกว้างกว่าเดิม

    “ผิดล่ะ...เซเบอร์เรอร์กับนักดาบมันต่านกันนิดหน่อย” ดาบญี่ปุ่นนามคุรัยคุซาริที่ได้มาจากพ่อถูกชักขึ้น


    “อ๋อ....” เด็กสาวผมทองเอ่ย แล้วเดินเข้าหันหลังชนกัน ท่ามกลางคนร้ายที่ล้อมเป็นวง

    “ผิดที่คนละเชื้อชาติ แต่ที่เหมือนกันคือไม่ยอมให้คนชั่วอย่างพวกแกมาเหยียดหยามได้!”
    เพลงดาบที่บรรเลง ราวกับได้สรรสร้างมิตรภาพเพียงเล็กน้อย แค่ตวัดไม่กี่คราก็ทำให้เหยื่อบาดเจ็บจนตำรวจยังงงว่านี่คือฝีมือของเด็กสาววัยรุ่นหรือ?


    หลังจากซัดศัตรู คูกะจึงหันมานั่งยังที่เดิม เท้าคางมองเด็กสาวที่เพิ่งร่วมต่อสู้ได้ไม่นาน จู่ๆคำถามจึงปรากฏขึ้น

    “ชื่ออะไรเหรอ? ฉันคืออิชิน คูกะ ”

    “...เลเซียร์ ลิเบทินัส....” เอ่ยตอบแล้วนั่งข้างๆ

    “นายนี่ฝีมือไม่เบานี่...แต่น่าสงสัย” ใบหน้าหวานเข้าใกล้ พลางยิ้มเย็นชาใส่ “ทำไมแต่งตัวเป็นผู้หญิง”

    ไม่อยากตอบตรงๆ แต่ก็ไม่อยากให้เข้าใจผิด จึงได้บอกแบบชวนงงไป

    “มีเหตุผลนิดหน่อย แล้วเธอจะไปไหน”

    “ไปหาพี่ชาย...นายล่ะ”

    “ไปที่สงบๆ”

    “เหมือนคนหนีปัญหา”

    “มันหนักหัวเธอเหรอ?”

    “เปล่า” เลเซียร์ยักไหล่ แล้วเดินจากไป ไปหาคนที่เดินทางด้วยกัน คุณพ่อและคุณแม่

    “เฮ้! แล้วจะเจอกันอีกเมื่อไหร่?”

    เลเซียร์ยิ้ม

    “เมื่อวันที่พระเจ้าประสงค์นั่นแหละ คุณนักดาบแห่งญี่ปุ่น ไว้เรามาดวลดาบด้วยกันนะ”

    จู่ๆ....ก็มีอะไรบางอย่างบอกกับเรา


    จะได้เจอกับคนนี้อีกอย่างแน่นอน....


    “อื้อ!

    คูกะโบกมือ หลังจากที่ประกายผมสีทองสวยได้เลือนราง มองดอกกุหลาบสีแดงที่เธอนำมาประดับไว้ยังผ้าคาดผมซึ่งมันตกอยู่ที่ๆนั่ง

    ดั่งกุหลาบแดงที่แสนจะงามงด ร้อนแรง ปราดเปรื่อง แข็งแกร่ง

    ดั่งคำมั่นสัญญา ดั่งสิ่งที่มันคงแน่วแน่

    แม้นเพียงแรกพบ กลับรู้สึกโหยหาย

    แล้วจะได้เจอกันอีกหรือเปล่านะ?

    เจ้าดอกกุหลาบสีแดงของฉัน....


    ++++++++++++

    ป่าบนภูเขาสูง ดินแดนลี้ลับที่ยากจะเข้าหา หมู่บ้านเล็กๆล่างหุบเขา เป็นแหล่งสำหรับซื้อขายและอยู่อาศัย นกพิราบจากหลังเขาจะส่งออร์เดอร์และเงินสำหรับสั่งของที่ต้องการ เมื่อนำของที่ถูกสั่งซื้อมาไว้ที่ใต้ต้นไทรที่ตั้งอยู่สุสาน ไม่นานมันก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย เจ้าของร้านรู้ดีว่านั่นคือเด็กหญิงใบหน้าคมที่เดินเข้ามา แล้วเอ่ยบอกเรื่องนี้ให้ฟัง ตอนแรกไม่เชื่อว่าจะทำได้ แต่มันน่ากลัวว่าอาจจะไม่ใช่มนุษย์ จึงไม่ได้เอ่ยถามว่าทำไมของที่สั่งถึงได้หายไป

    เคยมีคนย่องขโมย แต่สุดท้ายก็ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ และมีคนเคยแอบดูโฉมหน้าของคนๆนั้น แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ เพราะถูกเล่นงานจากสิ่งลึกลับที่มองไม่เห็น


    พวกเขา ตั้งฉายาคนผู้นี้ว่า

    ‘อากาศธาตุแห่งหุบเขาแดนปริศนา’

    ไร้รูปร่าง ไร้การเปิดเผย แม้นจะผ่านมาถึงครึ่งปี ก็ไม่มีผู้ใดได้เห็นคนๆนั้นได้ลงมายังหมู่บ้าน

    แม้จะมีคนขึ้นไปภูเขาเพื่อเก็บของป่า แต่ก็ไม่พบเห็นว่ามีบ้านเรือนอาศัยอยู่หรือไม่ มีบางคนที่ล่าสัตว์แล้วก็กลับมาสภาพปางตาย ตามตัวมีร่องรอยของกรงเล็บ

    บ้างว่าเป็นเสือสมิง

    บ้างว่าเป็นผีดิบ

    บ้างว่าเป็นปิศาจ

    แต่ที่รู้ ไม่มีใครกล้าเข้าไปยังหุบเขาแห่งนั้น ด้วยความกลัวอากาศธาตุที่ดูราวไร้ตัวตน



    จนกระทั่ง.....


    “ฮ่าๆๆ ขนมาให้หมด! ข้าวของอะไรที่มีค่า!”ความป่าเถื่อนที่แจ่มชัด ได้ย่างกรายมายังหมู่บ้านอันสงบ กลุ่มโจรที่มีค่าหัวสูงลิ่วกำลังระดมพลพังที่แห่งนี้ให้ราบคาบ สดมถูกปล้น คนหนุ่มถูกทำร้าย คนตายมากมาย บ้านเรือนถูกเผา

    “กริ๊ดดดดดดดดดดดดด”

    เสียงกรีดร้องดังระงม หญิงสาวที่วิ่งหลบกำลังกรีดร้อง เมื่อถูกทำร้ายจากโจรใจบาป

    นกแตกรัง ป่าดั่งกรีดร้อง หมู่บ้านสงบกำลังจะกลายเป็นนรกบนดิน เปลวเพลิงก่อเกิดสีสว่างยังกระจุกแห่งหนึ่งในป่า เด่นชัดจนน่าใจหาย.....


    ในขณะเดียวกัน กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังรุดหน้าเข้ามายังที่เกิดเหตุ ดาร์คสโนว์หลายนายในเครื่องแบบสีขาว บ่งบอกว่าเป็นหน่วยพิเศษเพื่อจู่โจม หนุ่มรุ่นพี่ผมสีน้ำตาล ด้วยรูปร่างใหญ่โต จึงวิ่งนำหน้ารุ่นน้อง แล้วยิ่งมีเด็กหนุ่มเข้าใหม่แทนที่คนที่ตายไปแล้วยิ่งก่อเกิดความกดดัน เพราะเป็นงานแรกของเขา

    “ไทคิ!รีบๆตามมา!”

    เด็กหนุ่มที่มาใหม่พยักหน้า ใบหน้าหวานนิดๆสีน้ำผึ้ว เส้นผมสีน้ำตาลอ่อน และดวงตาสีเขียวมรกตดูดี ในเครื่องแบบทหารสีขาววิ่งตามหลังร่างกำยำ ความกดดันก่อเกิด เมื่อได้เข้าร่วมงานอันตรายครั้งแรก

    กลุ่มโจรแห่งแดนตะวันตกเริ่มออกล่าอย่างป่าเถื่อน หากดาร์คสโนว์ไม่กำจัด ก็ยากนักที่จะหาใครมาจัดการได้


    ภาพตรงหน้าเลวร้ายเรื่อยๆ ปืนถูกนำมาจัดการกับศัตรูกลายเป็นหมัน มีเพียงอุปกรณ์พยาบาลคนป่วย กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ซากศพเกลื่อนกราด ฮารุกะ ไทคิ เด็กหนุ่มผู้อ่อนต่อโลกได้ประจักษ์อย่างชัดเจน


    ในขณะเดียวกัน ท้ายหมู่บ้านศึกยังไม่คลี่คลาย




    “พวกนาย...ฆ่าคนไป....เสียใจไหม?” เสียงเย็นชาจากร่างในชุดเชิ้ตคอกลมสีดำและกางเกงสีดำ ประกายดาบเงินอาบเลือดบ่งบอกถึงสิ่งที่จะตามมา หัวหน้ากลุ่มโจรหันมองแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาๆ

    “เสียใจสิ....” แต่จู่ๆใบหน้ากลับบิดเบี้ยวเพราะฝืนยิ้ม

    “เสียใจสิที่ไม่ได้ข่มขืนนังผู้หญิงคนนี้ไง!มันตายตั้งแต่โดนเอาดาบเถือเบาๆแค่นั้น!” ว่าแล้วก็จับหัวศพของหญิงสาวแสนสวยที่มีสภาพชวนสลด

    เนตรสีอำพันหรี่ลง แล้วรอยยิ้มจึงปรากฏ

    “งั้นจะได้ลงมืออย่างไม่ติดค้างอะไร....”


    ฉัวะ!


    โลหิตกระจายอาบยังแดนแห่งนี้ เนตรมรกตเบิกโพรงด้วยความตกใจ คนที่ถูกฟันจนเลือดทะลักล้มลงต่อหน้า ซากศพของกองโจรค่าหัวสูงที่ถูกกำจัดโดยคนๆเดียวกันนอนเกลื่อนตายอนาถ ไทคิแทบสำลักกลิ่นคาว มองร่างดุจยมทูตที่ยืนกลางสิ่งเหล่านั้น

    ร่างที่มากด้วยบาดแผลล้มลง จนต้องวิ่งเข้าไปหา เขย่าร่างกายเหนื่อยอ่อนที่เหนื่อยหอบ ราวคนใกล้ตาย เครื่องแบบสีขาวแปดเปื้อนหากแต่ก็ไม่น่าสนใจเท่ากับใบหน้าของบุรุษปริศนา เส้นผมราวขนอีกายาวถึงกลางหลัง เนตรอำพันที่ปรือลง ผมหน้าที่ปรกหน้าชัดเจนยิ่งทำให้ดูลึกลับ

    “เลือด...เลือดมนุษย์.....แฮ่ก....แฮ่ก....”

    “งั้น? อยากได้เลือด?” ได้ยินว่ามีแวมไพร์อยู่ในยุคนี้ แต่คนนี้ต้องการดื่มหรือเติมเลือดกันแน่?

    “ดื่มเลือด....แฮ่ก...แฮ่ก.....” เขี้ยวคมที่เด่นชัดเรียกให้เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายด้วยความกลัว “เลือดพวกนั้น พวกโจร?”

    “เลือดคนที่ไม่บาดเจ็บ....อย่าให้ต้องพูดซ้ำ....ถ้าไม่อยากตายก็ให้เลือด...” มือที่เล็บยาวขึ้นเพราะฤทธิ์ของแวมไพร์สั่งให้ร่างกายเปลี่ยนแปลง เด็กหนุ่มสีน้ำตาลถอนหายใจ

    ...ภารกิจแรกก็ต้องเอาชีวิตเสี่ยงซะแล้ว....

    ...เอาเถอะ...ก็อยากเข้ามาแล้ว....ไม่ช่วยอะไรก็ท่าจะบ้าเนอะ

    ค่อยๆประคองใบหน้าลึกลับให้เข้าใกล้ ถลกคอเสื้อลง ให้ริมฝีปากจรดลำคอ

    “นายไม่ใช่แวมไพร์ใช่ไหม? คือถามว่ากัดแล้วฉันไม่ต้องเป็นพวกนายหรอกน่า...”

    “ใช่...ฉันไม่ใช่เลือดบริสุทธิ์ กัดแล้วไม่ติด..หรอก”


    .....ทั้งๆที่ไม่อยากให้ใครเข้าใกล้....แต่ทำไม...ถึงได้ต่างกัน....

    ...เด็กคนนี้ มีอะไรดีกัน?.....

    ปลายลิ้มเปียกชุ่มสัมผัสต้นคอสีน้ำผึ้ง กัดเล็กน้อยเลือดจึงหลั่งริน ดื่มโลหิตด้วยใบหน้าที่ยากจะคาดเดา เด็กหนุ่มกัดฟันอดทนกับสภาพของตน นานทีเดียว กว่าที่จะผละออก เด็กหนุ่มถอนหายใจโล่ง มองร่างตรงหน้าที่ริมฝีปากมีเลือดเลอะอยู่นิด

    “อย่างน้อยถ้าตื่นขึ้นมาไม่อาละวาดก็พอ เลือดของนายจะทำให้พิษในเลือดจางลง...”

    “อ่ะครับ....แล้วคุณชื่อ?”

    “ฉัน...ชื่อ...” แต่ก่อนจะได้พูดอะไร ร่างก็กลับล้มลงอีก เพราะพิษที่เกิดจากธนูที่ถูกยิงปักหลัง จึงทำให้สลบไป หากแต่ไม่อันตรายถึงชีวิต ไทคิค่อยๆพยุงร่างของคนปริศนาที่สู้กับศัตรูเพียงลำพัง ทั้งชื่นชม และน่าทึ่ง....


    .....คุณเป็นใครกันนะ?......


    +- +- +- +- +- +- +- +- +- +-

    หลังจากเรื่องเหล่านั้น ร่างสูงถึงถูกพามายังดาร์คสโนว์ด้วยการที่คนในองค์กรอยากได้สมาชิกเก่งๆเข้ามาทำงาน แต่ไม่ง่ายอย่างที่คิด

    “เขาเป็นโรคฮิคิคุโมริน่ะ” หญิงสาวผู้เป็นใหญ่ในองค์กรเอ่ยตอบ ไทคิซึ่งกลับจากภารกิจที่สองของชีวิตหน้ามุ่ย


    .....ทั้งๆทีเกลียดการเข้าสังคมแบบนั้น..แล้วยังลุกขึ้นมาปกป้องคนจนต้องบาดเจ็บ?....


    “งั้นเหรอครับ ท่านโซฟิเลีย” เดินไปยังห้องๆหนึ่งซึ่งมีระบบรักษาความปลอดภัย ห้องสีขาวที่ไร้สิ่งอันตรายทั้งของมีคม ร่างในชุดนอนสีขาวถูกจับใส่ปลอกคอ สภาพที่ไม่ต่างจากแรกพบมากนัก ที่ข้อเท้ายังมีตรวนยึดไว้ ไทคิที่ถูกพามายังห้องแห่งนี้ค่อยๆเดินเข้าไปในห้อง โดยมีการดูแลความปลอดภัยจากกล้องวงจรปิด

    “เอ่อ...สวัสดีครับ” เอ่ยถามอย่างกล้าๆกลัวๆ มองคนลึกลับที่นั่งกอดเข่าบนเตียงนุ่มสีขาว


    “ไม่มีธุระ ไม่ต้องมายุ่ง” หอบหายใจด้วยความลำบาก อาการไข้กำเริบหลังจากอดทนไม่ดื่มเลือดคนมานานสองวัน


    “แต่ว่า...” มือบางเรียวสัมผัสที่หน้าผาก แล้วจู่ๆก็ถูกผลักออก

    “อย่ามาแตะต้องฉัน!”

    “คุณไข้สูง!” ไทคิตะโกน “เป็นมากแบบนี้ทำไมไม่ดูแลตัวเอง!”


    “หนวกหู! ถ้าไม่อยากเจ็บตัว! อย่าเข้ามาใกล้ฉัน!”


    อย่ามาเข้าใกล้...

    ...อย่ามาทำให้ผูกพัน

    ฉันรู้ตัวเอง...ฉันเกลียดความรัก

    ฉันเบื่อโลก..

    ...ฉันเกลียดราคะ

    ฉันเกลียด

    เกลียดความเป็นมนุษย์

    ถ้าฉันเป็นปิศาจ ทำไมถึงไม่เป็นให้ทั้งหมดของร่าง

    ฉันเกลียดทุกอย่างที่พวกแกมี...

    เพราะฉันไม่มีโอกาสมีอย่างพวกแก


    “ฮารุกะ ไทคิ! ออกไปได้แล้ว!”

    เสียงตะโกนผ่านลำโพงขนาดเล็ก อุปกรณ์สื่อสารเล็กๆที่ติดอยู่ที่หู


    “แต่ว่า....”

    “เอ่อ....คุณ...อิชิน ....คูกะ....” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยใบหน้าสำนึกผิด


    “ผมจะรอวันที่คุณเปิดใจนะครับ...”

    ประตูปิดลง พร้อมทั้งเด็กหนุ่มที่จากไป เด็กหนุ่มกลางห้องถอนหายใจ เหม่อมองเบื้องหน้า กุมที่อกของตน


    ...เจ็บ...เพราะอะไรกันนะ?....

    ทำไม....ถึงรู้สึกผิด....ได้ถึงขนาดนี้.....

    รอยยิ้มนั่น

    เสียงแบบนั้น

    แล้วยังจะท่าทีเป็นห่วง

    ดูราวกับแสงอาทิตย์ที่ส่องประกาย


    ดั่งดอกทานตะวันสีเจิดจ้า

    อาจหาญ ท้าทาย เหม่อมองอาทิตย์อย่างหมายปอง

    หากแต่สวยงาม อ่อนโยน และส่องสว่าง

    ข้าผู้ซึ่งคุ้นชินกับความมืด จะก้าวเดินมายังแดนแห่งแสงสว่างได้หรือ

    ดอกสีเหลืองอันสูงเด่น

    เจ้าจะรอข้าหรือ?

    เจ้าดอกทานตะวัน......


    +- +- +- +- +- +- +- +- +- +-


    ใบหน้าของหญิงสาวผมสีทองบูดบึ้งเพราะความเครียด คำสั่งจากเบื้องบนที่สั่งให้ฆ่าเด็กหนุ่มผู้เป็นโรคเกลียดการเข้าสังคม เพราะไม่ต้องการให้กากเดนมนุษย์ไร้ประโยชน์หายใจโดยไร้คุณค่ากับใคร โซฟิเลียกำเอกสารไว้แน่น เที่ยงคืนของวันนี้คือการตัดสินชี้ชะตา หากเด็กหนุ่มไม่คิดที่จะกลับเข้าสังคม ก็จะต้องถูกฆ่าตายอย่างทรมาน...

    “ผมช่วยอะไรไม่ได้เหรอครับ?” ไทคิที่ติดตามเรื่องนี้เดินตามหลัง ใบหน้าของเด็กหนุ่มดูเศร้าสร้อย

    ทั้งๆที่อยากเป็นเพื่อนด้วย

    ทั้งๆที่อยากหัวเราะด้วย

    แต่ทำไม โชคชะตา กลั่นแกล้งเสมอ

    “เธอกล่อมเขามาครึ่งปีแล้วยังไม่ได้ผล ฉันก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะใช้วิธีอะไร”

    “กลุ้มอะไรเหรอครับ ท่านโซฟิเลีย” เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาสีน้ำตาล ชุดสูทแบบคุณชายสีน้ำตาล มีโบว์สีขาวผูกแลดูมากอำนาจเดินเข้าหา มองเอกสารในมือของเจ้าหล่อน พลางมองท่าทีของเด็กหนุ่มอีกคน

    “นิดหน่อย เลซ....มาหาเรเครียสพี่ชายจอมยุ่งของเธอล่ะสิ”

    ตุบ!

    เอกสารตกลงยังพื้นหิน เด็กหนุ่มผู้มาเยือนเก็บให้ แต่กลับสะดุดกับชื่อของคนที่ทำให้ท่านหญิงกลุ้มใจ

    “อิชิน คูกะ?”


    เหลือเชื่อ คนแบบนั้นจะเป็นโรคป่วยทางจิตได้ถึงขนาดนี้...

    ...แถมยัง

    “ลูกครึ่งแวมไพร์ต้องคำสาปเหมือนเธอนั่นแหละ เลซ....แต่ฉันคิดทางช่วยไม่ออก ฉันไม่อยากให้เจ้าเด็กนั่นตายฟรีหรอกนะ” โซฟิเลียเอ่ยบอก มือขอเอกสาร ทว่าเลซกลับกำมันไว้


    “ผมมีทางช่วย...ว่าแต่...ในคลังมีเลือดของคนในครอบครัวเขาหรือเปล่า?”

    “มีสิ....ฉันคิดจะให้เขาดื่ม เลือดคนในครอบครัวจะช่วยเยียวยาได้...แต่คงไม่ใช่กับคนๆนี้หรอกนะ”

    “แต่ผมคิดว่าจำเป็นครับ” เลซบอก พลางอ่านเอกสารอย่างรวดเร็ว “ผู้อ่านความทรงจำ สิ่งที่แลกเอาความเป็นมนุษย์สมบูรณ์ไป คือความสามารถที่แสนวิเศษ และเขาก็ต้องแบกรับมันไปชั่วชีวิต”

    “หรือเธอจะ”

    รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าคมสวยของเด็กหนุ่ม เลซกลับหลังหันไปทางคลังเลือด แล้วหันยิ้มให้โซฟิเลีย หยิบกุญแจที่ติดมากับเอกสารด้วย

    “ถึงจะเป็นแค่อากาศธาตุที่มองไม่เห็น แต่อากาศกลับมีคุณค่ากับเรามาก ถึงเขาจะทำตัวงี่เง่า แต่เขาก็มีค่า....เจ้านั่นน่ะ....ถ้าเป็นกากเดนอย่างที่เจ้าตัวบอกล่ะก็...”



    “เขาก็เป็นกากเดนที่มีค่าที่สุดครับ”

    ไง....เพื่อนร่วมชะตากรรม....เราเจอกันอีกแล้วสินะ

    ในสภาพสมบูรณ์...

    ฉันสบายดีแล้ว แต่นายไม่ได้สบายดีอย่างที่คิดไว้

    นายมันน่าสงสารเสียจริง

    ที่นายทำน่ะ มันก็แค่....หนีปัญหาเท่านั้น.....

    นักดาบที่ดีเขาไม่หนีปัญหาหรอก....อิชิน คูกะ....


    “ขอให้โชคดี” ไม่มีคำกล่าวใดที่จะพูดไปมากกว่านี้ หากนั่นคือปาฏิหาริย์ ก็ขอให้เกิดขึ้น และจบความทุกข์ร้อนที่กองสุมให้จากไป สองร่างมองเด็กหนุ่มที่จากจรด้วยใบหน้าห่วงหา ได้เพียงสวดภาวนาให้พระเจ้าได้ประทานปาฏิหาริย์ให้แก่คนๆนั้น..


    +- +- +- +- +- +- +- +- +- +-

    “สภาพดูไม่ได้เลยนะ อิชิน คูกะ”

    “นายเป็นใคร” ร่างผมสีนิลยาวที่นั่งอยู่กลางห้องสบมองด้วยเนตรสีอำพัน ใบหน้าซูบผอมแลดูน่าเวทนา หากแต่เจ้าตัวไม่ต้องการใครมาสงสาร เลซเดินเข้า ในขณะที่ถือหลอดแก้วบรรจุเลือดไว้ส่วนหนึ่ง

    “ให้เดาดูก็แล้วกันว่าใคร..”


    กลิ่นกายหอมกรุ่นมากเสน่ห์ ใบหน้าสวยคมที่คุ้นเคย

    .....หรือจะเป็น.....


    “บองจอร์โน” (buon giorno=สวัสดี)

    “เลเซียร์งั้นเหรอ?” หรี่เนตรลง มองใบหน้าที่หยักยิ้ม รอยยิ้มเย่อหยิ่งที่แสนคุ้นเคย หากนั่นคือคนๆเดียวกัน ถ้าเช่นนั้น ก็หมายความว่า

    ต่างก็ตกอยู่ในคำสาปเช่นเดียวกัน

    “ ซี... เลเซียร์ ลิเบทินัส ” (si=ใช่)


    “ไม่คิดว่าจะได้เจอนายในสภาพแบบนี้” ปวดหัวพอควรกับภาษาอิตาเลียน เขารู้มาบ้าง แต่ที่พูดกันด้วยภาษาอับกฤษมันก็ปวดหัว หกจะพูดทั้งสองภาษาในเวลาเดียวกัน

    “นายก็เหมือนกัน..ก่อนที่นายกำลังจะถูกประหาร ฉันก็อยากจะให้นายทำอะไรสักอย่าง” ชูหลอดบรรจุเลือดให้เห็น อิชินเบ๊ปากด้วยความไม่พอใจ

    “เอายาพิษอะไรใส่ลงไป ฉันไม่มั่นใจเลยสักนิด” ร่างบางที่เดินเข้าใกล้ยิ่งดูมาลับลมคมใน เลซฉีกยิ้ม แล้วเอ่ยบอก

    “เอางี้ เรียกนายคูก็แล้วกัน.....ก่อนเที่ยงคืน นายจะต้องพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่านายได้หายจากโรคนี้ ที่สำคัญ เลือดเหล่านี้จะทำให้นายเปลี่ยนไป” ยื่นหลอดสีแดงให้ ทว่ากลับได้คำตอบเป็นใบหน้านิ่ว

    “อิเอะ!โคะเระวะ โอะนะจิ โทะวะคุ โนะ จิ คะระ,โอะเระวะ โนะมะนัยดะ ชิตะซัย!” (ไม่ เพราะมันเหมือนเป็นเลือดปริศนา ฉันจะไม่ดื่มมันเด็ดขาด!)

    “ไม่! นายต้องดื่ม!”

    ทั้งๆที่ชีวิตของแกมีค่ากว่ากากเดน แล้วจะทำตัวงี่เง่าไปเพื่ออะไร?

    ยังจะโง่หนีปัญหาแบบนี้อีกเหรอ? นายมันก็แค่คนโง่!

    เมื่อขู่ขวัญแต่กลับไร้ผล ไม่รู้เพราะเหตุใด ร่างบางกลับเลือกที่จะใช้วิธีบ้าระห่ำเช่นการกรอกเลือดเข้าปากตัวเอง แล้วขึ้นคร่อมคนดื้อด้าน

    !!!

    สำหรับฉัน นายมันคือกากเดนที่มีค่าที่สุด.....ที่ฉันจะไม่ปล่อยให้หลุดมือ

    ประกบริมฝีปาก ส่งผ่านหยดกลิ่นคาว ร่างสูงด้านใต้ใช้พลังกายอันเต็มเปี่ยม ดึงร่างบางแล้วกดลงกับฟูก ไล้เลียหยดเลือดจากทุกซอกมุมของริมฝีปาก กระหายกลิ่นคาวเลือดทันทีทีได้สัมผัสกับลิ้นเพียงเล็กน้อย

    ไอ้เขี้ยวดาบมากศักดิ์ศรี....

    ฉันเพิ่งรู้ตัวว่า...ตัวเองชื่นชอบการอยู่ ‘เบื้องบน’ มามากแค่ไหน

    แต่ทำไม.....กับนาย ฉันถึงได้ ยอมให้นายอยู่ ‘เบื้องบน’

    ทั้งๆที่นายก็ไม่ได้สูงส่ง ทว่าฉันกลับนับถือนาย

    ดังนั้น ถ้าคนแรกที่ฉันยอมให้อยู่เบื้องบนของฉันได้ คือนายล่ะก็....

    ...ก็ช่วยทำตัวให้สมกับเป็นคนๆเดียวที่ฉันยอมให้อยู่เบื้องบนหน่อยสิ....


    …..



    ความทรงจำนั้น....

    นิ่งเงียบ ไร้เสียงตอบรับ จนกระทั่งคราที่เนตรอันเย็นชากลับหลั่งรินน้ำตาออกมา หยดเปื้อนใบหน้าของคนด้านล่าง จู่ๆก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนแอที่เอ่อท้นจากภายใน ร่างบางยื่นมีขึ้นปาดน้ำตา เส้นผมยาวที่ราวกับเป็นม่านรัตติกาลคลอเคลียกับไหล่บางของตน

    “ยังทันที่จะกลับไปแก้ไขได้นะ....ไปหาสิ......ผู้หญิงที่นายรักมากที่สุดในโลกน่ะ....”


    ยิ้มและหัวเราะ

    สนุกกับชีวิตให้มากๆนะ


    โลก...มันไม่ได้มีไว้ให้นายแบก...แต่มันมีไว้ให้นายเหยียบไม่ใช่เหรอ?

    อิชิน คู.....ก่อนที่จะสายเกินไป.....ไปหาสิ...ผู้หญิงที่นายรักมากที่สุดในโลก

    คนที่นายต้องดูแลเธอไปจนถึงวาระสุดท้ายไม่ใช่หรือ?.....

    “กราซีเย” (ขอบคุณ)

    เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มพูดด้วยภาษาอิตาเลียน ลุกขึ้นแล้วมองตนในสภาพที่ถูกพันธนาการ ประตูถูกเปิดอีกครา พร้อมด้วยเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาล ไทคิเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่ถือเสื้อผ้าเตรียมพร้อม และกุญแจปลดตรวน

    “ยินดีด้วยนะครับ คุณอิชิน”

    “เรียกว่าคูสิ ไทคิ....” น้ำตาถูกปาดออก จึงมองไม่เห็นเค้าความเศร้า รอยยิ้มระบายแต่งแต้มใบหน้าคม เรียกให้ไทคิยิ้มไม่หุบ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น กล้องวงจรปิดถูกโซฟิเลียแฮ็กวงจรให้ห้องนี้ไม่มีใครสังเกตการณ์เพื่อเรื่องนี้ ซึ่งอีกไม่ช้า ร่างของเด็กหนุ่มก็จะจากไปยังที่แห่งนี้

    เลซแต่งตัวให้เรียบร้อยในสภาพเดิม เดินเข้ามาหาร่างของชายหนุ่มซึ่งมีผมปรกหน้าผากยาวดูรุงรัง โบว์ที่ผูกคอถูกดึงออกแล้วยื่นให้

    “มัดผมให้เรียบร้อยล่ะ เธอคนนั้นคงตกใจแย่ถ้าเห็นนายในสภาพแบบนี้”

    “ขอบใจนะ แล้วเรื่องเมื่อครู่” เอ่ยถาม เพราะการที่ถูกป้อนเลือดก็เท่ากับว่าได้จุมพิตอย่างไม่ได้ตั้งใจ เลซหลิ่วตาแบบคนไม่เสียหายอะไร

    “คนยุโรปถือว่าการจูบเป็นเรื่องธรรมดา....” เอ่ยตอบ มองใบหน้าคมที่ออกอาการเหวอ “ไปตอนนี้เลยก็ได้”

    “อือ” หันมองเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาล พลางหอมแก้มเข้าไปหนึ่งที เล่นเอาไทคิผงะด้วยความตกใจ

    “ขอบใจว่ะ ไทคิ”

    ว่าแล้วก็เดินไปข้างหน้า เสื้อคลุมสีดำสะบัดตามการเคลื่อนไหว

    “เลซ......ทีอาโม่.....”


    แล้วจู่ๆ คนที่มีชื่อในประโยคถึงกับยิ้มไม่ออก ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ ใครจะไปคิดว่าจะได้ยินคำๆนี้ แถมต่อหน้าคนอื่น

    เด็กหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นหัวเราะพรืดออกมา พลางเดินจากห้องไปช้าๆ แต่ก็ทิ้งคำพูดไว้ชวนให้ใจหาย

    “เมลาวีกรีโอซ่า....” (ช่างดีจริงๆ)

    แอ้ด~

    “มันรู้ภาษาอิตาเลียนได้ยังไง” ร้อยทั้งร้อยก็แปลได้ เล่นเอาเลซเข่าอ่อน ไม่เคยอับอายต่อหน้าคนอื่นมาก่อน คูหันมายิ้ม มองคนน่ารักที่กำลังจะไม่น่ารักเพราะอีกไม่นานหากเขาไม่ออกจากห้องไป

    “ อะรีเวอเดอร์ซี ชิ เวดิอาโม” (ลาก่อน แล้วพบกันใหม่) คนที่พูดกลับเป็นเด็กหนุ่มทายาทอิชินแทน จากลาด้วยภาษาของคนตรงหน้าแล้วรู้สึกเหมือนได้เข้าใกล้มากก็เป็นได้

    “โซเดสเน๊.....อัยชิเตะรุโมะ บะกะโตะระ....ซาโยะนาระ.....” (จริงด้วยนะ..ฉันก็รักนาย เจ้าเสือบ้า.....ลาก่อน...)

    ปัง!

    แม้นกำแพงที่สูงตระหง่าน หรือคุกอันแข็งแกร่งเพียงไร

    หากแต่ไม่อาจขวางกั้นซึ่งสิ่งที่เรียกว่ารัก

    หากแม้นระยะทางจะไกลแสนไกล หากแต่ยามใดที่คิดถึงกลับหดสั้นลง

    หากเป็นเพียงพรหมลิขิต นี่คงเป็นสิ่งที่เหนือกว่านั้น

    หากแม้นเป็นอารมณ์ชั่ววูบ คงจะหมิ่นเหม่อไม่ตั้งตระหง่าน

    หากแม้นนี้คือรักที่ไม่มั่นคง คงอาจลืมเลือนจางหายไปกับสายลม


    สิ่งใด...คือสิ่งที่ยึดหัวใจทั้งสองไว้ด้วยกัน...สิ่งนั้นคือความรัก

    คำพูดเพียงเล็กน้อย เวลาที่น้อยนิด หากแต่กลับดูมั่นคง

    และยากจะถอดถอน

    ไร้พันธะสัญญา หากแต่แข็งแกร่งกว่าสิ่งใด

    นี่หรือ? คือความรัก....


    +++++++++++++++++++++

    “พ่อหนุ่ม....ซื้อดอกไม้อะไรตั้งเยอะแยะ เอาไปให้ใครเหรอ?” หมู่บ้านที่อดีตยังไกลปืนเที่ยงกลับพัฒนาขึ้น เจ้าของร้านดอกไม้มองดอกคาร์เนชั่นสีขาวมากมายที่ถูกขนขึ้นยังเกวียนสำหรับส่งของ เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีนิลยาวหยักยิ้ม จ่ายเงินให้แล้วเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงสุขใจ

    “เอาไปให้”


    “ผู้หญิงที่ผมรักที่สุดในโลกครับ....”


    หากไม่มีเธอคนนั้น ผมก็คงไม่มีวันนี้ได้

    เพราะคำพูดของเธอ เพราะการกระทำทุกสิ่งของเธอ

    ความทรงจำนี้ ตราตรึง และได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น

    เพราะนี่คือรักที่แสนยิ่งใหญ่ ที่เขาขอมอบด้วยชีวิตให้แก่เธอคนนี้

    เพราะเธอ จึงได้รู้ว่า เพศหญิงที่ร้ายหลายอย่าง จริงๆแล้วมีดีมากมายกว่าที่คิด....


    หลังจากการกลับและการบอกเล่าเรื่องต่างๆแล้ว เธอคนนั้นยิ้มทั้งน้ำตา บอกว่าดีใจเหลือเกินที่ได้พบเจออีกครั้ง ร่างกายอ่อนแอเพราะโรคภัยรุมเร้า จึงได้เพียงนั่งบนรถเข็น ภายในสวนหลังบ้าน ตอนนี้เธอกำลังถูกเข็นมายังภายในห้องของเธอโดยอิชิน

    “กลิ่นอะไรคุ้นๆนะ.....” เธอกล่าว ในขณะที่ประตูถูกเปิดออกเบาๆ


    ดอกคาร์เนชั่นสีขาวบานสะพรั่งนับร้อยนับพันทั่วทั้งห้อง ตกแต่งอย่างงดงาม ชวนให้ดูราวกับเป็นภาพฝัน เนตรสีน้ำตาลเปร่งประกาย หยาดหยดน้ำตาแห่งความปิติรินไหล


    “ดอกคาร์ชั่นที่ชอบไงครับ.....ขอโทษนะครับที่ทำบ้านรกอีกแล้ว” คูเอ่ยพลางย่อตัวลงให้ใบหน้าเสมอกับผู้พูด


    ....
    ...
    .
    ...
    .
    .
    ..




    “แล้วก็.....ผมกลับมาแล้วครับ....คุณย่า.....”

    ใบหน้าอ่อนเยาว์ถูกสัมผัสด้วยมือแห้งกร้าน หญิงแก่ยิ้มอ่อนโยน พลางเลื่อนลูบหัวเจ้าหลานที่กลายเป็นหลานชายไปเสียแล้ว


    ....คาร์เนชั่นสีขาว คือรักยิ่งใหญ่อันแสนพิสุทธิ์ที่หาไม่ได้ในโลกใบนี้

    เป็นรักที่เต็มเปี่ยม ทั้งอบอุ่น ทั้งบริสุทธิ์ ทั้งมั่นคง

    เธอคือผู้หญิงที่ผมรักที่สุดในโลก คือคุณย่าของผม.....


    บุพการีในนามของอิสตรีผู้กล้าหาญ เก่งกาจ และน่ายกย่อง


    คือคนที่เดือดร้อนเพราะเราไม่สบาย คือคนที่ดูแลเรามาตั้งแต่เล็ก

    คำพูดที่พร่ำสอน แท้จริงคือสิ่งที่ผลักดัน เพียงแต่มองไม่เห็นเท่านั้น

    เธอห่วงหา วันเวลาที่เราห่างหาย เธอร่ำไห้ วอนฟ้าและดินช่วยเหลือ

    ขอเพียงให้หลานที่มีเพียงคนเดียวได้กลับมาสู่อ้อมอก

    จะด้วยสิ่งใดก็ขอแลดเพื่อให้ได้ชีวิตของเด็กคนนั้นกลับคืนมา.....

    เพิ่งได้รู้ว่าตนได้ทำผิด.....

    ก็ตอนที่ได้เห็นน้ำตาของเธอจากความทรงจำ


    เพราะเธอคือดาว ที่อยู่ที่เดิมตลอดเวลา หากแต่ในยามกลางวัน เรากลับมองไม่เห็น


    ดั่งดอกคาร์เนชั่นสีขาว คือรักบริสุทธิ์ที่ยิ่งใหญ่.....


    ต่อจากนี้ไป คงได้อยู่กับเธอไม่นานนัก หากแต่ก่อนชีวิตนั้นจะดับสูญ จึงอยากจะทำอะไรให้กับเธอคนนี้.....


    +- +- +- +- +- +- +- +- +- +-

    หนึ่งเดือนผ่านไป เพราะได้ลูกพี่ลูกน้องคอยดูแลย่าที่แก่ชรา ปู่ที่ไปมาหาสู่กับญาติฝ่ายอื่นก็กลับมาอยู่บ้านบ่อยขึ้น จึงตัดสินใจเดินทางออกจากบ้าน และกราบขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง เพื่อที่จะได้เข้าองค์การดาร์คสโนว์อย่างเต็มที่

    “ตัดผมได้ดูดีนี่” อิชินบอก หลังจากมองภาพตัวเองในกระจก ผมซอยสั้นที่ตรงท้ายทอยยังคงเหลือปอยสีนิลเอาไว้ ไทคิยิ้มแฉ่งภาคภูมิใจกับผลงานตัวเองในฐานะช่างตัดผมจำเป็น

    “ฮ่ะๆๆ ก็เรียนมานิดหน่อยน่ะครับ” ว่าแล้วมองหน้าหนุ่มอายุมากกว่าตนไม่กี่ปี “ว่าแต่เฮียเหอะ เริ่มงานทีไร ชอบฉายเดี่ยว ไม่กี่อาทิตย์ก็เลื่อนระดับซะสูงลิ่ว ผมกลัวจะเอื้อมไม่ถึงล่ะ”

    “หนวกหูน่า...ฉันอยู่สูงกว่านายก็ดีอยู่แล้ว”

    “อะไรกันน่ะ...ผมรึอุตส่าห์ให้เฮียเป็นอุเคะให้ผมอ่ะ” เจ้าเด็กกวนโอ๊ยเอ่ยแล้วหัวเราะชอบใจใหญ่ เล่นเอาคนไม่ชอบอยู่ด้านล่างแสยะยิ้ม

    “ฉันไม่ใช่เซะเมะ..” ไทคิยิ่งยิ้มกว้างขึ้น “แต่เป็นมหาเซะเมะว่ะ ฉันล่ะชอบจริงๆไอ้การจับกดไอ้เสะจอมหองแบบนายน่ะ สนใจมาลองสักตั้งไหม? ไอ้นามสกุลเหมือนแต๋ว?”


    “เย้ยยย ผมล้อเล่น!!” ไทคิส่ายหัวไปมาอย่างหวาดกลัว เห็นหยอกเล่นได้แบบนี้ จริงๆแล้วถ้าเอาจริงต้องน่ากลัว เจ้าเด็กแสบเลยวิ่งออกจากห้องไป ทิ้งให้คูต้องมาเก็บกวาดห้องเอง


    “ไอ้เจ้าบ้าเอ๊ย” งึมงำเพียงลำพัง “อย่ามาทำให้รักมากกว่าเดิมสิวะ เดี๋ยวก็เลื่อนยศให้ซะหรอก...”


    เพราะนี่คือรักที่แสนอบอุ่น อ่อนโยน ดุจดั่งพี่น้องร่วมสายเลือด

    เจ้าดอกทานตะวันผู้ไฝ่สูงเอ๋ย

    เจ้าจะทนกับการอาทิตย์ที่เจิดจรัสได้หรือ

    เจ้าปรารถนาที่จะเป็นมิตรกับแสงอุทัยเจิดจ้าหรือ?

    ถ้าเช่นนั้น จงเตรียมใจไว้ให้ดี

    เจ้าดอกทานตะวัน....


    +- +- +- +- +- +- +- +- +- +-

    เนตรอำพันมองออกไปนอกหน้าต่างกระจก ภาพของกลุ่มคนที่ต้องตามดูแลไม่ห่าง หยอกล้อ ยิ้มแย้ม อย่างสุขสันต์

    หัวใจที่ด้านชา ที่ถูกแปรเปลี่ยน กลับโหยหา ซึ่งสิ่งเหล่านี้...

    “จะผิดหรือเปล่านะ ถ้าฉันจะยอมเผยตัวตนของตัวเองออกมา”

    จริงที่อากาศคือสิ่งมีตัวตน หากแต่มองไม่เห็น

    แต่อากาศนั้นอยู่ในหลายๆที่

    เพียงแต่ใครกันที่จะเห็นคุณค่าของมัน

    เกิดเพื่อให้คนอื่นมีชีวิตอยู่ และตายลง จากนั้นจึงกลับมาเกิดใหม่

    คืออากาศที่ให้คุณได้หายใจ แปรเปลี่ยนเป็นพลังขับเคลื่อนชีวีแล้วปล่อยมันออกมาให้ต้นไม้เปลี่ยนมันเป็นสิ่งมีประโยขน์อีกครั้ง

    ดั่งฟีนิกซ์ที่ตายแล้วเกิดใหม่นับไม่ถ้วน หากแต่ชีวีนี้เกิดและตายเพราะพวกคุณทั้งหลาย


    แม้จะไม่มีใครมองเห็น

    แม้จะถูกด่าทอว่าไร้ค่า

    แม้จะไม่น่าสมคบสักเท่าไหร่

    แต่อากาศเอง มีความภาคภูมิใจ

    ที่ชีวิตของตน


    อย่างน้อยก็รู้จักคำว่า “มีประโยชน์”

    ดังนั้น ขอเพียงแค่หันมามองสักนิด อากาศเช่นผม ก็ดีใจแล้วล่ะ

    อย่างน้อย คุณก็เห็นค่าของผม

    ผมจะเป็นอากาศให้คุณนะครับ.....

    ..หากแม้นตัวข้านี้จะไม่มีผู้ใดที่ได้มองเห็นก็ตาม...

    ...หากแม้นตัวข้าจะไม่มีผู้ใดที่เห็นคุณค่า

    ...หากแม้นตัวข้าจะลึกล้ำ ยากหยั่งถึง...

    ....แต่ตัวข้า..จักขอให้ชีวีนี้...เพื่อพวกเจ้า....มวลอากาศเช่นข้า...ก็สมสุข..ที่ได้ทำประโยชน์เพื่อชีวิตอับสำคัญของเจ้า....


    +กราซีเย ชิ เวดิอาโม......(ขอบคุณ...แล้วพบกันใหม่)....+
    เน่าว้อยยยยยยยยยย ยาวมากกกกกกกกก ปั่นนานเป็นชาติเศษ แหะๆๆๆ เดี๋ยวมีเวลาจะแสกนรูปให้ดูนะฮะ ช่วงนี้บ้าเจ้าคูแฮะ จริงๆมีเรื่องราวมากกว่านี้ เดี๋ยวว่างๆค่อยลงฮะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×