คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3
บทที่ 3
“ ว่าไงเพื่อน นานๆ กว่ามึงจะโทรมาหากูที?” เสียงปลายสายกลอกเข้ามาในโทรศัพท์อย่างอารมณ์ดี
“ มึงเหรอไอ้หมอ พอดีกูมีเรื่องให้ช่วยหน่อย” คนที่ยืนพิงต้นไม้ในสวนเกษตรโรงเรียนอันร่มรื่นบอกตามสายไปด้วย
เสียงอ่อนสบายๆ
แต่ในดวงตาคมปลาบที่แฉลบมองรอบข้างเก็บข้อมูลกำลังทอแววเย็นลงเรื่อยๆ
“ มึงเสียงสบายแบบนี้กูนี่เห็นแววซวยอีกล่ะ”
คนที่ถูกเพื่อนเรียกว่า ’ไอ้หมอ’ ทำหน้ายุ่งก่อนเอ่ยถามสิ่งที่เพื่อนต้องการให้เขาช่วย ปกติอาชีพของเขาไม่ได้ยุ่งอะไรกับภารโรงน้ะ
คุณหมอหนุ่มคิด
วันที่เพื่อนบอกว่าจะไปเป็นภารโรงเขากับไอ้สารวัดหัวเราะลั่นร้านอาหารที่พวกเขาเหมาไว้ทุกโต๊ะอย่างไม่เกลงใจเจ้าของร้านที่เป็นร้านญาติสนิทไอ้คุณสารวัด
“ ก็เป็นงานถนัดชันสูตรให้หน่อย พอดีมีคนตาย” นายคำมีบอกเพื่อน
นิติเวชหนุ่มในสายอึ้งไปสักพักก่อนถามด้วยเสียงจริงจังขึ้น
“ ใคร?” นายคำมีมองพื้นที่ถูกล้อมด้วยเชือกสีเหลืองแล้วบอกเพื่อนไปด้วยน้ำเสียงเรียบเนือยแต่จะมีใครรู้ในใจเขากำลังหนักอึ้ง
“ เป็นคนดูแลสวนเกษตรของที่นี่ ศพน่าจะถูกเก็บไว้ที่โรงบาลของอำเภอเดี๋ยวกูโทรไปขอที่นั่นให้ ถ้าเป็นไปได้กูอยากได้คำตอบให้เร็วที่สุด”
นายคำมีพูดอีก
“ แต่แปลกนะเวิ่ย” คุณหมอเงียบรอฟังเพื่อนพูด
“ มีไรมึงก็ว่ามา เดี๋ยวกูจะได้ทำตัวถูก กูว่าได้ไปเชิญไอ้สารวัดมาแน่เลยหวะ”
เรื่องที่เพื่อนเขาติดใจสงสัยหรือแก้ปัญหาไม่ตกนั้นมีไม่มาก เขานับด้วยนิ้วมือข้างเดียวได้ แรกก็ผู้หญิง สอง ก็คือเรื่องหน้าตามึนๆ ของมันนี่แหละ
“ ไม่หละ ไอ้นั่นมันมาที่นี่ก่อนกูอีก ป่านนี้คงไปนั่งหัวปั่นอยู่ เออที่กูจะบอกมึงน้ะ
สาเหตุการตายของคนดูแลสวนเกษตรคนนี้ มันเป็นฝีมือของ....อืมอะไรดีหละ เอาแบบที่มึงกับกูเข้าใจน้ะ มันเป็นแวมไพร์
แต่ คนที่นี่เขาเรียกมันว่า ค้างคาวมรณะ”
“หึ หึ หึ ไอ้คุณคำมี นายก็เชื่อชาวบ้านเหรอ?” คุณหมอถามมาด้วยน้ำเสียงเหมือนล้อเล่นแต่ด้วยความที่เป็นเพื่อนรักกันมานาน
นิติเวชหนุ่มไม่เชื่อหรอกว่า ชายผู้เชื่อแต่เหตุผลทางวิทยาศาสตร์จะเชื่อเรื่องหลอกเด็กอะไรเทือกนี้หรอก
“ อืมม มึงพูดก็ถูกกูไม่เชื่อแต่ มึงพอจะอธิบายให้กูเข้าใจหน่อยได้เปล่าหละ
สัตว์ป่าประเภทไหนกันที่สามารถกัดครั้งเดียวคอขาดกระเด็นและทำอะไรสักอย่างหมาตัวใหญ่สูงเท่าเอวกลายเป็นแค่
เศษเนื้อเละๆ และที่สำคัญน้ะเพื่อน
มึงคิดดูสัตว์ประเภทไหนจะสูบเลือดของคน คนหนึ่งจนตัวแห้งสนิทมีเพียงคลาบเลือดอยู่รอบข้างแค่นั้น”
นิติเวชหนุ่มวางสายไปจากนายคำมีสักพักหนึ่ง
แต่ชายหนุ่มที่ดึงปีกหมวกลงกำลังเหลือบสายตาผ่านเงาไม้แถบหนึ่งเข้าไป กะด้วยสายตากิ่งไม้หนาทึบบริเวณนั้น
สูงจากพื้นประมาณสิบเมตร แต่เขากลับมองเห็นหยดน้ำสีแดงคล้ำอมน้ำตาลกับเนื้อไม้
ชายหนุ่มเก้าเท้าเข้าไปใกล้กว่าเดิม ดวงตาจ้องที่หยดเลือดที่แห้งไปไม่ถึงสิบสองชั่วโมง
กลิ่นคาวอ่อนๆ ยังหลงเหลือหลังจากทางตำรวจเคลียพื้นที่ทั้งหมดเรียบร้อย
ดวงตาคมปลาบเหมือนใบมีดจ้องเนื้อไม้ที่อยู่สูงจากพื้นสิบเมตรด้วยการแหงนหน้าขึ้น
ชายหนุ่มขนลุกสู้เมื่อมองเห็นเงาดำของเกล็ดบางอย่างพุ่งวาบหายวับไปกับเงาไม้ที่หนาทึบ
รอยยิ้มมุมปากผุดขึ้นแทนสีหน้ามึนๆ ในช่วงเวลาปกติ
“ มันหน้าแปลกจริงๆ”
นายคำมีเดินออกจากสวนเกษตรไปแล้ว
โดยไม่รู้ว่า ดวงตาลึกลับดำมืดคู่หนึ่งมองตามไปด้วยความเยือกเย็นจนเป็นเลือดเย็น รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมเปิดขึ้นด้วย
ความท้าทาย
…
“ เฮ่ย กวิ้นนี่แกเข้าห้องปกครองเพราะโดนจับตูดเนี่ยน้ะ แกอ่อยเขาปล่าว?”
เพนกวินที่ถูกเพื่อนๆ ห้องม.3/1 ลุมล้อมอยู่อยากจะลุกขึ้นซัดปากเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยประถม
“ หุบปากเลยเวิ่ย ไปกินข้าวดีกว่า อย่าทำสายตาประมาณอยากเสือกไปๆ หลีกๆ”
เด็กสาวแหวกกลุ่มเพื่อนๆ ที่กลับไปร้องเพลงเตะฟุตบอลหัวเราะร่าอย่างสะใจปนหมั่นใส้เพื่อนเกรียนนักเรียนหญิง
“ ไปกินข้าวกันเถอะพวกเรา” เพนกวินตั้งใจจะมาชวนแมวน้ำและโลมาแต่สองสาวไม่อยู่ในห้องแล้ว
“ แมวน้ำกับโลมาไปซ้อมดนตรีแล้วน้ะ” คือคำตอบที่ได้รับจากผักบุ้ง เพื่อนสาวที่ได้ชื่อว่าเรียบร้อยที่สุดในห้องและเก่งที่สุดในห้อง
“ แต้งกิ้ว” เพนกวินไม่เสียเวลาพูดมากอีก ร่างบางรีบไปใส่รองเท้าและซอยเท้าลงบันไดไปโรงอาหารอย่างรวดเร็ว
ในใจก็กำลังคิดเรื่อยเปื่อย เมื่อวิ่งผ่านหน้าตึกวิท ใบหน้าเนียนก็ขึ้นสีแดงก่ำ
“ไอ้แก่บ้ากามเอ๊ย~”
ที่จริงเธอไม่ได้ตั้งใจจะให้คำด่ามันลอยไปถึงใครแต่ เสียงทักท้วงคำพูดของเธอทำให้เพนกวิ้นต้องเบกกึก
“ ผมไม่ได้บ้ากามนะครับน้องเพนกวิ้น” คุณคำมีที่โผล่มาจากไหนไม่รู้เดินผ่านหน้าเธอไปและทำหน้าตามึนๆ
เพนกวิ้นเป็นคนสมองเร็ว รวมถึงส่วนอื่นด้วย
หมัดซ้ายตรงพุ่งเข้าหาร่างสูงที่กำลังจะเก้าผ่านหน้าไป
“ ว้าย~”
คุณคำมีที่มองเห็นภายนอกว่าซื่อๆ บื้อๆ โง่ๆ กลับเก้าถอยหลังได้เร็วเหลือเชื่อ ร่างเพรียวของเพนกวิ้นเด็กกร่างเลยเซเข้าหาคนตัวสูงที่ยื่นมือออกแตะไหล่เป็นหลักให้เธอทรงตัวตรงได้
“ แบบนี้คงไม่ได้ลวนลามใช่ไหมครับ?”
คุณคำมีบอกก่อนเดินหายไปทิ้งเพนกวิ้นให้ยืนเคว้งกะพริบตาปลิบๆ
เด็กสาวสะบัดหน้าด้วยความหงุดหงิด
“ไอ้บ้าเอ๊ย ฝากไว้ก่อนเหอะ” เพนกวิ้นพูดเหมือนตัวร้ายส่วนใหญ่ในละครหลังข่าวที่พ่อกับแม่เธอมักจะเปิดลั่นบ้านทุกวัน
เด็กสาวเก้าเดินแต่ก็ต้องชะงักอีกเมื่อความคิดดันหวนละลึกมาถึงความฝันที่เธอหลงลืมมันไปชั่วขณะ ดวงตาเงยขึ้นไปบนชั้นห้าที่ผ้าม่านของหน้าต่างรอบข้างโบกกระพือเบาๆ มีเพียงสายลมโชยอ่อนๆ ไม่มีดวงตาสีแดงและ
ความโหยหวนในน้ำเสียงแข็งกร้าว
“ ฝันนี่มันหมายความว่าไงวะ?” เพนกวิ้นทิ้งความคิดวุ่นวายไปหลังจากได้ข้าวสวยร้อนและอาหารอีกหลายอย่างมาเติมกระเพาะที่ว่างเปล่ามาคลึ่งเช้า
ดวงตาคมๆ ของเธอคอยชำเลืองมองไปรอบข้างที่คนมากมายต่างกินข้าวกันอย่างมีความสุข
เพนกวิ้นกำลังจะตักข้าวคำที่สองเข้าเรียวปากเล็ก เสียงนรกส่งมาเกิดก็ทำลายความสุขของเธอลง
“ ประกาศ ขอให้นักเรียนที่เดินเข้าทางประตูสวนเกษตรโรงเรียน ตั้งแต่เวลา เจ็ดโมงเช้าถึงแปดโมงเช้า
มาประชุมพร้อมกันที่ห้องประชุมเล็กอาคารเล็กด้วยค่ะ ย้ำนะค่ะ ด่วนที่สุดค่ะ ท่านรองผอ. รออยู่ “
เพนกวิ้นทำหน้าไม่สนใจ คนเยอะแยะขนาดนั้นจะจำยังไงได้หมด ที่จริงก็รู้น้ะว่าต้องไปอะ แต่เธอไม่ไปคนยิ่งหิวๆอยู่
ความคิดคนพาลยังไง ก็เอาชนะความดีอันน้อยนิดในใจได้เสมอ ทำไมหละ เกรียนเสียอย่าง
เวลาผ่านไปได้ไม่ถึงสิบห้านาทีข้าวคำต่อไปก็เกือบพุ่งออกจากปาก
“ นางสาว เพนกวิน รัฐเมนาวิน
นางสาว แมวน้ำ ปัญญามหาสมุทร
นางสาว โลมา รัตนรางสรรค์
เชิญที่ห้องท่านรองผอ. อาคารอำนวยการด่วนค่ะ ย้ำค่ะด่วนนนน”
ประชาสัมพันธุ์ลากเสียงยาวโหยหวน เพนกวิ้นยอมจำนนฟ้าดินก็คลาวนี้แหละ แต่ก็ไม่วายไปขอป้าขายอาหารให้เอา
ไข่ดาว ไซ่กรอกและข้าวโพดนึ่งที่เหลือใส่ถุงพลาสติกให้
ร่างบางเก้าออกจากโรงอาหารตัวปลิว ข้างหน้าก็ปรากฏเด็กสาวสองคนที่วิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากห้องดนตรีพอดี
“ เฮ๊เพื่อนๆ จะรีบไปไหนกันน?” เพนกวิ้นยังเกรียนไม่เลิก ถึงแม้หน้าตาของแมวน้ำจะยังคงเรียบได้แต่แว่นตาที่สวมอยู่กลับขาเอียงไปข้างหนึ่งอย่างหน้าตลก
“ เล่นอยู่อีกเขาจะเรียกไปเชือดแล้วเนี่ย” โลมากระหืดกระหอบบอกเพนกวิ้นที่หัวเราะขำอย่างไม่ได้ใส่ใจประชาสัมพันธุ์ที่ทุบไมโครโฟนเหมือนความโกรธเดือดทะลุจุดเก็บ
“ แอ๊ด ปั้ง!!!”
ประตูห้องฝ่ายบริหารถูกผลักเข้ามาพร้อมไอเย็นของเครื่องปรับอากาศที่โชยกระทบผิวนอกร่มผ้าเย็นเฉียบ
แต่คนที่รออยู่กำลังอารมณ์ทะลุจุดเดือดร้อยองศาเซลเซียสไปแล้ว
“ นี่พวกเธอ ทำไมประชาสัมพันธุ์ประกาดแล้วถึงมาช้าอีกเนี่ย~”
เพนกวิ้นทำหน้าตาเหรอหราส่วนแมวน้ำยังตีหน้าตาย โลมายิ้มแห้งๆ
“ พวกเราเกิดอุบัติเหตุระหว่างทางครับ” โลมาหลังจากสงบใจได้แล้วก็เริ่มกวนตีนรองทรงธรรมที่หนวดกระตุก
“ โว้ยเด็กเปรด เออๆ ที่เรียกมาแค่จะบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสวนเกษตรของโรงเรียนนะ ไม่ต้องเอาไปบอกคนนอกโรงเรียนหรือเพื่อนห้องอื่นเข้าใจไหม?” เพนกวิ้นคันปากยิบๆ อยากกวนตีนรองทรงธรรมบ้าง
และแล้วฝ่ายอันเลวร้ายดำมืดในใจก็ชนะจนได้
“ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุน้ะรอง ไม่เคยได้ยินเหรอ?” รองทรงธรรมพยายามระงับลมหายใจที่หอบถี่กระชั้น
“ ได้ข่าวว่า เป็นโรคหัวใจหรอค่ะรอง?” คำถามของแมวน้ำทำให้รองทรงธรรมโบกมือรัวๆ
“ ไปๆ รีบไปก่อนจะไล่พวกแกไปห้องปกครอง” เพนกวิ้นกับแมวน้ำหัวเราะขำ ส่วนโลมาโบกมือบ๊ายบาย
ก่อนทั้งหมดจะเดินออกจากห้องฝ่ายบริหารไป
“ นี่เห็นเป็นลูกเพื่อนหลานเพื่อนนะเวิ่ย ไม่เอาเรื่อง” รองทรงธรรมทำหน้าเหนื่อยหน่าย
“ อ่าว ไม่บอกไม่รู้น้ะท่านรอง” สามสาวโผล่หัวเข้ามาแล้วก็แทบจะมุดออกจากประตูไปแทบไม่ทันเมื่อกล่องกระดาษชำระลอยกระแทกประตูดังปั้งใหญ่
พร้อมเสียงโวยวายที่ตามมา
ทั้งสามสาวเพื่อนซี้เดินเคียงข้างกันลงบันได ทำตัวเป็นแก๊งขาใหญ่กร่างปิดทางเดินน้องม.2 ที่สวนบันไดไปจนต้องหลบทางให้รุ่นพี่วอนเท้ากันไปเป็นแถว
“ เออกวิ้น ที่เราบอกว่าห้องดนตรีกันนะ เหมือนเธอจะสันนิษฐานใกล้เคียงน้ะ” ระหว่างเดินกลับขึ้นไปเรียนคาบบ่าย โลมาพูดขึ้นเรียกสายตาชมนกชมไม้ของเพนกวิ้นกลับมาจ้องหน้าเพื่อนสาวที่หันไปพยักหน้าให้แมวน้ำที่ปิดหนังสือเล่มโปรดลงและเปลี่ยนมากอดไว้แนบอกแทน
“ เราตรวจแล้ว ห้องดนตรีมีชั้นใต้ดินจริงด้วย” แมวน้ำพูดนิ่งๆ
ไม่มีใครรู้ว่าสามสาวคุยอะไรกัน หลังจากพวกเธอเจอสถานการณ์ทั้งหมดที่สอดคล้องกับฝันร้ายของพวกเธอได้อย่าง
น่าใจหาย
“ เปียโนกับพิญหละเจอเปล่า?” เพนกวิ้นทอดฝีเท้าให้ช้าลง เหตุผลของเธอมีมากมาย แรกๆ ก็คือจะได้เข้าเรียนสายๆ และเหตุผลสองคือจะได้ฟังเพื่อนซี้ทั้งคู่ให้ชัดเจนแล้วค่อยมาวางแผนกันต่อ
“ เจอสิ อาบเลือดเลยด้วย” แมวน้ำบอกอีกตามเคย ส่วนโลมากำลังพรมนิ้วลงบนหน้าจอโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุด
“ เป็นไปทำนองนี้” หน้าจอโทรศัพท์มีดวงตาอยากรู้อยากเห็นสามคู่จ้องชนิดที่เกือบจะทะลุจอ
ภาพที่แสดงคือกล้องวงจรปิดของโรงเรียนยามกลางคืนที่ตรวจจับคนแปลกหน้าด้วยคลื่นแสงโซลา และอินฟาเรสที่
กระพลิบแสงสีส้ม
ไม่นานเวลาตามที่ทั้งสามช่วยกันคาดคำนวณก็เคลื่อนเข้ามาถึง
ภาพสีส้มว่างๆ เริ่มสั่นเบลอไปอย่างผิดปกติ
“ แบบนี้คือมีคลื่นบางอย่างเดินทางผ่าน สีแดงนี่คือ อาคารดนตรี”
โลมาชะงักคำพูดไปเมื่อเสียงประสานระหว่างเปียโนกับพิญโบราณดังออกจากโทรศัพท์
“ นี่เป็นอะไรทำไมกระแสคลื่นเป็นแบบนี้?” เพนกวิ้นอดสงสัยไม่ได้เมื่อกระแสคลื่นไม่คุ้นตาเธอเลย ปกติแล้วสิ่งมีชีวิต
มีมวลที่ควบแน่นไม่มีทางเลือนลางว่างเปล่าขนาดนี้
“ เธออาจจะไม่เคยรู้” แมวน้ำเริ่มเสียงขึ้นเรียบๆก่อนบอกต่อหลังจากจุดแสงเหลืองเบื้องบนหายลับเข้าสู่ชั้นเมฆไป
“ ไสยศาสตร์โบราณฝ่ายมืดของญี่ปุ่นโบราณ มีศาสตร์หนึ่งซึ่งสามารถผนึกร่างวิญญาณด้วยความเกลียดชังอย่างมหาสารเป็นร่างเลือดเนื้อแล้วเดินไปเดินมาสวนกับคนปกติได้จริงๆ แต่จุดสังเกตก็คือ “
เสียงของแมวน้ำหายไปในคอเมื่อเสียงสายพิญขาดสะบั้นและเสียงกรีดร้องดังโหยหวนลั่นตึกดนตรีที่เลือดชโลม…
“ การใช้พลังจิตได้ไงหละ
นี่เป็นเสียงคนจริงๆ น้ะ แล้วก็เป็นคนที่พวกเรารู้จักด้วย” แมวน้ำหยุดพูดไปเมื่อเพนกวิ้นดึงแขนสองสาวหลบรถพยาบาลที่ปิดเสียงขอทางพาร่างไร้ชีวิตสองร่างจากไป
“ ครูสิต กับครูแก้วงั้นหรอ?” เพนกวิ้นรำพึงเสียงแผ่ว
แมวน้ำพยักหน้ารับนิ่งๆ ส่วนโลมาก็ปิดโทรศัพท์พับเก็บเข้ากระเป๋านักเรียน
“ทำไมพวกเขาต้องตาย……และใครที่ทำให้พวกเขาทั้งคู่ตาย?”
คือคำถามที่สามสาวต้องแก้เงื่อนปมการสังหารโหดนี้ต่อไป
เรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นในโรงเรียนยิ่งผ่านไปนานขึ้นและไม่มีใครแก้ปัญหาได้
ชีวิตแล้วชีวิตเล่า ที่ต้องปลิดปลิวสังเวยเงามืดปริศนาที่บงการอยู่ด้วยจิตใจวิปริต
ย้อนไปทั้งหมด เรื่องราวทุกอย่างเริ่มจากความโลภอย่างไม่มีสติ ความโกรธเพียงชั่ววูบเดียว
และความมัวเมาหลงผิดไม่คิดหน้าคิดหลังในการกระทำและผลที่จะตามมาในภายหลัง…….เพราะประมาทจึงพิฆาตชีวิตผู้อื่นและบ่วงกรรมไม่เคยให้ใครต้องรอนาน…………..
By ผีหิมะ
……………………………….***
ความคิดเห็น