ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    7 ราชันย์ปราการเทพSeven lord of wonderful the defense divine

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 10 มิ.ย. 60


                     บทนำ

     

     

    ปฐมบท       แรกเงื่อนชตากรรม

     

     

      ไม่มีสิ่งมีชีวิตหน้าไหน จะสามารถคาดคเน อายุที่แท้จริงของจักรวาลได้

    กลางห้วงแห่งความเวิ้งว้างกว้างไพศาล สีดำสนิทและสภาวะศูนยากาศ คือสิ่งที่เต็มแน่นอัดเบียดเต็มห้วงแห่งการ

    ไร้แสงสว่างนิรันดร์

    ท่ามกลางการไหวกระเพื่อมของละลอกสะสารสุดคนานับ ในจักรวาล ประกอบด้วยเหลี่ยมมิติที่ลึกลับ และซับซ้อนจน

    ยากยิ่งกว่าจะก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้

    กาลเวลาคือสภาวะที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดสิ้นสุด

    นับว่าเวลาเป็นจักรวาลชนิดหนึ่งได้เช่นกัน

    ความผันแปรของสภาพสะสารก่อให้ละลอกอวกาศขยับเขยื้อน สิ่งที่เป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการขยับตัวของจิตวิญญาณจักรวาล คือ

    สะสารที่รวมตัว กลืนกิน ดูดกลืน แผ่ขยาย ปฏิสะสารที่เกิดขึ้น ก่อให้เกิดพายุสะสาร หรือ ทอร์นาโดแห่งจักรวาล

    ความนิ่งสงบ เรียบนิ่ง ถูกความผันแปรแห่งปัจจัยกาลเวลา และใครบางคน สรรค์สร้าง ห้วงแห่งความบิดเบี้ยว

     ด้วยการบงการของอำนาจลึกลับ พายุจักรวาลแตกตัวออกเป็นกลุ่มก้อน และเมื่อนั้นเอง

    ดวงไฟดวงแรกแห่งตำนานถูกจุดขึ้น

      ฟุบ , ฟูมมม ฟู่วววว

    แสงสว่างไร้สีอาบชโลมทั่วทั้ง อวัยวะบางอย่างของร่างลึกลับ เปลวไฟพุ่งปะทุลุกโชน ทั้งในแก้วใสสีนิลดำขลับยิ่งกว่า

    หุบเหวทะเลรัตติกาล และเมื่อวาจาสิทธิ์แรกถูกปลดปล่อย

     การรางสรรค์ก็เริ่มต้นขึ้น

     

      ด้วยเปลวไฟแห่งกาลเวลา วาจาสิทธิ์ของเรา ขอสรรค์สร้าง  ยี่สิบเอ็ดกาแล็กซี

    สเลเซีย   เปลวเพลิงแห่งดารา

    แพนโซลาเมอร์ริน   ยมทูตแห่งดวงดาว

    คาลิออส   ห้วงความมืดนิรันดร์

    เอ็กมีโซ   พิพากษาเอกภพ

    เฮลเดรียม   วัฏจักรอมตะ

    กิฟท์ฟาเทอร์   ของขวัญกาแล็กซี

    คริสลิวา  สุขนิรันดร์

    แกนไฟท์   นักเดินทางแห่งมิติ

    วอร์เดรส   ผู้ผนึกภิภพ

    แกรน   ผู้สร้างดารา

    แฟรินสโน   ฟื้นชีวะ

    วิกตอเรีย   ความงามแห่งเอกภพ

    เทคมีโซ     ห้วงกาลเวลาย้อนคืน

    ทูนมีนัส   สมบัติแห่งดวงมาร

    ครีเมเซีย  พรทุกสรรพสิ่ง

    ลิวาเรีย  ห้วงเอกนิรันดร์กาล

    กาทีเนีย  ปัญญาอวกาศ

    ไบทาเดีย  ไร้ความรัก

    ชิเบน  กาแล็กซีแสงสุดท้าย

    ไดกาเซีย  ศัตรูแห่งพระเจ้า

    ทานช้างเผือก  สุริยจักรวาล

     

    ปรมาณูทุลีแสงสว่างกระจัดกระจายส่องสว่างกระจ่างเจิตจ้าแจ่มจรัสพุ่งสู่ห้วงอันลี้ลับมืดดำของห้วงแห่งความว่างเปล่า

    ลำแสงยี่สิบเอ็ดสว่างเรืองรองพุ่งเข้าหมุนวนพุ่งเวียนเป็นเส้นโค้งพุ่งเฉียงๆ ออกไปในทิศทางบ้างไกลบ้างใกล้

    ละอองพลังงานสีดำที่ลึกลับและเงียบกริบแผ่สยายออกจากทุกอนูของผู้รางสรรค์เอกภพ

    แสงสว่างในวงแหวนสีฟ้าครามเจิตจ้าแห่งกาแล็กซีที่อยู่ใกล้ที่สุด สาดส่องจับคลึ่งซีกใบหน้าขาวซีดและแทบจะโปร่งใส

    ของสิ่งมีชีวิตกึ่งพลังงานที่ยืนเหยียดร่างที่มีแกนพลังงานทำให้ต่อต้านทุกแรงต้านจักรวาล

    สนามพลังยิ่งใหญ่ทรงอำนาจพุ่งออกตรึงทั่วทั้งห้วงจักรวาลอันไกลโพ้น ซึ่งมิอาจจะมีผู้ประมาณระยะทางที่แท้จริงและ

     ไขปริศนาแห่งห้วงจักรวาลได้

    ริมฝีปากสีซีดจางราวดวงดาวที่ไร้แสงในตนเองเผยอกล่าวอย่างเชื่องช้าและไร้อารมณ์

    ประกาศซึ่งเจตนารมณ์อันแรงกล้าถึงขั้นบันดานให้เกิดทุกสิ่ง....ทุกอย่าง.....เป็นการเริ่มต้นแห่ง....

    เอกภพอย่างสมบูรณ์แบบ

    ดาราจักร

    ความเป็นระเบียบ

    ความโกลาหน

    ความมืด

    แสงสว่าง

    ความดี

    ความชั่ว

    ชีวิต

    และ.....ความเป็นไปตามห้วงแห่งคำว่า

    วัฏจักร หรือ สังสารวัฏ

     

     

    ในกาลเวลาที่ล่วงเลยผ่านมาอีกนับพัน.....พันล้านปี.....

    เกรียวแสงสีขาวอันสูงส่งสง่างามพุ่งทะยานขึ้นจากสะสารมีสภาวะเหลวใสไร้สี

    ดิ่งทะยานสู่ฟากฟ้า เปร่งประกายเจิตจ้าสว่างไสวไปทั่วกาแล็กซีทานช้างเผือก

    ดวงสุริยะที่ถูกจุดสว่าง

    ดวงจันทราที่ถูกจัดระเบียบ

    ดวงดาวน้อยใหญ่ที่เกิดขึ้นจาก การกำหนดไว้แห่งตัวตนที่ถูกกล่าวว่าเป็น

    พระเจ้า ในเวลาต่อมา

    ความมืดแสงสว่าง ของเหลว

    อากาศ

    และของแข็งถูกแบ่งตัวออกชัดเจน

    ความร้อนความเย็น

    ความสุขสงบ

    และความทุกข์ระทมโกลาหนถูกแยกตัวออกจากกัน

    ร่างต้นแบบแห่งสิ่งมีชีวิตที่จะยิ่งใหญ่ในกาลข้างหน้า

    มวลมนุษยชาติ

    ทุกร่างสงบนิ่งเหนือกลุ่มพลังงานอันลี้ลับสีฟ้าคราม

    ซึ่งไร้ตัวตนแต่ทุกร่างกลับสัมผัสได้ว่าเป็น....พลังแห่งผู้สร้าง ซึ่งมิมีใครในที่แห่งนี้....จะสรรค์สร้างได้เสมอเหมือน

    สูงส่ง งดงาม ห่างไกลสุดสายตา แต่ก็เหมือนเพียงไขว่คว้ามาครอบครอง

    คือคำนิยามของผืนฟ้าในยุคบรรพกาล

    นานมาแล้ว

     

    ทุกตัวตนทรงอำนาจที่เรียกได้ว่า เป็นต้นแบบผู้ทรงอำนาจ ด้วยพลัง ปัญญาและความเป็นเอกเทศอย่างแท้จริง

     

    และไม่ใช่แต่กาแล็กซีทานช้างเผือกที่เกิดการเคลื่อนไหว

    ในอีกยี่สิบกาแล็กซีก็ก่อเกิดความปั่นป่วนทางพลังงาน สะสาร และอนุวิญญาณที่ถูกจุดประกายตื่นขึ้นจากการ

    หลับไหลนิรันดร์มายาวนาน

    แต่ทะว่า....สิ่งที่ยี่สิบกาแล็กซีแตกต่างจากทานช้างเผือกก็คือ

    พันธสัญญาสันติภาพแห่งจักรวาล

    การร่วมมือระหว่างตัวตนที่ถูกกล่าวขานว่าเป็น

      เทพจักรวาล หรือตำแหน่ง มหาจักรพรรดิแห่งกาแล็กซี

    ในเนื้อหาการร่วมมือแสดงเจตนาเดียวคือ

    ปกป้องการรุกรานจากตัวตน แห่งผู้สร้าง

    พวกเขาเป็นพลังงานกึ่งสะสาร จึงหวาดกลัวกับการสูญเสียสถานภาพที่เป็นอยู่

    ความหวาดกลัวและความทะยานอยาก ก่อให้เกิดความร่วมมือแห่งความหวาดกลัว

    อาณาเขตพลังถูกหล่อหลอมขึ้นจากตัวตนระดับมหาจักรพรรดิกาแล็กซีทั้งยี่สิบ จนเกิด

    กำแพง

    ปกปิดทุกกาแล็กซีออกจากจักรวาลภายนอก

     

    ...........เหตุผลที่ทานช้างเผือกถูกมองข้าม ไม่ขอความร่วมมือทางพันธสัญญาสันติภาพแห่งจักรวาล

    เพราะพวกเขาหวาดกลัว

    ทานช้างเผือก มีความเป็นไปประหนึ่งผู้รางสรรค์เอกภพ แทบไม่แตกต่างกันมากด้วยซ้ำ อาจจะมีเหลื่อมล้ำทางพลังบ้าง

    แต่ความระแวง คือสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตในอีกห้าพันล้านปีต่อมา......

     

      เคออส  ผู้นำมาซึ่งโกลาหน

    สกาย  เทพเทพีแห่งกฎระเบียบ

    อีเด็นลอส  พระผู้เป็นเจ้า

    ผานกู่  ผู้รางสรรค์แผ่นดินใหญ่

    เซิร์ท  จอมนรกไฟน้ำแข็ง

    เอ็นจี้แม็ท  มังกรดวงดาวดึกดำบรรพ์

    เฮเนรา  แสงแห่งระบบสุริย

    นิกส์  ความมืดนิรันดร์กาล

    ฮวาชิ โทมิสึ  เทพราชันย์พันศาสตรา

    โลกิเทวะศาสดา  ผู้รางสรรค์ปราการฟ้า

    แฟลินก้า  เซียรมารอวตาน

    เชกันชานยอน ข่มสะกดทั้งโลกหล้า

     

    ……………..และตัวตนอีกหลายตัวตน ในระดับ พระเจ้า ที่ซึ่งไม่มีรายนามในที่นี้

    ตัวตนระดับต้นแบบนี้

    เป็นผู้ให้กำเนิด จอมเทพ จอมอสูรในยุคสมัยต่อมา  เช่น

    อูรามอส  โครนอส  มหาเทพ ซุส

    เทพธิดาปิดฟ้า หนี่วา

    พยามังกรทอง ฟูซี

    และมหาเทพปกครองสวรรค์ เง็กเซียนฮ่องเต้

    เจ็ดเทพผู้เดินทางบนสะพานสายรุ้ง

    สามีภรรยา

    อิซานากิและอิซานามิ

    อีเมอร์ ต้นตระกูลแห่งภิภพทั้งเก้า

     มหาเทพ โอดิน

    และยักษ์แห่งน้ำแข็ง

    ตรีมูรติ

    มหาเทพ ทั้งสามแห่งตำนาน

    พระพรหม พระนาราย และพระสิวะ

    ต้นตระกูลมังกรบรรพกาล

    เทียแม็ต

    มหาอัครเทวทูต ผู้โด่งดังในการนำมา ซึ่งแสงสว่าง ในระดับเดียวกับ อีเด็นลอส  ลูซิเฟอร์

    และนามธรรม ในธรรมชาติ ในรุ่นต่อมา

    ตราบปัจจุบัน

     

    ยี่สิบล้านปีผ่านไป

    โลกได้ลงนามในสนธิสัญญา น่านฟ้าและแผ่นดินพื้นที่ปกครอง ในระยะเวลาที่ผ่านมา มีการทดลองและปรับแต่งสายพันธุกรรม อย่างหลากหลาย เพื่อเฟ้นหาโครโมโซม ในการดำรงไว้ ซึ่งเผ่าพันธุ์ ของตนให้ยาวนานที่สุด

    และการทดลองก็สำเร็จลง

    เมื่อสภาพและสิ่งแวดล้อมถูกปรับให้เหมาะสมกับสิ่งมีชีวิต

    ที่พวกเขาเรียกว่า สัตว์ และพืช ถูกปล่อยลงไปในพื้นที่ ที่เหล่าตัวตนระดับ พระเจ้า ต้องการ

    การเฝ้ามองความเป็นไปอย่างใจเย็น ในสายเนตร ของเหล่าพระเจ้าเป็นไปแบบนั้น ในอีกหลายสมัย

    และเมื่อวันหนึ่ง ทาญาตของมังกรแหวกสายพันธุ์กำเนิดขึ้น

    ขนาดตัวที่ใหญ่โตคับฟ้า นิสัยสันดานดุร้าย เสียงคำรามและพลังอำนาจในการยึดครองอาณาเขตตกเป็นของมัน

    ไทรันนอซอรัส

    ความผิดพลาดของมังกร สร้างความไม่พอใจให้เหล่าพระเจ้าที่เหลือ

    แต่พวกเขาก็ติดสนธิสัญญาทางน่านฟ้าและอาณาเขต จึงเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้

    การแพร่สายพันธุ์ของมังกรผิดสปีชี่ เป็นไปอย่างรวดเร็วจนน่าตระหนก

    เหล่าตัวตนระดับพระเจ้าเริ่มสัมผัสได้เค้าลางแห่งความวุ่นวายที่พวกเขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน

     

    และเมื่อเวลาล่วงเลยมาอีกนับพันปี

    มังกรแหวกสายพันธุ์ ที่ทางมังกรให้ศัพท์เฉพาะว่า ไดโนเสา ได้เข้ารุกราน อาณาเขตไปทั่วทั้งแผ่นดิน เอิท จนทำให้ ผู้เป็นปราการแห่งผืนฟ้ามิพอใจ

    บันดานให้เกิดฝนหินไฟยักษ์ครั้งใหญ่ที่สุด

     

    ….

    กาลเวลาล่วงผ่านมาอีกหลายล้านปี สิ่งที่ตัวตนพระเจ้าสัมผัสได้ว่า พวกเขาต้องสร้างสิ่งมีชีวิต ที่มีปัญญา

     คานอำนาจกันได้ และไม่ก่อให้เกิดสงคราม ที่พวกเขาไม่ต้องการเห็น

     

    เมื่อนั้นการคิดค้นทดลองอย่างหนัก ก็ได้ผลลัพท์คือ

    มวลมนุษยชาติ

     ตัวตนระดับพระเจ้า เริ่มจางหายไปทีละจิตวิญญาณ สองจิตวิญญาณ

    แต่การสูญหายเป็นไปอย่างเงียบเชียบ

    เงียบจนดูน่ากลัว และไม่น่าไว้ใจ

     

    ………….

     

      วรกาล   อวตานโลกันต์...........ผู้รางสรรค์เอกภพ

    นี่คือประโยคสุดท้ายก่อนต้นตระกูลมังกรดึกดำบรรพ์จะจางหายไป

    ตัวตนระดับพระเจ้าที่เหลือเริ่มหวาดหวั่นพลั่นพลึงกับความผิดปกติที่มาในรูปแบบที่พวกเขา ไม่สามารถรับมือได้

    การรับมือกับตัวตนระดับเอกภพ มีเพียงหนึ่งเดียวในทุกห้วง กาลเวลา มิติ และ

    กาแล็กซีนี้ดูเป็นอะไรที่พวกเขาจะรับมือไม่ได้เองแล้ว…………

    ในเวลาสามล้านปีต่อมาดวงดาวปริศนาเจ็ดดวงลอยขึ้นเหนือผืนฟ้า แผ่ขยายรังสีทั้งเจ็ดแฉกในรัศมีความเป็นดวงดาวของตนเองสาดสว่างไปสุดขอบจักรวาล

    ซึ่งเงาละอองพลังงานลึกลับไหววูบ

    แสงทั้งเจ็ดสะท้อนในแก้วตาสีนิลใสสะอาดสว่างกระจ่างเจิตจ้า

    ยิ่งกว่าดวงอาทิตย์นับล้านดวง

     

        เจ็ดราชันย์  กาแล็กซีนี้ ไม่ประมาณ ตนเอาเสียบ้าง!!!!

    น้ำเสียงเยียกเย็นหนาวยะเยือกกระซิบแผ่วจาง

     เส้นสายพลังงานล่องลอยออกจากมือถักทอเป็นเงาดาวหางนับล้านๆ พุ่งตรงเข้าหาดวงดาวทั้งเจ็ดที่หมุนโคจรไป

    รอบตัวเองอย่างเชื่องช้า

     

      พลังชาญสยบฟ้า

    พลังยุทธเหนือนภา

    คอสมิคยมกาล

    อาคมถล่มฟ้า

    ความมืดชั่วนิรันดร์

    จิตแปรผันนรกาล

    และ.......วัฏจักรเจ็ดราชันย์  ………….”

     

    ดาวหางห่างจากระยะแห่งดวงดาวทั้งเจ็ดเพียงหนึ่งร้อยปีแสง  พลังมหาศาลสุดอาจเอื้อมจะแตะต้องก็พุ่งทะยานออกไปปะทะต่อต้าน

    จนสนามพลังไฟฟ้ากระจัดกระจายพุ่งปะทะสวนทางกันถี่ระรัว

     ตูมมๆๆๆ ตูมๆๆๆ  ตูมมม บลึ้มมๆๆๆ!!!!!!! “

    เสก็ดพลังล่องลอยถักทอเป็นเส้นแสงแต่ละเส้นเชื่อมประสานด้วยพลังที่ต่างกันสุดบรรยาย ยากจะหยั่งคเน พลังมหาศาลลึกล้ำพุ่งเข้ามัดตรึงทั่วทั้งร่างของ ผู้รางสรรค์เอกภพไว้อย่างเหนียวแน่น

    แต่เพียงแค่การสลัดมือครั้งเดียว ดวงดาวทั้งเจ็ดก็แตกร้าว และสาดรัศมีของรังสีปรมาณูอันรุนแรงกระแทก ร่างของ

    ผู้ไม่เคยเก้าถอยหลัง จนเท้าขยับห่างออกไป

    สร้างความวาวโรธในดวงเนตรสีนิลใสสว่างอย่างรุนแรง…………………………………

     

     

                     ในห้วงมิติที่แปลกแยกเป็นเอกเทศ ซึ่งตั้งอยู่ ณ จุดใจกลางโลกใหม่ ที่สามารถมองเห็นดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้ได้ทั้งใบ

    ผืนแผ่นเมฆสีขาวสะอาดทอดตัวถักทอเป็นเงาหมอกมายากินพื้นที่ไปหลายไมท์ในผืนฟ้า แต่น่าแปลกที่โลกภายนอกไม่สามารถจะมองเจาะทะลุเข้ามาเห็นผืนแผ่นดินเมคินนี้

    ภายในแสงระยิบระยับของต้นไม้สวรรค์เปร่งประกายออร่าสว่าง ส่องจับทั่วทั้งผืนฟ้าและพื้นเมฆจนฉาบทั้งหมดกลายเป็นสีทอง สีทองอันเรืองรองและแจ่มจ้า

    ใจกลางผืนแผ่นดินเมฆสิ่งก่อสร้างสีขาวทรงปริซึมตั้งตระหง่านผ่านกาลเวลาในสถานที่แห่งนั้นมานานหลายพันหลายหมื่นล้านปี

    ร่องรอยแห่งกาลเวลาไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้ม่านเวทมนตร์สีขาวสะอาดที่แวดล้อมอยู่รอบๆ ปราสาทแห่งนั้นได้แม้แต่น้อย

     

    ในความเงียบสงบสามารถสัมผัสได้ถึงขุมพลังอันยิ่งใหญ่และสุดอบอุ่นจนแม้แต่ความดีงามทั้งโลกใบนี้รวมกัน

    ยังไม่สามารถเทียบเท่าแค่เพียงเศษเสี้ยวความรักความเมตตาต่อทุกสรรพสิ่งของพระองค์ได้

    และ ณ เวลานี้ เมื่อขุมพลังอันยิ่งใหญ่สั่นกระเพื่อมเหมือนระลอกน้ำที่พลิ้วไหวเพียงแผ่วเบา แต่กลับทำให้โลกภายนอกเกิดกระแสไฟฟ้าวิ่งวนปั่นป่วนอาละวาดทั้งนภา

    ภายในแผ่นดินสวรรค์ ค่อยๆ สั่นร้าว พร้อมกระแสมิติที่บิดหมุนและถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหมือนกระแสอากาศที่ไร้ความหมาย เมื่อเงาหนึ่งทอดตัวดำสนิทกับปราสาทสวรรค์อีเด็นสีทองเจิตจ้า.....

    เงาร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มเรือนผมยาวสีดำสนิทพลิ้วไปกับกระแสลมสวรรค์ที่หอบเสียงประสานอันไพเราะของธรรมชาติและละอองเวทมนตร์ที่ค่อยๆถูกร่างผู้มาใหม่สูบเข้าสู่ร่างอย่างรวดเร็ว

    เปลี้ยง!

    หมัดเปล่าๆ ชกเข้ากับกำแพงเวทมนตร์จนปราการสวรรค์เกิดรอยร้าวและแผ่ขยายออกไปราวไยแมงมุม เพียงพริบตาเดียวกำแพงเวทก็หลุดสลายพร้อมผู้ครอบครองกลิ่นไอแห่งตัวตนสุดวิถีย่างเท้าเข้าสู่ปราสาทภายในซึ่งกำลังหมุนวนด้วยขุมพลังอันรุ่งโรธต้อนรับผู้รุกรานอยู่แล้ว

     

    พระเจ้า..... น้ำเสียงเรียบหนาวยะเยือกของชายหนุ่มกระซิบผ่านอากาศไปถึงร่างบนบรรลังก์แสงขาวเจิตจ้าที่หมุนตัวมาเผชิญหน้ากับชายผู้ครอบครองพลังระดับเอกภพ.......ไม่ต่างจากพระเจ้า

    หากพลังของพระเจ้าคือแสงสว่างอันอบอุ่น ชื่นละมุนและอ่อนโยนทั่วทั้งจักรวาล

    พลังของคนตรงหน้าก็เปรียบประดุจขั้วตรงข้ามที่ไม่สามารถจะอยู่ร่วมกันได้ ไม่ว่าห้วงใดก็ตาม

    จอมมาร....หึ ไม่สิ ผู้รางสรรค์เอกภพ...ต้นกำเนิด

    พระเจ้าไม่ได้เปิดปากพูดแต่น้ำเสียงอบอุ่นของพระองค์กลับล่องลอยอยู่ในอากาศของปราสาทสวรรค์

    เราไม่สนใจ ว่าตัวตนอย่างพวกคุณจะเรียกเราว่าอะไร

    แต่เราแค่จะมาเตือน ดาวทั้งเจ็ดดวงนั่น.......คิดจะเอามาสะกดข่มเราหรือไง คิดให้ดี......ตัวตนระดับพระเจ้าอย่างพวกคุณก็คือส่วนหนึ่งของเรา

    ชายหนุ่มพูดผิดไปนิดหนึ่ง อันที่จริงแล้วตัวตนระดับพระเจ้าทั้งหลายนั้นไม่ได้มีเขาเป็นต้นกำเนิดแม้แต่นิด แต่เป็น

    ผลพลอยได้อันน่าตื่นตลึง

    ต่างหากที่สรรค์สร้างเหล่าพระเจ้าทั้งหลายให้เกิดขึ้นและปกป้องดาวเคราะห์สีน้ำเงินไม่ให้แหลกยับภายใต้

    ความพิโรธโกรธเกรี้ยวของมหาบุรุษมาร

    โลกใบนี้ ท่านไม่ใช่ผู้กำหนดอีกต่อไป.....เช่นเดียวกัน กาแล็กซีอีกยี่สิบที่เหลือ ท่านก็ไม่สามารถเก้าข้ามกำแพงจักรวาล

    ไปได้ เพราะฉะนั้นด้วยความเมตตาปรานีของเรา ซึ่งเป็นพระเจ้าและเพื่อนร่วมขบวนการอีกหลายท่าน

    เราขอเตือนท่านบ้าง มหาบุรุษมารพวกเราไม่รังเกียดหรอกน้ะ ถ้าจะรุมทำลายท่านให้ย่อยยับ

    น้ำเสียงอ่อนโยนของพระเจ้ายังคงไพเราะและนุ่มนวลตลอดกาล แต่จิตฆ่าฟันที่ปลดปล่อยเพียงวูบก็ผลักร่างเจ้าของพลัง

    ไร้ผู้ต่อต้านกระแทกกับกำแพงสวรรค์จนเกิดเสียงลั่นอื้ออึงไปทั้งโลก

    ตู้มม!!

     

    ไม่มีร่องรอยความบาดเจ็บหรือโกรธเกรี้ยวกับชายหนุ่ม

    ดวงเนตรสีดำสนิททั้งคู่ทอดมองพระเจ้าและยกยิ้มเย็นเยือก

    งั้นเราจะทำให้เจ้าเห็นว่าเราสามารถบทขยี่โลกใบนี้และกาแล็กซีทั้งยี่สิบเอ็ดที่เราเป็นคนสร้างได้ด้วยสองมือ แม้ไม่ต้องใช้พลังใดๆ เลยก็ตาม

    พระเจ้าสะบัดปีกทั้งสิบหกคู่และทะยานวรองค์สูงโปร่งและบอบบางมาหยุดลงหน้าชายหนุ่ม ม่านแสงสีขาวจ้าค่อยๆ สูญสลายไปอย่างเชื่องช้า

    ดวงเนตรสีดำสนิทประดุจนิลกาลจ้องชายตรงหน้าแล้วยกยิ้มขึ้นมาบ้าง

    เรือนเกสาสีทองยาวสะบัดพลิ้วไหวไปกับสายลมอบอุ่นของสวรรค์

    ร่างบางอยู่ในชุดเกราะอ่อนสีขาวสะอาดทั้งร่าง

    ปีกแสงทั้งสิบหกคู่กางนิ่งลอยตัวอยู่กลางอากาศ

    โอ้ๆ นี่เรากลับทำให้ท่านจิตวิญญาณ ผู้เลือกเดินทางสายกลาง......แต่เป็นสีดำต้องโกรธเกรี้ยวขึ้นมาแล้ว

    เราจะถือว่าคำพูดเมื่อกี้เป็นวาจาสิทธิ์จากท่านน้ะ วรกาล หึๆ หากท่านเป็นผู้ทำลาย เราก็จะเป็นผู้ปกป้อง แต่หากท่าน

    ไม่ทำตามคำพูดละก็ เราคาดว่า ท่านอาจจะหลบหนีเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มาไม่ได้อีกแล้ว

    พระเจ้าชี้ปลายดาบแสงสีดำสนิทที่ยังไม่ถูกชักออกจากฝักเข้าหาชายหนุ่มที่รีบเคลื่อนตัวหลบโซ่แสงสีขาวสว่างที่พุ่งผ่านอากาศและหมุนวนราวอสรพิษที่กำลังลิงโลด

    หึ อย่าคิดว่าเราจะกลัวคุณพระเจ้า

    เราเป็นใคร คุณเป็นใคร เราจะได้เห็นดีกันในโลกเบื้องล่าง

    วรกาลค่อยๆ กลืนเข้าสู่เงาและจมหายไปในที่สุด

    ส่วนพระเจ้าก็ลดดาบลงแนบกับวรองค์บางแล้วเงยหน้าจ้องผืนฟ้า

    โลกใหม่ในศตวรรษนี้ ต้องเข้าสู่กลียุคอีกแล้ว เราละเบื่อ

     

    อ้อ.....พระเจ้า เราลืมบอกเงื่อนไข หากพวกคุณชนะต้องการสิ่งใด?” จู่ๆ น้ำเสียงเหน็บหนาวของวรกาลก็กลับมาอีกครั้ง ทำให้พระเจ้ารีบหมุนตัวแล้วฟาดฝักดาบเข้ากับมือขาวซีดที่เคลื่อนถอยหลัง

    อยากสูญสลายตลอดกาลไหมวรกาล?

    แค่ท่านอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ต้องไประรานกาแล็กซีอื่น อยู่อย่างสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ของเราก็เพียงพอ

    พระเจ้าชี้นิ้วเรียวไปบนกำแพงปราสาทซึ่งแสดงรายนามของสิ่งมีชีวิตและผลงานของพระเจ้า

    มนุษย์........ วรกาลยกยิ้มน้อยๆขึ้นบนมุมปากและในตาสีดำสนิทเปร่งประกายชั่วร้ายผ่านวูบ

    หากเราชนะ.......

    พระเจ้ารู้สึกเหมือนพลังทั่วร่างสั่นสะเทือนอย่างขนลุกเกรียวด้วยความสยดสยอง

     

    คุณไม่มีวันชนะหรอกวรกาล พระเจ้ายิ้มและจ้องชายหนุ่มอย่างกดดัน ด้วยพลังงานอันยิ่งใหญ่และบุคลิกสมบูรณ์แบบ เพราะเหนือกว่าทุกสิ่งมีชีวิต ทำให้พระเจ้าแลดูเหมือนภาพฝันหรือมายาสวรรค์เท่านั้น

    ร่างบอบบางท่ามกลางสวรรค์ช่าง..........สูงสุดแห่งวิถีและโดดเดี่ยวไร้ที่เปรียบ.......นั่นสิน้ะ ไม่ได้ต่างจากเขาเลย

     

    เรารู้แล้ว หากเราชนะ ท่านต้องมาเป็นเมียน้อยของเรา~~~~”

     

    พระเจ้า:

     

    วรกาลหายวับไปในเสี้ยวกระพริบตา  โดยไม่รอดูผลงานที่ทำให้พระเจ้าเหลือบตามองฟ้าแล้วสบถเสียงลั่น จนตัวตน

    พระเจ้าอื่นๆ แทบตกบรรลังก์

    บัดซบเถอะ.......เราเป็นพระเจ้าน้ะ  แกไม่อยากตายดีแล้วใช่ไหม?!!!!”…

     

     

    -ขอบคุณจากใจ 

     

    By ผีหิมะ

     

     

     

    ……………………………………***

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×