ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    This is life.

    ลำดับตอนที่ #1 : วันแรก 45+55% (r=0.3)

    • อัปเดตล่าสุด 3 ม.ค. 50


            

    ตอนที่ 1

    วันแรก

           "ไปก่อนนะแม่"  ฉันพูด   ก่อนรีบวิ่งไปยังป้ายรถเมล์ใกล้ๆบ้าน
      
          
    รถสาย  35.9  พุ่งตรงมาหยุดเบื้องหน้า  ฉันขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
      
          "
    ลงไหนจ๊ะหนู" กระเป๋ารถเมล์ถาม
          "จามจุรีศึกษาค่ะ"
          " 12 บาท"
        
         
    ฉันจ่ายค่าโดยสาร  กวาดสายตาหาที่นั่ง   ที่ว่างเหลือเพียงที่เดียว   มันคือที่นั่งตรงข้างเด็กชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉัน   เข็มกลัดบนเสื้อทำให้รู้ว่าเราอยู่สถาบันเดียวกัน  ฉันเดินไปนั่ง พลางหยิบ mp3เครื่องโปรดขึ้นมา 


           "  Making my way downtown
    Walking fast
    Faces passed
    And I'm home bound

    Staring blankly ahead
    Just making my way
    Making my way
    Through the crowd

    And I need you
    And I miss you
    And now
    .....   .

                    "เธอ..  ถึงโรงเรียนแล้ว"  เสียงเย็นๆปลุกฉันขึ้นจากภวังค์

                    "อ่าวเหรอ"  ฉันรีบหยิบกระเป๋า  เดินลงจากรถ

                    "นี่ๆ  นายน่ะ..  แท๊งกิ้วนะ" ฉันตะโกนขณะที่วิ่งขึ้นสะพานลอย   เด็กชายเบื้องหน้าหันหลังมามอง  ไม่แสดงอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น  เพียงชั่วเสี้ยงวินาทีกระมัง  แล้วเขาก็หันหน้ากลับไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

                    "อะไรของเขาวะ..  อุตส่าห์ขอบคุณ   หยิ่งชะมัด"ฉันพึมพำ  พลางหยิบหูฟังใส่รูหูตามเดิม 

    "I don't wanna go another day
    So I'm telling you, exactly what is on my mind
    Seems like everybody is breaking up
    And throwing their love away
    But I know I got a good thing right here
    That's why I say (Hey)

    * Nobody gonna love me better, Imma stick wit u forever
    Nobody gonna take me higher, Imma stick wit u (come on)
    You know how to appreciate me, Imma stick wit u, my baby
    Nobody ever made me feel this way, Imma stick wit u
    "

                    นักแจกใบปลิวจากสถาบันกวดวิชาสัก 5 คน   ยืนอยู่หน้าทางเข้า    ใบโฆษณานับสิบแผ่นถูกยื่นลงมือเด็กแต่ละคนที่เดินผ่านราวกับเป็นการรับตั๋วก่อนชมภาพยนตร์

                    "ไม่เอาอะค่ะ"ฉันบอกปัด   เพื่อนบางคนบอกฉันว่าให้รับไป  เพราะหากแจกไม่หมด  นักแจกก็จะไม่ได้กลับบ้าน   แต่ฉันกลับคิดในทางกลับกันว่าถึงเอาไปก็คงไม่ได้อ่านอ่านอยู่ดี   สุดท้ายก็ทิ้ง  หรืออาจชั่งกิโลขาย  แต่นั่นไม่ได้คุ้มกับค่าพิมพ์เลยสักนิด  หากใบปลิวเหล่านี้แจกไม่ได้  หรือแจกได้น้อยลง  เจ้าของสถาบันกวดวิชาเหล่านี้จะได้ลดจำนวนการพิมพ์  หรืออาจจะเลิกพิมพ์ไปเสียเลย  

                    อีกประการหนึ่งที่สำคัญคือ  "ขี้เกียจถือ" (อันนี้ออกแนวชั่วสักหน่อย)

    ฉันเดินผ่านศาลาริมสระบัว   โรงอาหารใหญ่  ร้านสหกรณ์  และสนามฟุตบอลแห่งความทรงจำเมื่อครั้งมาดูผลสอบเข้า     สถาบันแห่งนี้เป็นที่รวมเด็กเก่งจากทั่วประเทศ   เพื่อนร่วมห้องของฉันส่วนมากเป็นพวก "หัวดี"  ต่างกับฉันซึ่งเป็นคนหัวธรรมดา  หากแต่มี "พลังถึก"  ที่มักจะผุดขึ้นมาเองเมื่อยามจำเป็น

    ตึก 45 ปีตั้งตระหง่านอยู่หลัง  "เต๊นกินอาหารชั่วคราว" (เพราะโรงอาหารตึกข้างๆกำลังสร้างอยู่)  ชุมนุมชาว 565 มานั่งกินข้าวร่วมกันที่นี่เสมอ   แม้แต่ในวันนี้   วันที่ทุกคนจะต้องกระจัดกระจายไป  วันเปิดเทอมขึ้นม.5

    "หวัดดีม่ง"กล้วยทัก

    "หวัดดี" ฉันตอบ  "แก..  เราอยู่  552 ใช่ป่าววะ"

    "เออดิ..   565 ไปอยู่  552 ตั้งเยอะ"

    "ดีแล้ว  เราจะได้ไม่เหงา  หุๆ" ฉันยิ้ม   "เราไปจองที่ก่อนนะแก" พูดจบ  ฉันก็รีบจ้ำขึ้นบันได

    "ปีก่อนขึ้น 6 ชั้น     ปีนี้ขึ้น 5 ชั้น   ขาเป็นท่อนซุงแหงมๆ--"  ฉันบ่นอยู่ในใจ               

    "หวัดดีเอ้"ฉันทัก  ขณะที่เด็กสาวตัวน้อยกำลังสำรวจดูที่นั่งทั้งแถว

    "หวัดดีม่ง   เราจองที่นั่งไว้ครบแล้วล่ะ  565  นั่งแถวนี้ทั้งหมด"  เอ้ยิ้ม

    "โห..  เยอะเนอะแก  ครอง552  เลยมั้งเนี่ย"ฉันยิ้มตอบ

    "ช่ายแล้ว  ดีจริงๆ"

    "วันเวลาผ่านพ้นไป   จามจุรีจ๋ารักยัง...." ไม่นานเสียงเพลงโรงเรียนก็ดังขึ้น   เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าถึงเวลาเข้าแถวแล้ว   เด็กนักเรียนชั้นม.5  ห้อง 552  กรูออกมาจากห้องเพื่อเข้าแถว    ฉันกวาดสายตาเพื่อนับจำนวนคร่าวๆ  มีสัก 20 คนได้กระมัง   หรืออาจจะไม่ถึงเสียด้วยซ้ำ

    " คนน้อยจังเลยแก   มันไปไหนกันหมด"ฉันถามเน่   เพื่อนซึ่งมาจาก 565  เช่นกัน

    "ก็รับน้องไงแก  ส่วนใหญ่มันไปอยู่ห้องมันปีที่แล้ว"  คำพูดนี้ทำให้ฉันนึกขึ้นได้   จริงสิ...ฉันตื่นเต้นกับการรับน้องมาตั้งแต่ปีก่อนในฐานะน้องม.4    ฉันรอคอยวันเวลาที่จะได้เป็นพี่มาตลอด   ฉันลืมเสียสนิท  บางสิ่งบางอย่างที่ร้ายแรงปกคลุมจิตใจของฉันเสียสิ้น...

    "เออ ใช่เนอะ   แล้วแกไปดูน้องมายัง" ฉันถามเรียบๆ

    "ไปมาแล้วแก  น้องน่ารักมาก  ยังเจี๋ยมเจี้ยมอยู่เลยแกเอ๊ย   เหมือนพวกเราตอนนั้นเลยแก"

    "ฮ่าๆ เหรอ  ชักสนุกแล้วสิ"คำพูดของฉันกำลังตรงข้ามกับความรู้สึกหรือเปล่า ?  ใบหน้าสนุก  แต่ภายในเศร้าเหรอ?   ไม่หรอกมั้ง... ฉันเองก็เป็นคนเปิดเผยมาแต่ไหนแต่ไร ...

    "เข้าห้องเรียนได้แล้วครับนักเรียนทุกคน"อาจารย์สุเมศ   อาจารย์ประจำชั้นคนใหม่กล่าว  นักเรียนทยอยกันเข้านั่งประจำที่ซึ่งถูกจองไว้เรียบร้อยแล้ว   ฉันได้นั่งแถวหน้าสุด  คู่กับเพื่อนใหม่   มันเป็นที่นั่งที่ถูกใจฉันมากทีเดียว   เพราะฉันชอบนั่งข้างหน้าเสมอ  มันทำให้การเรียนมีประสิทธิภาพ 

    " หวัดดีจ้ะ..  เราม่งนะ"ฉันทักเพื่อนใหม่

    "หวัดดีจ้ะ ..  เราชื่อข้าวฟ่าง"ข้าวฟ่างยิ้ม  เธอมีใบหน้าน่ารักภายใต้แว่นทรงรีที่หนาพอสมควร   มันทำให้ฉันนึกถึงเมื่อครั้งที่ยังใส่แว่น  ฉันสายตาสั้นมาก  แว่นที่หนาทำให้ฉันตัดสินใจเปลี่ยนมาใส่คอนแทกเลนส์ มันทำให้การมองสะดวกขึ้น

    อาจารย์สุเมศใช้เวลาทั้งคาบในการอธิบายเรื่องต่างๆตามธรรมเนียมของวันเปิดเทอมวันแรก    และอีกหนึ่งคาบเพื่อให้นักเรียนแนะนำตัวกันเอง  ฉันได้คุยกับข้าวฟ่างพักหนึ่ง  เขามีนิสัยหลายอย่างที่คล้ายกับฉัน เช่น  ชอบเขียนนิยาย  ชอบวาดรูป

    ขณะที่เพื่อนๆแนะนำตัวกัน   หรือที่จริงคือคุยกันในกลุ่มเก่า  - -     ฉันก็นั่งวาดรูปเพื่อระบายอารมณ์  มีบางครั้งที่จะหันไปคุยกับเพื่อนๆ   ซึ่งก็มาจากห้องเดียวกันแทบทั้งสิ้น     ทั้งแถวมีเพียงข้าวฟ่างคนเดียวที่ไม่ได้มาจากห้อง 565

    กริ๊ง !  สัญญาณบอกว่าเวลาแห่งความสุขเคลื่อนมาถึงแล้ว

    "ม่ง..  ไปกินข้าวด้วยกันมั้ย" ปิงเดินมาถาม  เธอนั่งอยู่เกือบหลังห้อง

    "แกกินในตึกปะ?"  ปกติฉันชอบกินอาหารภายในตึก 45 ปีเสมอ  แต่เด็กตึกนี้ส่วนมากชอบออกไปกินที่เต๊นชั่วคราวข้างนอก  ซึ่งเป็นโรงอาหารของอีกตึก  เพราะมีอาหารให้เลือกมากกว่ามาก

    "อือ..  ข้างนอกมันคนเยอะ"ปิงยิ้ม   มันเป็นขณะเดียวกับที่เด็กชายคนหนึ่งเดินผ่านไปด้านหลัง  ใบหน้าเขาคุ้นตาฉันนัก

    "เดี๋ยวก่อนสิคิม" ปิงเรียก  เด็กชายหยุดหันมาทางเรา  เขามีสีหน้าเรียบเฉยราวกับคนไร้ความรู้สึก..

    "ม่ง  นี่คิมนะ   เราเคยเรียนด้วยกันน่ะ" ปิงยิ้ม

    "หวัดดี  หน้าแกคุ้นนะ..  ขอเรานึกก่อน"  ท้าวคางอยู่ครูหนึ่งฉันก็ถึงบางอ้อ  "อ๋อ..  เจอเมื่อเช้าที่รถเมล์นี่นา"ฉันโพล่งออกไปด้วยท่าทางภูมิใจ..

     "ยัยนี้ท่าจะความจำเสื่อม"คิมพึมพำ   มันเบาพอที่จะให้ฉันกับปิงไม่ได้ยินเสียง  แต่ขอโทษ ...  ฉันอ่านปากนายออก ! 

    คำด่าของฉันเดินทางมาสู่ลำคอเท่านั้น   เพราะนายนั่นเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

    "เพื่อนแกนี่กวนตีนว่ะปิง" ฉันเบ้ปากอย่างไม่สบอารมณ์

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×