คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Umbrella '2': ร่มคันที่ '2'
เสียงกริ่งเข้าเรียนชั่วโมงที่สองของวันดังขึ้นพอดิบพอดีเมื่อเด็กหนุ่มร่างสูงแต่หน้ากลมเป็นซาลาเปาเดินตัวเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำเข้ามาในห้อง
เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจของเด็กคนอื่นๆหยุดลงทันควันกลับกลายเป็นเสียงกระซิบกระซาบที่ไม่ต้องฟังความก็รู้ว่ากำลังนินทาบุคคลที่เพิ่งเข้ามาใหม่นี้อยู่
อาจารย์วิชาต่อไปก้าวผ่านประตูห้องเข้ามาทันกับที่เห็นเยซองหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้
“เยซอง นั่นเธอไปทำอะไรมาถึงได้ตัวเปียกอย่างนั้น?”
เสียงเข้มดุของอาจารย์ทำให้ทั้งห้องเงียบกริบในบัดดล
ทุกคนนั่งนิ่งต่างเงี่ยหูรอฟังคำตอบจากเด็กหนุ่มผู้ถูกตั้งคำถาม
“ผมเดินมาจากบ้านฮะ” เยซองตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมากๆสำหรับเขา
“แล้วทำไมตัวเธอถึงเปียกขนาดนั้น?” อาจารย์ซักต่อ
“ผมไม่มีร่มครับ” เยซองยังคงตอบหน้าตาย
ทันทีที่พูดประโยคนั้นจบเสียงซุบซิบนินทาของเด็กอื่นๆก็ดังขึ้นอีก
คุณครูถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เอาเถอะ เดี๋ยวครูจะเอาร่มมาให้ก็แล้วกัน
ที่ห้องพักครูครูมีสองคันพอดี แล้วก็เธอมาสายชั่วโมงหนึ่งนะ อย่าให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกไม่งั้นจะโดนทำโทษ”
เยซองไม่ตอบอะไร
เขาเพียงพยักหน้าเบาๆราวกับจะบอกว่ารับรู้
อาจารย์ใช้ไม้เรียวเคาะโต๊ะบอกนักเรียนคนอื่นๆให้หยุดคุยได้แล้วและจะเริ่มการสอนเดี๋ยวนี้
เยซองถอดเสื้อแจ็คเก็ตมีฮูดที่เปียกจนชุ่มของเขาออกวางพาดไว้กับพนักเก้าอี้
เสื้อนักเรียนตัวในของเขาเพียงแค่ชื้น ปล่อยไว้แบบนี้สักพักไม่นานมันก็คงแห้ง...
...ด้วยท่าทีที่ไม่ใยดีต่อใครทั้งสิ้น
เยซองก็หยิบหนังสือเรียนขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วตั้งท่าฟังอาจารย์เริ่มบทเรียน...
เรียวอุคหันหน้ากลับมาจากการนั่งมองเด็กหนุ่มหลังห้องคนนั้นมานานสองนาน
เยซองเป็นคนแปลก...ประหลาดจนเขากลายเป็นเด็กไม่มีเพื่อนในห้องนี้
หลายวันมาแล้วที่ฝนตกและเยซองก็เดินตัวเปียกมาโรงเรียน...ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีเงินซื้อร่มหรอกนะ
เท่าที่เห็นเยซองก็ดูจะไม่ใช่คนขัดสนอะไร
ปัญหาคือเขาไม่ยอมพกร่มมากกว่า...จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่เถอะ
หากวันไหนที่ฝนตกหนักมากจริงๆ วันนั้นแหละจะเห็นเขาถือร่มมา
แต่หากวันไหนที่ยังไม่ถึงขั้นฟ้ารั่วจนน้ำท่วม
วันนั้นเยซองก็จะเพียงใส่เสื้อมีฮูดกันฝนมาโรงเรียน...
...วันนี้อาจจะเป็นอีกวันที่เยซองคำนวณผิด
เมื่อเช้าตอนเขาออกจากบ้านมาฝนคงยังไม่ตกหนักขนาดนี้
นั่นทำให้เขาไม่ยอมหยิบร่มติดมาด้วยและเมื่อมาเจอฝนตกหนักเข้ากลางทาง...เด็กหนุ่มก็เลยออกมาเป็นสภาพนี้...
“อย่าไปสนใจหมอนั่นเลยน่าเรียวอุค!” ซองมิน
เด็กหนุ่มหน้าหวานเพื่อนซี้ของเรียวอุคสะกิดเรียกเพื่อนเมื่อเห็นเรียวอุคสนใจเด็กชายหน้าซาลาเปาคนนั้นนักหนา “หมอนั่นพิลึกจะตาย
ไปยุ่งด้วยเดี๋ยวก็ซวยหรอก”
“ซองมินกับเรียวอุค
ที่คุยกันนั่นเรื่องบทเรียนหรือเปล่าจ๊ะ?” เสียงนรกดังมาจากหน้าห้องเล่นเอาเด็กทั้งสองสะดุ้งสุดตัว
ซองมินกับเรียวอุคไม่ตอบซึ่งก็พอจะเดาได้ว่าแปลว่า ‘ไม่’ แต่อาจารย์ก็เพียงส่งสายตาดุมาให้เป็นเชิงปรามก่อนจะหันไปเขียนกระดานต่อ...
...เป็นคน ‘พิลึก’ งั้นเหรอ?...ไม่รู้สินะ...ตอนแรกเขาก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน
แต่หลังจากเฝ้าสังเกตหมอนั่นทุกวันๆ...นานวันไป...
...รู้ตัวอีกที เขาก็ละสายตาไปจากเยซองไม่ได้อีกแล้ว...
///////////////////////////////////////
“นี่ นายรู้จักคนชื่อคิม คิบอมหรือเปล่า?”
“รู้จักคิม คิบอมมั้ย?”
“ในห้องนี้มีคนชื่อคิม คิบอมหรือเปล่า?”
“เฮ้ยพวกนาย...”
“เลิกล้มความตั้งใจเหอะน่าทงเฮ
ทำแบบนี้เหมือนงมเข็มในมหาสมุทรเลย” คยูฮยอนที่โดนลากมาเป็นเพื่อนในขณะที่ทงเฮเดินไปตามระเบียงทางเดินและเที่ยวถามทุกคนที่ผ่านมาว่ารู้จักนาย ‘คิม
คิบอม’ ไหมเริ่มหาวหวอดด้วยความเบื่อหน่าย
ฮยอกแจเองก็บ่นว่าเมื่อยจนขาจะขาดอยู่แล้ว
“ใช่ทงเฮ
เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมอนั่นอยู่โรงเรียนนี้หรือเปล่าเลย
ทำแบบนี้มันเปล่าประโยชน์น่า” ฮยอกแจสำทับ
“แล้วพวกเมิงจะให้กุทำไงวะ!?” ลิงน้อยโวยลั่นอย่างอารมณ์เสีย “เมิงเป็นคนหยิบร่มมาผิดคันนะ
หุบปากไปเลยไอ้ฮยอกแจ!”
“แล้วใช้ร่มคันนี้มันจะตายหรือไงวะ? ห๊ะ!? ไอ้ลิง!
ร่มมันก็ยี่ห้อเดียว สีเดียวกับเมิงเด๊ะ สภาพยังดีไม่ได้เสียหายตรงไหนอีกต่างหาก!
กุว่าร่มคันนี้เผลอๆจะใหม่กว่าของเมิงด้วยซ้ำ! ของเมิงน่ะมันจะเจ๊งอยู่แล้วน่า!” ฮยอกแจว่า
“แต่มันมีชื่อไอ้ ‘คิม คิบอม’ เขียนอยู่นี่!” ทงเฮยังคงโวยวาย “เมิงจะให้กุใช้ร่มที่มีชื่อไอ้หน้าปลาจวดที่ไหนก็ไม่รู้เขียนอยู่เนี่ยนะ!?”
“แล้วมันจะเป็นไรไปเล่า!?”
“อี๋ เสนียด!!!” ทงเฮทำหน้าขยะแขยงราวกับโดนแยงรูตูด
“เสนียดยังไงวะ?” คยูฮยอนทำหน้าไม่เข้าใจ
“ถ้าเมิงรังเกียจของคนแปลกหน้าขนาดนั้น
เมิงเอาของมันมาให้กุแล้วเอาร่มกุไปใช้ก็ได้อ่ะ” ฮยอกแจยื่นข้อเสนออย่างพยายามจะทำให้มันจบๆไป
“นั่นก็เสนียดพอกัน” ทงเฮตอบหน้าตาย
“ไอ้...”
“โอเค ตอนนี้กุจะเลิกตามหาไอ้คิม
คิบอมแค่นี้ก่อนก็ได้ แต่ในเมื่อ ‘ไอ้ฮยอกแจ’ มันหยิบร่มคันนี้มาผิดจากเกมเซ็นเตอร์
นั่นก็หมายความว่ามีโอกาสมากที่เราจะเจอไอ้คิบอมที่นั่น...เพราะฉะนั้น...พวกเมิงทั้งสองคนต้องไปเป็นเพื่อนกุวันนี้!”
“ไปไหนนะ? เกมเซนเตอร์? ไปๆๆๆ” คยูฮยอนที่กำลังจะเริ่มสัปหงกทั้งยืนเมื่อครู่นี้หูผึ่งหางกระดิกขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘เกม’ ฮยอกแจมองเพื่อนด้วยความหมั่นไส้
“เมื่อวานก็ป่วยมาโรงเรียนไม่ได้
พอวันนี้ไข้สร่างขึ้นมาหน่อยจะไปเล่นเกม ไม่เจียมสังขารเลยนะไอ้คยู!
แต่ไหนๆก็ไหนๆ...ไอ้ลิง! เมิงก็มีไอ้คยูไปเป็นเพื่อนแล้วนี่...ขอกุกลับบ้านน๊า~~” ใช้สายตาอ้อนวอน
“ไม่!” คำเดียวขาดตัว
“ไมอ๊า!!??”
“เมิงเป็นคนหยิบร่มผิดคันมา อย่าไร้ความรับผิดชอบ
ไอ้ไก่!”
“แต่...”
“ไม่มีแต่! ยังไงเมิงก็ต้องไปกับกุ
อย่าเถียงซะให้ยาก นี่คือคำขาดฮยอกแจ!”
////////////////////////////////////////
“ทามมายล่มกุมานหายบ่อยอย่างงี้ว้า? ครายแม่งขโมยปายน้าเมิง...!!!”
เสียงอาฆาตเหน่อๆของใครบางคนดังมาก่อนเจ้าตัวจะปรากฏกาย...เป็นเอกลักษณ์เสียจนไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นใคร
ซีวอนที่นั่งเล่นเกม Nintendo
DS อยู่กับกลุ่มเพื่อนค่อยๆหมุนกายไปทางต้นเสียงเหมือนเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติสั่งตรงจากสมอง
แม้มือจะยังขยับเล่นเกมอยู่ยิกๆแต่สายตาคมกลับเหลือบมองไปยังบุคคลที่กำลังเดินผ่านมาได้อย่างแนบเนียน
“กุว่าเมิงขี้ลืมเองมากกว่าไอ้ฮัน
ยิ่งเอ๋อๆอยู่ด้วย” ลีทึกว่า
“กุม่ายด้ายขี้ลืมเว้ย
เมื่อวานมานหายจริงๆเมิงก็เหน!!!” เถียงคอเป็นเอ็น
“เออเมื่อวานน่ะเป็นข้อยกเว้น
กุหมายถึงร่มคันอื่นๆของเมิง...ปีที่แล้วหายไปกี่คันนะ? 3 ใช่ไหม?”
“เออดิว้า! เมื่อวานอีกคานก็เปนสี่
คานนี้กุเขียนชื่อกุติดว้ายแล้ว ถ้ายังจามีอ้ายฟายตัวหนายหยิบผิดปายอีกนะ...” มือนิ่มเขย่าร่มสีเทาไปมาพลางเตรียมตัวแช่งเต็มที่
“เออ เขียนชื่อไว้ก็ดี น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้วนะ
ว่าแต่ฮัน...เมิงจากลับบ้านเลยหรือเปล่า?”
ฮันกยองเบี่ยงร่มคันใหม่หลบพลางชะเง้อคอมองท้องฟ้า
ตอนนี้เมฆไม่มากและฝนก็ตกเพียงปรอยๆ ใช้เวลาคิดเป็นครู่ก็ถามเพื่อนกลับ “เมิงว่างายล่า?”
“เมิงหิวข้าวหรือเปล่าล่ะ?” ลีทึกย้อนถาม
“ม่าย...”
“งั้นก็รีบกลับบ้านดีกว่านะ
ฝนกำลังตกปรอยๆเลยไม่หนักมาก เดี๋ยวมันหนักกว่านี้เราจะกลับกันลำบาก”
“ก็ด้าย ง้านแยกกานตรงนี้นา เจอกานพรุ่งนี้” ฮันกยองโบกมือลาเพื่อนรักที่บ้านอยู่คนละทางกับเขา
ซีวอนที่เงี่ยหูฟังบทสนทนาอยู่นานปิดเกม Nintendo ดังฉับ
ยัดเข้ากระเป๋านักเรียนแล้วหมุนตัวลงจากรั้วอิฐที่เขาใช้เป็นที่นั่งเล่นประจำหลังเลิกเรียนกับเพื่อนๆ
“กุกลับบ้านละนะ” ส่งเสียงบอกคังอินและฮีชอล
เพื่อนทั้งสองหันมามองเขาด้วยสายตาพิศวงปนขุ่นข้อง
“อะไรของเมิงวะ? เมื่อกี๊กุถามว่าจะกลับบ้านหรือเปล่าก็บอกว่ายัง
จะนั่งเล่นอยู่แถวนี้ พอมาตอนนี้นึกอยากจะกลับแม่งก็กลับเลยเอาดื้อๆ
อารมณ์แปรปรวนจริงนะไอ้คุณชาย!!!” ฮีชอลด่า
“เออน่า~ กุก้ออยู่มา 7 นาที 50 วิแล้วไง” ซีวอนเถียง
“งั้นกุกลับบ้านด้วยเลยดีกว่า” คังอินเห็นด้วย
หย่อนตัวขนาดหมีควายลงจากรั้วอิฐ
“เฮ้ยไรวะเนี่ย!? ทิ้งกุกันหมดเลย!”
“เมิงก็ควรจะกลับได้แล้ว
ถ้าฝนตกหนักจนกลับบ้านไม่ได้อย่าหาว่ากุไม่เตือนนะเว้ย!” คังอินสำทับ
“เออๆย่ะ! เข้าขากันดีเหลือเกินนะพวกเมิงทั้งสอง!”
//////////////////////////////////
“เรียวอุค ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ?”
ซองมินส่งเสียงถามเมื่อโรงเรียนเลิกไปเกือบสิบนาทีแล้วแต่เรียวอุคยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
เด็กคนอื่นๆเก็บข้าวของเสร็จต่างก็ทยอยกลับกันไปหมดจนในห้องเหลือนักเรียนไม่ถึง 5 คน
“นายกลับไปก่อนเลยซองมิน ฉันจะอยู่ที่นี่อีกสักพัก” ซองมินเลิกคิ้ว
“จะอยู่ทำอะไรห๊ะ!? ฝนกำลังตกไม่หนักเลย
เหมาะกับการถือพระกลดเดินกลับบ้านช้าๆสบายๆ”
คราวนี้เรียวอุคเลิกคิ้วบ้าง “พระกลด?”
“ร่ม” ซองมินตอบด้วยน้ำเสียงธรรมดาสามัญพร้อมกับกางร่มสีชมพูวี้ดวิ้ว~ของตนให้ดูเป็นตัวอย่าง
“อ้อ”
“นี่จะนั่งทำการบ้านอยู่ที่นี่เหรอ?” ชะโงกดูสมุดการบ้านบนโต๊ะของเรียวอุค
“คงนิดหน่อยน่ะ อีกแป๊บก็กลับแล้ว”
“นี่...” ซองมินทำหน้าเหมือนเพิ่งตรัสรู้อะไรบางอย่าง “...อย่าบอกนะว่าที่นายทำแบบนี้เป็นเพราะ...” ดวงตาใสเหล่มองไปหลังห้องที่ใครบางคนยังคงนั่งอยู่
“ไม่ใช่อย่างงั้นหรอกน่า...” เรียวอุคแก้ตัว
ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบ “...อีกอย่าง...ช่วยพูดให้มันเบาๆจะได้ไหม!?”
“โอ้วตายห่า! นี่มันอะไรกันนี่!? แป๊บนึงนะขอหยิบผ้าซับพระพักตร์ก่อน”
“ห๊ะ!!??” เรียวอุคขมวดคิ้วมุ่นอย่างมิใคร่จะเข้าใจคำพูดพิสดารของเพื่อนรัก
“ผ้าเช็ดหน้า” ซองมินเฉลยพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าสีชมพูอะอ๊าง~ขึ้นมาซับพระพักตร์ตามคำบอก
“นี่แกช่วยพูดอะไรให้มันเป็นภาษาคนหน่อยมันจะตายไหมซองมิน?” ด่าเพื่อนอย่างเอือมระอาในความประสาทของมัน
“ฉันเป็นกระต่าย ก็ต้องพูดภาษากระต่ายน้อยสิ” ว่าพลางแกว่งร่มกับผ้าเช็ดหน้าในมือตนไปมา “ช่างเรื่องนี้เถอะ
ว่าแต่ถ้าแกยังไม่คิดจะกลับบ้าน ฉันจะกลับก่อนละนะ เดี๋ยวเสด็จแม่จะโทรมาติเตียนเอา”
“เออไปเหอะ ฉันจะอยู่ที่นี่อีกสักพักแล้วกัน”
ซองมินกลับไปแล้วเมื่อเหลือเด็กนักเรียนอยู่ในห้องอีกเพียง 2 คน...แค่เยซองกับเรียวอุคเท่านั้น...แม้มือเล็กจะจับดินสอขยับยุกยิกอยู่บนสมุดการบ้าน
แต่สมองและสายตาของเรียวอุคกลับไม่ได้สนใจบทเรียนตรงหน้าแม้แต่น้อย...
เยซองเก็บข้าวของลงกระเป๋าช้าๆ
ท่าทางไม่รีบร้อนแต่อย่างใด สองหูเสียบหูฟัง iPod เปิดเพลงดังสนั่นอย่างไม่ใส่ใจสิ่งรอบข้าง
ร่มสีดำคันใหญ่ที่อาจารย์นำมาให้ถูกวางไว้บนโต๊ะ
เก็บของไปสักพักเด็กหนุ่มก็จะเงยหน้าขึ้นมองออกไปยังสายฝนข้างนอกหน้าต่าง
เมื่อเห็นว่ามันยังไม่มีทีท่าว่าจะตกหนักขึ้นแต่อย่างใด
เยซองก็ก้มลงเก็บของอย่างเชื่องช้าต่อไป
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ก็ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะเก็บข้าวของเสร็จในที่สุด
เยซองยกกระเป๋าเป้ขึ้นพาดไหล่แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ…
…ทิ้งร่มสีดำคันนั้นไว้กับเรียวอุคเพียงลำพัง...
////////////////////////////////////
ลีทึกเดินกางร่มกลับบ้านคนเดียวเปลี่ยวหัวใจ
สายลมเย็นพัดพรูมาพร้อมกับสายฝนปรอยปะทะร่มคันใหญ่ของเขาเสียงดังเปาะแปะ
บ้านของเขาอยู่คนละทิศละทางกับบ้านของฮันกยองแต่ห่างจากโรงเรียนเพียงไม่กี่ถนนก็ถึงแล้ว
ซู่!!!
โดยไม่มีการส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้า
จู่ๆฝนห่าใหญ่ก็เทสาดลงมาราวกับเทวดากดชักโครก
เสียงเด็กนักเรียนร้องโวยวายพร้อมกับวิ่งหลบสายฝนกันครึกโครม
ลีทึกจับร่มของตนไว้มั่นในมือ
เดินฝ่าสายฝนต่อไปได้อีกไม่กี่ก้าวลมหอบใหญ่ก็พัดมาปะทะเขาจนร่างบางแทบปลิวไปตามแรง
...ร่มคันใหญ่ของลีทึกหลุดมือไป...
“เฮ้ย!!!”
ปั้ก!!! เอี๊ยด!!! โครม!!!!!
นอกจากเสียงอุทานของบุคคลที่อยู่ข้างหลังลีทึกไม่ไกลแล้ว
เสียงเอฟเฟกต์อื่นๆยังตามมาในเสี้ยววินาทีถัดไปเล่นเอาลีทึกตั้งตัวไม่ทัน
คนร่างบางหันขวับไปมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยมีเสียงแบคกราวน์เป็นของเด็กนักเรียนคนอื่นๆที่อุทานอย่างตกอกตกใจอยู่รอบๆ
“นาย!” หลังจากงงงวยอยู่พัก
พอตั้งสติได้ลีทึกก็วิ่งไปหาเด็กนักเรียนคนหนึ่งที่นอนแอ้งแม้งอยู่กลางพื้นถนน
มีรถมอเตอร์ไซค์คันไม่เล็กพังพาบอยู่ข้างๆพร้อมกับร่มตัวต้นเหตุของลีทึกที่ถึงจะกลิ้งอยู่บนยางมะตอยแต่ก็ดูสภาพยังดีอยู่ “นาย!
เป็นอะไรมากหรือเปล่า!!??”
ความจริงคำถามนี้เป็นอะไรที่ไม่น่าถาม
เพราะเท่าที่เห็นได้จากสองตาก็คงตอบไม่ได้ว่า ‘ไม่เป็นอะไร’
“เป็นซีโว๊ยยยยย!!!” เด็กหนุ่มคนนั้นโวยวายลั่นทั้งๆที่ยังลุกไม่ขึ้น
ร่างใหญ่ขยับไปมาพยายามจะยันตัวให้นั่งได้ ลีทึกเข้ามาจะช่วยพยุง
แต่หลังจากลองออกแรงฉุดช้างสัก 2-3 รอบ
คนหน้าสวยก็เปลี่ยนใจนั่งเป็นกำลังใจข้างๆแทนเพราะช่วยอะไรไม่ได้ “ร่มนายพุ่งเข้ามาทิ่มเต็มหน้าฉัน!
บังทางฉันจนมอ’ไซค์ล้ม แล้วจะบอกว่าไม่เป็นไรหรือไงวะ!!!??” โวยวายลั่น
ลีทึกหน้าซีด...เออ กุขอโทษที่ถามคำถามปัญญาอ่อนนั่นไป!
“เจ็บตรงไหนล่ะ? ให้ฉันพาไปโรงพยาบาลไหม?” ก้มลงสำรวจมองหาบาดแผลตามร่างกายของคนร่างใหญ่...ที่แขนมีรอยถลอกจนน่ากลัวเช่นเดียวกับที่หัวเข่าของเด็กหนุ่ม
“ก็ดี” ผู้บาดเจ็บกระแทกเสียง
“งั้นยื่นมือมา ฉันจะช่วยพยุงนายลุกขึ้น” พูดจบประโยคแล้วก็เพิ่งตระหนักว่านี่มันงานช้างแน่ๆ
ลีทึกถอนหายใจ
แต่ในเมื่อเขาเป็นคนผิดก็ย่อมไม่มีทางเลือก...ท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก
ลีทึกเอ่ยประโยคออกไป... “ใกล้ๆนี้มีคลินิคที่ฉันรู้จัก
เดี๋ยวจะพาไป มอ’ไซค์นายจอดไว้แถวนี้ก่อนก็แล้วกัน
ว่าแต่นายชื่ออะไร?”
“คังอิน!”
////////////////////////////////////
“อยู่ดีๆก็ตกหนักขึ้นมาซะเฉยๆ
แม่งอากาศเดี๋ยวนี้มันเป็นอะไรวะ!?” ทงเฮโวยวายหลังจากวิ่งฝ่าสายฝนเข้ามาถึงร้านเกมได้ในที่สุด
ตามติดมาด้วยเพื่อนร่วมก๊วนคยูฮยอนและฮยอกแจ(ที่ไม่อยากจะร่วมก๊วนด้วยสักเท่าไหร่)
“ฮัดเช้ย!” คยูฮยอนจามเสียงดังพลางสูดน้ำมูกฟุดฟิด
ฮยอกแจถอนหายใจ
“เดี๋ยวเมิงก็เป็นหวัดอีกจนได้น่ะไอ้คยู
ตากฝนแบบนี้น่ะ”
“กลับไปก็กินยาแล้วนอนพักเยอะๆนะ” ทงเฮบอกเพื่อนพลางหุบร่มของนายคิม
คิบอม
“กรี๊ดดดดดดดดดด!!!”
“เท่ห์จังเลย!!!!”
“แลปนึงใช้เวลาแค่ 2 นาทีเอง
เล่นได้ยังไงกัน!?”
“ขอเบอร์ได้มั้ยค้าสุดหล่อ???”
“อีพวกนั้นมันโวยวายอะไรกัน?” ทงเฮชะเง้อคอมองไปทางต้นเสียงโหวกเหวกโวยวายที่ดูเหมือนคนทั้งร้านเกมจะไปมุงดูกันอยู่อย่างประหลาดใจ “ใครมันมาเล่น Need for Speed เกมโปรดของกุ?”
“เฮ้ย!” ฮยอกแจใช้ศอกกระทุ้งเพื่อน “สถิติเกมนั้นของเมิงเท่าไหร่นะ? แลปนึงใช้เวลา 3 นาทีไม่ใช่เหรอ?”
“มีคนทำลายสถิติเมิงแล้วเว้ยทงเฮ” คยูฮยอนสำทับ
ทงเฮเดือดขึ้นมาทันที
“มันเป็นใครวะ!!!!??”
ร่างบางเดินไปสมทบกับกลุ่มคนที่มุงรอบตู้เกมนั้นอยู่จนแทบจะมองไม่เห็นผู้เล่น ทงเฮใช้ร่างเล็กๆของตนให้เป็นประโยชน์โดยการแทรกตัวไปตามช่องว่างระหว่างขาจนเข้าไปถึงวงในได้...
เด็กหนุ่มที่นั่งเล่นเกมแข่งรถอยู่คนเดียวหน้าตาไม่คุ้นเอาเสียเลย
ดวงตาหยีที่ดูมั่งมั่นนั่นแทบจะจมหายลงไปในใบหน้ากลมที่แก้มบวมจนเกือบแตก
แม้จะนั่งอยู่ก็ดูออกว่าร่างของเด็กหนุ่มค่อนข้างสูง และถึงแม้ผิวกายจะคล้ำไปนิดส์
แต่โดยรวมแล้วก็จัดว่าเป็นเด็กหนุ่มที่ค่อนข้างหน้าตาดี...
“หมอนี่เป็นใครกัน?” ทงเฮพึมพำเบาๆ
ถ้าเป็นมนุษย์บ้าเกมที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้เขาควรจะรู้จักอยู่แล้ว
แต่ทำไมเขาถึงไม่รู้จักหมอนี่กัน?
เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆทงเฮเป็นคนตอบคำถามให้ “เขาชื่อคิม
คิบอม อยู่โรงเรียนโซดองโย ม.ปลายปี 1 เพิ่งย้ายมาจากอเมริกาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง”
“อะไรนะ!?”
ความคิดเห็น