คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : พิศวาสลวงบ่วงราคี - 4
อีบุ๊คพี่ไทม์กับหนูฝนมาแล้วจ้า ใครรอโหลดอยู่เชิญจิ้มเลยจ้า
หรือคลิกที่ภาพก็ได้นะคะ
1
“อย่าส่งเสียงดัง ถ้าไม่อยากโดนจับได้”
เสียงทุ้มต่ำกระซิบบอกที่ข้างหู
กลิ่นเบียร์คุ้นๆ ลอยคละคลุ้งเข้ามาปะทะจมูกยามสูดลมหายใจเข้าลึก
พาฝนไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังหนีเสือปะจระเข้หรือเปล่า
แต่ก็เลือกที่จะไม่ส่งเสียงแล้วยืนตัวแข็งเกร็ง ครู่หนึ่งเขาก็ผลักหล่อนออกได้ไม่แรงนัก
พาฝนกระชับเสื้อคลุมเข้าหากันแน่น
ผูกสายคาดเอวใหม่ให้กระชับพอดีตัว หันหลังมาช้าๆ เขาก็หันไปมองผ่านรูเล็กๆ
ที่ประตูแล้วหันมามองหน้าหล่อนนิ่ง สำรวจรอยช้ำที่มุมปากชมพูเห็นมีเลือดซึมออกมา
ทว่าคำถามที่ถามออกมาช่างแสบสันนัก
“ทำไมโดนทำร้ายมาเสียล่ะ หรือว่าตกลงราคากันไม่ได้”
พาฝนเจ็บร้าวในอกจนพูดไม่ออก
ถูกผู้ชายบ้ากามคนนั้นหยามศักดิ์ศรีมาหยกๆ
ยังต้องมาเจอถ้อยคำหยามเกียรติจากผู้ชายตรงหน้าอีก
สาวน้อยก้มหน้ามองพื้น
ยืนกัดปากแน่นให้เขาต่อว่าต่อไป
“หน้าตาก็ดูมีความรู้ดี ทำไมไม่หางานทำดีๆ มาขายตัวทำไม”
ชายหนุ่มถามอย่างไม่เข้าใจอีกครั้งแต่คนตอบกลับก้มหน้าหนีไม่ยอมเจรจา
ทว่าครู่เดียวก็เชิดหน้าขึ้นมาตอบอย่างเจ็บปวดรวดร้าว
“ฝนไม่ได้ขายตัวให้เขา”
“อย่างนั้นหรือ”
ถามเยาะหยันพลางเลื่อนสายตาลงต่ำไปมองที่มือข้างหนึ่งของหล่อน
พาฝนมองตามสายตานั้นไป
ใจกระตุกวาบตัวชาดิกกับหลักฐานที่คามือ หล่อนไม่รู้ตัวเลยว่ากำเงินปึกนี้ติดมือมาอย่างเหนียวแน่นจนถึงนี่
แม้จะกำมาไม่หมดแต่ก็มากพอที่จะทำให้เขาเชื่อมั่นว่าหล่อนมาขายบริการให้ชายแก่คราวพ่อจริง
คนถูกหลักฐานมัดแน่นก้มหน้านิ่งอีกครั้งอย่างไม่อาจปฏิเสธ
“คงจะค่าตัวน้อยไปสินะถึงหนีมา แต่ดูๆ แล้วก็น้อยไม่เลยนี่
ค่าตัวเท่าไรกันแน่เรา”
สายตาดูหมิ่นกวาดมองเรือนร่างงามระหงแล้วนึกต่อว่าต่อขานในใจ
‘ก็ออกจะสวยปานนางฟ้า
ไม่น่าไม่มีสมองจนต้องเอาเรือนร่างมาหากินด้วยวิธีสิ้นคิดแบบนี้เลย
เป็นดาราก็ยังไหว น่าเสียดายชะมัด...’
คนถูกถากถางเอาแต่กำหมัดกัดปากแน่น
“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยเหลือ ฝนขอตัวกลับก่อน”
พาฝนออกเดินแต่เจ้าของห้องกางแขนออกมาขวาง
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนสิ กลับไปสภาพนี้คงได้เสร็จแท็กซี่อีกราย”
น้ำตาเม็ดกลมเอ่อล้นออกมาจากดวงตาคู่งามทันที
เวทิตเห็นท่าไม่ดีจึงจูงมือคนเจ้าน้ำตาไปที่ห้องน้ำ หาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยนอย่างหวังดีแต่อีกฝ่ายกลับมองอย่างสงสัย
“เสื้อผ้าแฟนผมเอง เอาใส่ไปก่อน”
พาฝนรับเสื้อผ้าเข้าไปเปลี่ยนครู่เดียวก็เดินออกมา
ชายหนุ่มบอกให้หล่อนนั่งบนเตียง ทีแรกก็เอะใจ
แต่พอเหลือบไปเห็นกล่องยาจึงยอมนั่งลง
ชายหนุ่มคว้ากล่องยามาทำแผลให้
พาฝนก็ปฏิเสธอย่างเกรงอกเกรงใจ ทว่าเขามองมาด้วยสายตาดุๆ
ก็ยอมนั่งนิ่งให้คนดุทำแผลให้แต่โดยดี เวทิตจัดการทำแผลอย่างเบามือ
แต่คนเจ็บคอยแต่จะก้มหน้าลงอย่างเขินอายทำให้ต้องจับคางเรียวเชิดขึ้นมาบ่อยๆ
“ถ้าเอาแต่ก้มหน้า คืนนี้ทั้งคืนก็ทำแผลให้ไม่เสร็จ
เงยหน้าขึ้นมาแล้วอยู่นิ่งๆ จะได้รีบกลับบ้านมันดึกแล้ว”
พาฝนค่อยๆ
เชิดหน้าขึ้นเมื่ออีกฝ่ายทำเสียงเข้มเตือนมา
คราวนี้เวทิตจึงมองเห็นดวงหน้าเรียวสวยราวกับสวรรค์สรรสร้างได้อย่างชัดเจน
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มอีกทั้งกลมโตทอประกายความหม่นเศร้าออกมาช่างคุ้นตา
แต่คิดไม่ออกว่าเคยสบดวงตาแบบนี้จากใครที่ไหน
“อายุเท่าไรแล้วเรา”
“คะ…” เขามองนิ่งไม่ถามซ้ำ พาฝนจึงกล้อมแกล้มตอบแบบเลี่ยงๆ
“เพิ่งเรียนจบค่ะ”
“จบอะไรมา”
เวทิตซักประวัติไม่หยุดแล้วชะงักมือเมื่ออีกฝ่ายเบี่ยงหน้าหลบด้วยความเจ็บ
หน้าสวยเหยเกเล็กน้อย เขาเป็นผู้ชายที่มือเท้าหนักจึงทำอะไรเบาๆ ไม่เป็น แต่นี่ก็พยายามเบามือที่สุดแล้ว
“โทษที ฉันไม่เคยทำแผลให้ใครมาก่อน”
พาฝนรู้สึกปลื้มปริ่มอยู่ลึกๆ
ทว่าพอก้มหน้าลงไปเห็นชุดแฟนสาวของเขาที่สวมใส่อยู่ก็หยุดใจไว้ คิดไปว่าเธอคนนั้นช่างเป็นผู้หญิงที่โชคดีเหลือเกิน
แม้ว่าผู้ชายตรงหน้าค่อนข้างแข็งกระด้างในกิริยาและพูดจาขวานผ่าซาก
แต่เขาก็เป็นผู้ชายอบอุ่นและมีน้ำใจเอามากๆ ผิดกับใครบางคนที่เคยคบกันมาลิบลับ
“เสร็จแล้ว กลับบ้านเถอะ ฉันจะไปส่ง”
เขาทิ้งสำลีลงในถุงพลาสติกแล้วมัดปากเอาไปทิ้งถังขยะอีกที
พาฝนไม่ปฏิเสธที่จะให้ชายหนุ่มมาส่งจนถึงที่เพราะยังมีความหวาดกลัวลึกๆ
อีกอย่างตอนนี้มันดึกมากแล้ว นั่งแท็กซี่กลับคนเดียวก็กลัวจะเกิดอันตรายขึ้นอีก
คราวนี้อาจจะไม่โชคดีอย่างคราวที่ผ่านมา
รถยนต์คันงามเคลื่อนมาหยุดที่หน้าปากซอยแคบๆ
ของสลัมแห่งหนึ่ง พาฝนก้าวลงมาอย่างช้าๆ และไม่ลืมที่จะหันไปขอบคุณคนมาส่ง
“ให้เข้าไปส่งอีกไหม” เมื่อมองเลยเข้าไปในซอยมืดๆ แล้วเห็นเสาไฟอยู่ไกลลิบก็เป็นห่วง
“เดินอีกร้อยเมตรก็ถึงบ้านแล้วค่ะ ขอคุณอีกครั้งนะคะที่มีเมตตากับฝน”
ชายหนุ่มเพียงพยักหน้าน้อมรับคำปฏิเสธและคำขอบคุณ
สาวน้อยตัวบางๆ หากแต่งามสง่าก็เดินหายเข้าไปในซอยค่อนข้างแคบอย่างรีบๆ
ครู่เดียวก็ถึงบ้านเช่าหลังเล็ก
ร่างผอมบางของมารดาลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ค่อนข้างโทรมอย่างตื่นเต้น
ก่อนจะเดินตรงเข้ามารับด้วยความเป็นห่วงเป็นใยในตัวลูกสาวคนเดียว
“ทำไมแม่ยังไม่นอนอีกคะ มานั่งรอฝนทำไม” ลูกสาวตำหนิเพราะเกรงใจ
มันดึกมากแล้วท่านไม่ควรมานั่งรอแบบนี้
“แม่จะหลับลงได้ไงลูกจ๋า หนูไม่เคยกลับดึก แม่โทรไปก็ไม่รับสาย แล้วทางเข้ามาที่นี่ก็เปลี่ยวมากแม่เป็นห่วง”
แม้ว่าพาฝนจะบอกก่อนไปแล้วว่าอาจจะกลับค่ำ แต่ก็ไม่คิดว่าจะค่ำจนดึกดื่นถึงเพียงนี้
ติดต่อก็ไม่ได้ด้วย ด้วยความที่ห่วงลูกสาวมากจึงมานั่งรอด้วยความกระวนกระวายใจที่หน้าบ้านไม่เป็นอันนอน
“ขอโทษค่ะแม่ พอดีฝนได้งานก็เลยทำจนดึก เราเข้าบ้านดีกว่านะยุงตรงนี้ชุม”
พาฝนรีบประคองมารดาไปนั่งบนที่นอนปิกนิกขนาดใหญ่
สามารถนอนกันสองคนสบายๆ แล้วพลิกแขนขามารดาดูร่องรอยบางอย่าง
ก็ถึงกับถอนใจพลางมองหน้ามารดาไม่พอใจที่ไม่ห่วงตัวเองเลย
“เห็นไหมคะ โดนยุงกัดเต็มไปหมด” บ่นแล้วก็หันไปหยิบขี้ผึ้งสมุนไพรในกล่องยาเล็กๆ
บนหัวนอนมาทาให้อย่างเบามือ “วันหลังไม่ต้องออกไปรอฝนแบบนั้นอีกแล้วนะคะ
ฝนจะดูแลตัวเองให้ดี ไม่ให้แม่ต้องเป็นห่วงอีก”
“จ้ะ หนูไปอาบน้ำเถอะกลับมาเหนื่อยๆ แล้วนี่กินอะไรมาหรือยังลูก” รีบรับปากไม่อยากขัดใจ แค่นี้ลูกก็เหนื่อยมากพอแล้ว
พาฝนอายุเพียงยี่สิบสองย่างยี่สิบสามแต่ต้องมานั่งแบกรับปัญหาครอบครัวที่ใหญ่หลวงอย่างไม่เคยปริปากบ่น
ยามนี้เราสองแม่ลูกเหลือแต่ตัว พาฝนยังต้องหางานทำตัวเป็นเกรียวเพื่อปากท้องในวันข้างหน้าของเราสองคนอีก
แต่ตัวท่านช่วยอะไรไม่ได้เลยสักอย่างด้วยอายุที่มากแล้วจึงหางานทำลำบาก เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ทำให้ทุกคนต้องประหยัด
รวมไปถึงกิจการย่อยๆ ก็ต้องเซฟเงินทุนของตัวเองทุกทางเพื่อประคับประคองกิจการเอาไว้
การว่าจ้างคนงานจึงลดลงอย่างน่าใจหาย
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
พาฝนพาตัวเองเข้าไปอาบน้ำอยู่นานเพราะแอบร้องไห้
ให้น้ำตาแห่งความเสียใจไหลผ่านน้ำไปให้หมด กว่าจะเดินออกมาใหม่มารดาก็กางมุ้งรอแล้ว
หล่อนเดินไปที่กระจกสำรวจแผลที่มุมปากก็เห็นว่าไม่ชัดมากนัก
แต่ก็ยังพยายามปกปิดมันด้วยการปล่อยผมยาวลงมาบดบังเหมือนเดิมแล้วเดินไปปิดไฟ
สาวน้อยนอนกอดมารดาอย่างเช่นทุกคืน
“เหนื่อยไหมลูก
แม่ขอโทษนะที่ช่วยอะไรฝนไม่ได้เลย”
“มันเป็นหน้าที่ของฝนที่ต้องรับผิดชอบต่อครอบครัวในฐานะลูก
แม่อย่าคิดมากสิคะ อีกไม่นานเราก็จะดีขึ้น
พรุ่งนี้ฝนจะไปหางานทำให้เป็นหลักเป็นแหล่ง
พอได้เงินเดือนฝนจะพาแม่ไปอยู่บ้านเช่าที่ดีกว่านี้”
“ฝนของแม่เก่งและแกร่งมากเลยลูกจ๋า
แม่ภูมิใจในตัวฝนมาก เราจะสู้ไปด้วยกันนะลูกนะ”
ท่านลูบเรือนผมเงางามของลูกสาวน้ำตาไหลอยู่ในความมืด
พาฝนสงสารมารดาที่ต้องมาลำบากอยู่ในสลัมเล็กๆ
แห่งนี้ ญาติพี่น้องต่างเสือกไสเราทั้งคู่ บ้างก็ทำเหมือนเราเป็นขอทาน
เป็นขยะน่ารังเกียจ หล่อนจึงตัดสินใจพามารดามาตายเอาดาบหน้า
ดีกว่าอยู่ให้ญาติพี่น้องรังเกียจเดียดฉันท์ไปจนวันตาย
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านนะคะ
ดารารินทร์
ความคิดเห็น