คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4
บทที่ 4
บนอาคารเรียนภาษาไทยนั้น ข้อนข้างสะอาดในบางจุดและข้อนข้างสกกระปรกในบางจุด เพราะเหตุผลง่ายๆ ก็คือ เด็กกวน….ภารโรง
บนชั้นสี่คุณคำมีลากไม้ถูสลับกลับไปกลับมาหน้าห้องเรียน 3/1 ไปจนถึงสุดระเบียงซึ่งเป็นห้องพักครู เสียงวิเวกแว่วโหยหวนดังออกมาจากข้างใน ไม่ใช่เสียงอะไรไกลอย่าคิดมาก
แต่เป็นเสียงนักเรียนท่องบทอาขยานนั่นเอง
“ลุงคำมี ลุงเหรอครับที่จับก้นไอ่กวิ้น ?”
ระหว่างการทำงานนั้นเหมือนคุณคำมีจะปล่อยสมองคิดเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นเครียดของโรงเรียนอยู่ เลยทำให้คำถามของเด็กหนุ่มร่างผอมที่ยืนกอดอกเก๊กลอยผ่านหูไปโดยไม่ได้รับความสนใจแม้แต่น้อย
“ ลุงคำมี ลุงคำมี…… ไอ้คำมี~~~”
ชายหนุ่มสะดุ้งและเงยหน้ามองนักเรียนหนุ่มที่ส่วนสูงน้อยกว่าอกเขาเสียอีกอย่างงงๆ
“ มีอะไรเหรอครับ อยากให้ผมไปทำความสะอาดที่ไหน ?”
หน้าตาเหรอหราของลุงคำมีทำให้ นักเรียนหนุ่มพ่นลมหายใจอย่างเหยียดๆ
“ ปล่าว ผมถามว่าลุงไปจับ….เพนกวิ้นเหรอ ?”
ลุงคำมีเงยหน้าขึ้นยิ้มแต่ไม่มีคำตอบจากชายหนุ่มคนทำความสะอาด
เด็กหนุ่มที่ยืนจ้องเหมือนจะกินเลือดกินเนื้ออยู่อารมณ์เดือดปุดขึ้นมาทันที
ยิ่งเห็นคนตรงหน้าที่ยิ่งดึงแก๊บของหมวกลงมาปิดหน้าปิดตามากขึ้นกว่าเดิมอีก ทำให้เด็กหนุ่มอยากซัดปากไอ้ภารโรงนี่
ซักที
แต่เสียงเรียกของครูที่เห็นศิษย์หายออกนอกห้องมานานก็เรียกก่อน
“ เด็กสมัยนี้ ไม่คิดไม่ใช้สมองจริงๆ เฮ่ออ!”
คุณคำมีหันหลังกลับเพื่อจะเอาไม้ถูพื้นไปเก็บก็แทบสะดุ้ง
ครูสาวในชุดข้าราชการยืนจ้องเขาตาเขียว
“ เป็นคนทำความสะอาดมาวิจารณ์นักเรียนได้หรอค้ะ?”
คุณคำมียิ้มแห้งๆ แล้วรู้สึกใจสั่นลงไปถึงขา ชิบหาย ยัยต้นฝ้ายย้ายมาบรรจุที่นี่เหรอวะ~~~
“ เอ่อ...ไม่มีครับ.... เอ่อยังไงผมขอตัวก่อนน้ะครับ ครูต้นฝ้าย”
เพราะความตกใจสุดขีดทำให้ชายหนุ่มเผลอเรียกชื่อของอีกฝ่ายไปอย่างลืมตัว ก่อนจะรีบวิ่งเผ่นแน็บไม่หันกลับมาด้านหลังที่ครูสาวด้านหลังกำลังทำหน้างงและยกมือจะเรียกชายภารโรงที่หายไปจากมุมบันได
แต่เธอก็ได้แต่ถอนหายใจ แล้วเดินเข้าห้อง3/1 ไปเพื่อสอนในวิชาถัดไป
…
“ ชิบหายไอ้หมอ ยัยต้นฝ้ายย้ายมาบรรจุที่โรงเรียนนี้หวะ ทำไมกูไม่รู้ว่ะ?”
คุณคำมียืนพิงต้นไม้ใต้อาคารภาษาไทยในมืออีกข้างก็ทำท่ากวาดพื้นด้วยไม้กวาดแซ่มะพร้าวไปอย่างเนียนๆ
“ อ้าว เหมือนยัยต้นฝ้ายก็บอกพวกเราแล้วนี่หว่า ว่าจะย้ายไปบรรจุไกลเมือง กูนึกว่ามึงรู้แล้ว” คุณหมอในสายกลอกเสียงมาตามสาย
“ เออ ก็ดีนะเวิ่ย ที่ในโรงเรียนห่างไกลความเจริญยังมียัยต้นฝ้ายอยู่ มึงมีอะไรก็บอกเจ๊เขาให้ช่วยแล้วกัน” ไอ้หมอมันพูดสบายๆ เหมือนไม่รู้ตัวกับสรรพนามที่เปลียนจาก ยัยต้นฝ้ายเป็น
‘เจ๊’
“ ชิบหาย เออว่าแต่ได้ที่ตั้งแล้วน้ะ มึงก็ไปตามที่กูส่งข้อมูลไปให้ทางโทรศัพท์แล้วกัน“ คุณคำมีทิ้งไม้กวาดแล้วยกมือเกาหัวอย่างไม่รู้จะทำไงดี
“ เออๆ ได้แล้ว ระหว่างทางกูแวะไปหาไอ้คุณสารวัดมา แม่ง คุณสารวัดแทบจะเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาเป็นคนเสพยาเองละ มืดแปดด้านไม่มีเบาะแสอะไรซักอย่าง
ไอ้สารวัดติดต่อกับพวกรองสามพี่น้องทางนั้นก็หัวหมุนเหมือนกัน “
ชายหนุ่มฟังเพื่อนบอกเงียบๆ โดยไม่ได้ออกความคิดเห็นใด
หลังจากวางสายจากเพื่อน คุณคำมีก็ออกเดินไปหาอะไรกินเพราะตั้งแต่เช้าแล้วที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องเขาเลย
…
“ โชคดีน้ะ ที่กันภารโรงออกไปจากชั้นห้าได้” น้ำเสียงหนึ่งเปรยขึ้น
ท่ามกลางกองเอกสารสูงเลยหัว
ความเงียบบนชั้นห้าของอาคารวิทยาศาสตร์ยังคงความเงียบงันอันวังเวงได้เหมือนเคยไม่เปลี่ยนไป
น่าแปลก แสงตะวันเบื้องบนฉายแสงแรงกล้าแต่กลับส่งพาดผ่านเข้ามาในหลังคาทรงโดมของชั้นห้าได้อย่างสลัวมัวบาง
ความอึดอัดอันไร้ที่มาความกดดันที่แผ่กระจายในอากาศเหมือนมีสาเหตุมาจากแก้วตาสีดำที่อาบไล้กับแสงตะวันยาม
บ่ายแก่ใกล้เย็นดูเรืองรองเป็นสีทับทิมอ่อนหน้าขนลุก
ของหุ่นทดลองชีวะ
“ แล้วเรื่องหุ่นผีนี่หละพี่เราจะเอาไงดี ?”
ครูสาวผู้มีอายุการทำงานและใบหน้าอ่อนเยาว์ที่สุดเอ่ยถามผ่านกองเอกสารออกมา
ทำให้บรรยากาศดูเยือกเย็นลงอย่างหน้าหวาดหวั่น
ความเย็นยะเยียกบางอย่างไหลผ่านเส้นผมจรดปลายเท้าทำให้ครูทุกคนสยิวกายอย่างเหน็บหนาวไปชั่วขณะหนึ่ง
“ หุบปากไปเลยน้ะ อย่าพูดถึงมันอีก มันตายไปแล้วอย่าได้รื้อฟื้นมันขึ้นมา ~~~~~”
ไม่มีใครรู้ว่าแก้วตาดำของหุ่นชีวะมีหยดน้ำสีแดงค่อยๆ ก่อตัวไหลเข้ารวมกันขยายขึ้นเป็นม่านตาสีแดงฉานที่จ้องผ่านทุกคนอย่างอาฆาต ลำคอบิดหมุนมองไปรอบห้องอย่างบ้าคลั่ง…..
…
“ นักเรียนเปิดหนังสือหน้าสองร้อยห้าสิบ วันนี้เราจะเรียนดาราศาสตร์หน่วยระบบสุริยกันก่อนน้ะ รับชีดไปอ่านแล้วก็
ดูกระดานไปด้วยน้ะ”
ครูต้นฝ้ายเริ่มสอนวิชาดาราศาสตร์ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของรายวิชาวิทยาศาสตร์
น่าแปลก ที่ในสาขาวิชาดาราศาสตร์นั้นไม่ได้ขึ้นไปเรียนที่ตึกวิท
และแน่นอนละว่านักเรียนห้องเด็กเกรียนเก่งอย่าง3/1ก็เคยเอ่ยถามไปเหมือนกัน
แต่ครูต้นฝ้ายตอบแค่ว่า ยังไม่ถึงเวลา
“ ดาราศาสตร์บวกภาษาอังกฤษเนี่ยน้ะ ให้ตายแล้วเกิดใหม่เป็นฝรั่งเหอะ” คนเริ่มบ่นขึ้นมาก่อนไม่ใช่ใครที่ไหน คนเกลียดภาษาอังกฤษเข้าใส้อย่างเพนกวิ้นนั่นเอง
“ ก็ไม่ยากน้ะ”แมวน้ำแย้งขึ้น เพนกวิ้นกลอกตาแล้วอยากลุกขึ้นตะโกนว่าแกเก่งไง ให้มาเป็นชีวะหรือดาราศาสตร์ฉบับภาษาไทยก่อนเดะ ไม่แพ้แน่รับรองด้วยเกียรติที่ไม่ค่อยมี
“ ก็ไม่เห็นยากพวกเราช่วยกันทำเดี๋ยวก็เสร็จ” เป็นโลมาที่สรุปด้วยความรวบรัดแบบเจ้าเล่ห์อีกตามเคย
จริงๆ ก็รู้น้ะว่าพวกเธอเป็นกลุ่มเด็กที่ข้อนข้างไปวัดไปวาได้บ้างของห้องนี้ แต่แหม พวกเราก็ไม่ค่อยชอบเรียนเท่าไร
“ เพนกวิ้น แมวน้ำ โลมาพวกเธอสุมหัวทำอะไรน้ะ ?”
ครูต้นฝ้ายเดินเข้าหาสามสาวที่รีบเด้งตัวกลับไปนั่งที่ตัวเองเหมือนแม่เหล็กคั่วเหมือนกัน
แถมทุกคนยังยิ้มใสซื่อที่ดูยังไงก็ไม่บริสุทธิ์ใจเลยสักนิดให้ครูต้นฝ้าย
ที่เพนกวิ้นเคยพึมพำปากตามหลังด้วยคำพูดที่เจ็บปวด
ต้นฝ้ายบ้าอะไรดำขนาดนี้ พ่อแม่สมองเพี้ยนรึเปล่า~~
ซึ่งถ้าครูรู้ความคิดของเพนกวิ้นแล้ว เธอคงติดศูนย์เข้าขั้นไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดกันทีเดียว
“ พวกเราทำงานครับ” โลมาเปิดฉากกวนตีนขึ้นก่อนตามสตาย โดยมีเพื่อนทั้งสองรอซ้ำเติม.....ไม่ใช่สิ รอสนับสนุน
“ ทำแบบนี้จะสอบกันไม่ได้” ครูพูดเตือนด้วยน้ำเสียงของแม่พระ
“พวกเราดวงดีค่ะ” แมวน้ำพูดบ้างด้วยหน้าตานิ่งๆ ไม่สนครูที่เริ่มหน้ายักษ์ขึ้นเรื่อยๆ
“ มันใช้จริงก็ไม่ได้” ครูต้นฝ้ายยังพยายามอดทนอธิบายคนความคิดก้าวหน้าเกินครู
“ มันเอาไปใช้ในชีวิตจริงไม่ค่อยได้นะฮ่ะครู” เพนกวิ้นปิดฉากลงด้วยคำพูดที่ทำให้ครูตาเขียวและสลัดคลาบแม่พระ
ผู้ปรานีทิ้งอย่างไม่ไยดี
“ ไอ้กวิ้น ไอ้แมว ไอ้โลมา ออกไปกระโดดตบนอกห้องร้อยครั้งปฏิบัติ“
และทุกอย่างก็ดำเนินไปตามที่มันควรจะเป็น……
เวลาเรียนเดินมาถึงคาบสุดท้ายอย่างลืมตัว มองแสงตะวันอีกครั้งเพนกวิ้นก็เห็นแสงตะวันลำจางของฤดูฝน พยับเมฆ
ดำทะมึนตั้งเค้าฝนพร้อมเสียงคำรามเบาๆ ของผืนฟ้าที่แว่วมาจากหลังดอยไกลๆ
“ ฝนจะตกหรอเนี่ย” แมวน้ำเปรยขึ้นอย่างไม่ชอบใจ
เพนกวิ้นเหลือบมองเพื่อนสาวหน้านิ่งแล้วก็ได้แต่ยิ้มนิดๆ
แมวน้ำไม่ชอบใจฝนจะตกนั่นถูกแล้ว เพราะเทียบความไกลของบ้านแล้ว บ้านแมวน้ำอยู่ห่างโรงเรียนที่สุด
“ วันนี้มาไงหละ ?” โลมาเอ่ยถามเพื่อนและเหลือบมองเพื่อนสาวทั้งสอง
เพนกวิ้นเคี้ยวขนมที่แอบไปซื้อมาในคาบก่อนแล้วมุดเข้าห้อง
แมวน้ำเคี้ยวหมากฝรั่งช้าๆ แล้วกรีดนิ้วผ่านหน้าหนังสือ
“ เดินนะสิครับ” เพนกวิ้นคนตังไม่ค่อยมี(ที่ตัวเองน้ะ) ตอบโลมาแล้วเหลือบตามองครูวัยไม้ใกล้ฝั่งที่ทำท่างกงกเงิ่นเงิ่นอยู่หน้ากระดานหน้าห้อง
“ แล้วจะกลับไงหละ โดดหรือว่าตามเวลา ?” แมวน้ำถามเรื่อยๆ แบบรู้นิสัยเพื่อนดี
“ วันนี้ว่าจะกลับค่ำหน่อย พอดีมีอะไรต้องไปทำ” คำตอบที่ได้รับเกินความคาดหมายของทั้งสองเพื่อนซี้
เพนกวิ้นมองเหม่อไปที่อาคารสีขาวเยื้องกับอาคารภาษาไทย
“ จะไปจริงๆ ?” โลมามองแมวน้ำที่ถาม นั่นเพื่อนสาวไม่ได้เสียงสั่นน้ะ
“ อืมม ไป” เพนกวิ้นตอบสั้นกว่าที่เคย
“ มันอาจจะอันตรายน้ะเวิ่ย” เพนกวิ้นมองเพื่อนรักทั้งสองก่อนยักไหล่อย่างไม่ค่อยแคร์
ความเชื่อมั่นแบบหลุดโลกกับความบ้าแบบสุดขอบจักรวาลนี่แหละที่ทำให้พวกเธอทั้งคู่รักเพนกวิ้นเป็นเพื่อนสนิท
“เอางี้แล้วกัน เราไปด้วยกันทั้งสามคนเลยดีกว่า” แมวน้ำหลังจากนิ่งไปนานก็พูดขึ้นด้วยความมุ่งมั่น
“ บ้าหรอยะ ฉันบอกหรอจะไป” โลมารีบโวยวาย
” ไม่ไปให้ผีหลอกเลย~~” แมวน้ำตะโกนใส่โลมา หลังจากที่คาบสุดท้ายเลิกเรียน
“ เฮ้ยย เพื่อนรักก ฉันว่า ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวรีบไปรีบกลับเชื่อมั่นในตัวฉันสิ “ เพนกวิ้นยืดอกพูดแข็งขันแล้ว
เพนกวิ้นส่งยิ้มมั่นใจให้เพื่อนทั้งสองก่อนจะรีบหมุนตัววิ่งหายไปในบันไดเชื่อมอาคาร โดยที่แมวน้ำกับโลมาเรียกไว้ไม่ทัน
“ โถ่เวิ้ย ไอ้กวิ้นบ้า ทำไมต้องเสี่ยงด้วยเนี่ย ?”
แมวน้ำกับโลมาได้แต่ยืนหัวเสียอยู่ตรงนั้น
“ขอโทษนะครับ มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ ?” เสียงทักทายที่ดังขึ้นมากะทันหันทำให้สองสาวเหลือบไปมองคนทัก แล้วทั้งคู่ก็ได้แต่ยืนอึ้ง
หล่อโคตร โคตรหล่อ
คือคำนิยามที่ให้ผู้ชายตรงหน้า
ชายหนุ่มทำหน้ามึนๆ และมองเด็กนักเรียนตรงหน้า ก่อนจะรีบควานหาหมวกแก๊บ
อ่าวชิบหาย หมวกปลิวลมหลุด
คุณคำมีรีบก้มเก็บหมวกขึ้นมาสวม
ก่อนจะรีบย้ำคำถามไปอีกครั้ง
“ มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ ?”
สองสาวเพื่อนรักเหมือนพึ่งตื่นจากฝันกลางวัน ทั้งคู่รีบชี้ไปทางอาคารวิทที่มืดสลัวในยามห้าโมงเย็นกว่าๆ
“ เพื่อนหนูเอ่อ.....เพนกวิ้น....”
คุณคำมีรีบพยักหน้าเข้าใจแล้วพูดจนสองเพื่อนสาวอึ้ง
“ ครับๆ ผมเข้าใจแล้วครับ น้องเพนกวิ้นสงสัยสติแตกอีกผมจะรีบไปตามมาให้ครับ น้องสองคนกลับบ้านก่อนเลยน้ะครับ มันก็ค่ำแล้ว”
คุณคำมีหันหลังกลับเก้ายาวๆ หายไปในทางเชื่อมชั้นสองของอาคารวิทยาศาสตร์กลืนเข้าไปในเงาไม้ใหญ่ที่กางกิ่งใบ
ปกคลุมทั่วทั้งตึกไว้
“ ผู้ชายอะไร้~ หน้าตาดีชะมัดเลยย” โลมามองตามหลังภารโรงใหม่ไปอย่างค้างๆ
“ คนหน้าตาดีก็เหมือนดอกไม้แหละ เดี๋ยวก็มีแฟน” แมวน้ำพูดเนือยๆ โดยไม่สนสายตาค้อนของโลมา
…
มือเล็กๆ ทั้งสองกระชับสายกระเป๋าไว้แน่น เท้าในรองเท้านักเรียนหญิงย่องเงียบไปตามทางเดินสลัว ความน่ากลัวของอาคารวิทยาศาสตร์มันน่ากลัวจับจิตและชวนขนลุกได้จับใจ แต่เพนกวิ้นยังต้องจำใจเก้าไปข้างหน้า
ความอยากรู้มักมีอิทธิพลต่อจิตใจมนุษย์ได้เสมอ จนบางทีแม้แต่ความน่าสะพลึงกลัวยังหลงลืมไปชั่วขณะ
และในเวลานี้สภาวะนั้นยังครอบงำเพนกวิ้นไว้โดยสิ้นเชิง
ไม่ใช่ว่าเธอไม่กลัวผีน้ะ แต่ว่า....ยังไงความเกรียนและความคึกคะนองของเด็กสาวมันสูงกว่าทะลุเพดานอารมณ์ไปแล้วหละ
“ กลับก่อนน้ะพี่” ประโยคที่ได้ยินมาจากสุดทางเดินของอาคารชั้นสองทำให้เพนกวิ้นชะงักและมองซ้ายขวาก่อนจะรีบกระโดดเข้าไปหลบในช่องว่างระหว่างชั้นวางของ
ไม่นานเสียงเก้าเดินก็ผ่านหน้าไป ให้เธอคำณวนแล้ว ตอนนี้น่าจะยังมีครูอยู่ในตึกวิทยาศาสตร์อีกหลายคน
ดวงตาสีนิลใสจ้องฝ่าความมืดเลือนลางออกไปภายนอก
“ คลื่นน เปลี้ยงง!!!”
แสงสว่างและสายฟ้าที่พาดผ่าลงมาจากผืนฟ้าสถิตลงยอดไม้ที่ห่างออกไปหลายกิโลเมตรมองเห็นเป็นประกายเจิตจ้า
ไม่นานสายฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา
สายฟ้าแลบคะนองพาดผ่านผืนฟ้าเป็นเส้นแสงสว่าง
โลกเบื้องหน้ากลายเป็นม่านของสายฝนและความอื้ออึงของพายุที่หวีดหวิว
เพนกวิ้นนั่งตัวแข็งตั้งแต่สายฟ้าสถิตแต่ตอนแรกไปนานแล้ว
มองนาฬิกาบนข้อมือ หน้าปัดดิจิตอลบอกเวลาหกโมงเย็นกว่าๆ
เด็กสาวลุกขึ้นย่องตรงไปที่บันไดขึ้นชั้นสามก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงลั่นเอี๊ยดจากชั้นถัดขึ้นไป
ร่างบางหลบเข้ามุมเสารอสักพักไม่เห็นมีความเคลื่อนไหว
เพนกวิ้นจรดปลายเท้าวิ่งสลับกระโดดขึ้นสู่ชั้นบน
โดยไม่รู้ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งมองตามไปเงียบๆ
สิ่งที่เธอกำลังสงสัยอยู่อีกแค่ชั้นเดียว และ เธอก็จะได้รู้
เพนกวิ้นมองประตูเหล็กข้างหน้าก่อนจะเงี่ยหูฟังเงียบ นอกจากเสียงฝนกระหน่ำและสายลมโชยกรรโชกมือเล็กค่อยๆ ขยับเข้าไป แต่จิตสำนึกส่วนลึกของสมองก็แจ้งเตือนถึงภัยอันตรายอย่างรุนแรง
จนมือเล็กกระตุกหดกลับ
“ แอ๊ดดดด เอี๊ยดดดดด!!!”
เงาทอดทะมึนลงมาจากเบื้องบนสุดทางบันได
ดวงเนตรสีแดงเรืองรองสาดแสงลงมาตามบันได
เพนกวินตกตลึงกับร่างสูงใหญ่ที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า
ระยะห่างไม่ถึงสิบเมตรทำให้เธอสัมผัสได้ถึงความอาฆาตมาดร้าย ที่แผ่ลงมาสายฟ้าสาดสว่างเป็นโดมแสงเจิตจ้า
“ เปลี้ยงงง!!!”
ความอื้ออึงดังเปรี๊ยะในแก้วหู
เพนกวิ้นเข่าซุดลงกับพื้นบันได
สิ่งสุดท้ายก่อนสติของเธอจะหลุดลอยออกจากร่างก็คือ
กรี๊ดดด.....ชีวิตฉันไม่น่าจะมาจบแบบนี้~~
ประตูเหล็กถูกล็อกพร้อมดวงตาเคร่งเครียดที่จ้องขึ้นไปบนชั้นห้า สิ่งที่เขารับรู้ผ่านการสบนิ่งกับดวงตาคือ......
ความทุกข์ทรมานที่มากับความโกรธเกลียดเคียดแค้น
ร่างเล็กที่สลบไสลอยู่ถูกวงแขนของคนที่ปิดล็อกประตูอุ้มเข้ามาอยู่ในวงแขนก่อนจะหมุนตัวเดินจากอาคารวิทยาศาสตร์ไป
ติดตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนและเสียงหลอดไฟนีออนที่แตกเพล๊งไล่มาตามหลัง แลดูน่ากลัว……
…………………..*** (ฤ๐๑
ความคิดเห็น