ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เส้นทางแห่ง"เงา"

    ลำดับตอนที่ #2 : ความผิดของใคร...?

    • อัปเดตล่าสุด 14 เม.ย. 54


    ความผิดของใคร...?

                ในคืนที่เหน็บหนาวสุดขั้วหัวใจ    จนสังเกตได้ถึงขนที่ชูชัน และเสียงสั่นกระเส่าที่เกิดจากฟันกระทบกันของเด็กหนุ่มที่อยู่ใต้ต้นมะม่วงหลังบ้านของเขา   ใบหน้าที่เศร้าหมองสะท้อนแสงระยิบระยับของดวงดาวอันเกิดจากคราบน้ำตาบนใบหน้า  ในดวงตาคู่นั้นข้าพเจ้าเห็นแต่เพียงความมืดมิดไร้ซึ่งไฟแห่งความหวัง   ปะปนไปด้วยความทุกข์ระทม   กลัวต่อสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ในอนาคต เสียงกระซิบแผ่วเบาจากปากของข้าพเจ้า   คล้อยตามสายลมโดยมีจุดหมายคือเด็กหนุ่มคนนั้น   ซ้ำแล้ว   ซ้ำเล่า    เด็กน้อย เจ้าจงอย่าทำเช่นนี้นะ    ทว่าเด็กหนุ่มกลับยังคงกระทำในกิจกรรมที่เขาได้เริ่ม มาจนถึงขั้นตอนสุดท้าย    โดยหาได้สนใจในคำเตือนของข้าพเจ้าไม่    เช่นเดียวกันกับอีกหลายๆคน     ที่ข้าพเจ้าได้พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะสื่อสารกับเขาเหล่านั้น    ทั้งนี้อาจเป็นไปได้ว่า เขาเหล่านั้นไม่ได้ยินเสียงของข้าพเจ้า       แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดนัก    เพราะข้าพเจ้าไม่รู้ว่า เขาได้ยินแต่ทำเป็นไม่สนใจ หรือไม่ได้ยินจริงๆกันแน่ สิ้นจากห้วงแห่งความคิดนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงเชือกซึ่งเด็กหนุ่มได้เตรียมมา ขูดสีกับกิ่งขนาดใหญ่ของต้นมะม่วง เสียงมีทำนองสะเนาะเหมือนห้วงทำนองแห่งงานเลี้ยงอำลาจากคนรัก หรือนี่จะเป็นบทเพลงแห่งความตายที่เหล่ามนุษย์กล่าวขานกันหนักหนา เด็กหนุ่มพยายามปีนป่ายลำต้นเพื่อนำเชือกไปผูกไว้ยังท่อนกลางของกิ่ง แล้วมัดเชือกเป็นบ่วงปล่อยลงมาไม่ห่างจากกิ่งมากนัก ก่อนจะลงมายืนบนเก้าอี้ไม้ที่อยู่เบื้องล่างตั้งท่าเตรียมเชือกคล้องคอตนเอง เสี้ยววินาทีนั้นภาพที่เห็นมันทำให้ข้าพเจ้าอดสลดใจมิได้ จึงปล่อยลมหายใจออกมาแรงๆ เฮือกใหญ่ "เฮ้อ..." สิ้นเสียงถอนลมหายใจของข้าพเจ้า ก็ตามมาด้วยเสียงเก้าอี้ไม้กระทบพื้น พร้อมด้วยแรงสั่นไหวจากร่างของเด็กหนุ่ม ที่ดิ้นทุรนทุรายราวๆ 5 นาที ก่อนที่ดวงตาทั้งคู่ของเขาจะไร้ซึ่งแสงไฟแห่งชีวิต พระจันทร์เต็มดวงคืนนี้ก็ยังคงสวยเหมือนเดิม แต่จิตใจมนุษย์เล่า ใยจึงได้หม่นหมองยิ่งนัก ย้อนกลับมาดูร่างกายที่ไร้ซึ่งวิญญาณของเด็กหนุ่มคนนี้ ใครจะเชื่อเล่าว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นเด็กที่ร่าเริง ครั้งหนึ่งเคยเป็นนายที่ดีของสุนัขในบ้าน ครั้งหนึ่งเขาเคยทำบุญเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และผู้ทรงศีล ใยจุดจบจึงต้องมาลงเอยเช่นนี้  หากเป็นมนุษย์ก็คงจะโทษผี สาง เทวดา หรือไม่ก็ยมทูตอย่างเราๆ แล้วถ้าเป็นเราหล่ะ จะโทษใคร จะย้อนกลับไปโทษมนุษย์เอง หรือธรรมชาติที่สรรค์สร้างมนุษย์ให้เป็นเช่นนี้ดีหล่ะ แน่นอนคำตอบที่ถูกเรารู้ตัวเองอยู่  เช่นนี้ลองย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน

                "เก่ง!..ลูกทำอะไรอยู่หน่ะ" เสียงตวาด แฝงไว้ด้วยอารมณ์โกรธของผู้หญิงวัยกลางคนดังลั่นไปทั่วบ้าน ข้าพเจ้าฟังแล้วถึงกับสะดุ้ง "ช่างเป็นเสียงที่แสบแก้วหูยิ่งนัก" ข้าพเจ้าพูดออกมาพร้อมกับคิดในใจว่าน้ำในกระทะทองแดงถ้าเทียบกับเสียงเมื่อกี้ อะไรมันทำร้ายมนุษย์ได้มากกว่ากัน ยังไม่ทันคิดจบ ก็มีเสียงแทรกอ่อยๆ มาว่า
               

                "เล่น เกมส์กับน้องครับแม่" อืม เป็นแม่ของเขาอย่างที่ข้าพเจ้าคิดไว้จริงๆ ขอบตาของเด็กหนุ่มคล้ำเป็นสีดำแสดงให้เห็นชัดว่าเขานอนไม่เพียงพอ
               

                "ทำไม ไม่ไปอ่านหนังสือ  ถ้าสอบเข้ามหาลัยไม่ได้ ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่นะ" สิ้นเสียงแม่ของเด็กหนุ่ม หัวใจของข้าพเจ้าก็หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม สอบไม่ติด ถึงกับตัดแม่ลูกเลยหรือ แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ข้าพเจ้าแอบสังเกตเห็นแววตาแห่งความรักและเอ็นดู ปรารถนาอยากจะเห็นลูกตนเองมีความสุข นั่นสินะ แววตาของผู้เป็นแม่ ช่างตรงข้ามกับเด็กหนุ่มที่แววตาแฝงไว้ด้วยความโกรธ คลุกเคล้าไปกับความกลัว และการสำนึกผิด ก่อนที่เขาจะตอบกลับมาว่า   

    "ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ แม่ไม่ต้องห่วงยังไงครั้งนี้ผมสอบติดแน่ๆ" เอ๋....ครั้งนี้สอบติด  แสดงว่าคงเคยสอบมาแล้วแต่ไม่ติดสินะ คิดยังไม่ทันจบ เสียงแจ๋วๆ ของเด็กน้อยที่นั่งเล่นเกมส์พร้อมกับเด็กหนุ่มคนเมื่อกี้ก็ดังขึ้น "ไปเลย.....ไปอ่านหนังสือเลย....สนน้ำหน้า...เกมส์นี้แม่ซื้อให้ผมเล่นคน เดียว" เด็กน้อยพูดพร้อมกับหัวเราะเยาะด้วยความสนุกสนาน แหม๋ น่าเอ็นดูจนน่าจับไปต้มกิน แสบใช่ย่อย แต่ใครเล่าจะรู้ หัวใจของเด็กช่างไร้เดียงสา ที่พูดออกมาเอาตลกหรอกรึ?

    "เออ!....." เสียงตะคอกดังสะท้อนออกมาจากลำคอของผู้เป็นพี่ เล่นเอาข้าพเจ้าตกใจจนตั้งตัวไม่ทันเลยทีเดียว แล้วแล้วเสียงฝีเท้าที่ย่ำลงพื้นด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยวก็จางหายไปพร้อม การตามมาของเสียงปิดประตู "ปัง!.." มนุษย์ช่างเข้าใจยากอะไรเช่นนี้ ใจคิดอย่างไรไม่ทำอย่างนั้น แต่ดันทำสิ่งที่ตรงข้ามจนเกิดผลร้ายในที่สุด สุดท้ายก็ต้องมานั่งโทษตัวเอง เฮ้อ.. กิจวัตรประจำวันของเด็กหนุ่ม ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม หมกอยู่แต่ในห้อง อ่านหนังสือเช้า เย็น เช้า เย็น ซ้ำไป ซ้ำมา

                เช้าวันที่ 9 นับจากวันที่ข้าพเจ้าได้เจอเด็กคนนี้ในบ้านที่แสนยุ่งเหยิงของเขา วันนี้เป็นวันอาทิตย์ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งจากท่าน....คุณก็รู้ว่าเขาเป็นใคร ให้มาสอดส่องดูแลความสะดวกของเส้นทางแห่งกรรม  ซึ่งวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ข้าพเจ้าต้องลอยละล่องข้ามมายังแดนมนุษย์ที่แสนเน่าเฟะไปด้วยกิเลสและตัณหา   สำหรับมนุษย์ที่อยู่ในดินแดนแห่งนี้ อาจคิดว่ามันเป็นเหมือนสุขาวดี แต่สำหรับข้าพเจ้า กลับเป็นดินแดนที่น่ารังเกียจ ขยะแขยงที่สุดชนิดที่ว่ากองขยะยังน่าอยู่กว่าสังคมของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยคนไร้ศีลธรรม มีแต่กรรมดำ มืดมนหาความสว่างมิได้   หากจินตนาการไม่ออกก็ลองคิดซะว่า ถูกบังคับให้กระโดดลงโถส้วม    ความรู้สึกของข้าพเจ้าที่ต้องมายังโลกมนุษย์ก็เหมือนกัน หากแต่ว่าความชินชาและประสบการณ์มันทำให้ข้าพเจ้าสามารถทนได้อย่างไม่น่าเชื่อ  ว่าแล้วเราก็มาดูเด็กหนุ่มที่ชื่อ เก่ง คนนี้ดีกว่า

                โฮ่ง!....โฮ่งเสียงแปลกๆ ที่ไม่สามารถสื่อความหมายเหมือนภาษามนุษย์ ดังก้องเข้ามายังหูซ้าย ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังลอยอยู่เหนือพื้นซีเมนต์กลางถนนประมาณ  30 เซน. ทำเอาข้าพเจ้าสะดุ้งเฮือก นึกว่าจะโดนเจ้าของเสียงทำร้ายเหมือนอย่างมนุษย์  และแน่นอนเจ้าของเสียงจะเป็นอะไรไม่ได้นอกจาก สุนัข  มันเป็นสัตว์ชนิดเดียวที่อยู่ใกล้ตัวมนุษย์และสามารถรับรู้ถึงการมาของตัวข้าเจ้าได้  

    นี่เจ้าเลิกทักทายแบบนี้เสียที ข้าตกใจ เจ้ารู้หรือเปล่าคำพูดทีข้าพเจ้าคิดว่านิ่ง สงบ และดูเป็นมิตรมากที่สุดเท่าที่ปัญญาหรือสมองของข้าพเจ้าจะสั่งการออกมาได้ ถูกปล่อยออกมาเป็นสายลม ซึ่งไม่รู้ว่าเจ้าตูบมันจะเข้าใจความหมาย หรือได้ยินหรือเปล่า

                แฮ่!....” เสียงคราง ขู่กรรโชกคือการตอบรับ มิตรไมตรีที่ข้าพเจ้าหยิบยื่นให้  จิตใจของข้าพเจ้าตกไปที่ตาตุ่มอีกครั้ง มันจะเอายังไงของมันวะเสียงบ่นพึมพำในใจของข้าพเจ้าดังขึ้น แต่ไม่กล้าออกเสียงเพราะกลัวเจ้าตูบมันจะไม่พอใจ และในขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดหาวิธีทำให้เจ้าตูบเงียบก็มีเสียงตะโกนออกมาจากบ้านหลังหนึ่ง

                จอนนี่!…….ไปทำอะไรหน้าบ้านหล่ะ  มากินข้าวเร็วมะ” ใช่แล้วเจ้าตูบนี่ชื่อ จอนนี่ ลักษณะและท่าทางของมันก็ไม่ได้แตกต่างจากสุนัขพันธ์ไทยธรรมดา มันมีขนสีดำสนิททั้งตัว แต้มด้วยสีขาวบริเวณหน้าอก  สิ้นเสียงเรียกก็ตามมาด้วยเสียงเคาะ ถาดข้าวสุนัข ที่เป็นพลาสติกดัง แก๊ก แก๊ก แก๊ก          พอเจ้าตูบได้ยินเสียง ก็หูตั้งวิ่งเข้าบ้านไปยังต้นเสียงอย่างไม่คิดชีวิต  ข้าพเจ้าจึงเหลือบตามองไปหาเจ้าของเสียง  และแล้วข้าพเจ้าก็ได้พบกับมนุษย์ที่คุ้นหน้ายืนจัดแจงอาหารใส่ลงไปในถาดข้าวสุนัข ใช่แล้วเขาคือเด็กหนุ่มที่ดูท่าทางแข็งแรง และร่าเริงคนนั้น

    เก่ง.......รีบมาทานข้าวเร็ว เดี๋ยวไปสอบไม่ทันนะลูกเสียงของหญิงวัยกลางคนดังออกมาจากข้างในตัวบ้าน  ข้าพเจ้าเดาได้ทันทีว่าเจ้าของเสียงนั้นต้องเป็นแม่ของ เก่ง อย่างแน่นอน เพราะบ้านหลังนี้มีคนอยู่ด้วยกัน แค่ 4 คน พ่อ แม่ และลูกอีกสองคน จึงเป็นไปได้ว่าเจ้าของเสียงนั้นคือผู้เป็นแม่ ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังครุ่นคิดถึงสถานะของครอบครัวนี้ เสียงตอบรับจากเก่งก็ดังขึ้น


                    “ครับ!”  อืม...... ช่างเป็นน้ำเสียงที่ใสซื่อ และแฝงไว้ด้วยความเคารพรักต่อผู้เป็นมารดาอย่างสุดซึ้ง ซึ่งถูกถ่ายทอดออกมาเป็นคำง่ายๆ และสั้น หากแต่ไม่รู้ว่า ผู้เป็นมารดาจะรับรู้ได้อย่างที่ข้าพเจ้ารู้สึกหรือเปล่า  มนุษย์ชอบมองข้ามในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก เพราะสิ่งเหล่านี้มักจะเป็นกลไกสำคัญของสิ่งใหญ่ๆ ที่รออยู่เบื้องหน้าเสมอ  สิ้นเสียงของผู้เป็นมารดาเด็กหนุ่มก็เดินกลับเข้าไปในบ้านโดยวางถาดอาหารให้เจ้าตอบไว้ตรงหน้าประตู



    อาจจะช้าสักนิดนะครับ เพราะผมแบ่งเวลาให้แค่ 2 - 3 ชม เรื่องมันอาจจะไม่ปะติดปะต่อ (หรือเปล่า) ก็ขออภัยด้วยนะครับ

    แล้วอีกอย่าง 1 ตอน ผมอยากให้มันเป็น 1 เรื่อง คือแนวๆว่า ยมทูต ตนนี้ เที่ยวไปดูชีวิตของเป้าหมาย หลายๆ คนอะครับ ถ้าทำแบบนี้ คนที่มาดูก็จะไม่รู้ว่าเราอัพเดตอะไร

    ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนเป็น ตอนที่1.1 (เลขตัวหลังคือ อัพเดตครั้งที่ 1 ) แบบนี้จะดีหรือเปล่า มันจะได้ อัพเดตตลอด หรือว่าเอาแบบเก่า ได้เท่าไหร่ก็เอามาแก้ใส่ แล้วนักเขียนท่านที่เขาชำนาญแล้วเขาพิมพ์ได้วันละกี่หน้าอะครับ ของผมแบบตึงมือก็ 3 4 หน้า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×