[FIC 2PM Yaoi] :::Where the truth lies::: TaecKhun
มิตรภาพและความรักท่ามกลางไฟสงคราม...
ผู้เข้าชมรวม
2,219
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Where the truth lies
ปัง!!!
ในบางครั้งประสาทรับความรู้สึกของมนุษย์ก็เชื่องช้าเสียจนเหมือนกับแผ่นดีวีดีที่ถูกสั่งให้เล่นแบบสโลว์โมชั่น
สำหรับผม
...กระสุนนัดนั้นก็เช่นกัน
มันคือต้นกำเนิดแห่งเรื่องราวทั้งหมด
เป็นบ่อเกิดของความสูญเสีย ...การพลัดพราก สงครามกลางเมือง
...และความฝันที่พังทลาย
“คุณ!!!”
ผมแผดเสียงร้องตะโกนลั่น
มันดังกึกก้องทั่วห้องแถลงข่าวที่คลาคล่ำไปด้วยผู้สื่อข่าว เจ้าหน้าที่ประจำรัฐสภา และแขกรับเชิญจากนานาประเทศจำนวนมหาศาลจนแน่นขนัด
เพียงแต่ไม่มีใครเลยสักคนที่รู้สึกถึงการมาของ ...กระสุนนัดนั้น
ไม่มีใครไหวตัวทันเลยสักคน
แม้กระทั่งผม..
ณ บัดนี้ทั่วทั้งห้องโถงกว้างภายในตึกรัฐสภานครมาเซติกตกอยู่ภายใต้ความเงียบงัน สายตาทุกคู่ตวัดหันมาจับจ้องยังผมเป็นจุดเดียว
จดจ้องยังร่างสูงใหญ่ของบอดี้การ์ดหนุ่มในสูทดำคล่องตัว ผู้แหวกกายฝ่าวงล้อมแห่งความตื่นตะลึงสู่ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่ม ผู้ยืนนิ่งอยู่หลังโต๊ะแถลงข่าว ณ จุดกึ่งกลางอันโดดเด่น ...เช่นเดียวกับคนอื่นๆ
ดวงตาสีนิลคู่นั้นหันมองยังใบหน้าตื่นตระหนกของผมด้วยสายตางุนงง
“หลบไป!!”
ผมตวาดลั่น แม้จะรู้สึกถึงวิถีกระสุนในทันทีที่มันแล่นตัดผ่านอากาศตรงเข้าสู่โต๊ะแถลงข่าว แม้พยายามกรีดร้องตะโกน พร้อมทะยานตัวจากผนังกำแพงเพื่อไปให้ถึงร่างสูงโปร่งเบื้องหน้าเร็วที่สุดเท่าไหร่
...แม้สมอง ณ วินาทีนั้น จะสั่งการกระทั่งให้ใช้ตัวเองบังร่างนั้นเอาไว้อย่างไร
ถึงอย่างนั้น ...มันก็ยังคงไม่ทันอยู่ดี...
กรี๊ดดดด!!!!!!!!!!!!
เสียงกรีดร้องดังระงมลั่นในทันทีที่ร่างสูงโปร่งของ ‘นิชคุณ หรเวชกุล ผู้ช่วยเลขาฯ องค์การสหประชาชาติ’ ทรุดลงกับอ้อมแขนแข็งแกร่งของบอดี้การ์ดร่างสูงใหญ่ที่ถลันเข้ามารับเอาไว้ ก่อนล้มฟาดลงกับโต๊ะยาวสำหรับจัดแถลงข่าว อันว่าด้วย ‘การประกาศอิสรภาพของชนชาติมาเซติกจากการคุ้มครองของสหรัฐอเมริกา’...
หลังจากนั้นเพียงเสี้ยววินาที ...เสียงระเบิดก็ดังสนั่น!!!
ฉุดดึงทุกสิ่งทุกอย่างให้จมดิ่งลงกับความเงียบงัน
::::::::::::::::::::::::::::::::Where the truth
lies::::::::::::::::::::::::::::::::
ท่ามกลางกองซากปรักหักพังของ ‘อดีต’ อาคารรัฐสภาประเทศมาเซติก
...ใต้กองเศษอิฐหินมหึมา อวลคลุ้งไปด้วยกลุ่มควันและฝุ่นธุลี...
ตรงนั้น ยังเหลือช่องว่างเพียงน้อยนิดสำหรับร่างสองร่างที่ยังคงประคองกอดมอบความอบอุ่นให้กับอีกฝ่ายอย่างสุดกำลัง...
อ๊คแทคยอนขบกรามแน่น
...ความเจ็บปวดไม่คาดฝันแทรกซ่านจากบริเวณหน้าขาขึ้นเสียดแทงถึงหัวใจ
...สงสัยแรงกระแทกจะทำให้ขาหักแน่ๆ
เพียงแต่พื้นที่ใต้เศษซากอาคารที่พวกเขากำลังใช้ทอดกายอยู่อย่างทุลักทุเลนี้ กลับแคบเกินกว่าจะสามารถขยับตัวเพื่อปฐมพยาบาลบาดแผลได้
และได้ถึง ..เขาก็ปฏิเสธจะผละกายจากร่างในอ้อมแขนเด็ดขาด!
นาฬิกาข้อมือดิจิตอลสะท้อนแสงบอกเวลา... 5.48 pm.
รัตติกาลกำลังก้าวย่างเข้ามาทุกที
ในเวลาที่เสียงแหบพร่าดังขึ้นแผ่วเบา
“แทค...นายคิดว่าฉันบ้าหรือเปล่า? พยายามแทบตาย ยอมสละเกือบทุกอย่างเพื่ออุดมคติลมๆ แล้งๆ รู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าที่สุดแล้ว มนุษย์ก็คือมนุษย์... ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง”
เขายิ้ม ...นิชคุณกำลังยิ้ม ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง
ผมกัดริมฝีปาก อาการแสบชาเริ่มลามไปสู่ทุกต่อมรับความรู้สึกที่กระจายทั่วกล้ามเนื้อจนถึงปลายนิ้ว แต่ผมยังคงกอดเขาแน่น ...ร่างไร้เรี่ยวแรงจวนเจียนสิ้นสติฝืนใช้กำลังกายเฮือกสุดท้ายที่ยังหลงเหลือ ถ่ายทอดความอบอุ่นจากอุณหภูมิผิวกายมนุษย์สู่ร่างซีดขาวเพราะสูญเสียโลหิตมหาศาล
เลือดแดงฉานจากบาดแผลจากกระสุนที่ฝังลึกลงไปในช่องอกยังคงไหลรินไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ
กระสุนจากปากกระบอกปืนของมนุษย์ที่เขาพยายามช่วยเหลืออย่างเอาเป็นเอาตาย
...พวกเรียกร้องเอกราชชาวมาเซติก
“อยู่เฉยๆ ได้มั้ยเจ้าบ้า พูดอยู่นั่นแหละ แบบนี้เลือดก็ไหลไม่หยุดน่ะสิ ...รออีกหน่อย พอหน่วยกู้ภัยมาถึง ....พอนายปลอดภัยแล้ว ......ฉันจะรับฟังทุกอย่างเลยนะ....สัญญา...”
“อื้ม...” ริมฝีปากเซียวซีดคลี่ยิ้มจางๆ เหมือนทุกครั้งที่ถูกผมบ่นเข้าให้เพราะความรำคาญ
เพียงแต่ครั้งนี้ ...มันคงไม่ใช่อีกแล้ว
...พระเจ้า ผมไม่รู้หรอกนะว่าเขาจะเห็นหรือเปล่า แต่คิดว่าคงไม่ เพราะดวงตาคู่สวยคงพร่ามัวเกินกว่าจะสังเกตเห็นหยาดน้ำตาหยดอุ่นๆ ที่รินหลั่งจากดวงตาผมราวห่าฝน
ผมกระชับตระหวัดเรียวแขนกอดรัดร่างสูงโปร่งในอ้อมอกแนบแน่นขึ้นอย่างเผลอตัว
บ้าชะมัด
...คุณ ได้ยินมั้ย ฉันรักนาย...
“อย่า... ร้องไห้สิ... แทค”
ยิ้ม ...เขายิ้มอีกแล้ว แม้มันจะเป็นรอยยิ้มแห่งความอ่อนล้าเพียงใดก็ตาม เรี่ยวแรงอันเปล่าเปลี้ยพาฝ่ามือสีอ่อนที่เปรอะด้วยหยาดโลหิตขึ้นแตะข้างแก้มผม ...แผ่วเบา แต่ความอบอุ่นจากผิวกายเขายังแทรกผ่านเข้าไปถึงหัวใจที่แล้งชา
น้ำตาผมยังไหลไม่หยุด
...เหมือนในตอนนั้นไม่มีผิด
ยี่สิบปี ...ยี่สิบปีแล้วสินะ
ตั้งแต่วันที่เราแยกจากกันครั้งแรก...
::::::::::::::::::::::::::::::::Where the truth
lies::::::::::::::::::::::::::::::::
‘ยังจำกันได้ใช่ไหมครับ คำกล่าวของไอสไตน์ที่บอกว่า
คุณสงครามสามารถเอาชนะได้ในเกมสงคราม แต่สันติภาพนั้น
ปราศจากซึ่งคำว่าชัยชนะ...’
แม้เวลาจะผ่านไปกว่ายี่สิบปีแล้ว แต่ความทรงจำ ณ ห้วงเวลานั้นกลับไม่ได้จืดจางลงไปแม้แต่น้อย ...ตรงข้าม ผมยังจำได้สนิทใจถึงน้ำเสียงรื่นทุ้มสบายหู ...พรั่งพรูถ้อยคำเพ้อฝันออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เขากำลังกล่าวสุนทรพจน์ในการแข่งขัน International political Speech ด้วยหัวข้อ ‘อิสรภาพหรือสันติภาพ ความเป็นจริงหรือความฝัน?’
เพื่อนสนิทของผม ...นักเรียนดีเด่นที่ชื่อว่านิชคุณ หรเวชกุล เจ้าของรอยยิ้มบริสุทธิ์หากเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น กายผอมบางนั่นไม่ได้แสดงออกถึงความตื่นตระหนกสักนิด แม้จะยืนเด่นอยู่ต่อหน้าผู้คนนับพัน ...เรือนหมื่น ...แน่นอนว่า เขาคว้ารางวัลชนะเลิศอย่างงดงาม ท่ามกลางสรรพเสียงชื่นชมจากทั่วทุกสารทิศ
แต่ผมถึงกับงงได้ที่ เมื่อกลายเป็นว่าทันทีหลังจากเสียงประกาศชื่อผู้รับรางวัลจบสิ้นลง นิชคุณก็วิ่งเข้ามายืนตรงหน้าผม แล้วพูดทวนประโยคประกาศรางวัลซ้ำอีกครั้ง ก่อนตะโกนลั่นว่า
“ฉันทำสำเร็จแล้ว!!”
ถูกแล้วครับ ...เราเป็นเพื่อนสนิทประเภทร่วมหัวจมท้าย เป็นตายด้วยกัน ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมยังรู้สึกว่า... มิตรภาพของเรา อยู่ในสถานะที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง
ต่างจากนิชคุณ ผมมันพวกมีเงินล้นฟ้าก็จริง แต่สมองไม่เอาไหน... ถนัดก็แค่ใช้กำลัง ถ้าไม่ได้เพื่อนอย่างเขาสักคนละก็ ...แค่จบมัธยมต้นมาได้ก็ปาฏิหาริย์แล้ว
ส่วนหมอนั่นเป็นคนเก่ง ขวัญใจอาจารย์ ...เจ้าของสถิติผลการเรียนติดท็อปเท็นระดับประเทศ ซ้ำยังควบตำแหน่งเจ้าของบทสุนทรพจน์เกี่ยวกับสันติภาพอันเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วในระดับนานาชาติ
เชื่อไหมละครับ เมื่อไม่กี่วันมานี้ หลังจากการแข่งขันจบลงแค่อาทิตย์เดียว สำนักข่าวต่างประเทศระดับโลกก็แจ้นมาทำข่าวเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเขาไปแล้วด้วยซ้ำ
...จะว่าไปก็ไม่แปลกหรอก นิชคุณคงไม่เป็นที่สนใจมากมายขนาดนี้ ถ้าพ่อของเขาไม่บุกเบิกทางไปแล้วด้วยตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารโลก
เป็นครอบครัวที่สุดยอดใช่ไหมล่ะ
แต่ ...เห็นอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าคิดว่านิชคุณเป็นมนุษย์จำพวกซีเรียสจริงจังกับโลกไปทุกเรื่องล่ะก็ คุณคิดผิด!
“....ฉันชอบแทคที่สุดเลย ”
ตอนนั้นผมล่ะเกือบสำลักโค้กที่กำลังดื่ม ก็ไอ้บ้านิชคุณเล่นโพล่งประโยคแปลกๆ ออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ที่โกรธยิ่งกว่าน่ะ ...มันไม่ใช่เรื่องนี้หรอก แต่เพราะนิชคุณดันบอกว่า ชอบผมเพราะผมเป็นคนเดียวที่ยอมฟังเขาร่ายยาวเรื่องประวัตินักปรัชญาในสมัยศตวรรษที่ 18 แบบไม่ถอดใจก่อนน่ะสิ
“เออ... ” ผมได้แต่ตอบไปแบบหน่ายๆ แน่นอนอีกละว่าหมอนั่นไม่สนใจหรอก เขาเริ่มต้นหยอดเหรียญลงตู้น้ำอัดลมอัตโนมัติเพื่อเลือกเครื่องดื่มกระป๋องที่สอง
เฮ้อ... กินไดเอ็ทโค้กอีกแล้วนะคุณ
ผมรู้ตั้งแต่ก่อนปลายนิ้วเรียวๆ จะจิ้มปุ่มเลือกยี่ห้อเครื่องดื่มด้วยซ้ำ
วิถีชีวิตของนิชคุณเดาง่าย ...เพราะเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยตลอดเวลาที่เราคบหากัน เช่นเดียวกับมุมมองความคิดแปลกประหลาด ยากเข้าใจ
...จะว่าไป ...ตั้งแต่คบกับหมอนี่มาเวลาก็ผ่านไปร่วมห้าปี
ผมยังไม่เห็นเขาคบกับ ‘สาว’ หน้าไหนรอดสักคน
ไม่ใช่เพราะความเอาแต่ใจของนิชคุณแน่ เพราะเขาเทคแคร์ผู้หญิงทุกคนดีเลิศเหมือนเทพธิดาด้วยซ้ำ
ตามความคิดของผม ...สงสัยผู้หญิงสมัยนี้คงรับผู้ชายหน้าหล่อ พ่อรวย นิสัยเยี่ยม แต่อุดมคติพุ่งสูงเกินดีกรีขีดจำกัดของคำว่า ‘หนุ่มในฝัน’ ไปหน่อย ไม่ได้แน่ๆ
กรรมเลยตกมาเป็นของผม!
ในตอนนั้น ...ด้วยสายตาเพื่อนร่วมโรงเรียนที่มองจากระยะไกลอย่างผมคิดว่าหมอนี่คงไม่แคล้วกลายเป็นคนเด่นดังระดับโลกในอนาคตแน่ๆ ...และ ปัจจุบันก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ผมคิดไม่ผิด
“หมอนั่นมันไอเดียลิสต์ ปล่อยให้อยู่ในโลกเพ้อฝันของมันคนเดียวเหอะ”
ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ถ้าได้ยินใครต่อใครให้คำจำกัดความนิชคุณแบบนี้ ...ถึงจะเป็นคนเด่นดังของโรงเรียนยังไง แต่ผมพนันได้เลยว่า เพื่อนร่วมรั้วการศึกษาร่วมสามสิบในร้อยเลยล่ะ ที่ไม่ชอบหน้านักเรียนดีเด่นคนนี้
แล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเหมือนกัน ถ้าผมจะเดินเข้าไปตั๊นหน้าพวกงี่เง่าปากว่าตาขยิบที่ไม่มีอะไรทำ นอกจากนินทาชาวบ้านให้สะใจเล่น ถึงมันจะส่งผลให้พ่อต้องวิ่งเต้นขอโทษใครต่อใครให้วุ่นก็เถอะน่า
เพียงแต่ในที่สุดแล้ว ...วันเวลาแห่งความสุขวัยมัธยมของเราก็ดำเนินมาจนถึงจุดสิ้นสุด
ผมไม่เคยเตรียมตัวเตรียมใจเลยว่า ...เวลาที่พวกเราจะต้องเลือกทางเดินสำหรับอนาคตจะมาถึงรวดเร็วเช่นนี้
ทำไมกันนะ? ...ทำไมผมถึงไม่เคยเอะใจเลยว่า มนุษย์เพอร์เฟ็คอย่างนิชคุณ ...ย่อมต้องมีทางเดินอันสดใสรอท่าเอาไว้อยู่แล้ว
ในตอนนั้นผมคง ‘เด็ก’ เกินไป จนมัวแต่เชื่อมั่นจะเป็นจะตายว่า เราคงก้าวเดินเคียงข้างกันไปชั่วชีวิต
แต่นิชคุณก็เป็นฝ่ายฉีกทำลายความฝันแบบเด็กๆ นั้นลงกับมือ
....ตอนนั้น ในช่วงประมาณเดือนกว่าก่อนฤดูกาลอ่านหนังสือเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ระหว่างเราสองคนกำลังเดินเตร็ดเตร่จากเกมเซ็นเตอร์ไปสถานีรถไฟใกล้ๆ ตามชีวิตประจำวันแบบที่เคยชิน
แล้วนิชคุณก็เป็นฝ่ายโพล่งออกมา
“แทค ฉันจะไปอเมริกา”
พระเจ้า ...ถ้านิชคุณสังเกตสักนิดล่ะก็ เขาคงได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มในตอนแรกของผมแปรเปลี่ยนเป็นจืดชาในเสี้ยววินาที แต่เขาคงอยู่ในอารมณ์ยินดีเกินกว่าจะมามองข้อแตกต่างไร้สาระแน่ๆ
“...ฮาร์เวิร์ดตอบรับมาแล้วล่ะ ฉันบอกนายเป็นคนแรกเลยนะ”
ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นหมอนั่นรู้สึกยังไงตอนพูดเรื่องนี้ออกมา ...จะว่าไปผมก็มัวแต่ตกใจจนลืมสังเกตใบหน้าหวานได้รูปที่ยิ้มกว้างอย่างร่าเริง ...รอยยิ้มของหมอนั่นฉุดรั้งผมขึ้นมาจากความน้อยใจงี่เง่าตามประสาเพื่อนกำลังจะถูกทิ้งให้หันกลับมามองความเป็นจริงที่กำลังจะมอบความสุขให้กับคนสำคัญของตัวเอง
“โหวว~ ไฮโซว่ะคุณ ฮาร์เวิร์ดเชียวนะเว่ย เขาคิดไงรับคนบ้าแบบแกเข้าไปวะเนี่ย ...เออ แต่ช่างเหอะ ไปอยู่โน่นเอาสาวผมทอง หน้าอกบึมๆ กลับมาฝากสักคนสิ”
เจ้าบ้านิชคุณคงไม่รู้หรอกว่าภายใต้รอยยิ้มหื่นๆ ของเพื่อนสนิทยามพูดถึง ‘อเมริกา’ ของเขา มันซุกซ่อนเอาไว้ด้วยความเศร้าสร้อยอ้างว้างแค่ไหน
ร่างโปร่งตวัดแขนโอบรอบหัวไหล่ ก่อนดึงร่างผมเข้าแนบชิดแรงๆ ดวงหน้าหวานหากหล่อเหลายังคงยิ้มละไม
“เสียใจนะแทค ของแบบนั้นใครดีใครได้ ฮ่าๆๆๆ”
“อะไรวะ ไอ้ตืด ฉันจะฟ้องแทยอน”
นิชคุณร้องว้ากลั่น ในทันทีที่ผมสีน้ำตาลอ่อนถูกฝ่ามือผมยีหัวแรงๆ จนเสียทรง ก่อนร่างโปร่งจะเอาคืนด้วยการตวัดเรียวขาขึ้นเตะก้นผมแรงๆ จนเกือบล้มฟาดพื้น ตามด้วยเสียงหัวเราะลั่นบ่งบอกความสะใจ
เสียงหัวเราะและรอยยิ้มยังคงเป็นจุดเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเรา
“ขี้ฟ้องเหมือนผู้หญิงเลยนะจ๊ะแทคยอนนี่”
“ไม่ต้องเลยไอ้บ้า!!”
นั่นสินะ
นิชคุณไม่รู้หรอกว่าคืนนั้นผมกลับไปนอนร้องไห้อยู่ที่บ้านจนตาบวมเป่งแค่ไหน
เขาคงไม่รู้หรอกว่าคนอย่างอ๊คแทคยอน... คนอย่างผมยืนหยัดอยู่ได้ด้วยรอยยิ้มของเด็กหนุ่มที่ชื่อว่า นิชคุณ
รอยยิ้มเหมือนในตอนนี้
::::::::::::::::::::::::::::::::Where the truth
lies::::::::::::::::::::::::::::::::
“ทนหน่อยนะ ...อีกเดี๋ยวหน่วยกู้ภัยก็มาถึงแล้ว ...พวกเขาจะพานายไปถึงมือแพทย์ให้เร็วที่สุด”
ผมพร่ำถ้อยคำซ้ำๆ เหมือนคนบ้า ...แม้ใจจะรู้ดีว่า ...ความหวังกำลังเลือนรางลงทุกที
ที่นี่ ...ประเทศมาเซติก ณ เมืองหลวงบรัสด้า การจลาจลที่ลามไปถึงสงครามกลางเมืองยังคงดำเนินต่อไปอย่างบ้าคลั่ง
เช่นเดียวกับร่างในอ้อมแขนที่เยียบเย็นลงเรื่อยๆ
“...ตอนนี้ ...ที่เกาหลี ...กี่โมงแล้วนะ ”
เสียงแหบพร่ายังคงพยายามฝืนเอ่ยออกมาแม้ว่ามันจะยากเย็นเพียงใด ...เช่นเดียวกับฝ่ามือเย็นเฉียบที่เกาะกุมข้อมือผมแน่น
...ดวงคู่คมปิดลงแล้ว ...มันพริ้มสนิทอวดความงดงามของแพขนตาดกหนา แม้เจ้าตัวอาจไม่นึกอยากหลับใหลเท่าใดนัก
ผมกลืนก้อนสะอื้นลงลำคอ ก่อนกัดฟันเอ่ยน้ำเสียงที่อุตส่าห์พยายามฝืนให้คงความปกติที่สุด
“บ่ายสาม...”
“ อืม... แชริม... คงกำลังเรียนเปียโน ”
...รอยยิ้มเปี่ยมสุขระบายเหนือใบหน้างดงามยามเมื่อปากเซียวซีดเอ่ยชื่อ ‘ลูกสาวคนเดียว’ ออกมา ...พร้อมหยาดน้ำตาของผมที่ซึมขึ้นเอ่อท่วมดวงตาอีกครั้ง
ภาพใบหน้ากลมป้อมของแชริม ...เด็กหญิงวัยแปดขวบ เจ้าของรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ ไม่แพ้คนเป็นพ่อฉายสลับขึ้นมาในห้วงความทรงจำ ...แม้ว่าในปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ผู้ช่วยเลขาฯ สหประชาชาติ’ คนดังอย่างนิชคุณกับภรรยาจะไม่ราบรื่นนัก
แต่ไม่ว่าใครก็รู้สึกได้ ถึงความ ‘รัก’ ที่เขาทุ่มเทให้ลูกสาวคนเดียวเสมอ ...กระทั่งคนด้านชาอย่างผมยังนึก ‘อิจฉา’
“รู้อะไรมั้ย ...แทค ....ฉันน่ะ แค่ได้รู้ข่าวว่าลูกกำลังทำอะไร ...จะมีความสุขหรือเปล่า ตอนนี้แกจะยิ้มไหม แค่นั้น ...ฉันก็มีความสุขแล้ว แม้ว่าในตอนนี้แกอาจจะจำหน้าฉันไม่ได้เลยก็ตาม...”
ปกติผมคงตวาดใส่เจ้าคนคิดมากให้หายฟุ้งซ่านไปแล้ว ...แต่ในช่วงเวลาแบบนี้ ...ช่วงเวลาแห่งความหวังอันริบหรี่ ผมกลับปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สิ่งที่เขาพูดออกมานั้น ไม่ผิดเลยสักนิด
ตั้งแต่การ ‘หย่า’ เมื่อปีที่แล้ว ที่กลายเป็นประเด็นร้อนของผู้ช่วยเลขาฯ UN หนุ่มกับภรรยา บวกข่าวคาวความสัมพันธ์ของเขากับเด็กหนุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังที่อายุอ่อนกว่าเกือบสิบห้าปีแล้ว ดูเหมือนนิชคุณจะไม่ได้รับอนุญาตจาก ‘อดีตภรรยา’ ให้พบหน้าลูกสาวคนเดียวอีกเลย
...ดูเหมือนเขาคงต้องเก็บความเจ็บปวดเอาไว้ภายใน เพราะจากมุมมองของผม นิชคุณเป็นสุภาพบุรุษเกินกว่าจะหักหน้าผู้หญิงที่เคยรักด้วยความต้องการส่วนตัว
นั่นสินะ ...เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ ผมยังคงเห็นหมอนั่นพกรูปครอบครัวติดตัวเอาไว้ในกระเป๋าสตางค์เสมอ
ตอนนี้ก็คงเช่นกัน...
จนถึงตอนนี้ ผมกลับไม่เคยมองว่าความล้มเหลวในชีวิตคู่ มีสาเหตุจากเพื่อนรักเพียงฝ่ายเดียวอย่างที่หนังสือพิมพ์หรือใครคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์
ผมมันอาจจะเป็นคนความคิดแปลกๆ ก็ได้ ถึงได้ไม่คิดว่าถ้าความสัมพันธ์จะพังทลายลง ย่อมไม่มีคำว่าใครผิดหรือถูก ...สิ่งที่เกิดขึ้นคือคนสองคนที่เคยมีความรู้สึกดีๆ ให้อีกฝ่าย แต่ในปัจจุบันกลับไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้วต่างหาก
...ดังนั้น สำหรับผม ...นิชคุณไม่ผิดสักนิด แม้จะหันไปมีความสัมพันธ์กับเด็กคนนั้น
เพราะผมรู้ดีว่า ...สำหรับนิชคุณ
สำหรับเขาแล้ว ...ไม่ว่าอดีตภรรยา ...เด็กคนนั้น แชริม หรือผม ...ทุกคนล้วนเป็นคนสำคัญของเขา
พระเจ้าครับ ...ผมรักคนๆ นี้ยิ่งกว่าใคร
ได้โปรดอย่าพรากเขาไปเลย
“แชริมชอบเปียโน เหมือนนาย...”
พระเจ้า ผมไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าอะไรดลใจให้พูดประโยคไร้สามัญสำนึกแบบนั้นออกมา
รู้ทั้งรู้ว่ารังแต่จะตอกย้ำความเศร้าสร้อยในหัวใจอันบริสุทธิ์ดวงนั้นด้อยลง
เพียงแต่นิชคุณยังคงยิ้ม ...แม้เสียงแหบพร่าจะแผ่วเบาจนแทบลางเลือนกับสายลม
“แทค ...ฉัน........ อยากมีเวลาอยู่กับลูก อยากอยู่กับแชริมให้มากกว่านี้จัง ”
ผมกัดริมฝีปากแน่น
ความเศร้าจากรอยยิ้มเหนือริมฝีปากอิ่มกัดกินลึกเข้าไปถึงจิตใจผม ราวกับคือความรู้สึกของตัวเอง
ฉันก็อยากมีเวลาอยู่กับนายให้มากกว่านี้เหมือนกัน
คุณ
::::::::::::::::::::::::::::::::Where the truth
lies::::::::::::::::::::::::::::::::
จะว่าไป ...ถึงแม้โชคชะตาจะพาให้เราโคจรมาเจอกันตั้งแต่มัธยมต้น แต่เวลาที่เราใช้ร่วมกันกลับน้อยนิดจนเหลือเชื่อ...
โชคชะตา ...เอาเถอะ จะว่าน้ำเน่าก็ได้ เพราะผมไม่รู้จะหาอะไรมาใช้จำกัดความเส้นทางชีวิตที่เดินมาบรรจบกันอย่างไม่น่าเชื่อของพวกเราได้ตรงกว่าคำๆ นั้นอีกแล้ว
ในขณะที่นิชคุณมีมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับโลกอย่างฮาร์เวิร์ดอ้าแขนรอต้อนรับ ผมกลับมีอนาคตที่ตรงกันข้ามรออยู่
...หลังจากจบไฮสคูลล์ด้วยผลการเรียนลุ่มๆ ดอนๆ ให้พ่อกับแม่ได้เสียวไส้เล่น ผมก็ตัดสินใจไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัยในเกาหลี แต่หันไปเลือก military school หรือโรงเรียนการทหารที่สหรัฐอเมริกาแทน
เหตุผลน่ะเหรอ?
ไม่มีหรอก ...แค่เบื่อๆ ...กับอยากเหยียบยืนอยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกับนิชคุณ ...ก็เท่านั้น
แค่ปีแรกในตำแหน่งบอดี้การ์ดส่วนตัว ..ทหารหน่วยพิเศษจากกองทัพสหรัฐอย่างผมไม่เคยนึกเข้าใจการกระทำของหมอนี่สักนิด
...ไม่ว่าจะการเดินทางเยือนประเทศด้อยพัฒนาอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อสัมผัสคลุกคลีกับความเป็นอยู่จริงๆ ของประชาชนที่นั่น หรือเข้าพบผู้ประเทศกลุ่มอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก เพื่อพูดคุยหารือในเนื้อหาที่ผมไม่เคยนึกเอาใจใส่ แต่สิ่งที่นิชคุณดูจะพุ่งเป้าลงไปมากที่สุดยังคงเป็นเรื่องของ ‘เสรีภาพ’
เขาเชื่อมั่นในอธิปไตยของทุกชาติพันธุ์
ในแบบที่คนซึ่งถูกปลูกฝังมาด้วยระบอบประชาธิปไตยอเมริกันอย่างผมไม่เกท!
“หมอนั่นมันมองโลกแบบอุดมคติ ไม่เคยลงมาดูหรอกว่าโลกแห่งความจริงมันบัดซบยังไง”
แน่นอนว่าประโยคพวกนั้นคือเสียงนินทาลับหลังผู้ช่วยเลขาฯ UN คนดัง ซึ่งแสดงเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการยื่นมือเข้าไปแทรกแซงกิจการในประเทศเซอร์เวียของสหรัฐ โดยให้เหตุผลว่า เราไม่อาจตัดสินว่าใครถูกใครผิดจากมุมมองของเราเพียงฝ่ายเดียว
แน่นอนว่ามันย่อมทำให้เขาโดนถล่มด้วยคำสบประมาทร้ายแรงจากผู้เห็นด้วยกับการเข้าจัดระเบียบประเทศที่ปกครองโดยเผด็จการอย่างเซอร์เวีย เพื่อมอบประชาธิปไตยสู่ประชาชน
แต่นิชคุณไม่ตอบโต้คำกล่าวหานั้น เขายังคงเฝ้ารณรงค์เพื่ออุดมการณ์ของตัวเองต่อไปอย่างไม่ย่นระย่อ
แต่จนแล้วจนรอด สหรัฐอเมริกาก็ใช้ข้ออ้างเรื่องการสั่งสมอาวุธอานุภาพแรงสูงบุกเซอร์เวียจนได้ สงครามกลางเมืองจึงถือกำเนิดขึ้นในที่สุด ท่ามกลางความหวั่นวิตก การหลั่งเลือดเสียสละชีวิตโดยไร้ซึ่งความจำเป็น และเศรษฐกิจที่ตกต่ำทั่วโลก...
ใครหลายคนเริ่มมองเห็นถึงคุณค่าของการกระทำที่เคยถูกมองเมิน..
คุณค่าความพยายามของผู้ชายที่ชื่อว่านิชคุณ
“เผด็จการไม่เลวร้ายเสมอไปหรอกแทค ตราบเท่าที่มันเหมาะกับลักษณะการดำรงชีวิตของประชาชนในประเทศนั้นๆ ...บางครั้งนะ ฉันยังแอบคิดเลยว่า ประชาธิปไตยอาจทำให้บางประเทศที่ประชาชนยังไม่มีความรู้พอที่จะเข้าใจกับคำว่า ‘สิทธิ’ และ ‘หน้าที่’ ทำลายโครงสร้างการปกครองและการดำรงชีวิตของตัวเอง ...ระบอบที่ดีไม่ใช่ระบอบที่เหมาะกับทุกประเทศเสมอไปหรอก...”
นั่นสินะ ...ไม่มีอะไรพิสูจน์ได้หรอกว่าสิ่งใดถูก หรือผิด ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในช่วงนั้นๆ ...ไม่แน่ คนที่เรามองว่าเป็นทรราชในวันนี้ อาจกลายเป็นวีรบุรุษในวันพรุ่งก็ได้
แม้ความคิดเช่นนั้นจะแวบขึ้นมาในหัวสมอง
แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าคนที่เลื่อนไหลตามกระแสสังคมเพราะกลัวการผิดแผกอย่างผม ไม่กล้าแม้แต่จะลุกขึ้นมาแสดงความคิดเห็นให้สังคมได้รับรู้
ก็คงเหมือนกับทฤษฎีทางวารสารฯ ที่นิชคุณพูดบ่อยๆ ว่ามันคือ Spiral of Silence หรือวงจรแห่งความเงียบงัน
วงจรของเหล่าคนที่ไม่เคยแสดงออก ...ไม่เคยเรียกร้องหาความถูกต้อง เพียงแค่ล่องลอยไปตามทิศทางที่ถูกจัดวางไว้ให้
ผมคือหนึ่งในการขับเคลื่อนของวงจรนั้นหรือนี่?
แต่เอาเข้าจริง....ผมว่า ...ลงท้ายแล้วมนุษย์ก็ยังคงเป็นสัตว์โลกที่มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง ..........และทำเพื่อตัวเอง
ต่อให้อุดมการณ์สวยหรูสักแค่ไหน ถ้าต้องได้เสียสละสิ่งอันมีค่าของตนแล้ว ...มนุษย์จะขอเลือกหันหลังให้อุดมการณ์นั้นจะดีกว่า
อย่างเช่นตัวผมในเวลานี้
ถ้าต้องทนมองเห็นนิชคุณจากไปต่อหน้าแล้ว ...ผมขอสละทุกอย่างเพื่อเดิมพันกับการรักษาชีวิตเขาเอาไว้ให้ได้!!!
แม้อาจจะเห็นแก่ตัว ...แต่นี่ล่ะตัวผม
คนที่พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเจ้าหน้าที่กู้ภัย ซึ่งแยกย้ายกันออกค้นหาผู้รอดชีวิตใต้เศษซากตึกอาคารรัฐสภา
8.36 am. ของวันรุ่งขื้น...
ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะเสียงร้องตะโกนเรียกหาสัญญาณเพื่อให้ความช่วยเหลือ... แม้จะฟังคล้ายพวกเขาอยู่ห่างไกลหลายกิโลเมตร แต่ด้วยสัญชาตญาณแล้วผมรู้ได้ทันทีว่า ...เบื้องบนเศษซากอาคารนี้ พวกเขากำลังเดินกันอยู่ขวักไขว่ สอดส่ายสายตามองหาผู้รอดชีวิตจากเหตุวินาศกรรมเมื่อวันวาน
ผมกัดฟัน หันลงมองยังร่างในอ้อมแขน ...นิชคุณยังคงสลบไสลไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ..จังหวะลมหายใจของเขาแผ่วเบาลงทุกที
เช่นเดียวกับผมที่เรี่ยวแรงสุดท้ายกำลังจะดับดิ้นลงไปแล้ว...
แต่ลำพังตัวผมเองน่ะ ไม่เป็นไรหรอก ...คนอย่างผมจะหายไปจากโลกนี้สักคนก็ไม่ส่งผลอะไรหรอก แต่กับหมอนี่ ...เจ้าหมอนี่ยังมีอะไรต้องทำอีกมาก ...เขายังมีครอบครัวรอให้กลับไป เขายังมีคนรักที่รออยู่ เขายังมีความฝันให้ก้าวเดิน
ผมจะไม่มีวันยอมให้นิชคุณเอาชีวิตมาทิ้งในที่แบบนี้แน่!!!
สถานการณ์บังคับให้ผมต้องลองเสี่ยง!!
“ช่วยด้วย!!! เราติดอยู่ในนี้!!! ช่วยด้วย!!”
ผมรีดเค้นกำลังเฮือกสุดท้ายร้องตะโกนถ้อยคำพวกนี้สลับซ้ำไปซ้ำมาด้วยจิตใจร้อนรน ลำคอที่แสบแปลบอยู่แล้วเริ่มเสียดจนเจ็บร้าว ...แต่เวลาของนิชคุณกำลังลดน้อยลงทุกทีตามจังหวะชีพจรที่ช้าลงเรื่อยๆ
มันทำให้ผมใจไม่ดีเลย
แต่จนแล้วจนรอด ไม่ว่าจะพยายามบีบเค้นเสียงให้ดังแค่ไหน ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมีใครได้ยินแม้แต่น้อย...
พระเจ้า ...ผมขอร้องล่ะ!!!
ใช่แล้ว!!
...ในที่สุดผมก็นึกออกถึงวัตถุคู่ใจที่ซุกซ่อนอยู่ใต้แจ็กเก็ต
...ปืนพกขนาดเล็กอานุภาพการทำลายล้างสูง
ผมจะใช่มันเพื่อเดิมพันครั้งสุดท้าย
“คุณ ...ชั้นจะช่วยนายให้ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม”
ปลายนิ้วพร่าสั่นของผมลูบไล้ตามผิวเนื้อแก้มซีดเซียวและเริ่มเยียบเย็นด้วยสัมผัสแผ่วเบา...
ในขณะที่มืออีกข้างสอดนิ้วเข้าไปในไก ...ปลดสลักล็อคอัตโนมัติ และเล็งขึ้นสู่ทิศเบื้องบน
ก่อนลั่นไก!!
::::::::::::::::::::::::::::::::Where the truth
lies::::::::::::::::::::::::::::::::
ปัง!!!!!!!!
เสียงกระสุนเจาะทะลุผ่านชั้นหินที่ซ้อนทับจนปริแตกร่อนร่วงลงมาเป็นริ้วๆ ..เปิดทางให้แสงสว่างยามเช้าลอดผ่านเข้ามาจากซอกแผ่นปูน
“ตรงนั้นๆๆ ..........เฮ้ยใช่ ใต้นั่นแหละ!!! ”
สำเนียงภาษาอังกฤษของใครหลายๆ คนร้องตะโกนโวยวายลั่นเริ่มดังใกล้เข้ามาทุกที...
เปลือกตาของผมปิดลงช้าๆ
...เรี่ยวแรงสุดท้ายเลือนหายไปพร้อมรอยยิ้มจางๆ ...
...คุณ ดูเหมือนการเดิมพันจะประสบความสำเร็จนะ...
::::::::::::::::::::::::::::::::Where the truth
lies::::::::::::::::::::::::::::::::
ผมหลับไปหนึ่งวันเต็มๆ
กว่าจะรู้สึกตัวขึ้นมาในโรงพยาบาลขนาดใหญ่กลางกรุงบรัสด้า
สถานการณ์รอบตัวบอกว่าการจลาจลจบลงไปแล้ว
...เนื่องจากรัฐบาลส่งกำลังออกมาปราบปรามพวกกบฏได้ทันท่วงทีก่อนสถานการณ์จะเลยเถิดเป็นสงครามกลางเมือง พร้อมด้วยความช่วยเหลือจากกองกำลังสหรัฐอเมริกาและนานาชาติ
แม้ว่าจะต้องสูญเสียเลือดเนื้อเป็นจำนวนมาก แต่พวกเขาก็ดูพอใจกับผลที่ได้รับ
ในบางครั้ง โลกก็มีครรลองของมันเอง ...เราไม่อาจบอกได้หรอกว่าสิ่งใดผิดหรือถูกในวันนี้... จนกว่ากาลเวลาจะเป็นผู้ตัดสิน
เช่นเดียวกับผม ...ที่ลุกหน้าตื่นขึ้นมาจากเตียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
สิ่งแรกที่หลุดออกมาจากริมฝีปากคือ
“คุณ...”
ในวันนั้น ...ใครต่อใครในโรงพยาบาลคนแปลกใจที่เห็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ในชุดคนไข้เดินกะโผลกกะเผลกตามทางเดินไปยังห้องฉุกเฉินที่ยังคงเปิดไป on duty อยู่...
เพื่อไปนั่งจุ้มปุ๊กรออยู่หน้าห้องผ่าตัดแบบใจจดจ่อ ...
เพื่อรอ ...คุณ
พระเจ้า ...ขอให้เขาปลอดภัย ไม่ว่าอย่างไร ..ก็ขอให้เขาปลอดภัย
ผมท่องภาวนาซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น ...ดวงตาทั้งสองข้างจดจ้องเพียงสัญญาณไฟที่สว่างบ่งบอกการผ่าตัดที่ยังไม่สิ้น
เพียงแต่ ..หลังจากนั้นเพียงไม่ถึงห้านาที ...สัญญาณไฟสว่างก็ดับลง ...
ผมรู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างชาวาบ ...ขณะสบสายตากับหมอหนุ่มร่างเล็กซึ่งก้าวย่างผ่านประตูห้องผ่าตัดออกมาด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน
เขายิ้มให้ผม...
“คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ”
...อาจจะน่าอายไปสักนิด ...ถ้าบอกว่ามันคือคำพูดสุดท้ายที่ผมได้ยิน ก่อนทุกสิ่งทุกอย่างจะดับวูบลงโดยเฉียบพลัน
ถูกแล้วครับ ...ผมเป็นลม
หมดสติเพราะดีใจจนเกินไป...
ผมหมดสติไปรวมเบ็ดเสร็จหนึ่งสัปดาห์เต็มได้ ..เพราะผลกระทบจากการเสียเลือด และฝืนร่างกายตัวเองมากเกินไป
เลยกลายเป็นว่าแทนที่ผมจะได้เป็นฝ่ายเฝ้าอาการนิชคุณ ...เขากลับเป็นฝ่ายปลุกให้ผมตื่นขึ้นจากความฝันอันยาวนาน
...ความฝันฟุ้งซ่านว่าต้องสูญเสียเขาไปในเปลวไฟแห่งสงคราม...
“แทคๆๆ อย่าร้องไห้สิแทค”
ผมสะดุ้งลุกขึ้นนั่งตัวงอกับเตียงคนไข้ หลังเสียงนุ่มทุ้มปลุกสติให้ตื่นขึ้นจากฝันร้าย... รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะบนใบหน้าจากน้ำตาที่รินหลั่งออกมาเปรอะทั่วร่างสูงโปร่งของนิชคุณอยู่ตรงนี้ ...นั่งอยู่ข้างเตียงคนไข้ของผมเอง
“ร้องไห้ทำไมล่ะแทค ฉันอยู่นี่”
เจ้าของดวงตาคู่คมกำลังยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน ...ฝ่ามือเซียวซีดหากแข็งแกร่งเกาะกุมมือผมแน่น คล้ายบ่งบอกถ้อยความว่าเราจะไม่จากไกลกันอีกต่อไปแล้ว
“คุณ...”
แม้ดูออกว่าร่างเบื้องหน้ายังไม่แข็งแรงดีนัก แต่การได้พักหนึ่งสัปดาห์เต็มคงทำให้เขาสามารถลุกจากเตียงตัวเองขึ้นมานั่งเฝ้าอาการผมซึ่งนอนอยู่เตียงข้างๆ ได้
...ในตอนนั้น หัวใจของผมกระตุกวูบ ...รู้สึกถึงความร้อนผ่าวรื้นหลั่งขึ้นหล่อเอ่อเหนือดวงตาอีกครั้ง
พระเจ้า ขอบคุณครับ ...ขอบคุณจริงๆ
“ไม่ได้ร้องสักหน่อย ” ผมรีบแก้ตัว ...ไม่อยากให้หมอนี่เอาเรื่องนี้ไปล้อแบบไม่มีวันจบ เลยรีบหันหน้าหนีไปมองกำแพงแทน กลายเป็นว่าทำให้มองไม่เห็นรอยยิ้มกว้างของใครอีกคนไปซะนี่
คนที่สะกิดหัวไหล่ผมเบาๆ ด้วยน้ำเสียงออดอ้อนอันเป็นเอกลักษณ์
“อย่าเพิ่งเมินกันสิ ฉันยังไม่ได้ขอบใจนายเลยที่ช่วยให้ฉันรอดมาได้ ...นะ หันมานี่ก่อนสิแทค”
“นายจะขอบคุณไปทำไม เฮ้ย!”
แล้วผมก็ต้องเบิกตาโพลง ...เมื่อกลายเป็นว่าในทันทีที่ยอมใจอ่อนทำตามคำขอของเจ้าเพื่อนรัก ริมฝีปากก็ถูกฉกฉวยรสจูบเบาๆ ไปทีหนึ่ง
ฝ่ามือเพรียวเกาะกุมมือผมแน่น... เช่นเดียวกับดวงหน้าหวานหล่อเหลาที่แย้มรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์
...ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ผู้ชายชื่อว่านิชคุณก็ยังคงดึงดูดจิตใจให้หวั่นไหวได้เสมอ
โดยเฉพาะในยามริมฝีปากอิ่มพรั่งพรูถ้อยคำอ่อนหวานออกมา ราวร่ายมนต์สะกดให้ผมเผลอจ้องมองอย่างนิ่งงัน ... ถึงจะคบกันมายาวนานแค่ไหน แต่พอถูกดวงตาคู่นั้นจ้องเอาๆ มันก็อดร้อนวาบที่แก้มไม่ได้เหมือนกัน
“ขอบใจนะแทค ถ้าไม่มีนาย ฉันคงตายใต้กองซากปรักหักพังนั่นไปแล้ว ...ขอบใจ ...ขอบใจ
...จะให้พูดกี่พันครั้งก็ได้ ...ขอบใจจริงๆ ...นายรู้มั้ยว่าเมื่อวานยุนอากับแชริมโทรมาถามอาการฉันด้วย เกือบปีแล้วนะที่ไม่ได้ยินเสียงสองคนนั้น”
“นายไม่ต้องขอบใจหรอกน่ะ ฉันช่วยเพราะเห็นแก่หนูแชริมหรอก เดี๋ยวแกโตขึ้นจะไม่ได้เจอหน้าพ่อ น่าสงสารจะตาย ”
เพราะไม่อยากฟังน้ำเสียงเพ้อฝันคล้ายคนเก็บสมบัติล้ำค่าที่หายไปกลับมาได้อีกครั้ง ...น้ำเสียงที่บ่งบอกว่าสำหรับนิชคุณแล้ว ไม่ว่าใครที่เขาจะมอบความรักให้ ไม่ว่าผม หรือเด็กคนนั้นก็ล้วนทดแทน ‘ครอบครัว’ ไม่ได้ ผมจึงรีบหาคำพูดมากมายมาอธิบายแก้เก้อ
...เขาคงมัวแต่คิดถึงคนสำคัญ...
แทนที่จะยอมเชื่อ กลายเป็นว่าใบหน้าหวานหล่อเหลากลับคลี่ยิ้มล้อเลียน พร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ
“อ้าว ไม่ใช่เพราะสมัครใจเองเหรอ ”
นิชคุณยิ้มอีกแล้ว ...เป็นรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ที่สุดตั้งแต่ผมเคยพบมาบนโลกใบนี้
พระเจ้าครับ ผมไม่ขออะไรอีกแล้ว ...ผมพอใจแค่ได้ ‘รัก’ เขา ได้อยู่เคียงข้างเขาแบบนี้
เพียงแต่ ...ผมมันก็ไม่แคล้วมนุษย์เห็นแก่ตัวคนหนึ่ง ...ที่จนแล้วจนรอดก็อยากรู้ว่าอีกฝ่ายคิดกับเราอย่างไร ...ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรผมก็จะเตรียมใจรอรับการเผชิญหน้ากับมัน
“คุณ”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยคล้ายประหลาดใจกับน้ำเสียงจริงจังของผม แต่เขายังคงเงียบ รอคอยให้ผมเป็นฝ่ายจบโอกาสที่ตัวเองเปิดขึ้นมา
.........ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
ไม่ว่านิชคุณจะรังเกียจจนเลิกคบกันเพื่อนคนนี้ไป ...หรือว่าจะตอบรับด้วยรอยยิ้ม ...ผมก็พอใจแล้ว
“ฉันรักนาย”
....แต่เขากลับไม่มีทีท่าตกใจเลยสักนิด ใบหน้าได้รูปยังคงไม่แสดงอารมณ์ตื่นเต้นใดๆ ตรงข้ามดวงตาคู่คมเพียงจ้องกลับมาแน่วนิ่ง ริมฝีปากอิ่มยังแย้มยิ้มน้อยๆ เฉกเช่นเดียวกับเวลาเราคุยกันตามปกติ...
กลายเป็นฝ่ายผมเสียเองที่ร้อนรนจนต้องเอ่ยถามออกมา
“นายไม่ตกใจเลยเหรอ?”
“จะตกใจทำไมล่ะ”
...คุณแค่หัวเราะเบาๆ กับคำถามที่เขาคงคิดว่ามันไร้สาระที่สุดในโลก ปลายนิ้วเพรียวยาวเลื่อนจากมือสั่นระริกขึ้นแตะหัวไหล่ผมเบาๆ
เขาโน้มศีรษะเข้ากระซิบข้างหูผมด้วยเสียงนุ่มทุ้มชวนหลงใหล
“รู้มาตั้งนานแล้วละ ...แล้วนายละ รู้ไหมว่าฉันเองก็รักนาย
END.
ผลงานอื่นๆ ของ dandora ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ dandora
ความคิดเห็น