ศึกชิงตำแหน่งมนุษย์เพอร์เฟ็ค
เมื่อมนุษย์เพอร์เฟ็คต้องปะทะกัน ใครกันนะจะเป็นผู้ชนะ แล้วมันจะจบลงเมื่อไหร่กันล่ะเนี่ย สงครามครั้งนี้...(เรื่องแนวรักหวานแหววเรื่องหนึ่งในไม่กี่เรื่องของเรา เฮอๆๆ ลองๆลงแนวนี้ดู เผื่อฟลุก)
ผู้เข้าชมรวม
720
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ศึกชิงตำแหน่งมนุษย์เพอร์เฟ็ค
ไม่ดีเลยที่อยู่ๆก็ต้องย้ายโรงเรียนด้วยเหตุผลที่ว่า พี่ฉันดันไปติดสาวโรงเรียนอื่น แล้วพ่อขี้เกียจไปส่งลูกผู้น่ารักสองคน สองโรงเรียน ฉันก็เลยจำต้องย้านมาด้วย แต่ขอโทษที พี่บ้านั่นดันมีหน้าไปบอกพ่อว่าโรงเรียนที่ย้ายไปมีระบบการเรียนการสอนที่ดีกว่า ก็เลยอยากไปลองเรียนดู
แต่ถ้าจะมองกันจริงๆ ก็เป็นโรงเรียนที่ดูไฮโซดีเหมือนกันนะ
แน่ละ เมื่อมีโอกาสได้เรียนโรงเรียนดีๆ ฉันก็ขอแสดงความฉลาดข่มพวกลูกคนรวย ที่เข้ามาที่นี่ด้วยแรงเงินของพ่อแม่(เช่นเดียวกับฉัน แต่ฉันฉลาดกว่า) หึๆๆ แค่สอบรายหน่วยวิชาภาษาไทย ซึ่งเป็นการสอบครั้งแรกของปีการศึกษา คะแนนฉันก็พุ่งขึ้นสุดโพลเลยทีเดียว เพียงแต่ว่ามันยังไม่ใช่ที่สุดของโพลจริงๆ มันแค่เป็นที่สอง ส่วนที่หนึ่งน่ะ มันเป็นของ....นาย อรุณเอก อภิสิทธิ์ราชาทรัพย์ เลขที่41 ส่วนสูง186เซนติเมตร (เปร.ตชัดๆ ของฉันแค่ 158 เซนฯเอง) หนัก65กิโลกรัม หน้าตาอยู่ในเกณฑ์....โคตรหล่อเลย พระเจ้า ทำไมลำเอียงกันขนาดนี้ ทีหมอนั่น เกิดมาได้ทั้งหน้าตา และสมอง แถมพ่อรวยอีกต่างหาก แล้วทีฉันล่ะ หน้าตาก็ไม่ได้ดีเด่อะไร พ่อถึงจะรวยก็งกมหาศาล ฉลาดจริง แต่ก็แพ้หมอนั่น นี่มันอะไรกันเนี่ย
วิชาต่อมาที่มีการทดสอบก็คือ พลศึกษา ซึ่งเราเรียนฟุตบอลกัน แบ่งเป็นสองลีก ลีกชายและลีกหญิง แต่ละลีกก็แบ่งเป็นสี่ทีม แข่งแบบเจอกันหมด เล่นกันแค่ลูกเดียว ใครเข้าก่อนถือว่าชนะ ส่วนเรื่องแต้ม ถ้าชนะทีมจะได้สามแต้ม เสมอสองแต้ม และแพ้หนึ่งแต้ม เมื่อแข่งเจอกันหมดแล้ว ทีมไหนได้คะแนนมากที่สุด สมาชิคในทีมก็จะมีโอกาสได้เกรดเอสูง แต่คะแนนจริงๆนั้นอยู่ที่ความสามารถของบุคคล รวมถึงการประสานงานกันในทีมด้วย
ซึ่งผลการแข่งก็คือ แข่งกันสามนัด ฉันชนะรวดเลย เหตุที่ชนะก็คือ ทีมฉันทั้งห้าคนมีเซ้นส์ด้านกีฬาดีทั้งหมด ถึงจะไม่มีใครเคยเล่นฟุตบอลแบบเอาจริงเอาจังมาก่อน ก็สามารถเรียนรู้ และประสานกันได้ดี ทุกคนฟอร์มการเล่นในแบบของพวกเราออกมาโดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว ทำให้ผลที่ออกมาดีใช้ได้ทีเดียว แต่ที่เป็นตัวถ่วงของทีมในช่วงหลังๆของการเล่นก็คือ...ฉัน
ใช่ ฉันนี่แหละ เพราะถึงตอนเริ่มเล่นใหม่ๆ ฉันจะแรงดี วิ่งเร็ว เซ้นท์ยอด ยิงแม่น เลี้ยงบอลคล่อง ส่งแรงและตรง มองเกมออก แต่เมื่อนานเข้าฉันจะเหนื่อยจนวิ่งแทบไม่ไหว จนต้องกลายเป็นกองหลัง คอยบล็อคลูกอยู่ใกล้โกล และขึ้นไปข้างหน้าไม่ไหว และเพราะเป็นกองหลังที่วิ่งไปมาไม่มากนัก ฉันจึงสามารถเป็นประโยชน์ต่อทีมได้เช่นกันกับที่เคยเป็นกองหน้า และประตูทีมเราก็มือกาวยิ่งกว่าทีมไหนๆเลยทีเดียว
ส่วนผลของลีกทีมชายนั้น ทีมของนายอรุณเอกก็ชนะตามที่ฉันคาดไว้ เพราะท่าทางของนายอรุณเอกดูจะเอาเรื่องด้านกีฬาอยู่เหมือนกัน ที่น่าทึ่งก็คือแต่ละแมทช์นั้น ทีมของอรุณเอกใช้เวลาชนะน้อยมาก และเกือบทุกลูกเขาเป็นคนยิงทั้งนั้น ยิ่งกว่านั้นก็คือ เขาลงไปวิ่งพล่านทั้งสนามตั้งแต่ศูนย์หน้า ยันกองหลัง ตัดลูก เลี้ยงลูก ส่งลูก ยิงประตู ล้วนแสดงออกถึงความมีระดับของความสามารถทั้งนั้น และเพราะลีกหญิงเลิกเร็วกว่าลีกชาย พวกผู้หญิงจึงพากันมาดูพวกผู้ชายเล่น มีเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งในสนามตะโกนถามมาว่า
“ลีกหญิงใครเป็นแชมป์หรอ”
“ทีมของพรเทวี อรวรรณ จารี นฤภา แล้วก็ฉัน” สุฐาพร หรือ หวาน ตะโกนตอบไป
“ชนะสามแมทช์รวดเลยนา” จารี หรือเจน เสริม
พวกผู้ชายจึงเริ่มมีเสียงฮือฮาขึ้นบ้าง เพราะต้องยอมรับว่าทีมของฉัน(ฉันชื่อ อรวรรณ) มีส่วนสูงฉันไม่เกินหนึ่งร้อยหกสิบสามสักคน และรูปร่างก็ดูอ่อนแอน่าดูชมทีเดียว แต่ความสนใจของพวกเราทั้งห้องก็ได้เปลี่ยนไปอยู่ที่นายอรุณเอกแทน เมื่อเขายิงประตูได้ และดูเหมือนจะเป็นการชนะครั้งที่สามของเขาเหมือนกัน เพื่อนๆของเขาต่างเข้าไปแสดงความยินดีกัน ซึ่งเขาก็เพียงแต่ยิ้มให้พวกนั้นน้อยๆ และช่วงขณะหนึ่ง เขากำลังเดินออกจากสนาม เดินมาทางฉัน เขากับฉันสบตากัน ฉันมองเขาด้วยสายตาท้าทาย เขาก็มองตอบด้วยสายตาไม่ยอมแพ้เช่นกัน
ศึกชิงดีของเรา...เริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น
ต่อมาเป็นการสอบวิชาภาษาอังกฤษ(วิชาอังกฤษทักษะการฟัง-พูด) ซึ่งเป็นวิชาที่เรียนกับอาจารย์ต่างชาติ การสอบครั้งนี้คือสอบโต้ตอบกับอาจารย์ตัวต่อตัวในหัวข้อวันหยุดสุดสัปดาห์ของฉัน ถึงวิชาภาษาอังกฤษจะเป็นวิชาที่ฉันถนัดน้อยที่สุด แต่ก็ไม่เป็นปัญหาของฉันอยู่ดี ในเมื่ออาจารย์ยังพูดช้าๆ ด้วยความสงสารเด็ก ซึ่งถ้าเทียบกับในชีวิตจริงที่จะต้องเจอฝรั่งรัวปืนใส่แล้ว แค่นี้ถือว่าเด็กๆ ฉันก็ผ่านฉลุยอยู่แล้ว เมื่อฉันสอบเสร็จ ก็เป็นตาของเขาที่จะต้องออกไปสอบตัวต่อตัว(เลขที่ติดกัน) ฉันกับเขาเดินสวนกัน ฉันพยักหน้าท้าทายให้เขาทีหนึ่ง เขาเองก็ยักคิ้วตอบ กริยานี้อาจจะเหมือนกับเราสนิทกันมากมาย แต่จริงๆแล้วเรายังไม่เคยคุยกันเลย
และผลสอบครั้งนั้นก็ออกมา คือทั้งฉันและเขาได้เกรดสี่เหมือนกัน(อาจารย์ไม่บอกคะแนน บอกแต่เกรด) เมื่ออาจารย์ประกาสเสร็จ เราทั้งคู่จึงต่างหันไปสบตากันเล็กน้อย
เสมอกันสินะ...นัดนี้
เมื่อเวลาผ่านไปจนครบหนึ่งเดือน สอบวิชาต่างๆไปมากพอดู เราก็เต็มเหมือนกันเกือบทุกครั้ง จะมีบ้างที่เขาท็อป หรือบางครั้งฉันก็ท็อป แต่เรื่องตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา จะได้ตัดสินกันในวันนี้นั่นแหละ ....การเลือกหัวหน้าห้อง....
การเลือกหัวหน้าห้องนั้น ถึงจะมีทั้งหัวหน้าหญิง และหัวหน้าชาย แต่คะแนนเต็มของทั้งสองอย่างก็คือ 41 คะแนนเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ถ้าเราได้เป็นหัวหน้าเหมือนกัน ก็ต้องมาตัดสินกันที่คะแนนว่าใครได้มากกว่ากัน
ฉันถูกเสนอชื่อเป็นคนแรกของฝ่ายหญิง เช่นเดียวกับเขาที่ก็ถูกเสนอชื่อเป็นคนแรกของฝ่ายชาย เพราะเราทั้งคู่ก็ดูจะเด่นไปทุกวิชา และพฤติกรรมดีเด่นด้วยกันทั้งคู่
แต่ในที่สุด ผลก็ออกมาจนได้ คะแนนของฉันคือ34คะแนน ส่วนคะแนนของเขาคือ27คะแนน หึๆ เท่านั้นผลก็ออกมาแล้ว ถึงเราจะได้เป็นหัวหน้าห้องเหมือนกัน
แต่คนที่ชนะ...ก็คือฉัน
ระหว่างที่เราสองคนยืนขึ้นโค้งให้เสียงปรบมือต้อนรับหัวหน้าของเพื่อนร่วมชั้น ฉันใช้หางตาเหลือบไปมองเขาน้อยๆ แต่ก็ไม่พบสายตายอมแพ้ของเขา สายตาของเขาคนนั้นอ่านได้ว่า
“มัน-ยัง-ไม่-จบ”
อืม...น่าสนุกดีเหมือนกัน ที่ได้แข่งกับมนุษย์เพอร์เฟ็คแบบนี้ หึๆ ถ้ายังไม่เคยมีใครอยู่เหนือมนุษย์เพอร์เฟ็คคนนั้นล่ะก็ ฉันเนี่ยแหละ จะเอาชนะมนุษย์เพอร์เฟ็คให้ดูเป็นขวัญตา
การประลองความเป็นมนุษย์เพอร์เฟ็ครอบต่อไปของเราก็คือ เรื่องแฟน
ผู้เปิดศึกเรื่องนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่กุลสตรีอย่างฉันอยู่แล้ว เขาเป็นคนเริ่มมันขึ้นมาเอง โดยเขาชวนฉันให้เดินตามเขาไปห่างๆโดยใช้การโคลงศีรษะน้อยๆเป็นการบอกให้ตามไป ฉันจึงยิ้ม และตามเขาไปโดยดี จนเขาหันกลับมาขยิบตาให้ฉันเป็นการบอกให้ฉันหยุดเดิน ส่วนเขาก็เดินไปหานักเรียนหญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง ฉันกอดอก และยืนดูว่าเขาจะทำอะไร และฉันก็เห็นเขาขอผู้หญิงคนนั้นเป็นแฟน ส่วนคำตอบของผู้หญิงคนนั้นก็คงไม่ต้องเดา เจอมนุษย์เพอร์เฟ็คแบบนั้นขอเป็นแฟน ใครกันจะปฏิเสธลง เธอคนนั้นตอบตกลง เล่นเอาฉันตาค้างเลยทีเดียว
เขาหันมายักคิ้วให้ฉันเหมือนท้าทาย ให้ตาย แล้วฉันจะเอาคืนเขาได้ยังไงล่ะเนี่ย
ฉันเชิดหน้าใส่เขา และเริ่มคิดแผนการเอาชนะเขา ฉันไม่ใช่คนหน้าตาดี เพราะอย่างนั้นเรื่องแฟนไม่ต้องไปคิดถึงเลย ฉันจะต้องเอาชนะเขาในสิ่งที่มั่นใจว่าเขาทำไม่ได้บ้าง เพื่อที่ว่าจะได้หักล้างกับสิ่งที่ฉันทำไม่ได้ แต่ให้ตาย ได้ชื่อว่าเพอร์เฟ็ค มันก็เพอร์เฟ็คเสียจริงๆ ไม่รู้จะชนะได้ยังไงเลยเนี่ย คิดสิๆ ต้องมีล่ะน่า
และก่อนที่ฉันจะคิดอะไรออก ในที่สุดอาจารย์สอนดนตรีก็เดินเข้ามา และแจกเนื้อร้องเพลง พรปีใหม่ ให้พวกเราคนละใบ ก่อนจะเริ่มสอนร้องเพลง ฉันก็ร้องไปกับเขาด้วย เพราะมีเพื่อนบางคนเล่นโทนเสียงเพี้ยนโดยตั้งใจให้ฟังดูตลก เราจึงได้ขำกัน แต่ในหัวฉันก็ยังคิดเรื่องเอาชนะตานั่นไม่ตก อ่า..มันต้องมีสักวิชาล่ะน่า
ฉันเหลือบไปมองเขาพลางใช้ความคิด และภาพที่ฉันเห็นก็คือ
นายอรุณเอกกำลังขมวดคิ้ววุ่น ไม่มีท่าทีสนุกกับวิชาคลายเครียดอย่างดนตรีแม้แต่น้อย แถมยังหุบปากตลอดไม่ร้องตามเอาเสียเลย หรือว่า...มันร้องเพลงไม่เป็น
ชัวร์ป้าบ มันร้องไปเป็นชัวร์ เพราะเมื่อเขาหันมาสบตาฉัน ฉันเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเขาว่าทำไมเขาไม่ร้อง แต่เขากลับแกล้งเมิน ทำเป็นไม่เห็น หึๆๆ นายถึงกาลอวศาลแล้ว อรุณเอกเอ๋ย
วันต่อมา ฉันพกซีดีเพลงคาราโอเกะมาด้วย เพื่อมาเปิดกับเครื่องเล่นซีดีในห้องเวลาพัก(มีทีวี เครื่องเล่นซีดี วีซีดี ดีวีดี และลำโพงในห้อง) และร้องเพลงโชว์เขา ฉันรอจนถึงพักเที่ยง และเขากลับมาถึงห้องเรียบร้อยแล้ว ฉันจึงแกล้งบอกเพื่อนว่า
“มาร้องเพลงแข่งกันดีกว่า เดี๋ยวเราประเดิมคนแรกเอง”
เพลงที่ฉันเลือกร้องก็คือ เพลงคู่ หากันจนเจอ และสิ่งที่พูดต่อจากนั้นก็คือสารท้ารบ
“มันเป็นเพลงคู่ อรุณเอกมาช่วยร้องคู่กับเราได้มั้ย เห็นคุณเก่งทุกวิชาเลยนี่ ร้องเพลงก็น่าจะเก่งไม่ใช่หรือ”
และผลก็เป็นไปตามคาด ถึงเขาจะยอมเดินออกมาโดยดีเพื่อไม่ให้หน้าแตก แต่เขาก็เหงื่อออกอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเพลงเริ่ม เราก็เริ่มร้องกัน
ดูเหมือนเขาจะร้องเพลงไม่เป็นจริงๆ อรุณเอกไม่ปล่อยอะไรออกมาจากปากเลยสักคำ ทำเอาเพื่อนโห่กันใหญ่ และมีเพื่อนผู้ชายอีกคนขึ้นมาร้องแทนเขา ส่วนเจ้าตัวเพอร์เฟ็คก็เดินกลับไปนั่งที่ด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์
หุๆๆเป็นบุญอันยิ่งใหญ่นะเนี่ย ที่ได้รู้ว่ามนุษย์เพอร์เฟ็คคนนั้นมีจุดอ่อนอยู่ที่เสียงร้อง กั่กๆๆ
ฉันจึงมองเขาด้วยสีหน้าของผู้ชนะ เขาก็พยักเพยิดประมาณว่ายกนี้เขายอมก็ได้
หลังจากนั้นการชิงดีกันของเรายังคงดำเนินต่อไป มุมต่างๆของพวกเรานอกจาก ‘ความเก่ง’ ก็ค่อยๆถูกอีกฝ่ายเห็นเรื่อยๆ ความผูกพันทั้งที่ไม่เคยคุยกันยังคงดำเนินต่อไป จนกระทั่งมาถึงวันนี้ เราก็ยังคงแข่งกัน
“วันนี้ฉันจะไปรับลูก” ฉันเท้าสะเอวประกาสใส่หน้าเขา
“ฉันไปเอง” เขาขมวดคิ้วตอบ
“แต่ฉันไม่มีงานประจำ สะดวกกว่า” ฉันเถียง
“แต่จากที่ทำงานฉันไปโรงเรียนลูก มันใกล้กว่าจากบ้าน” เขายกแม่น้ำสายแรกมาอ้าง
ฉันทำงานเป็นนักเขียนนิยายน่ะค่ะ นิยายที่วางขายของฉันยี่สิบสองเล่ม ได้รางวัลซีไรท์สิบสองเล่มแล้วนะคะ ฮิๆ ยังคงเพอร์เฟ็คเหมือนเดิมใช่มั้ยล่ะ ส่วนเขาทำงานเป็นผู้จัดการโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่งใจกลางกรุงค่ะ
“งั้นแข่งกัน ใครถึงก่อนก็รับลูกไป” ฉันบอก
เขาพยักหน้ารับ แสยะยิ้มเล็กน้อย
และเย็นวันนั้น เราสองคนก็ไปถึงโรงเรียนลูกพร้อมกัน หุๆ เราเลยต้องเถียงกันเล็กน้อย กว่าจะตกลงกันได้ว่าจะให้คนขับรถมารับรถเขากลับ และเราสามคนพ่อแม่ลูกก็นั่งรถฉันกลับ โดยที่เขาเป็นคนขับ
การแข่งนัดต่อไปของเราก็คือ แข่งกันเป็นคนสอนการบ้านลูก
หุๆๆ นัดนี้ฉันก็ไม่ยอมเขาหรอก ก็เรามันมนุษย์เพอร์เฟ็คนี่นา
ผลงานอื่นๆ ของ ----no ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ----no
ความคิดเห็น