เกรงใจ๊ ....เกรงใจ
สำหรับคนขี้เกรงใจโดยเฉพาะ...
ผู้เข้าชมรวม
818
ผู้เข้าชมเดือนนี้
7
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เกรงใจ๊....เกรงใจ
มีคนขี้เกรงใจกี่คนที่เป็นคนตระหนี่ไม่เอื้อเฟื้อ ใจแคบคิดเล็กคิดน้อย
หรือ...
มีคนขี้เกรงใจกี่คนที่เป็นคนเอื้อเฟื้อ ใจกว้างขวางไม่คับแคบ....
คุณคิดว่าประโยคไหนฟังดูเข้าท่ากว่ากัน?
บางครั้งเรามักมองคนขี้เกรงใจว่าเค้านิสัยดีรู้จักที่จะเกรงใจคนอื่น และเผลอแอบชื่นชมเค้า
แต่พอรู้จักชีวิตเบื้องลึกของเค้ามมากๆเข้าเรากลับพบว่า
ความขี้เกรงใจของเค้า เป็นผลพวงมาจากความใจแคบของเค้า...อ่าว....ไหงเป็นงั้น...
มันมีด้านดีด้านเสียอยู่ในนิสัยแต่ละอย่างของคน
ความจริงแล้วเราก็ควรเลือกและเชื่อแต่ในส่วนดีของเค้าอยู่เสมอ
แต่เอาเป็นว่าผมขออนุญาตมองด้านลบของความเป็นคนขี้เกรงจละกัน เพื่อเห็นแก่คนที่ขี้เกรงใจ จะได้อัพเกรดเป็นคนขี้เกรง ที่ไม่ขี้ใจน้อย ไม่ใจแคบ และใจกว้างขวาง มีชีวิตที่มีความสุข โดยไม่ต้องมีอะไรที่เรียกว่ความเกรงใจซึ่งเป็นเรื่องดีต่อคนอื่น แต่กลับเป็นหนามยอกอกตัวเองโดยไม่รู้ตัว
มีคนอยู่ประเภทหนึ่ง
คนพวกนี้จะทำอะไรไม่ค่อยเกรงใจอะไรใคร บางครั้งก็ไม่เห็นหัวผู้ใหญ่ บางครั้งคนพวกนี้ไปเรือนของผู้อื่น ก้ทำซะเหมือนเป็นเรือนของตัวเอง คือแบบว่าเป็นกันเองมากๆ จนบางทีเจ้าของเรือนยังต้องเกรงใจอาคันตุกะซะงั้น
มองเผินๆคนพวกนี้ก็น่ารังเกียจมากๆ เจ้าเรือนหรือใครที่เห็นพฤติกรรมแบบนี้เข้าก็วิพากวิจารในใจกันไปในแนวๆเดียวกันว่า
"มันรู้จักเกรงใจคนอื่นมั่งมั้ยเนี่ย"
แต่เป็นเรื่องน่าสนใจอยู่อย่างนึง
บ่อยครั้งเรากลับพบว่าไอ้คนที่ดูเหมือนไม่ค่อยเกรงใจใคร หรือไม่เคยมีคำว่าเกรงใจในสารบบสมองของมันเนี่ย บางทีมันก็เป็นคนที่น่ารักและใจกว้างมากๆ ซึ่งก็คงใช้เวลานานมากอะนะครับกว่าจะเห็นข้อดีที่ว่านี้ หรืออาจไม่เคยเห็นเลยทั้งชีวิต ถ้าไม่ได้สัมผัสชีวิตเบื้องลึกของกันและกันมากนัก
คนที่ทำอะไรไม่ค่อยเกรงใจคนอื่นเนี่ย บางทีเราก็ต้องมานั่งแยกอกเป็นสองกรณี
คือ
1-มันเห็นแก่ตัว หรือว่า
2-มันไม่มีคำว่าเกรงใจในสารบบสมองของมัน
ขอข้ามกรณีเกรงตามมารยาททางสังคมนะครับไม่ขอเอามานับรวม เพราะว่ามัน"จอมปลอม"
จะเป็นกรณี1หรือ2 การสัมผัสชีวิตเบื้องลึกจะสำแดงคำตอบเองอย่างง่ายๆ ถ้าเพียงแต่เราสนใจจะรู้เนื้อแท้ของคนคนนั้น
สิ่งที่อยากพูดถึงคือกรณีที่2 คือคนบางคนไม่มีคำว่าเกรงใจในสารบบของเขา และเขาก็ไม่ได้เห็นแก่ตัวด้วย
เป็นไปได้มั้ยที่ว่า จริงๆแล้วที่เขาไม่มีความเกรงใจคนอื่น เพราะว่าตัวเขาเองก็ไม่เคยตำหนิใครทั้งนั้นแม้แต่ในใจว่าไม่ใกรงใจเขา
มีความสุขแค่ไหน
ถ้าเราสามารถคิดได้แบบนี้
ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจ อย่าคิดมาก
คิดให้ได้จริงๆ ไม่ใช่แค่คิดหรือพูดออกมาแบบประชด หรือปลอบใจตัวเอง
เป็นทุกข์มากแค่ไหน
ถ้าเราต้องจมอยู่กับความคิดจากการกระทำของคนอื่นในลักษณะที่ว่า
ทำไมไม่เกรงใจกันมั่งเลย นึกถึงหัวอกกันมั่งมั้ย ..ฝากไว้ก่อน...
แต่ปากก็พูดไปว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจ อย่าคิดมาก
แต่ใจก็ ..ยังฝากไว้ก่อน...
ถ้าถามว่าเราชอบคนที่เกรงใจเราหรือคนที่ไม่เกรงใจเรา
คำตอบก็คงต้องบอกว่าชอบคนที่เกรงใจเราเป็นปกติอยู่แล้ว
และแยกกรณีนี้ออกเป็นอีกสองกรณี คือ
1-เกรงใจก็ดีนะ แต่ไม่เกรงใจก็ไม่เป็นไร รับได้
กับ
2-เกรงใจก็ดีนะ แต่ถ้าไม่เกรงใจก็จะแอบด่าในใจ และหาทางกระแนะกระแหนถ้ามีโอกาศเป็นการระบายอารมณ์ และหวังว่ามันจะรู้ตัวขึ้นบ้าง แต่จะไม่พูดตรงๆแบบจับเข่าคุยกัน
กรณีที่1นั้น แสดงว่าหัวใจของคนคนนั้นสูงมาก เมตตาสูง อดทนสูง รักเพื่อนมนุษย์สูง และที่สำคัญ "ถ่อมใจ"สูงมากๆ
กรณีที่2นั้นพบเยอะมากถึงมากที่สุด จนกลายเป็นเหมือนเรื่องธรรมดาที่มีจิตใจแบบนี้ และกลายเป็นอะไรที่ยอมรับกันได้ในที่สุด เมื่อยอมรับกันได้ ก็เลยตามเลย ไม่คิดปรับปรุงจิตใจให้สูงขึ้นแต่อย่างได เพราะโดยข้ออ้างที่ว่า "มันคือแสตนดาร์ด"
แสตนดาร์ดเหรอเหรอ... ก็โอเคนะ ถ้ามันเป็นมาตรฐานของคนทั่วๆไป และความคิดอย่างนี้จะช่วยให้เราไม่รู้สึกว่าการคิดกับคนไม่เกรงใจคนในแบบที่สองนั้นใจเราไม่สกปรก
แต่รู้อะไรไหมครับ ...ว่านั่นบ่งบอกว่าจิตใจเราเป็นอย่างไร
...ไม่ได้ดีไปกว่าคนที่ทำอะไรไม่เกรงใจใครหรอกนะครับ
.....อาจจะสกปรกต่างชนิดกัน แต่ถ้าจะบอกว่ามันเป็นใจหรือพฤติกรรมที่สกปรก เป็นแนวคิดแบบใจที่ยังต่ำ ก็ไม่น่าจะผิดอะไร
เผลอๆ ถ้าเจ้าคนที่ทำอะไรไม่เกรงใจใครเพราะความไร้เดียงสาของมัน แต่ดันมีคนไปรู้สึกไม่พอใจมันแบบในกรณีที่สองละก็...
คนที่ตำหนิคนที่ทำอะไรไม่เกรงใจใคร และคิดอะไรในใจแบบในกรณีที่สองนั่นก็จิตใจต่ำและสกปรกกว่าคนที่เขากำลังวิพากวิจารณ์ในใจเยอะเลยครับ
.....
นอกเรื่องนิดนึง
บางท่านอาจจะว่าผมหยุมหยิมเอาอะไรมาเขียนเนี่ย เพ้อเจ้อ คิดมาก
มันสำคัญนะครับ และเพราะคนส่วนมากมองว่ามันหยุมหยิมไร้สาระ คิดมากนั่นเอง ทุกวันนี้จิตใจเราๆท่านๆถึงยังไปไม่ถึงไหนกันซะที เพราะเอาแต่พัฒนาแต่อะไรที่เห็นชัด เป็นรูปธรรมวัดขั้นได้ อวดได้ อะไรวัดขั้นไม่ได้อวดไม่ได้ ก็ไม่สนใจพิจารณาใฝ่ปรับปรุงกัน
เพราะดูเหมือนทุกวันนี้ หรือแม้แต่ตั้งแต่อดีตมาแล้วก็ตาม มีคนเป็นอันมากกำลังฝึกจิตพัฒนาจิตเพื่ออวด ไม่ใช่เพื่อความสะอาดของจิต เพื่อเมตตาต่อกันอย่างจริงใจ
ผมพูดเช่นนี้ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนดีหรือจิตใจสูงส่งอะไร จริงๆใจผมก็ยังสกปรกอยู่อีกเยอะ ยังต้องพัฒนาอีกมาก ยิ่งกวาด มันก็ยิ่งเจอขยะ และขยะที่ผมเจอก็หวังอยู่บ้างว่ามันอาจจะช่วยใครบางคนให้กวาดมันไปจากใจได้บ้าง
เพราะของพวกนี้มันหยุมหยิมอย่างที่บอกนั่นล่ะ ถ้าไม่มีใครช่วยไอเดนติฟายหรือระบุสัญชาติมันให้ชัดๆ บางทีเราก็ยากจะจับตัวมันและกำจัดมันออกไปได้
และสิ่งที่ผมพยามจะระบุสัญชาติมันในที่นี้ก็คือ เชื้อร้ายที่แฝงมากับความเกรงใจที่มันกำลังเป็นบ่อนทำลายสังคม และองค์กรต่างๆตัวนึง
หากเราลองนึกดูดีๆ ในที่ทำงานของเรา โรงเรียน หรือองค์กรอะไรซักอย่างที่เราสังกัดอยู่ หรือแม้กระทั่งองค์กรเล็กๆอย่างครอบครัวก็ตาม
เราจะนึกออกถึงเรื่องบางเรื่องที่มันกลายเป็นเรื่องด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เพราะคำว่าเกรงใจ....
ต้นตอ มาจากบุคคลผู้หนึ่งที่เจอเหตกรณ์บางอย่างเข้า ซึ่งจริงๆแล้ว เขาจะต้องทำประมานว่า เรียกประชุมองค์กรซึ่งเป็นการรบกวนสมาชิกคนอื่นๆ"มากๆ"
แล้วบุคคลผู้นั้นก้เริ่มชั่งน้ำหนัก
ว่าจะปล่อยเลยตามเลยไม่ต้องเรียกประชุม เพราะเกรงใจสมาชิกคนอื่นๆ แล้วก็คิดในแง่ดีว่ามันคงไม่มีอะไรม้างง
คำถามคือ
...ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าการเรียกประชุมเพราะเรื่องแค่นั้นที่เขาเจอซึ่งมันอาจจะกลายเป็นเรื่องร้ายแรงได้ถ้าปล่อยไป ....เป็นการรบกวนคนอื่น
เขาใช้อะไรวัด....
ถ้าไม่ใช่เอาตัวเขาเองวัด....
เขาจะเผลอคิดอย่างนี้รึเปล่า
เอ... นี่ถ้ามีใครมาเรียกเราเข้าประชุมด้วยเรื่องแค่นี้ เราต้องแอบด่ามันในใจแน่ๆ งั้น..ถ้าเราเยกประชุม เราก็อาจจโดนด่าสินะ งั้นช่างมันละกัน ถึงมันจะกลายเป็นเรื่องร้ายแรงในภายหลัง ยังไงก็ไม่ใช่ความผิดเรา เพราะมันไม่ใช่สว่วนความรับผิดชอบของเรา เราแค่มาบังเอิญเจอ...
แต่ถ้าเราเรียกประชุม แล้วมันไม่มีอะไร เราโดนว่าแน่เลย ..."เกรงใจ"เค้าปล่าวๆ เลยตามเลยละกัน
....
ไม่ว่าผลสุดท้ายสิ่งที่คนคนนั้นเจอจะนำไปสู่ความเสียหายร้ายแรงหรือไม่
แต่แนวคิดแบบคนคนนั้นนำความพินาศมาสู่องค์กรและสังคมนักต่อนักแล้ว และมักจับมือใครดมไม่ได้ เพราะอย่างที่คนคนนั้นบอกนั่นแหล่ะ ว่ามันนอกเหนือความรับผิดชอบของผู้หนึ่งผ้ได
.....
เวลาเรานั่งนึกว่าแต่ละอย่างที่เราจะทำจะรบกนคนอื่นรึเปล่านั้น เรามักเผลอเอาตัวเราเองวัด เพราะเรามักหลงนึกว่าตัวเราเองเป็นมาตรฐานอยู่บ่อยๆ
ถ้าคนคนนั้นเป็นคนไม่ชอบเข้าประชุม และชอบด่า ชอบกระแนะกระแหน วิพากวิจารณ์ ..เขาก็จะเต็มไปด้วยความเกรงใจในการเรียกประชุม
ตรงกันข้าม ถ้าเขาเป็นคนไม่มายด์กับการต้องสละเวลามาเข้าประชุมด้วยเรื่องเล็กๆซึ่งอาจไม่ได้ส่งผลร้ายแรง หรือประมานว่าเป็นการประชุมแบบกันไว้ก่อน หรือพูดให้น่าเกลียดคือกระต่ายตื่นตูม ...เขาจะ"ไม่เกรงใจ"ที่จะเรียกประชุมสมากชิก ถ้าเขาเห็นว่ามันควรต้องประชุม ถึงสุดท้ายมันจะไม่มีอะไรก็เถอะ
...........
จุดประสงค์ของบทความนี้ เขียนขึ้นเพื่อบุคคลที่ขี้เกรงใจเท่านั้น ฉนั้น บุคลอื่นนอกเหนือจากนี้ไม่น่าจะได้อะไรจากบทความนี้มากนัก
การที่ท่านเกรงใจคนอื่นได้นั้นก็เป็นเรื่องดี
แต่มากกว่านั้นอีก คืออยากให้ท่านลองนั่งนิ่งๆพิจราณาดูดีๆว่า
ท่านเกรงใจคนอื่นเพราะท่านเอาตัวเองวัดหรือปล่าว
ท่านเกรงใจคนอื่นแต่ในขณะเดียวกันท่านกลับชอบตำหนิ และวิพากวิจารณ์คนอื่นหรือไม่
ท่านไม่ยอมรบกวนคนอื่น แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ยอมให้คนอื่นรบกวนท่านหรือไม่
ท่านไม่ยอมแบมือขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เป็นเพราะความเกรงของท่านจริงๆ หรือเป็นแค่ความหยิ่ง ผยองพองขนในศักดิ์ศรีบ้าบอของท่านหรือปล่าว
ลองนึกย้อนหลังไปหลายๆเรื่องในอดีตด้วยความไม่เข้าข้างตัวเองดูว่า
มีกี่เรื่องดีๆที่ไม่ได้เกิดขึ้น เพราะความ"ขี้เกรงใจ"ของท่าน
และความ"ขี้เกรงใจ"นั้นในเรื่องนั้นๆ ท่านเกรงใจจริงๆ หรือท่านแค่ใจแคบกันแน่
....
หวังว่าคงได้ประโยชน์กับท่านบ้าง
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
ผลงานอื่นๆ ของ หญ้าโค้ง ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ หญ้าโค้ง
ความคิดเห็น