คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5
บทที่ 5
คุณเคยวิ่งหนีอะไรสักอย่างที่สุดชีวิตไหม……..
สำหรับผมการวิ่งหนีที่ผ่านมาในชีวิตที่เป็นตัวเป็นตนขึ้นมา
มันเทียบไม่ได้กับการซอยสปีดสุดฝีเท้าตอนนี้แม้แต่เศษหนึ่งในหมื่นเลย
“ เปลี้ยง , เปลี้ยง , เปลี้ยง!!!”
ฟ้าฝนคะนองนอกอาคารวิทยาศาสตร์สาดแสงสว่างแปลบปลาบเข้าสู่อาคารสีขาวที่สลัวลางด้วยเงาฝนจนดูพร่ามัว
กระจกรอบอาคารสั่นไหว
เกิดรอยร้าวขยายตัวออกไปเหมือนไยแมงมุม
ก่อนเสียงลั่นเปรี๊ยะและเสียงกรีดร้องอย่างสะใจจะกังวานลั่นตึก
“เพล๊ง เพล๊ง เพล๊ง เพล๊ง เพล๊ง……!!!”
“วี๊ดดด!!!”
เศษกระจกรอบข้างเหมือนลอยละล่องอยู่ในพายุ
คมกระจกบินหวือพุ่งเข้าหาผู้ที่กล้าเข้ามาท้าทายอำนาจเหนือธรรมชาติ
“ บ้าเอ้ย~”
คุณคำมีบ่นพร้อมวิ่งหลบไปตามทางลงบันไดแนวโค้งที่วนเวียนเป็นขั้นสวยงามแต่ตอนนี้มันทำให้เขาชักจะหงุดหงิดขึ้นมา
“ มึงต้องต๊ายยยย~~~~~”
คลื่นเสียงกรีดแหลมพร้อมเงาทะมึนที่ทาบปิดทางตรงหน้า กลิ่นเหม็นสะอิดสะเอียนและรอยยิ้มสยดสยองจากเบ้าตากลวงสีน้ำตาลคล้ำทำให้คุณคำมีเบรกตัวโก่ง
เมื่อมองผ่านร่างตรงหน้าไปดวงตาสีดำเข้มของคุณคำมีก็แข็งทื่อ…..
สายฟ้าแลบสว่างจ้าคงสาดส่องให้คุณคำมีมองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่หน้ากลัวจนดวงตาที่เคยนิ่งแข็งมึนๆ มาตลอดแข็งกระด้างขึ้นมาได้ฉับพลัน
“เปลี้ยง!!!”
สายฟ้าเส้นงอพุ่งลงสถิตบนยอดไม้ใหญ่ห่างออกไปไม่ถึงสิบเมตรจากอาคารวิทยาศาสตร์
คุณคำมีกระตุกตัวสะดุ้ง เหมือนหลุดจากดวงตาสีแดงฉานเรืองรองที่ไอหมอกสีดำค่อยๆ ไหลลงมาขึ้นรูปรวมตัวกลายเป็นมือขนาดใหญ่สีแดงฉานขยับยื่นออกจากหมอกสีแดงก่ำเคลื่อนเข้าหาคุณคำมีที่ถอยกลูดอย่างตกใจในสิ่งที่เหนือสามัญสำนึกจะเข้าใจตรงหน้า
“ ไอ้หมอเอ๊ยมึงบอกให้กูไม่เชื่อเรื่องผี ห่าแล้วที่เกิดขึ้นกับกูนี่หละ~”
นี่เป็นชั้นสองถ้าเขาไม่ถอยจนสุดขอบระเบียงและตัดสินใจกระโดดเขาจะต้องหลุดเข้าไปในโลกสีแดงก่ำที่ลุกท่วมด้วย
เพลิงแห่งความพยาบาทแสงสว่างแดงโร่จากความอาฆาต
และความหน้าสยดสยองอย่างไร้ที่สุดแน่ๆ
ไม่มีใครรู้ว่า คุณคำมีมองเห็นอะไร
ที่ถึงกับทำให้ชายหนุ่มที่ทำหน้ามึนมาทั้งวันใบหน้าซีดลงอย่างตกใจ
เท้าถอยถึงขอบระเบียงชั้นสองที่กระจกบานใหญ่แตกร้าวเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยปลิวไปกับพายุที่กระหน่ำภายนอก
สายฝนเย็นยะเยือกพัดพาละอองหนาวเหน็บเพียงชั่วเสี้ยวไม่ถึงนาที ทั่วทั้งตัวก็เปียกโชกด้วยน้ำเย็นจัด
ทำให้เขามีสติขึ้นมา
มือแดงฉานขยับเข้ามาใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น
ดวงตาเหลือกที่ควรเป็นสีขาวแต่เมื่อยามสะท้อนกับสายฟ้าเส้นเลือดเล็กๆ แตกลงพร้อมกันปลดปล่อยปริมาณเลือดมวลมหาศาลย้อมดวงตาสีแดงก่ำในค่ำคืนสีมืดมิด
“ หนึ่งสองสามไปตายเอาดาบหน้าโว่ย~”
เท้าสัมผัสได้ถึงอากาศที่ว่างปล่าว
จมูกสัมผัสได้ถึงรสเลือดที่ลอยฟุ้งผ่านจมูกไป
ร่างดิ่งลงกระแทกกับกิ่งไม้จนหักลู่ไปเป็นทางยาว
แสงแดงฉานจากเบ้าตากลวงลึกหน้าสะพลึงสาดสว่างอย่างหมายมั่น
กระจกนับร้อยชิ้นบ้างใหญ่บ้างเล็กบ้างคมบ้างแหลมบินติดตามลงไปในพุ่มไม้ที่มีเสียงร้องประสานกันดังขึ้นมา
“ โอ้ย/แอ๊ก!!!~~~”
ในค่ำคืนฝนกระหน่ำฟ้าคำรามทำให้โลกทั้งโลกกลายเป็นเงียบเหงาเดียวดาย
บนพุ่มไม้ดอกหน้าอาคารวิทยาศาสตร์สองร่างกำลังนอนจุกและมองเศษคมกระจกนับร้อยที่ควงตัดอากาศพุ่งเข้าหาอย่างหมดทางรอด
“ โอ๊ย เจ็บจัง~”
เพนกวิ้นได้รับสายฝนกระหน่ำเทย้อมทั้งเนื้อทั้งตัวจนเปียกโชกเป็นลูกหมาตกน้ำ
คุณคำมีนั่นแย่ยิ่งกว่า
ทั้งตัวเต็มไปด้วยแผลถลอกและเลือดที่ไหลซิบไม่หยุด
แต่เขาก็ยังมีความเป็นสุภาพบุรุษที่เอาแผ่นหลังกระแทกพื้นเพื่อให้เพนกวิ้นปลอดภัย
แต่เพราะการกระทำนี้ทำให้เขาลุกไม่ขึ้น
“ เวลานี้ไม่ใช่มาบ่นว่าเจ็บไม่เจ็บน้ะ ทำไงก็ได้ให้หนีพ้นเศษกระจกพวกนี้ก่อน”
คุณคำมีตะโกนแข่งกับเสียงฝนและสายฟ้าคะนองที่สาดแสงสว่างผ่านทั้งสองที่นอนหมดทางหนีไปแปลบปลาบ
เพนกวิ้นเอียงหูลงฟังคำพูดที่ไม่ค่อยชัดเจนก่อนเธอจะรีบเหลือบตาขึ้นมองด้านบน
ร่างทะมึนที่เธอพบที่ชั้นห้ากำลังล่องลอยขึ้นช้าๆ และค่อยๆ เคลื่อนใกล้เข้ามาจากชั้นสอง
สายน้ำสีแดงชโลมตามระเบียงที่ร่างขนาดยักษ์กว่าสองเมตรล่องลอยผ่าน
เสียงหัวเราะแหลมชวนขนลุกทำให้เด็กสาวตัวแข็งทื่อ
คมกระจกนับร้อยชิ้นบินหมุนอยู่รอบๆ ร่างเหนือปาฏิหาริย์ตรงหน้า
“ แกทำตัวเองนะเวิ่ย~”
ชายหนุ่มสะดุ้งเมื่อเด็กสาวกระโดดลุกขึ้นโดยมีแผ่นอกแข็งแรงของเขาเป็นฐานรองเท้า
เพนกวิ้นยกมือซ้ายขึ้นนาฬิกาในข้อมือส่องสว่างสีส้มจางๆ
การว่าด้วย กัมมันตภาพรังสีในการเรียนวิทยาศาสตร์แล้ว
แบ่งรังสีออกเป็นสามระดับ มีค่าความทะลุทะลวงต่างกันออกไปตามแต่คุณสมบัติของรังสีและวัตถุที่สามารถทะลุผ่านได้นั้นๆ
“ Grama”
แสงสีส้มเข้าห่อหุ้มหน้าปัดนาฬิกาพร้อมกับสายฟ้าที่กระพลิบสว่างขึ้นบนท้องฟ้าเหนือศีรษะสูงขึ้นไปหลายร้อยเมตร
ติดต่อกันเป็นทรงโดมสว่างที่มีกระแสไฟฟ้าไหลวนไปรอบเขตทรงกลมฟ้าขนาดเล็กเบื้องบน
“action”
กฎข้อที่สามของนิวตัน ได้กล่าวไว้ว่า
สิ่งที่วัตถุหนึ่งกระทำต่อวัตถุสองจะเท่ากับวัตถุสองกระทำต่อวัตถุหนึ่ง
รังสีแกรมมาที่บรรจุด้วยอำนาจการทะลุทะลวงสูงพุ่งขึ้นสู่ผืนฟ้าเข้าสู่ศูนย์กลางของวงโคจรสายฟ้า
แสงสว่างแลบแปลบเมื่อวงการโคจรถูกทำลายสมดุล
สายฟ้าเริ่มแตกปะทุออกจากรอบข้างอย่างหน้ากลัว
และแล้วปฏิกิริยา Reaction ก็สำแดงผล
สายฟ้าไหลเข้ารวมศูนย์เป้าหมายก็คือเพนกวิ้น
ที่กระโดดลงจากตัวคุณคำมีทิ้งชายหนุ่มให้ตาค้าง
เด็กสาวเอียงหน้าปัดนาฬิกาทำมุมสี่สิบห้าองศาพอดีกับที่ร่างหุ่นทดลองทางชีวะที่ภายในมีดวงวิญญาณสิงสถิตอยู่ด้วยความอาฆาต
ล่องลอยเข้ามาถึง
“ ไปเกิดใหม่ไป๊~~~”
เพนกวิ้นรู้สึกถึงกระแสไฟฟ้าที่ไหลวาบผ่านตัวพุ่งเข้าสะท้อนกับหน้าปัดนาฬิกาพุ่งเข้าแตกระเบิดอัดกระแทกหุ่นทดลองทางชีวะที่ปลิวไปกระแทกอาคารวิทยาศาสตร์ที่อาคารด้านหนึ่งถึงกับแตกยุบเข้าไปเป็นรูปตัวคน
“เปลี้ยงงงง!!!!”
เสียงกรีดร้องโหยหวนแผดลั่นขึ้นจนสายฟ้าและไอน้ำลอยละล่องทั่วอากาศ
เพนกวิ้นตัวสั่นเพราะกระแสไฟฟ้าสถิตไปทั่วตัว
คุณคำมีที่กระโดดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจรีบวิ่งเข้ามารับร่างบางที่กำลังจะล้มไว้
“เปรี๊ยะ~”
เพนกวิ้นและชายหนุ่มนามคำมีกระตุกขึ้นพร้อมกัน กระแสไฟฟ้าที่สถิตทั่วร่างของเพนกวิ้นเหมือนจะสาบสูญไปเมื่อได้เห็นคนตรงหน้าผ่านเพียงแสงวาบเดียวของสายฟ้า
แต่ก็นานพอที่จะทำให้เธอตกใจกับความหน้าตาดีที่เขาพยายามปิดบังมันไว้มาทั้งวัน
บัตินี้หมวกแก๊บคู่ใจได้บินหายไปกับสายลมแรงที่กระพือพัดจนทั้งคู่ตัวสั่น
“ เป็นอะไรรึเปล่า ?”
คุณคำมีเหลือบซ้ายขวาก่อนตัดสินใจสอดแขนแข็งแรงช้อนเข้าใต้ข้อพับขาและท้ายทอยอุ้มร่างบางที่ลืมนิสัยเกรียนของตัวเองไปชั่วคราว
ถ้าจำไม่ผิดเวลาที่ผ่านมาเมื่อเธอกับเขาสบตากันเป็นครั้งแรก เหมือนจะเกิดไฟฟ้าสถิต…..
แต่เด็กสาวอย่างเพนกวิ้นไม่เคยมีความเชื่อเรื่องรักแรกภพหรืออะไรเทือกนี้ในหัวมาก่อน
ในสมองของเธอมีแต่วิทยาศาสตร์และความเกรียนเทพ
จู่ๆ ความอ่อนเพลียก็เข้ามาจู่โจมจนฉุดสติให้เข้าสู่ผวังการหลับลึกไปอย่างไม่ทันเตรียมตัว
ชายหนุ่มออกวิ่งอีกครั้ง ถึงแม้ทั้งตัวจะร้าวระบมไปทั่วทุกส่วน
ทิ้งความหน้าสะพลึงและความท้าทายที่หมดลง โดยเขาหารู้ไม่ว่า....การกระทำของเขาและเธอในวันนี้จะนำมาสู่โศกนาฏกรรมอันน่าสะพลึงกลัวในเวลาต่อมา
แสงไฟลำจ้าสาดสว่างมาจากข้างหน้า
คุณคำมีเงยหน้าขึ้นมอง เวลานี้เขาวิ่งห่างโรงเรียนออกมากว่าสามกิโลเมตรแล้ว
เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะลองขอติดรถชาวบ้านแล้วหาทางพาเด็กสาวในวงแขนไปส่งบ้าน
“ ปิ้มๆ” เสียงแตรรถดังกังวาน
พร้อมกับเขาที่ร้องขอไปก่อนจะมองหน้าคนขับรถ
“ พี่ครับขอติดรถไปด้วยได้รึเปล่าครับ ?”
“ เฮ้ย ไอ้คุณคำมี~ มึงไปทำไรมาขึ้นรถก่อน ?”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคนขับอย่างไม่อยากเชื่อหู
นิติเวชหนุ่มในเสื้อคลุมแพทที่หน้ายุ่งกำลังจ้องเขาอย่างแปลกใจสุดๆ
ในตาของเพื่อนสนิทเต็มไปด้วยคำถามแต่เขาก็ยังไม่เอ่ยอะไร เสียงทุ้มอีกเสียงหนึ่งก็ถามมาก่อน
“ นี่มึงไปทำอะไรมาทำไมสภาพเละขนาดนี้ ?”
ชายหนุ่มในชุดตำรวจกองปราบยศสารวัดชะโงกหน้ามามองคุณคำมีบ้าง
ในตาสีเหล็กของคุณตำรวจก็ทอแววเคร่งเครียดไม่แพ้กัน
“ เอาเป็นว่าให้กูขึ้นรถก่อน เดี๋ยวค่อยคุยกัน”
เพราะฉะนั้นอีกไม่นานต่อมา สามเพื่อนสนิทที่นานๆ ที่เวรกรรมจะได้บันดาลให้พวกเขามาเจอกันสักที
ก็เข้ามาสู่ในห้องโดยสารแคบๆ
ตลอดไรทางเต็มไปด้วยความเงียบ
ก่อนคุณคำมีจะเอ่ยทำลายความเงียบรอบข้างขึ้น
“ พวกมึงทำไมผ่านมาทางนี้ได้หละ ?”
คุณหมอหนุ่มยังตั้งใจขับรถไปข้างหน้า สารวัดหนุ่มยกเครื่องดื่มในมือขึ้นจิบอย่างไม่คิดจะตอบเพื่อน หรือไม่งั้นก็คงไม่มีอะไรจะตอบ
“ มึงไม่ต้องถามซ้ำหรอกไอ้คุณคำมี กูกำลังจะบอกข่าวร้าย ศพที่ถูกเก็บในห้องเก็บศพของโรงพยาบาลหาย ทุกศพ ทั้งที่ส่งไปในวันนี้สองศพทีมแพทย์ชันสูตรกำลังจะเอาออกมาชันสูตรแต่พอเปิดลิ้นชักออก หึๆ หายหมด
เท่านั้นยังไม่พอเวิ่ย มึงดูนี่ ”
สารวัดหนุ่ม เขี่ยกระดาษในมือที่คลึงเล่นอยู่โยนมาให้เพื่อนที่คลี่เปิดอ่านกับแสงไฟสีส้มเหนือหัว
‘ ไม่ว่าพวกมึงจะเป็นใครอย่าคิดจะมายุ่งกับพวกกู ไม่งั้นขอเตือนไม่ตายดีแน่’
คุณคำมีเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน แล้วนิ่งคิดไปหูก็รับฟังเพื่อนสารวัดที่พ่นลมหายใจแรง
เส้นทางที่มุ่งหน้าไปเป็นเส้นทางที่ข้อนข้างเปลี่ยวร้างคน
คุณคำมีไม่ต้องเดาว่าเพื่อนจะไปไหนเขาก็รู้
บ้านพักแพทย์นิติเวชที่อยู่สูงขึ้นไปเหนือระดับบ้านพักข้าราชการทั่วไป
ที่ทั้งมืดและเปลี่ยว
“ เอ่อ..กูถามมึงหน่อยได้ไหม จะถามตั้งแต่มึงพาขึ้นรถแล้วหละ ?”
คุณหมอเลี้ยวรถเข้าสู่ทางโรยกรวดมุ่งหน้าขึ้นสูงไปอีก
สารวัดหนุ่มก็นิ่งฟัง เหมือนรอคำตอบจากเพื่อนผู้กำลังเอนตัวเคร่งเครียด
“ ว่า ?”
“ เด็กที่มึงอุ้มมา นี่...มึงไปคว้าเธอมาจากไหน~ ?”
คุณคำมีมองคนที่ลมหายใจสม่ำเสมออย่างเดาความรู้สึกไม่ออก
“ แค่เด็กกลับบ้านช้า กูจะไปส่งเขากลับบ้าน “ เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันทำไมต้องโกหกเพื่อนด้วย
แต่จะให้เขาอธิบายเดี๋ยวไอ้หมอก็คงหาว่าเขางมงาย
แต่ถ้าเป็นคุณสารวัดละก็ ไม่แน่นัก….
“ มึงพูดแบบนี้ เหมือนดูถูกอาชีพกูนะเวิ่ยไอ้คุณคำมี กูสารวัดกองสืบสวนพิเศษฆาตกรรมและอาชญากรรมน้ะ”
คุณคำมียกมือขึ้นก่ายหน้าผาก ก่อนส่ายหน้าอย่างยอมแพ้เพื่อนทั้งคู่
แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ความสงสัยในกลางวัน เรื่องที่พบ เจอ และได้ประสบมากับตัวเองก็หลุดออกจากปากคุณคำมีทำให้เพื่อนทั้งคู่หน้านิ่งคิดเข้าไปอีก
“ ขอโทษเถอะ กูไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้เท่าไร กูคงพูดไม่ได้ว่าเชื่อเต็มร้อย
แต่กูคิดว่ามึงไม่โกหก แต่มึงบอกว่ายัยเด็กม.ต้นนี่มีอะไรที่จัดการเจ้าวิญญาณในหุ่นงั้นได้เหรอ ?”
นิติเวชหนุ่มมองสภาพที่ไม่เหลือชิ้นดีของทั้งเพื่อนและเด็กสาวที่เพื่อนอุ้มไว้ไม่ยอมปล่อย
“ อื่ม กูคิดว่า แค่คิดน้ะ
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดวิญญาณนั่นน่าจะสลายไปเกิดใหม่แล้วมั้ง”
“ มันคงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกเวิ่ย ทุกอย่างมีเหตุและผลในตัวเอง ถ้ามึงคิดว่าหุ่นมีวิญญาณแล้วถูกฟ้าผ่าวิญญาณจะตาย มันก็ไม่แน่น้ะมึง”
สารวัดกองปราบเดินลงจากรถก่อนเป็นคนแรก
เมื่อพาหนะรุ่นใหม่ทันสมัยที่สุดในประเทศคลานเข้ามาจอดหน้าบ้านสีขาวขนาดกลางที่ซ่อนตัวเงียบเชียบอยู่ในต้นไม้ใหญ่หลายต้น
“แล้วมึงจะทำอะไรไอ้คุณคำมี ?”
เพื่อนนิติเวชรีบถามเมื่อเห็นคุณคำมีอุ้มเด็กสาวเก้าลิ่วๆ นำหน้าทั้งสองเข้าไปในบ้านก่อนเป็นคนแรก
“ อาบน้ำให้เด็กนี่ไง~” คุณคำมีบอกก่อนจะแหงนหน้ามองฟ้าที่ฝนยังตกกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตา
สองหนุ่มตาเหลือกรีบวิ่งตามเพื่อนคนทำความสะอาดเข้าไปส่วนหลังของบ้าน
“เฮ้ยเมิงงง อย่านะเวิ่ย ไม่งั้นกูจับมึงพากผู้เยาว์นะเวิ้ย~”
สารวัดหนุ่มรีบวิ่งตามเข้ามาจนถึงหน้าห้องอาบน้ำก่อนคุณคำมีจะเก้าเข้าไปเพียงเก้าเดียวและบอกพร้อมหอบ
“ บ้าน่าพวกมึงคิดอะไร กูจะปลุกยัยเด็กนี่ขึ้นมาให้อาบน้ำแล้วค่อยไปส่งกลับบ้าน”
ถ้าทั้งคู่ไม่ได้สนิทกับคนตรงหน้ามาตั้งแต่ประถมมัธยมยันจบอุดมศึกษา คงจะเชื่อการบอกหน้าตายของคุณคำมี
สองหนุ่มหรี่ตาแล้วพูดแทบจะพร้อมกัน
“ ไอ้แก่หื่นเอ๊ย มึงจะกินเด็กหรือไง~~”
ชายหนุ่มทั้งสามเดินออกมาคุยกันในห้องรับแขกขนาดเล็ก บนใบหน้าของทุกคนมีแต่ความเคร่งเครียด
“ กูได้ข้อมูลเรื่องผอ.สมคิดมาแล้ว” สารวัดหนุ่มโยนซองเอกสารสีน้ำตาลขนาดเล็กให้คุณคำมีที่รับมาเปิดไล่สายตาผ่านพร้อมใช้สมองวิเคราะห์ทุกอย่างที่ผ่านสายตาไป
“ ถูกฆาตกรรม พบแต่ลำตัวไม่มีศีรษะ ลูกสาวและภรรยาสูญหายอย่างเป็นปริศนา มีแต่ความดำมืดน้ะ”
นิติเวชหนุ่มชะโงกหน้ามองแล้วร่วมวิเคราะห์
“ มันจะเป็นไปได้ไหมที่การถูกฆาตกรรมปริศนามันเกี่ยวกับผีที่มึงเจอวันนี้”
นายตำรวจหนุ่มพูดยังไม่ทันจบ แสงไฟในห้องก็ดับลง
สามหนุ่มนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อ ด้านนอกสายฟ้าคะนองคำรามลั่น
แล้วก็ตามมาด้วยเสียง
“ ขอโทษค่ะ ปิดสวิตช์ผิด พอดีหนูจะปิดไฟห้องน้ำ”
สองหนุ่มทั้งแพทย์และตำรวจได้แต่อึ้ง
ส่วนคุณคำมียังคงทำหน้ามึนได้ตามเคย
เนื่องจากทั้งสามสวมชุดลำลองและหน้าตาซุดโซมเหมือนรปภ. ทำให้เพนกวิ้นที่สวมเสื้อยืดตัวใหญ่ของคุณคำมีและกางเกงบ๊อกเซอร์ตัวเก่าที่ชายหนุ่มไม่ได้ใช้หลายปีแล้ว
มองทั้งสามที่นั่งคุยกันเหมือนเพื่อนสนิททั่วๆ ไป อย่างไม่ได้เก็บรายละเอียดอะไรมากมาย
ชายคนเดียวในห้องที่ทำหน้ามึนได้ตลอดพูดตัดความเงียบขึ้นมาก่อน
“ น้องบ้านอยู่ไหนน้ะ เดี๋ยวให้ลุงไปส่ง” อีกสองหนุ่มที่เหลืออึ้งสนิท เดี่ยวนี้ไอ้คุณคำมีที่อายุยังไม่แตะยี่สิบห้าดีมันเรียกตัวเองว่าลุงแล้วเหรอวะ?
“ ไม่ดีกว่าค่ะ หนูไม่ไว้ใจลุงเลย ลุงก็เป็นพวกไอ้แก่ลามกพยายามกินหญ้าอ่อน~~~~”
นั่นไง นี่คือความคิดของสองหนุ่มเพื่อนสนิทมาหลายสิบปี
แต่เด็กนี่ เจอคุณคำมีไม่ถึงวันก็รู้เช่นเห็นชาติเลยวุ้ย แบบนี้คงมีอะไรหน้าเฮ
ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน
“ น้องเพนกวิ้นครับ ตื่นเร็วครับ ถ้านอนแล้วไม่อาบน้ำจะไม่สบาย”
คุณคำมีวางเด็กสาวที่ตั้งแต่ออกจากตึกวิทเขาก็ไม่เคยปล่อยเธอเลย
ลงบนโซฟาหนังและเขย่าศีรษะเล็กได้รูปเบาๆ และจากเบาๆ ก็เริ่มเพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่ง
“ เขย่าเฮี่ยไรนักหนาวะ~~ ?” เด็กสาวสบถและชกหมัดไปในอากาศมั่วขณะไม่ลืมตา
ก่อนจะพลิกตัวซุกหน้าเข้ากับความนุ่มของโซฟาขนาดใหญ่ และหลับต่อไป
คุณคำมีถอนใจและเหลือบมองเพื่อนสนิทอย่างเซ็งๆ เจ้าสองตัวนี่กลัวเขาจะพากผู้เยาว์จริงๆ เหรอ
“ กวิ้นครับ ตื่นเร็วครับ ไม่งั้นผมไม่รับประกันนะครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น” สองเพื่อนสนิทตาค้างเมื่อคุณคำมีเริ่มวางมือลงไปบนต้นแขนของเด็กสาว
คนที่กำลังเคลิ้มด้วยความง่วงรีบกระเด้งตัวขึ้นปลายเท้าเฉียดจมูกคุณคำมีไปนิดหนึ่ง
เพนกวิ้นยืนบนโซฟาก่อนจะกระโดดลงจากโซฟาแล้วเหลือบมองรอบข้างอย่างตื่นตกใจ
“ พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยกวิ้นด้วย จะโดนผู้ชายลุมโซมแล้วววว~~~“
อะไรกันเนี่ย ตอนแรกเห็นนอนเงียบๆ นึกว่าจะเป็นสาวหวานแหวว แต่นี่พวกเขาโดนพ่วงว่าจะไปข่มขืนเด็กแล้วเรอะ
เพราะฉะนั้น สองหนุ่มจึงเผ่นแน็บวิ่งออกจากห้องแทบไม่ทัน
ปล่อยให้คุณคำมีมองร่างเพรียวด้วยดวงตาปลิบๆ
“ ไปอาบน้ำก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวไม่สบายหนัก”
เพนกวิ้นจะอ้าปากด่าภารโรงแก่หื่นตรงหน้า
อาการคัดจมูกก็พุ่งขึ้นมาจุกก่อนจะจามเสียงดังลั่น
ติดต่อกัน
“ ฮัดชิ่ว ฮัดชิ่ว ฮัดชิ่ว~~~~~“
คุณคำมีส่ายหน้ายิ้มๆ
ก่อนส่งผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ที่เขามักจะเอามาไว้บ้านเพื่อนรักในยามที่เขาหนีงานจากในเมืองมา
“ ไปอาบน้ำเถอะครับ เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จแล้วค่อยมากินอะไรร้อนๆ แล้วค่อยกลับบ้าน”
คุณคำมีไม่สนใจดวงตาขัดขืนและในที่สุดเขาก็สามารถจับเด็กเกรียนโยนเข้าไปในห้องอาบน้ำพร้อมชุดเปลี่ยนเรียบร้อยได้
ถึงแม้จะต้องเสียเลือดเสียเนื้อหูชาเพราะคำด่าที่ตามหลังมา
…
“ ผมไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าเดิมนี่ครับ ผมทำจริงก็เอาหลักฐานมา……”
“ ก็เอาหลักฐานมาอ้างสิ นี่มันคำพูดของพวกคนแก่หื่นข่มขืนเด็กชัดๆ อย่า อย่าคิดจะอ้าปากเถียง”
เพนกวิ้น:
คุณคำมี:
ก่อนหนึ่งภารโรงหื่นและเด็กสาวจอมเกรียนจะได้คุยอะไรกันต่อนิติเวชหนุ่มและ นายตำรวจที่ไปหาอะไรกินในห้องครัวก็กลับมา
“ ขอโทษพอดีกูต้องเอารถเข้าเมืองด่วนเลย ตอนนี้มีเคสพิเศษมา ขอตัวก่อนน้ะ “ คุณคำมีกะพริบตาปลิบ
นิติเวชหนุ่มบอกก่อนรีบผลุนผลันออกจากบ้านไปโดยไม่เหลียวหลัง แบบนั้นแหละ คือนิสัยของเพื่อนผู้เสียสละเพื่อสังคม หน้าที่มาก่อนเรื่องส่วนตัวเสมอ
นายตำรวจหน้าตึงขึ้นมาอีกครั้งหลังจากแยกออกไปรับโทรศัพท์
“ เฮ้ย กูไปก่อนนะไว้เจอกันพรุ่งนี้ที่ร้านประจำ มีคดีเข้ามาอีกแล้วหวะ”
ผู้พิทักสันติราชก็วุ่นวายไม่แพ้หมอเลยสิน้ะ
สองหนุ่มหายไปแล้ว
ทิ้งให้คนหนึ่งคนกำลังกลุ้มกับคนอีกคนที่มัวแต่ดื่มไมโลร้อนอย่างสบายอกสบายใจไม่ทุกร้อนใดๆ แม้แต่น้อย
เพนกวิ้นมองนาฬิกาแล้วได้แต่ส่ายหน้าเสียดาย
คลื่นโทรศัพท์ไม่มี นาฬิกาน้ำเข้าขนาดนี้หลายวันกว่าจะแห้ง
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองข้ามโต๊ะเตี้ยไปดวงตาสีดำสวยทั้งคู่ก็หยุดบนใบหน้าของชายหนุ่มที่โน้มตัวมาข้างหน้าดวงตาใช้ความคิด
ขนตาเรียงเป็นแพรสวยปกปิดดวงเนตรสีเข้มให้เหมือนล่องลอยอยู่ในมนตร์สะกด
จะว่าไปหมอนี่ก็ตาสวยเป็นบ้าเลย
ถ้าไม่ติดที่ไม่ชอบยิ้มกับนิสัยหื่นๆ นั่นละน้ะ
แล้วคนนิสัยหื่นๆ ก็ประกาดด้วยความจริงจัง
“ คืนนี้ น้องคงกลับบ้านไม่ได้แล้วครับ
เหตุผล หนึ่ง ผมไม่มีรถไปส่ง และนี่ก็ห่างจากบ้านน้องเป็นร้อยกิโลเมตร
สองข้างนอกถ้าจะเดินไปก็เลิกฝันเถอะครับ
สามคือผมง่วงแล้ว”
เพนกวิ้นอยากจะทำอะไรก็ได้ให้ริมฝีปากสีชมพูอ่อนนั้นหยุดพูดหรือบางทีก็จะให้เลือดกบปากเลยก็คงดี
“ ไม่นะ ฉันไม่นอนที่~~~นี่”
By ผีหิมะ
………………………***
ความคิดเห็น