ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    the three haunt of high school.

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4

    • อัปเดตล่าสุด 14 ส.ค. 60


            บทที่ 4

     

     

        บนอาคารเรียนภาษาไทยนั้น ข้อนข้างสะอาดในบางจุดและข้อนข้างสกกระปรกในบางจุด เพราะเหตุผลง่ายๆ ก็คือ เด็กกวน….ภารโรง

    บนชั้นสี่คุณคำมีลากไม้ถูสลับกลับไปกลับมาหน้าห้องเรียน 3/1 ไปจนถึงสุดระเบียงซึ่งเป็นห้องพักครู เสียงวิเวกแว่วโหยหวนดังออกมาจากข้างใน ไม่ใช่เสียงอะไรไกลอย่าคิดมาก

    แต่เป็นเสียงนักเรียนท่องบทอาขยานนั่นเอง

     ลุงคำมี ลุงเหรอครับที่จับก้นไอ่กวิ้น ?”

    ระหว่างการทำงานนั้นเหมือนคุณคำมีจะปล่อยสมองคิดเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นเครียดของโรงเรียนอยู่ เลยทำให้คำถามของเด็กหนุ่มร่างผอมที่ยืนกอดอกเก๊กลอยผ่านหูไปโดยไม่ได้รับความสนใจแม้แต่น้อย

      ลุงคำมี  ลุงคำมี…… ไอ้คำมี~~~”

    ชายหนุ่มสะดุ้งและเงยหน้ามองนักเรียนหนุ่มที่ส่วนสูงน้อยกว่าอกเขาเสียอีกอย่างงงๆ

      มีอะไรเหรอครับ อยากให้ผมไปทำความสะอาดที่ไหน ?

    หน้าตาเหรอหราของลุงคำมีทำให้ นักเรียนหนุ่มพ่นลมหายใจอย่างเหยียดๆ

      ปล่าว ผมถามว่าลุงไปจับ….เพนกวิ้นเหรอ ?

    ลุงคำมีเงยหน้าขึ้นยิ้มแต่ไม่มีคำตอบจากชายหนุ่มคนทำความสะอาด

    เด็กหนุ่มที่ยืนจ้องเหมือนจะกินเลือดกินเนื้ออยู่อารมณ์เดือดปุดขึ้นมาทันที

    ยิ่งเห็นคนตรงหน้าที่ยิ่งดึงแก๊บของหมวกลงมาปิดหน้าปิดตามากขึ้นกว่าเดิมอีก ทำให้เด็กหนุ่มอยากซัดปากไอ้ภารโรงนี่

    ซักที

    แต่เสียงเรียกของครูที่เห็นศิษย์หายออกนอกห้องมานานก็เรียกก่อน

     

      เด็กสมัยนี้ ไม่คิดไม่ใช้สมองจริงๆ เฮ่ออ!”

    คุณคำมีหันหลังกลับเพื่อจะเอาไม้ถูพื้นไปเก็บก็แทบสะดุ้ง

    ครูสาวในชุดข้าราชการยืนจ้องเขาตาเขียว

      เป็นคนทำความสะอาดมาวิจารณ์นักเรียนได้หรอค้ะ?

    คุณคำมียิ้มแห้งๆ แล้วรู้สึกใจสั่นลงไปถึงขา ชิบหาย ยัยต้นฝ้ายย้ายมาบรรจุที่นี่เหรอวะ~~~

     

      เอ่อ...ไม่มีครับ.... เอ่อยังไงผมขอตัวก่อนน้ะครับ ครูต้นฝ้าย

    เพราะความตกใจสุดขีดทำให้ชายหนุ่มเผลอเรียกชื่อของอีกฝ่ายไปอย่างลืมตัว ก่อนจะรีบวิ่งเผ่นแน็บไม่หันกลับมาด้านหลังที่ครูสาวด้านหลังกำลังทำหน้างงและยกมือจะเรียกชายภารโรงที่หายไปจากมุมบันได

    แต่เธอก็ได้แต่ถอนหายใจ แล้วเดินเข้าห้อง3/1 ไปเพื่อสอนในวิชาถัดไป

     

     

     

      ชิบหายไอ้หมอ ยัยต้นฝ้ายย้ายมาบรรจุที่โรงเรียนนี้หวะ ทำไมกูไม่รู้ว่ะ?

    คุณคำมียืนพิงต้นไม้ใต้อาคารภาษาไทยในมืออีกข้างก็ทำท่ากวาดพื้นด้วยไม้กวาดแซ่มะพร้าวไปอย่างเนียนๆ

    อ้าว เหมือนยัยต้นฝ้ายก็บอกพวกเราแล้วนี่หว่า ว่าจะย้ายไปบรรจุไกลเมือง กูนึกว่ามึงรู้แล้ว คุณหมอในสายกลอกเสียงมาตามสาย

      เออ ก็ดีนะเวิ่ย ที่ในโรงเรียนห่างไกลความเจริญยังมียัยต้นฝ้ายอยู่ มึงมีอะไรก็บอกเจ๊เขาให้ช่วยแล้วกัน ไอ้หมอมันพูดสบายๆ เหมือนไม่รู้ตัวกับสรรพนามที่เปลียนจาก ยัยต้นฝ้ายเป็น

    เจ๊

    ชิบหาย เออว่าแต่ได้ที่ตั้งแล้วน้ะ มึงก็ไปตามที่กูส่งข้อมูลไปให้ทางโทรศัพท์แล้วกัน คุณคำมีทิ้งไม้กวาดแล้วยกมือเกาหัวอย่างไม่รู้จะทำไงดี

    เออๆ ได้แล้ว ระหว่างทางกูแวะไปหาไอ้คุณสารวัดมา แม่ง คุณสารวัดแทบจะเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาเป็นคนเสพยาเองละ มืดแปดด้านไม่มีเบาะแสอะไรซักอย่าง

    ไอ้สารวัดติดต่อกับพวกรองสามพี่น้องทางนั้นก็หัวหมุนเหมือนกัน

    ชายหนุ่มฟังเพื่อนบอกเงียบๆ โดยไม่ได้ออกความคิดเห็นใด

    หลังจากวางสายจากเพื่อน คุณคำมีก็ออกเดินไปหาอะไรกินเพราะตั้งแต่เช้าแล้วที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องเขาเลย

     

     

      โชคดีน้ะ ที่กันภารโรงออกไปจากชั้นห้าได้ น้ำเสียงหนึ่งเปรยขึ้น

    ท่ามกลางกองเอกสารสูงเลยหัว

    ความเงียบบนชั้นห้าของอาคารวิทยาศาสตร์ยังคงความเงียบงันอันวังเวงได้เหมือนเคยไม่เปลี่ยนไป

    น่าแปลก แสงตะวันเบื้องบนฉายแสงแรงกล้าแต่กลับส่งพาดผ่านเข้ามาในหลังคาทรงโดมของชั้นห้าได้อย่างสลัวมัวบาง

    ความอึดอัดอันไร้ที่มาความกดดันที่แผ่กระจายในอากาศเหมือนมีสาเหตุมาจากแก้วตาสีดำที่อาบไล้กับแสงตะวันยาม

    บ่ายแก่ใกล้เย็นดูเรืองรองเป็นสีทับทิมอ่อนหน้าขนลุก

    ของหุ่นทดลองชีวะ

      แล้วเรื่องหุ่นผีนี่หละพี่เราจะเอาไงดี ?

    ครูสาวผู้มีอายุการทำงานและใบหน้าอ่อนเยาว์ที่สุดเอ่ยถามผ่านกองเอกสารออกมา

    ทำให้บรรยากาศดูเยือกเย็นลงอย่างหน้าหวาดหวั่น

    ความเย็นยะเยียกบางอย่างไหลผ่านเส้นผมจรดปลายเท้าทำให้ครูทุกคนสยิวกายอย่างเหน็บหนาวไปชั่วขณะหนึ่ง

    หุบปากไปเลยน้ะ อย่าพูดถึงมันอีก มันตายไปแล้วอย่าได้รื้อฟื้นมันขึ้นมา ~~~~~”

    ไม่มีใครรู้ว่าแก้วตาดำของหุ่นชีวะมีหยดน้ำสีแดงค่อยๆ ก่อตัวไหลเข้ารวมกันขยายขึ้นเป็นม่านตาสีแดงฉานที่จ้องผ่านทุกคนอย่างอาฆาต ลำคอบิดหมุนมองไปรอบห้องอย่างบ้าคลั่ง…..

     

     

      นักเรียนเปิดหนังสือหน้าสองร้อยห้าสิบ วันนี้เราจะเรียนดาราศาสตร์หน่วยระบบสุริยกันก่อนน้ะ รับชีดไปอ่านแล้วก็

    ดูกระดานไปด้วยน้ะ

    ครูต้นฝ้ายเริ่มสอนวิชาดาราศาสตร์ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของรายวิชาวิทยาศาสตร์

    น่าแปลก ที่ในสาขาวิชาดาราศาสตร์นั้นไม่ได้ขึ้นไปเรียนที่ตึกวิท

    และแน่นอนละว่านักเรียนห้องเด็กเกรียนเก่งอย่าง3/1ก็เคยเอ่ยถามไปเหมือนกัน

    แต่ครูต้นฝ้ายตอบแค่ว่า ยังไม่ถึงเวลา

    ดาราศาสตร์บวกภาษาอังกฤษเนี่ยน้ะ ให้ตายแล้วเกิดใหม่เป็นฝรั่งเหอะ คนเริ่มบ่นขึ้นมาก่อนไม่ใช่ใครที่ไหน คนเกลียดภาษาอังกฤษเข้าใส้อย่างเพนกวิ้นนั่นเอง

      ก็ไม่ยากน้ะแมวน้ำแย้งขึ้น เพนกวิ้นกลอกตาแล้วอยากลุกขึ้นตะโกนว่าแกเก่งไง ให้มาเป็นชีวะหรือดาราศาสตร์ฉบับภาษาไทยก่อนเดะ ไม่แพ้แน่รับรองด้วยเกียรติที่ไม่ค่อยมี

      ก็ไม่เห็นยากพวกเราช่วยกันทำเดี๋ยวก็เสร็จ เป็นโลมาที่สรุปด้วยความรวบรัดแบบเจ้าเล่ห์อีกตามเคย

    จริงๆ ก็รู้น้ะว่าพวกเธอเป็นกลุ่มเด็กที่ข้อนข้างไปวัดไปวาได้บ้างของห้องนี้ แต่แหม พวกเราก็ไม่ค่อยชอบเรียนเท่าไร

      เพนกวิ้น แมวน้ำ โลมาพวกเธอสุมหัวทำอะไรน้ะ ?

    ครูต้นฝ้ายเดินเข้าหาสามสาวที่รีบเด้งตัวกลับไปนั่งที่ตัวเองเหมือนแม่เหล็กคั่วเหมือนกัน

    แถมทุกคนยังยิ้มใสซื่อที่ดูยังไงก็ไม่บริสุทธิ์ใจเลยสักนิดให้ครูต้นฝ้าย

    ที่เพนกวิ้นเคยพึมพำปากตามหลังด้วยคำพูดที่เจ็บปวด

    ต้นฝ้ายบ้าอะไรดำขนาดนี้ พ่อแม่สมองเพี้ยนรึเปล่า~~

    ซึ่งถ้าครูรู้ความคิดของเพนกวิ้นแล้ว เธอคงติดศูนย์เข้าขั้นไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดกันทีเดียว

      พวกเราทำงานครับ โลมาเปิดฉากกวนตีนขึ้นก่อนตามสตาย โดยมีเพื่อนทั้งสองรอซ้ำเติม.....ไม่ใช่สิ รอสนับสนุน

      ทำแบบนี้จะสอบกันไม่ได้ ครูพูดเตือนด้วยน้ำเสียงของแม่พระ

     พวกเราดวงดีค่ะ แมวน้ำพูดบ้างด้วยหน้าตานิ่งๆ ไม่สนครูที่เริ่มหน้ายักษ์ขึ้นเรื่อยๆ

      มันใช้จริงก็ไม่ได้ ครูต้นฝ้ายยังพยายามอดทนอธิบายคนความคิดก้าวหน้าเกินครู

      มันเอาไปใช้ในชีวิตจริงไม่ค่อยได้นะฮ่ะครู เพนกวิ้นปิดฉากลงด้วยคำพูดที่ทำให้ครูตาเขียวและสลัดคลาบแม่พระ

    ผู้ปรานีทิ้งอย่างไม่ไยดี

      ไอ้กวิ้น ไอ้แมว ไอ้โลมา ออกไปกระโดดตบนอกห้องร้อยครั้งปฏิบัติ

    และทุกอย่างก็ดำเนินไปตามที่มันควรจะเป็น……

     

       เวลาเรียนเดินมาถึงคาบสุดท้ายอย่างลืมตัว มองแสงตะวันอีกครั้งเพนกวิ้นก็เห็นแสงตะวันลำจางของฤดูฝน พยับเมฆ

    ดำทะมึนตั้งเค้าฝนพร้อมเสียงคำรามเบาๆ ของผืนฟ้าที่แว่วมาจากหลังดอยไกลๆ

    ฝนจะตกหรอเนี่ย แมวน้ำเปรยขึ้นอย่างไม่ชอบใจ

    เพนกวิ้นเหลือบมองเพื่อนสาวหน้านิ่งแล้วก็ได้แต่ยิ้มนิดๆ

    แมวน้ำไม่ชอบใจฝนจะตกนั่นถูกแล้ว เพราะเทียบความไกลของบ้านแล้ว บ้านแมวน้ำอยู่ห่างโรงเรียนที่สุด

    วันนี้มาไงหละ ? โลมาเอ่ยถามเพื่อนและเหลือบมองเพื่อนสาวทั้งสอง

    เพนกวิ้นเคี้ยวขนมที่แอบไปซื้อมาในคาบก่อนแล้วมุดเข้าห้อง

    แมวน้ำเคี้ยวหมากฝรั่งช้าๆ แล้วกรีดนิ้วผ่านหน้าหนังสือ

    เดินนะสิครับ เพนกวิ้นคนตังไม่ค่อยมี(ที่ตัวเองน้ะ) ตอบโลมาแล้วเหลือบตามองครูวัยไม้ใกล้ฝั่งที่ทำท่างกงกเงิ่นเงิ่นอยู่หน้ากระดานหน้าห้อง

    แล้วจะกลับไงหละ โดดหรือว่าตามเวลา ? แมวน้ำถามเรื่อยๆ แบบรู้นิสัยเพื่อนดี

    วันนี้ว่าจะกลับค่ำหน่อย พอดีมีอะไรต้องไปทำ คำตอบที่ได้รับเกินความคาดหมายของทั้งสองเพื่อนซี้

    เพนกวิ้นมองเหม่อไปที่อาคารสีขาวเยื้องกับอาคารภาษาไทย

    จะไปจริงๆ ? โลมามองแมวน้ำที่ถาม นั่นเพื่อนสาวไม่ได้เสียงสั่นน้ะ

    อืมม ไป เพนกวิ้นตอบสั้นกว่าที่เคย

    มันอาจจะอันตรายน้ะเวิ่ย เพนกวิ้นมองเพื่อนรักทั้งสองก่อนยักไหล่อย่างไม่ค่อยแคร์

    ความเชื่อมั่นแบบหลุดโลกกับความบ้าแบบสุดขอบจักรวาลนี่แหละที่ทำให้พวกเธอทั้งคู่รักเพนกวิ้นเป็นเพื่อนสนิท

     

                      เอางี้แล้วกัน เราไปด้วยกันทั้งสามคนเลยดีกว่า แมวน้ำหลังจากนิ่งไปนานก็พูดขึ้นด้วยความมุ่งมั่น

    บ้าหรอยะ ฉันบอกหรอจะไป โลมารีบโวยวาย

    ไม่ไปให้ผีหลอกเลย~~” แมวน้ำตะโกนใส่โลมา หลังจากที่คาบสุดท้ายเลิกเรียน

     

      เฮ้ยย เพื่อนรักก ฉันว่า ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวรีบไปรีบกลับเชื่อมั่นในตัวฉันสิ เพนกวิ้นยืดอกพูดแข็งขันแล้ว

    เพนกวิ้นส่งยิ้มมั่นใจให้เพื่อนทั้งสองก่อนจะรีบหมุนตัววิ่งหายไปในบันไดเชื่อมอาคาร โดยที่แมวน้ำกับโลมาเรียกไว้ไม่ทัน

    โถ่เวิ้ย ไอ้กวิ้นบ้า ทำไมต้องเสี่ยงด้วยเนี่ย ?

    แมวน้ำกับโลมาได้แต่ยืนหัวเสียอยู่ตรงนั้น

    ขอโทษนะครับ มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ ? เสียงทักทายที่ดังขึ้นมากะทันหันทำให้สองสาวเหลือบไปมองคนทัก แล้วทั้งคู่ก็ได้แต่ยืนอึ้ง

    หล่อโคตร โคตรหล่อ

    คือคำนิยามที่ให้ผู้ชายตรงหน้า

    ชายหนุ่มทำหน้ามึนๆ และมองเด็กนักเรียนตรงหน้า ก่อนจะรีบควานหาหมวกแก๊บ

    อ่าวชิบหาย หมวกปลิวลมหลุด

    คุณคำมีรีบก้มเก็บหมวกขึ้นมาสวม

    ก่อนจะรีบย้ำคำถามไปอีกครั้ง

    มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ ?

    สองสาวเพื่อนรักเหมือนพึ่งตื่นจากฝันกลางวัน ทั้งคู่รีบชี้ไปทางอาคารวิทที่มืดสลัวในยามห้าโมงเย็นกว่าๆ

    เพื่อนหนูเอ่อ.....เพนกวิ้น....

    คุณคำมีรีบพยักหน้าเข้าใจแล้วพูดจนสองเพื่อนสาวอึ้ง

    ครับๆ ผมเข้าใจแล้วครับ น้องเพนกวิ้นสงสัยสติแตกอีกผมจะรีบไปตามมาให้ครับ น้องสองคนกลับบ้านก่อนเลยน้ะครับ มันก็ค่ำแล้ว

    คุณคำมีหันหลังกลับเก้ายาวๆ หายไปในทางเชื่อมชั้นสองของอาคารวิทยาศาสตร์กลืนเข้าไปในเงาไม้ใหญ่ที่กางกิ่งใบ

    ปกคลุมทั่วทั้งตึกไว้

      ผู้ชายอะไร้~ หน้าตาดีชะมัดเลยย โลมามองตามหลังภารโรงใหม่ไปอย่างค้างๆ

    คนหน้าตาดีก็เหมือนดอกไม้แหละ เดี๋ยวก็มีแฟน แมวน้ำพูดเนือยๆ โดยไม่สนสายตาค้อนของโลมา

     

     

    มือเล็กๆ ทั้งสองกระชับสายกระเป๋าไว้แน่น เท้าในรองเท้านักเรียนหญิงย่องเงียบไปตามทางเดินสลัว ความน่ากลัวของอาคารวิทยาศาสตร์มันน่ากลัวจับจิตและชวนขนลุกได้จับใจ แต่เพนกวิ้นยังต้องจำใจเก้าไปข้างหน้า

    ความอยากรู้มักมีอิทธิพลต่อจิตใจมนุษย์ได้เสมอ จนบางทีแม้แต่ความน่าสะพลึงกลัวยังหลงลืมไปชั่วขณะ

    และในเวลานี้สภาวะนั้นยังครอบงำเพนกวิ้นไว้โดยสิ้นเชิง

    ไม่ใช่ว่าเธอไม่กลัวผีน้ะ แต่ว่า....ยังไงความเกรียนและความคึกคะนองของเด็กสาวมันสูงกว่าทะลุเพดานอารมณ์ไปแล้วหละ

    กลับก่อนน้ะพี่ ประโยคที่ได้ยินมาจากสุดทางเดินของอาคารชั้นสองทำให้เพนกวิ้นชะงักและมองซ้ายขวาก่อนจะรีบกระโดดเข้าไปหลบในช่องว่างระหว่างชั้นวางของ

    ไม่นานเสียงเก้าเดินก็ผ่านหน้าไป ให้เธอคำณวนแล้ว ตอนนี้น่าจะยังมีครูอยู่ในตึกวิทยาศาสตร์อีกหลายคน

     ดวงตาสีนิลใสจ้องฝ่าความมืดเลือนลางออกไปภายนอก

     

    คลื่นน  เปลี้ยงง!!!”

    แสงสว่างและสายฟ้าที่พาดผ่าลงมาจากผืนฟ้าสถิตลงยอดไม้ที่ห่างออกไปหลายกิโลเมตรมองเห็นเป็นประกายเจิตจ้า

    ไม่นานสายฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา

    สายฟ้าแลบคะนองพาดผ่านผืนฟ้าเป็นเส้นแสงสว่าง

    โลกเบื้องหน้ากลายเป็นม่านของสายฝนและความอื้ออึงของพายุที่หวีดหวิว

    เพนกวิ้นนั่งตัวแข็งตั้งแต่สายฟ้าสถิตแต่ตอนแรกไปนานแล้ว

    มองนาฬิกาบนข้อมือ หน้าปัดดิจิตอลบอกเวลาหกโมงเย็นกว่าๆ

    เด็กสาวลุกขึ้นย่องตรงไปที่บันไดขึ้นชั้นสามก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงลั่นเอี๊ยดจากชั้นถัดขึ้นไป

    ร่างบางหลบเข้ามุมเสารอสักพักไม่เห็นมีความเคลื่อนไหว

    เพนกวิ้นจรดปลายเท้าวิ่งสลับกระโดดขึ้นสู่ชั้นบน

    โดยไม่รู้ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งมองตามไปเงียบๆ

    สิ่งที่เธอกำลังสงสัยอยู่อีกแค่ชั้นเดียว และ เธอก็จะได้รู้

    เพนกวิ้นมองประตูเหล็กข้างหน้าก่อนจะเงี่ยหูฟังเงียบ นอกจากเสียงฝนกระหน่ำและสายลมโชยกรรโชกมือเล็กค่อยๆ ขยับเข้าไป แต่จิตสำนึกส่วนลึกของสมองก็แจ้งเตือนถึงภัยอันตรายอย่างรุนแรง

     จนมือเล็กกระตุกหดกลับ

      แอ๊ดดดด เอี๊ยดดดดด!!!”

    เงาทอดทะมึนลงมาจากเบื้องบนสุดทางบันได

    ดวงเนตรสีแดงเรืองรองสาดแสงลงมาตามบันได

    เพนกวินตกตลึงกับร่างสูงใหญ่ที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า

    ระยะห่างไม่ถึงสิบเมตรทำให้เธอสัมผัสได้ถึงความอาฆาตมาดร้าย ที่แผ่ลงมาสายฟ้าสาดสว่างเป็นโดมแสงเจิตจ้า

    เปลี้ยงงง!!!”

    ความอื้ออึงดังเปรี๊ยะในแก้วหู

    เพนกวิ้นเข่าซุดลงกับพื้นบันได

    สิ่งสุดท้ายก่อนสติของเธอจะหลุดลอยออกจากร่างก็คือ

    กรี๊ดดด.....ชีวิตฉันไม่น่าจะมาจบแบบนี้~~

     

    ประตูเหล็กถูกล็อกพร้อมดวงตาเคร่งเครียดที่จ้องขึ้นไปบนชั้นห้า สิ่งที่เขารับรู้ผ่านการสบนิ่งกับดวงตาคือ......

    ความทุกข์ทรมานที่มากับความโกรธเกลียดเคียดแค้น

    ร่างเล็กที่สลบไสลอยู่ถูกวงแขนของคนที่ปิดล็อกประตูอุ้มเข้ามาอยู่ในวงแขนก่อนจะหมุนตัวเดินจากอาคารวิทยาศาสตร์ไป

    ติดตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนและเสียงหลอดไฟนีออนที่แตกเพล๊งไล่มาตามหลัง แลดูน่ากลัว……

     

     

     

    …………………..***               (ฤ๐๑

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×