คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Your life ไม่อยากได้ฉันขอนะ :: Chapter 7
Chapter 7
ผมถ้าจะบ้าไปแล้ว เหอะๆ บ้ามาก
ตอนแรกก็นึกตั้งนานว่าเมื่อคืนฝันถึงอะไร แต่พอนึกได้ก็อายชะมัด ที่ดันฝันว่าเขามานอนข้างๆ แถมยังได้จับมือกันอีก ทั้งๆที่ความจริงเขานอนกอดแบมแบมอยู่
แต่ว่านะ ความอบอุ่นยังติดอยู่เลย ผมบ้าไปแล้วจริงๆฝันบ้าอะไรมันจะไปมีความรู้สึกได้
ร่างกายของผมตอนนี้มันระบมไปหมด ผมไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว แค่นี้มันก็ปวดตุ้บๆไปหมดแล้ว แย่จริงๆ TT
“อ่าวนาย ตื่นแล้วหรอ” ใครบางคนที่ผมไม่รู้จักเดินเข้ามาทัก มือบางถือแก้วเซรามิกสีเรียบที่มีควันพวยพุ่งออกมา กลิ่นของมันหอมตลบอบอวนจนผมต้องลอบกลืนน้ำลายด้วยความอยากกิน
“ค คุณเป็นใคร” ไม่อยากจะเชื่อว่าเสียงตัวเองมันจะแหบขนาดนี้
“ฉัน จินยอง เพื่อนมาร์ค แล้วนายล่ะ” เขาลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงแล้วจ้องหน้าผมเพื่อรอคำตอบ
“อ เอ่อ ผมแจ็คสัน”
“ขอนามสกุลด้วย”
“หวัง …แจ็คสัน หวัง”
“เป็นแฟนมาร์คหรอ” คำถามที่ตรงไปตรงมานั่นเล่นเอาผมแทบสำลักอากาศ
ถ้าให้ผมเป็นแฟนเขาผมยอมอดอาหารตายเลยดีกว่า
“ผ ผมไม่ใช่แฟนเขานะ”
“แล้วเป็นอะไร”
“เป็นคนของฉัน และนายก็เลิกสงสัยได้แล้ว ปาร์ค จินยอง” เสียงทุ้มที่ผมคุ้นเคยอย่างดีพูดขึ้นทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่
ส่วนจินยองมีท่าทางหงุดหงิดหลังจากได้ยินคำตอบแบบนั้น เขากระดกของเหลวในแก้วรวดเดียวเพื่อระงับอารมณ์แล้วเดินตึงตังออกไป
“คุณ…………”
“ถ้ามันถามอีกก็ไม่ต้องตอบอะไร หรือไม่ก็ตอบว่าเป็นผู้อาศัยพอ”
“หิวแล้ว” บอกความต้องการออกไปเขาจึงเบิกตาโพล่งทันที
“เมื่อกี้ที่ฉันพูดได้ฟังมั๊ย” ถามเสียงแข็ง
“ฟัง แต่หิวแล้ว ปวดหัวแล้วก็เจ็บแผลด้วย”
“อือ เดี๋ยวบอกจินยองให้” เขาปล่อยมือจากผมก่อนจะลุกออกไป
เดี๋ยวนะ..
ปล่อยมือจากผม..
แสดงว่าเมื่อคืน..
-///////////-
“อือ .. ฮึก ฮือออออ แงงงงง ง๊ ฮึกๆ” เด็กน้อยข้างตัวผมสะดุ้งตื่นขึ้นก่อนจะเริ่มเบะปากร้องไห้เสียงดังลั่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ร้องสะอึกอื้นตัวโยนอย่างน่าสงสาร
ผมยอมขยับตัวลุกแม้มันจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม ก่อนจะกัดฟันรวบตัวเด็กน้อยมาไว้ในอ้อมกอด ผมลูบแผ่นหลังเล็กและตบตูดเด็กน้อยเบาๆอย่างปลอบประโลมอย่างที่อาม่าเคยทำเมื่อผมร้องไห้
“เงียบนะครับเด็กดี โอ๋ๆไม่ร้องนะ” น้ำมูกน้ำตายังไหลออกมาไม่ขาดสาย สะอึกสะอื้นจนหายใจแทบไม่ทัน เสียงแหลมเล็กก็ยังคงหวีดร้องลั่นจนผมกลัวคอเล็กนั้นจะอักเสบ ขนาดผมเป็นผู้ใหญ่ผมยังทนเจ็บแทบไม่ได้ แต่นี้เด็กน้อยจะเจ็บมากขนาดไหน
“หนูแบ อึก จ เจะ ฮืออออออ ฮึกๆ เจะมาก เลย ฮือออ แงงง” บอกแทบไม่เป็นภาษา ผมกดหัวเล็กให้ลงมาซบอก พรางพร่ำบอกให้เจ้าตัวเงียบไม่ขาด
และอยู่ๆก็มีลมเบาๆเป่าลงบนแผลของเด็กน้อยทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาดูอย่างสงสัยทั้งน้ำตา
“ฮึกๆ นาย ทำ อึก ฮึก อ ไร”
“ก็เป่าช่วยรักษาแผลให้หายไวๆไง เพี้ยงง ง หายเจ็บนะ ฟู่ววววว” พอยิ่งเป่าก็ดูเหมือนเสียงสะอื้นก็เงียบลงเรื่อยๆจนทั้งห้องกลับมาเงียบดังเดิม ผมจึงละจากการตั้งหน้าตั้งตาเป่าแผลมามองเด็กน้อยที่จ้องมองผมอยู่เช่นกันแทน
“ชอบ อึก หนูแบชอบให้ทำแบบนี้ อึก” แม้จะหยุดร้องแล้วแต่ก็ยังติดสะอื้นอยู่บ้าง ผมจึงยิ้มให้แล้วปาดน้ำตาออกจากใบหน้าเล็กอย่างเบามือ
“เลิกร้องได้แล้วนะ ไหนใครเคยบอกหว่าว่าเป็นแผลก็ไม่เคยร้องแหกปาก” เอ่ยอย่างล้อๆ
“ก็มันไม่เหมือนกัน อึกๆ หนูแบไม่เคย อึก ถูกยิง จริงๆนะ”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” ผมวางแบมแบมลงข้างเตียงเหมือนเดิม ก่อนจะหลับตาลงเพื่อข่มความเจ็บ... เหมือนมันจะเจ็บมากกว่าเดิมด้วย
“นายเป็นไร”
“ป ป่าว แค่ง่วง” โกหกคำโตเพื่อให้อีกคนสบายใจ
ง่วงอะไรล่ะ เจ็บขนาดนี้นอนไม่ลงหรอก
“ทำเป็นพูดดี” เสียงเรียนดังมาจากทางประตูห้องทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมามองอีกครั้ง
“คุณ ….โอ้ยยยย!” เขาแตะลงมาที่แผลบนขาของผมทำเอาสะดุ้งโหยง เจ็บจนต้องชักขาออก แต่เขาก็จับมาไว้อย่างเดิมแล้วมองสำรวจ
“เลือดซึม อย่าขยังให้มันมาก”
“ก็จะจับทำไมเล่า” บ่นออกมาเบาๆพรางจับๆบริเวรณแผลที่ถูกยิงไปด้วย
“ข้าวเสร็จแล้วออกไปกินข้างนอก เจ้านั้นมันไม่ชอบให้กินบนเตียง”
ผมหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าจะให้เดินออกไปสภาพนี้จริงหรอ แต่เขาไม่ได้ตอบอะไรแล้วเอื้อมมือไปอุ้มแบมแบมให้ลงจากเตียงแทน
อ่าว แล้วผมล่ะ?
ผมพยายามช่วยตัวเองลงมาจากเตียง แค่ขาแตะพื้นมันก็สั่นไปหมดแล้ว ไม่อยากจะคิดว่าถ้าลุกยืนจะเป็นไง หรือจะคลานไปดี
..แต่สุดท้ายก็นับหนึ่งถึงสามในใจแล้วลองยืนดู
“โอ้ยยย ย!” ยืนยังไม่ทันเต็มขาก็ต้องทรุดฮวบลง แต่โชคดีที่อ้อมแขนแข็งแรงรับไว้ได้ทัน ไม่งั้นคงได้จูบพื้นแน่ …เกือบไปแล้ว
“รีบหรอ รอแปปนึงไม่ได้รึไง กำลังช่วยแบมแบมอยู่ หรือมันหิวขนาดนั้นเลย”
“ก็ป่าว ก็คิดว่า….” เขาพยุงผมให้นั่งบนเตียงก่อนจะหันหลังแล้วย่อตัวให้
“ขึ้นมา” ผมลังเลเล็กน้อยว่าจะขึ้นดีหรือไม่ แต่พอเขาส่งเสียงเร่งมาผมจึงยอมโถมตัวลงไปแต่โดยดีและเกร็งตัวไว้ไม่ให้ทิ้งน้ำหนักมากเกินไปกลัวเขาจะแบกไม่ไหว
เมื่อมาถึงโต๊ะก็พบข้าวต้มหมูกลิ่นหอมกลุ่นลอยตลบอบอวลเรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี เขาวางผมลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับจินยอง ก่อนจะเดินอ้อมไปนั่งข้างเพื่อนร่างผอม
ตั้งแต่ผมถูกแบกมาจนนั่งลงตรงข้ามจินยองก็ยังจ้องผมไม่หยุด ถ้าเปรียบดวงตาคู่นั้นเป็นมีดผมคงโดนแทงจนพรุนไปหมดแล้วมั้ง บอกตรงๆเลยว่าจินยองน่ากลัวกว่าคนที่แบกผมมาซะอีก
“เดี๋ยว!” เจ้าของเรือนผมสีแดงกำลังจะตักข้าวเข้าปากก็ถูกขัดขึ้นโดยมือเล็กของคนข้างๆ เขาจึงวางช้อนลงแล้วเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างเซ็งๆ
“อะไรอีก” ร่างสูงถามกลับไปอย่างเซ็งๆ
“แจ็คสัน หวัง เป็นใครกันแน่ทำไมเจอว่าข้อมูลในอำเภอถูกปกปิดทับซ้อน” ตอนแรกกะจะไม่สนใจอะไรแต่พอมีชื่อผมอยู่ในนั้นจึงหูผึ่งทันที
อะไรคือข้อมูลของผมถูกปกปิดทับซ้อน
“แล้วใครคือ แจ็คสัน หวัง” เขาถามกลับทำให้อีกคนขมวดคิ้วทันที
“ก็นายนี่ไง อย่าบอกนะว่านายโกหกชื่อกับฉัน” ร่างผอมเปลี่ยนเป้าหมายมาทางผมทันที แววตาดุดันตวัดหันมามองมันน่ากลัวจนผมต้องหลบตา
“นายนี่ไม่ได้โกหกหรอก แต่ตอนอยู่ด้วยกันฉันไม่ได้ถามชื่อ”
“ห๊ะ! จะบ้าตาย พวกนายอยู่ด้วยกันได้ยังไงเนี่ย”
“เลิกถามมากได้แล้ว แค่เขามากับฉันเขาก็น่าไว้ใจแล้ว”
“จะให้ฉันไว้ใจได้ยังไงในเมื่อฉันรู้ว่านายไม่ชอบมีพันธะกับใคร สำหรับแบมแบมฉันพอจะรู้เรื่องบ้างแล้ว แต่สำหรับนายนี่ฉันไม่รู้อะไรเลย ที่ฉันทำไปเพราะฉันเป็นห่วงนายนะเว้ย”
“ขอบใจที่ห่วง แต่ไม่ต้อง ฉันรู้ว่าฉันกำลังทำอะไร” เขาจับมือเล็กที่ยังคงจับข้อมือเขาอยู่ออกก่อนจะเริ่มลงมือกินข้าว และป้อนแบมแบมไปด้วย
จินยองกอดอกฉับอย่างไม่พอใจคนข้างๆเล็กน้อยแล้วหันมาจิกตาใส่ผมอีกครั้งทำให้ผมไม่กล้ายกช้อนตักข้าวกิน อยากถามจริงๆว่าผมผิดอะไร เฮ้ออ
“พวกนั้นหลับแล้วหรอ” ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเจ้าของเรือนผมสีแดงนั่งลงข้างๆขณะที่ตนยังคีย์ข้อมูลในคอมพ์ ตัวอักษรแปลกๆที่มาร์คไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไรแต่พอจะเดาได้ไม่ยากว่าคนๆนี้กำลังพยายามหาข้อมูลของผู้บาดเจ็บที่นอนอยู่บนเตียง
“อืม” เขาครางตอบในลำคอ ดวงตาว่างเปล่าจ้องมองไปยังจอคอมพ์ข้างหน้านิ่ง เขาอยากจะรู้จริงๆว่าคนข้างๆจะหาสิ่งที่ตัวเองต้องการเจอมั๊ย
นิสัยที่มีความพยายามสูงอย่างหมอนี้มันก็เป็นข้อดีนะ แต่บางทีมันก็น่าเบื่อและน่ารำคาญไป ทั้งๆที่เขาบอกไปแล้วว่ามันไม่มีอะไร
“หาไปก็เท่านั้น”
“ถ้าฉันไม่ห่วงกลัวเป็นแบบตอนนั้นฉันก็ไม่คอยระแวงให้หรอก ฉันเป็นหนี้บุญคุณนายอยู่ฉันก็อยากตอบแทนโดยการดูแลนายให้ดีที่สุด”
“ถ้าไอบ้านั้นมาได้ยินนายคงไม่ได้ดูแลฉัน” หัวเราะในลำคออย่างขบขันเมื่อนึกถึงแฟนหนุ่มของเพื่อนที่ถึงแม้จะใจเย็นเหมือนน้ำที่นิ่งสงบแต่ก็ขี้หึงเป็นบ้า
“อย่าพูดถึงดิ่ยิ่งคิดถึงอยู่ ..เออว่าจะถามนานแล้ว ไอที่โดนถล่มคอนโดอ่ะไปทำอีท่าไหนล่ะถึงถูกตามเจออ่ะ” ละสายตาจากหน้าจอคอมพ์มามองอีกคน มือบางหยิบแก้วกาแฟที่พร่องไปเกือบครึ่งขึ้นมาดื่มต่อขณะรอคำตอบ
“พวกนั้นเห็นแจบอมคุยกับฉันก็แค่นั้น” คำตอบฟังดูกำกวมทำให้คนฟังขมวดคิ้วแน่น
จะมีครั้งไหนมั๊ยที่ไอเพื่อนคนนี้มันจะอธิบายแบบเต็มๆให้เขาเข้าใจ ถึงจะฉลาดแค่ไหนก็มิอาจจะตรัสรู้ตีความหมายในประโยคสั้นๆนั้นถูกนะเว้ย
“เอาแบบละเอียดๆดิ” เพื่อนร่างสูงหันมามองหน้านิดนึงก่อนจะลุกออกไป “กลับมานี่นะเว้ย ฉันไม่เคลียร์”
“นั้นเรื่องของนาย”
“จริงๆเลยไอบ้านี่!” โอ้ยหงุดหงิด ไม่น่ามีเพื่อนนิสัยแบบมันเลย
“ฮัลโหลบี๋ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“ไม่คุยก็เลิกเว้ย แค่นี่!”
ขณะที่ผมกำลังจะเคลิ้มหลับอยู่นั้นก็มีใครบางคนเปิดประตูเข้ามา ผมพยายามเงี่ยหูฟังเต็มที่ว่าเขาเข้ามาทำอะไรทั้งๆที่แกล้งหลับตาอยู่ แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าสักนิด ฟังอยู่นานทนไม่ไหวผมจึงตัดสินใจลืมตาขึ้นมามอง
“ฮ เฮ้ยยยยย!! โอ้ย” สะดุ้งสุดตัวจะสะเทือนไปถึงแผล เมื่อลืมตาขึ้นมาเจอหน้าอกเปลือยของใครบางคน เขาดูเหมือนจะตกใจเช่นกันรีบยืนขึ้นเต็มความสูงแล้วมองผมด้วยสายตาหงุดหงิด
“จะร้องทำไม……….แล้วทำไมยังไม่หลับ” เขาถามพรางจับๆดูที่แผลบนขาของผมเพราะเมื่อกี้ผมร้องสะลั่น
“แล้วคุณ เอ่อ ท ทำอะไร ทำไมไม่ใส่เสื้อ”
“ฉันเอื้อมมือไปดึงผ้าห่มให้แบมแบม” เขาหยิบเสื้อยืดสีดำที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาใส่ ก่อนจะคลุมด้วยแจ็คเก็ตหนังอีกที
“อ อ๋ออ”
“หลับซะ แผลจะได้หายไวๆ ขี้เกียจดูแล …..เอ้อ เดี๋ยวฉันไปธุระข้างนอก ใครเคาะห้าม เอ้ออ ลืม นี่ไม่ใช่บ้านตัวเอง” เขาพึมพำอะไรบ้างอย่างกับตัวเองซึ่งเขาไม่ค่อยแสดงกริยาแบบนั้นสักเท่าไรทำให้ผมแอบอมยิ้ม
อย่าได้หลุดขำเชียว เชื่อสิ ไม่เลือดกลบปากก็คอหักชัวร์
“แล้วคุณจะไปไหนล่ะ”
“ธุระ”
“ธุระอีกแล้ว เพิ่งหลบจากกระสุนมาเมื่อวานวันนี้ก็จะไปอีกแล้วไม่กลัวตายรึไง”
“ฉันไม่ได้โง่ปล่อยให้ตัวเองโดนยิงหรอก”
“อะไร คนเค้าอุตส่าห์เป็นห่วง”
“ห่วงตัวเองก่อนเหอะ”
“ก็ที่ต้องเป็นห่วงคุณเพราะห่วงตัวเองนั้นแหละ เดี๋ยวไม่มีใครทำแผลให้ ผมไม่ให้จินยองทำหรอกนะ น่ากลัว”
“ฉันน่ากลัวตรงไหน ..แล้วนายจะไปไหนมาร์ค” เสียงเย็นๆดังมาจากทางประตูทำเอาผมสะดุ้งเฮือก
“ไปช่วยแจบอมจบงาน” เขามุดลงไปใต้เตียงก่อนจะหยิบกระเป๋าใบใหญ่สีดำออกมา มือหนาปลดล็อคมันออกเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างในมันมีลักษณะคล้ายปืนถูกแยกชื้นส่วน และมีกระสุนวางอยู่ด้านข้าง
“ค คุณ นี่มันอะไร” ผมถามเสียงสั่น ซึ่งเขาก็หันมายิ้มมุมปากให้ ..เหมือนโรคจิตชะมัด
“ลูกรักฉันเอง ไปล่ะ” เขาปิดกระเป๋าไว้อย่างเดิมแล้วออกไปเลยทิ้งความสงสัยไว้กับผมที่คิดจนสมองจะระเบิด
“นี่นายไม่รู้จริงๆหรอว่ามาร์คเป็นอะไร” คนที่ผมกลัวที่สุดในตอนนี้ค่อยๆก้าวเข้ามาหาผม ก่อนจะทรุดลงบนเก้าอี้ตัวเดิม
“ผมจะไปรู้ได้ไงในเมื่อเขาไม่เคยบอก”
“งั้นยืนหมูยื่นแมว ฉันจะบอกนายเกี่ยวกับเขา ส่วนนายต้องบอกมาว่ารู้จักมาร์คได้ยังไง”
“ผมเป็นแค่ผู้อยู่อาศัย” ผมตอบไปตามที่เขาเคยสั่งไว้เป๊ะ
“ฉันไม่เคลียร์”
ถ้าผมบอกจินยองเขาจะโกรธผมมั๊ย แต่ถ้าผมไม่บอกผมก็สงสัย …บอกไปเหอะในเมื่อมันไม่ได้มีอะไรเสียหาย
“มาร์คขอชีวิตผมไว้ตอนจะกระโดดตึก เพื่อให้มาดูแลแบมแบม เรื่องของผมกับเขามีแค่นี้”
“แน่ใจนะว่าแค่นี้” เขาถามอย่างจับผิด
“อืม แค่นี้”
“นายไม่ได้เป็นคนที่อีกฝ่ายส่งมาเพื่อแก้แค้นใช่มั๊ย”
“แก้แค้นอะไร?”
และไม่รู้ว่าเป็นเพราะหน้างงๆของผมรึเปล่าที่เขามองผมด้วยแววตาที่อ่อนลง ผมจึงหายใจได้ทั่วท้องมากขึ้น
“ฉันไม่สามารถบอกนายได้ทุกเรื่องหรอกนะ เอาเป็นว่ารู้แค่…”
จินยองก้มลงมากระซิบที่ใบหูของผม
“…………มาร์คเป็นสไนเปอร์หน่วยคิลก็พอ”
ความคิดเห็น