หมายเหตุ-บทความนี้อาจจะเป็นความโรคจิต(คิดมาก)ของผู้เขียนเพียงคนเดียวก็ได้ เพราะงั้นค่อนข้างแน่ใจว่าต้องมีคนไม่เห็นด้วย แต่ก็ขอบอกว่ามาจากความหวังดีล้วนๆ..อาจจะใช้คำหมิ่นอะไรบางอย่างต้องขออภัยไว้ก่อนครับ ท่านไดที่ไม่เห็นด้วยจนอดไม่ได้ที่จะด่าคนเขียนก็ตามสะดวกนะครับ แต่กรุณาอย่าใช้นามแฝงบนพื้นสีน้ำตาลหากแน่จริง
          ช่วงนี้ จะได้ยินหลายๆข่าว หลายๆเหตุการณ์ เกี่ยวกับเรื้องร้ายๆที่ร้ายแรง สืบสาวไปถึงต้นตอ มันมักจะมาจาก \"คิดมากไปรึเปล่า?\" ไม่พูดละกันว่าข่าวอะไร
         
          คุณว่า... มีเรื่องร้ายๆไหนสักเรื่องไหมที่เกิดจากต้นตอที่เป็นเรื่องร้ายแรง....       
          คุณว่ามีเรื่องเล็กๆกี่เรื่อง ที่จะไม่ก่อ ปฏิกิริยาลูกโซ่....
         
          ไม่อยากจะอ้างคำว่า กฎแห่งกรรมมีจริง เพราะมันดูออกจะแนวพระๆเหลืองๆ หาสาระได้ไม่ครบที่ต้องการนัก เหตุเพราะว่า ถ้าเหตุเล็กๆนั้นไปเกิดกับ วงจรไฟฟ้า หรือ รหัสฐานสองสักชุดหนึ่ง คงมีไม่กี่คน ที่จะโยงมาหาคำว่ากฎแห่งคำแบบพระๆได้ ซึ่งก็ไม่ได้จะแอนตี้อะไรนะครับโยงได้จริงๆมันก็ดี
          อยากให้เริ่มมองว่ามันเป็นเรื่องสมการ มองเป็นพลังงานมากกว่า
          “คิดมากไปรึเปล่า?”
        ผมนั่งแก้บทความนี้อยู่นาน ว่าตกลงคำว่า”คิดมากไปรึเปล่า”ประเด็นจริงๆที่ควรพูดถึงคืออะไร กันแน่ เนื่องจากยิ่งเขียนยิ่งเขว และเริ่มออกนอกเรื่องสุดท้ายก็ลบทิ้งเกือบหมด เลยกลับมานึกว่า คำๆนี้มันมาจากรูปแบบไหนบ้าง ก็นึกคร่าวๆได้3อัน
          1-มั่นใจตัวเองเกินเหตุ
          2-พูดพล่อยๆ
          3-พูดจาให้กำลังใจ
          พูดพล่อยๆก็คือพูดพล่อยๆ ในเมื่อมันมาจากสมองที่สามารถพุดพล่อยๆได้ ไม่มีประโยชน์ที่จะไปพูดถึงกลุ่มนี้ สมองที่เน่าแล้วคงยากฟื้นฟู คงได้แต่ปล่อยให้สูญสลายไปตามสังขาร
          พูดจาให้กำลังใจ อันนี้ก็ไม่มีอะไรให้พูดถึง เพราะมันเป็นคำพูดแบบเฉพาะกิจเสียมากกว่าและผู้พูดคงไม่ได้มีความหมายตามนั้น เพียงกล่าวขึ้นด้วยความเคยชิน จากสิ่งที่เขารับรู้มาว่า มันเป็นให้กำลังใจคำหนึ่ง ความหมายประมานสู้โว้ย นั่นเอง
          มั่นใจตัวเองเกินเหตุ นี่คือสิ่งที่อยากจะขยายความ
          “คิดมากไปรึเปล่า?”จากผู้มั่นใจในตัวเอง
          คำพูดที่ฟังดูเหมือนมีสติปัญญาระดับศาสดา มีความเข้าใจโลกดังเหมือนเป็น 1ในคณะช่างที่สร้างโลกนี้ขึ้นมา  และแทบจะทั้ง100มักจะถูกกล่าวออกมาจากคนที่มั่นใจว่าเข้าใจดีในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยได้เข้าใจซักนิด ปัญหาของคนที่มั่นใจตัวเองมากๆ ก็คือ เขาจะออกห่างจากความจริงข้อที่ว่า มนุษย์แค่คนรับไม่ใช่คนกำหนด คนกลุ่มนี้จะเชื่อว่าทุกอย่างเกิดขึ้นจากตัวเองเป็นคนกำหนด เป็นคนทำ โดยไม่มีสมการอื่นยุ่งเกี่ยว ชีวิต เหมือนคำกล่าวที่ว่า ชีวิตข้า ข้าย่อมลิขิตเองได้ น่าขำ... สมมุตว่าคุณแต่งตัวออกจากบ้านอย่างหรูเตรียมไปธุระข้างนอก ฉีดน้ำหอมอย่างดี ลองนึกดูว่าคุณเคยคิดมั้ยตอนก้าวออกจากบ้าน ว่าวันนี้คุณจะไม่ได้กลิ่นตดของใคร... ถ้าคุณไปถึงที่หมายโดยไม่มีใครมาตดให้คุณดม คุณว่าคุณเป็นผู้กำหนดรึเปล่า ... แล้วถ้าวันนั้นดันมีคนมาตดให้คุณดม คุณว่าเป็นเพราะคุณกำหนดหรือหยั่งรู้รึเปล่าว่าวันนี้ จะต้องดมตดใครบางคน
        ต้องขออภัยที่ยกตัวอย่างค่อนข้างน่าเกลียด แต่มันชัดเจนดี คิดดูดีๆในที่สุดจะพบว่า เราทุกคนเป็นแค่หมาก ไม่ใช่คนเดินหมาก และไม่ใช่ผู้หยั่งรู้ที่เฝ้ามองการเดินหมาก
       
          ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหล่ะ เราส่วนมากมักจะทะนงตน คิดว่าเป็นผู้เดินหมาก จนลืมว่า ชีวิตเราจริงๆแล้ว โดนคลื่นตัวแปรที่โผล่เข้าสมการซัดไปซัดมาตลอด คำพูดที่บอกประมานว่า ชีวิตชั้นชั้นย่อมกำหนดเองได้.. กำหนดได้จริงหรือ... คุณทำทุกอย่างเพราะคุณกำหนดหรือ .. สมมตคุณเป็นคนเล่นหุ้น .. แล้วบอกกับคนอื่นๆว่าคุนจะเป็นนักเล่นหุ้นที่รวยที่สุดให้ได้.. และคุณทำได้ในที่สุด และพูดอย่างภูมใจว่า เห็นไหม ถ้าพยายามต้องทำได้ เผลอภูมอกภูมใจในความสามารถตัวเอง เผลอคิดเอาว่าความสำเร็จนั้นคุนเป็นผู้กำหนด คุณแน่ใจเหรอ ว่ามีคุณเป็นตัวกำหนดความสำเร็จนั้นคนเดียว...
          ลองนั่งนึกดูว่าคุณเคยนั่งลุ้นมากี่ครั้งในชีวิต เคยชูกำปั้นกับหายนะของหุ้นบางตัวกี่ครั้ง
          ถ้าคุณเป็นผู้กำหนดจริงๆ คุณจะดีใจหาหอกอะไร คุณจะนั่งลุ้นให้เปลืองยาเส้นทำไม?
          เราทุกคน เป็นแค่ตัวหมาก หากอะไรๆที่เกิดขึ้นเป็นการเดินหมาก
          ตัวหมาก ไม่มีทางมองออกว่า กระแสลมรอบกระดานเดินหมาก แมงวันที่บินไปมาๆ แถวนั้นจะกระทบอะไรกับการเดินหมาก ไม่มีทางมองเห็นสีหน้าของผู้เดินหมากซึ่งยังเป็นปริศนาว่าคือผู้ได
          เล่าอ้อมมายืดยาว เพื่อจะบอกว่า
        “คิดมากไปรึเปล่า” จากคนที่มั่นใจตัวเอง มันเป็นคำพูดจากความคิดตื้นๆ และอหังกาอย่าน่าเวทนา และแย่กว่านั้น ถ้ามันเป็นคำพูดจากคนที่มีอำนาจสั่งการอะไรบางอย่าง..
          ลองลดๆความั่นใจลงนิดนึงดีมั้ย ยอมรับว่าเราไม่ใช่คนเดินหมาก มันมีตัวแปรที่เรามองไม่เห็นเดาไม่ออกลอยเข้ามาตลอดเวลา เพื่อจะซัดกระแสชีวิตของมนุษย์ ลองเริ่มใส่ใจรายละเอียดเล้กๆน้อยๆที่ถุกส่งผ่านเข้ามา  อย่าเพิ่งไปมองว่ามันแค่เรื่องเล็กๆ ...ไม่มีเรื่องใหญ่ไหนไม่เกิดจากเรื่องเล็กๆ.. ถ้าคุณมองไม่ออกว่าปัญหาใหญ่ๆที่เผชิญขณะนี้ มันมาจากเรื่องเล็กๆเรื่องไหน นั่นเพราะคุณละเลยมันมาแสนนาน จนมันก่อปฏิกิริยาลูกโซ่จนมองสภาพเดิมไม่ออก และยากจะแก้ไขในที่สุด ...
        ลองถ่อมตน ลงไปมองในเรื่องเล็กๆที่ใครต่อใครมองว่า “คิดมากไปรึเปล่า” บางทีคุณอาจจะพบปม หรือของอะไรบางอย่างที่คุณหามาทั้งชีวิตก็ได้...
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น