คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : Umbrella '17': ร่มคันที่ 17
จนแล้วจนรอดฮันกยองก็ไม่ยอมลงไปเก็บร่ม
เด็กหนุ่มซ่อนช่อดอกไม้ไว้ใต้โต๊ะ และไม่ยอมพูดอะไรสักคำเมื่อลีทึกสังเกตเห็นมันเพียงวับๆแวมๆและเอ่ยถามถึง
ลีทึกเลิกคิ้ว วันนี้ฮันกยองดูลนลานแปลกๆ
สติสตังที่ปกติไอ้เพื่อนคนนี้ก็ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้วดูเหมือนจะถดถอยจนถึงขั้นติดลบเมื่อจิตใจของเขาหมกมุ่นกับอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่บทเรียนอยู่ตลอดเวลา
อะไรบางอย่างที่ดูจะกวนใจเขาเอามากๆเสียด้วย ซีวอนงั้นเหรอ? ถ้าเป็นแค่ช่อดอกไม้ที่ส่งมาแทนคำขอโทษ
ก็ไม่เห็นต้องกระวนกระวายขนาดนี้นี่นา? แปลว่าจะต้องมีอะไรอย่างอื่นที่เขายังไม่รู้อีกงั้นสิ
ชิมิๆ
คนสวยอยากรู้จริงๆเยย
เสียงเพื่อนๆในห้องซุบซิบกันตลอดเช้าเรื่องร่มปริศนาที่ถูกวางทิ้งไว้ทนโท่บนสนามหญ้าหน้าโรงเรียน
ลีทึกเห็นมันเหมือนกันและอดจะแปลกใจไม่น้อยเมื่อสังเกตเห็นร่มคันหนึ่งที่เขามั่นใจว่าเป็นของฮันกยองชัวร์ๆ...คันที่มีลายเป็นรูปกำแพงเมืองจีนนั่น
เขานึกถึงฮันกยองทันทีก่อนใครอื่นและจำได้แม่นด้วยว่าเป็นร่มคันที่ฮันกยองทำหายไปเมื่อปีก่อน
แต่ลีทึกไม่แน่ใจเรื่องร่มคันอื่น มันอาจจะเป็นของคนอื่นก็เป็นได้
ว่าแต่ทั้งหมดทั้งสิ้นแล้วฮันกยองไอ้เพื่อนจอมเบ๊อะของเขาทำร่มหายไปกี่คันกัน?
แล้วใครกันนะแม่งช่างสรรหาวิธีบอกรักโดยการประกาศให้พวกเราเหล่าจูมงรู้ได้อย่างหน้าไม่อายเช่นนั้น? ช่างไอเดียบรรเจิดเสียเหลือเกิน!
“ฉันเห็นพี่ภารโรงไปเก็บร่มพวกนั้นขึ้นมาหมดแล้วนะก่อนเข้าเรียนคาบแรก” เสียงเด็กสาวคนหนึ่งในห้องซุบซิบกับเพื่อน
ทุกคนอยากรู้จนตัวสั่นว่าใครเป็นเจ้าของคำสารภาพรัก หัวข้อนี้คงเป็น Talk of the
School ได้สักหนึ่งอาทิตย์กว่าทุกคนจะเบื่อ
“สงสัยฝ่ายปกครองสั่งให้เก็บขึ้นไปมั้ง” เด็กสาวอีกคนว่า
“ว้า แล้วทีนี้จะรู้ได้ยังไงล่ะว่าร่มพวกนั้นบอกรักใคร?” อีกคนในกลุ่มโวยวายด้วยน้ำเสียงผิดหวังสุดๆ
หมดสนุกกันเลยงานนี้
ลีทึกเหลือบมองฮันกยอง
และก็เห็นเพื่อนรักเขานั่งนิ่งราวกับจะตั้งใจฟังบทสนทนานั้นให้ทะลุ
...อย่าบอกนะว่าร่มพวกนั้นน่ะส่งมาจาก...?
ลีทึกใจเต้นแรงกับความเป็นไปได้...ก็ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ? ร่มของฮันกยองคนเดียวก็หายไปเป็นโหล
ปกติแล้วเขาก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าจะมีไอ้โรคจิตที่ไหนคิดจะขโมย
กลับคิดไปว่าเป็นเพราะความเลินเล่อเอ๋อแดกที่เกิดขึ้นเป็นประจำของเพื่อนคนจีนของเขามากกว่า
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องมันจะกลับตาลปัตรมาเป็นแบบที่ฮันกยองพร่ำบอกเขาอยู่ตลอดหน้าฝนไม่ได้
หากมีคนขโมยร่มของฮันกยองจริง...และจะต้องเป็นหัวขโมยที่จ้องแต่จะขโมยร่มของฮันกยองด้วยเพราะร่มของลีทึกเองก็ไม่เคยหายเลยสักครั้ง...
คนคนนั้นก็เป็นซีวอนได้ไม่ใช่เหรอ?
ฮันกยองยังคงนั่งเงียบตลอดการเรียนคาบเช้า
สมองดูเหมือนจะล่องลอยไปไกลและครุ่นคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา
พอถึงเวลาพักกลางวันลีทึกจึงตัดสินใจเข้าไปกระซิบข้างหูเพื่อนเบาๆ
“ไปเอาร่มกันไหม? กุไปเป็นเพื่อน”
สายตาของฮันกยองที่มองตอบกลับมาอย่างตกตะลึงไม่ต้องการคำอธิบายอื่นใดอีก
ลีทึกยักไหล่แล้วยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า เขาเดาไม่ผิดจริงๆด้วย
กุนี่มันเก่งอะไรเยี่ยงเน้!
“มะ...เมิงรู้...” ลีทึกรู้ดีว่าฮันกยองจะถามอะไร
และเขาก็ขี้เกียจฟังประโยคเหน่อๆนั่นให้จบ มันเปลืองพลังสมองของเขามากเกินไป
เด็กหนุ่มคว้าข้อมือของฮันกยอง ออกแรงดึงอีกคนให้ลุกขึ้นและเด็กหนุ่มชาวจีนก็ลุกตามอย่างว่าง่ายและงงๆ
“กุรู้ก็แล้วกัน ทีนี้ไปกันได้หรือยัง?” เขาจูงฮันกยองออกไปจากห้องเรียนแล้วเดินไปตามทางเดินที่มุ่งสู่ห้องพักอาจารย์ฝ่ายปกครอง
ฮันกยองกลับมานิ่งเงียบอีกครั้ง เขาเดินตามลีทึกไปอย่างครุ่นคิด
ดวงหน้าเรียวก้มลงมองพื้นแทบจะตลอดเวลา
ลีทึกเป็นคนเคาะประตูและเอ่ยความประสงค์ในการบุกรุกพื้นที่ของพวกเขาเสียด้วยซ้ำ
พวกเขาได้รับอนุญาตให้เข้าไปพบอาจารย์คนหนึ่ง ลีทึกเดินอย่างองอาจมั่นใจ
ในขณะที่ฮันกยองก้มหน้าอย่างอายสุดๆและไม่รู้จะให้คำตอบว่าอย่างไร
“เธอบอกว่าร่มพวกนั้นที่อยู่บนสนามหญ้าหน้าโรงเรียนเมื่อเช้าเป็นของเธอ
อย่างนั้นเหรอ?” เสียงอาจารย์หญิงวัยสูงอายุเอ่ยถามขึ้นหลังจากพวกเขาไปหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะของหล่อนราวกับเป็นนักเรียนคุมประพฤติและถูกหล่อนใช้สายตาจิกกัดกราดมองไปทั่วตัวแล้ว
“ครับ” ลีทึกเป็นคนตอบคำถามอย่างฉะฉาน
ฮันกยองเงยหน้าขึ้น เขาเหลือบมองเพื่อนร่างบางข้างๆแวบหนึ่ง แต่ไม่ยอมพูดอะไร
“เธอจะบอกว่าเธอเป็นคนเอาร่มพวกนั้นไปวางไว้ที่สนามอย่างนั้นด้วย
ใช่ไหม?” หล่อนหรี่ตามองลีทึก
ก่อนจะเบนมายังฮันกยองอย่างสงสัย
“เปล่าครับ ร่มพวกนั้นเป็นของผม แต่ผมไม่ได้เป็นคนเอาไปวาง” ลีทึกตอบ อาจารย์เลิกคิ้วสูง
“ถ้าอย่างนั้นมันจะเป็นร่มของเธอได้ยังไง? แล้วใครกันที่เอาไปวาง?”
“ผมไม่ทราบว่าใครเป็นคนเอาไปวางครับ แต่ร่มพวกนั้นเป็นของผม
มันถูกขโมยไปตลอดช่วงหน้าฝน ทุกคันเลยครับ”
อาจารย์ผู้สูงวัยเลิกคิ้วขึ้นสูงอีกและพินิจมองฮันกยองกับลีทึกอย่างไม่เชื่อคำพูด
หล่อนเงียบไปครู่หนึ่งอย่างครุ่นคิดพิจารณา เมื่อเห็นว่านานไปหน่อย
ลีทึกจึงเอ่ยขัดขึ้น
“ผมขอร่มของผมคืนได้ไหมครับ?”
“แน่ใจเหรอว่าเธอไม่มีส่วนรู้เห็นในการประจานตัวเองกลางสนามหญ้านั่น?” คำถามของอาจารย์แทบจะทำเอาฮันกยองคะมำ
ลีทึกใช้หางตาเหลือบมองเพื่อนอย่างปรามๆ
“ผมไม่ได้ทำครับ และไม่ทราบว่าใครทำด้วยครับ” ลีทึกตอบหน้าตาย
อยากให้เรื่องมันจบๆไปตรงนี้
เขาจะได้ไปเป็นที่ปรึกษากิตติมศักด์ของฮันกยองต่อว่าจะทำอย่างไรกับไอ้เด็กโซดองโยสุดหล่อแต่โรคจิตคนนี้ดี
“งั้นเหรอ? น่าเสียดาย...” น้ำเสียงของอาจารย์ฟังดูเสียดายอย่างที่พูดจริงๆ
เธอเลื่อนมือลงไปใต้โต๊ะ หยิบถุงกระดาษใบหนึ่งขึ้นมา หัวใจของฮันกยองเต้นระรัวเมื่อตระหนักว่าเขาจะได้ร่มคืนแล้ว...ร่มของเขาที่หายไปทั้งหลายทั้งแหล่ตั้งแต่หน้าฝนปีที่แล้ว...ล่มของกุ๊!!!!
อาจารย์วางถุงกระดาษลงบนโต๊ะ
ชะโงกลงดูวัตถุข้างในเพื่อความแน่ใจว่าไม่ได้หยิบถุงผิดให้
ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงชวนฝันที่ไม่เข้ากันอย่างยิ่งกับอายุของหล่อน “รู้ไหม? ครูว่ามันโรแมนติคมากนะ
ใครก็ตามที่เขียนข้อความลงบนร่มพวกนี้ เขาคงอยากจะส่งให้เธอ...เก็บไว้ดีๆนะ ผู้ชายโรแมนติคน่ะ
หาได้ไม่ง่ายแล้วนะในโลกนี้ โดยเฉพาะในประเทศนี้ด้วยแล้ว”
ลีทึกถลึงตาอย่างเกินคาด
และฮันกยองก็หรี่ตามองเธออย่างไม่มั่นใจว่าหูของเขาเพี้ยนหรือภาษาเกาหลีของเขาย่ำแย่ถึงขีดสุดแล้ว
อาจารย์สูงวัยจ้องฮันกยองสลับกับลีทึก และตีความสีหน้าของพวกเขาผิดไป เธอตวาดขึ้น
“ฉันอายุปูนนี้แล้ว เชื่อฉันเหอะย่ะ!”
/////////////////////////////////
เสียงกริ่งบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้นและฮันกยองก็เก็บของอย่างเชื่องช้าที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
เขาตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะทำอย่างไรกับจดหมายของซีวอน เขาดีใจที่ได้ร่มทั้งหมดคืน
แต่แปลว่าซีวอนเป็นคนขโมยมันทั้งหมดจริงๆหรือ?
ตั้งแต่ต้นเลยหรือ?
ทำไมถึงเป็นคนที่หาวิธีเรียกร้องความสนใจได้ชั่วขนาดนี้ล่ะ!? ฮันกยองคิดในใจอย่างเคืองๆ
คิดได้ยังไงกันที่จะจีบใครคนหนึ่งด้วยการขโมยร่ม!? มีใครที่ไหนเขาทำแบบนั้นกันบ้างห๊า!? แค่เดินเข้ามาบอกว่าชอบเฉยๆน่ะมันยากนักหรือไง
ชเว ซีวอนนายนี่มันเหลือเชื่อจริงๆ!
“เดินไปโซดองโยด้วยกันไหม?” ลีทึกมายืนเกาะโต๊ะเขาแล้วเอ่ยถาม
ฮันกยองเล่าให้เขาฟังหมดแล้ว ชายหนุ่มชาวจีนเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำชวน
“คังอินม่ายด้ายมารับเมิงที่นี่เหรอ?” เอ่ยถามด้วยความที่เดาได้ไม่ยากว่าคังอินจะต้องมารับลีทึกเหมือนทุกวัน
หลังจากที่พวกมันคืนดีกันแล้วก็ไม่เคยเห็นหัวฮันกยองอีกเลย
“อ่อ กุโทรไปบอกคังอินว่าเดี๋ยวจะไปหาที่หน้าโรงเรียนโซดองโยน่ะ”
ฮันกยองถลึงตา นี่มันเป็นแผนชัดๆ! ในเมื่อลีทึกพูดไปแบบนั้นเขาก็จำต้องเป็นคนเดินไปส่งเนื่องจากขากะเผลกๆของไอ้เพื่อนรักไม่มีทางพยุงสังขารไปคนเดียวได้ไกลเกินเดินจากนี่ไปหน้าประตูโรงเรียนตัวเองหรอก!
“เก็บของเร็วๆสิ!” ลีทึกเร่ง
และฮันกยองก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธแค้น หนอยแน่ะ นี่เมิงเป็นเพื่อนกุ
หรือเพื่อนไอ้ซีวอนกันเนี่ย!? เป็นลิ่วล้อให้มันดีเหลือเกินนะ!
////////////////////////////////////
เรียวอุคกำลังเก็บกระเป๋า
เขาไม่ได้จงใจใช้กิริยาเอื่อยเฉื่อยแบบที่ทำเป็นประจำ
วันนี้เขาเก็บของรวดเร็วก่อนจะสะพายเป้ขึ้นบ่า
ซองมินออกไปแล้วแต่ในห้องยังเหลือเด็กนักเรียนอีกหลายคน
แต่เรียวอุคไม่คิดจะอ้อยอิ่งอีกต่อไป เขาจะพูดกับเยซองให้รู้เรื่อง ต่อหน้าเพื่อนๆทั้งห้องมันนี่แหละ
เด็กหนุ่มร่างบางหันหลังกลับ
เดินดุ่มไปหลังห้องที่ซึ่งโต๊ะเรียนของเยซองตั้งอยู่และเจ้าตัวก็ยังนั่งอยู่ที่นั่นอย่างไม่ทุกข์ร้อน
เขายังไม่เริ่มเก็บของลงกระเป๋าด้วยซ้ำ
เด็กหนุ่มหน้ากลมเงยหน้าขึ้นมองเมื่อเรียวอุคเดินมาหยุดยืนค้ำหัวเขา
คิ้วหนาเลิกขึ้นอย่างสงสัยราวกับจะถามว่าอีกคนมาทำไม
“ทำไมนายไม่คืนร่มให้ฉัน?”
คำถามของเรียวอุคฟังดูขวานผ่าซาก
และคิ้วของเยซองก็ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม
“ทำไมฉันต้องคืนนายด้วย?” เด็กหนุ่มหน้าซาลาเปาเอ่ยถามอย่างไม่ยี่หระ เรียวอุคผงะไปหน่อยหนึ่งอย่างแปลกใจ
ก็นั่นไม่ใช่สิ่งที่เยซองต้องการมาตลอดหรอกหรือ?...
...การไล่เขาออกไปจากชีวิตนี่ไง
“ก็ในเมื่อมันไม่เคยเป็นสิ่งที่นายต้องการ...” เรียวอุคอ้ำๆอึ้งๆหาเหตุผล “...และมันก็เตือนให้นายระลึกถึงเรื่องราวร้ายๆที่เกิดขึ้นในอดีต
นายจะเก็บมันเอาไว้ทำไม?”
“ก็ฝนมันยังไม่หยุดตก” เยซองยักไหล่ “นายอยากให้ฉันใช้มันกันฝน
ไม่ใช่หรือไง?”
เรียวอุครู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนทดสอบ
รู้สึกเหมือนเยซองกำลังยั่วโมโหเขา
เด็กหนุ่มกำมือแน่นจนเล็บจิกลงไปในเนื้อเจ็บไปหมด เขากำลังสับสน เดาไม่ออกเลยว่าเยซองต้องการอะไรและเขาควรจะทำยังไงต่อไป
“ถ้านายไม่เต็มใจจะเก็บมันไว้ ก็คืนฉันมาเถอะ” เรียวอุคกัดฟันพูด
เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เยซองทำอยู่คือการประชดหรืออะไร
ก็ในเมื่อเยซองเล่าความทรงจำอันปวดร้าวนั่นให้เขาฟัง
เขาก็เข้าใจได้ไม่ยากว่าสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อคือ ‘นายมันช่างโง่เง่าไม่รู้อะไรเลย
แล้วยังจะเสนอหน้ามายุ่งวุ่นวายกับอะไรไม่เข้าเรื่องอีกหรือ?’
เยซองจ้องหน้าเรียวอุคเขม็ง
และเรียวอุคก็จ้องตอบ พวกเขามองหน้ากันอยู่อย่างนั้นนิ่งเป็นครู่
ลืมสังเกตไปว่ารอบตัวของพวกเขาก็เงียบสงัด เด็กนักเรียนที่เหลืออยู่ในห้องต่างถลึงตามองพวกเขาเป็นตาเดียว
ต่างคนต่างงงงันกับบทสนทนาที่พวกเขาไม่เข้าใจ
แต่นั่นไม่สำคัญอะไรเท่ากับการที่มีใครเข้าไปคุยกับเยซอง
เด็กหนุ่มผู้ลึกลับแปลกประหลาดที่ไม่มีนักเรียนคนไหนในห้องคิดจะสุงสิงด้วย
ไม่มีใครรู้ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน
และทุกคนก็เฝ้ามองเหตุการณ์ด้วยใจจดจ่อและอยากรู้อยากเห็นสุดๆ
เป็นนานกว่าเยซองจะเป็นคนหลบสายตา
เขาหยิบกระเป๋าขึ้นมา
ควานหาของในนั้นอย่างเชื่องช้าก่อนจะยื่นร่มส่งคืนให้เรียวอุค
เด็กหนุ่มร่างบางยื่นมือมารับมัน
เขาจับมันที่ปลายอีกด้านหนึ่ง แต่เยซองไม่ยอมปล่อยมือ
“ฉันผิดหวังในตัวนายจริงๆเรียวอุค”
น้ำเสียงของเยซองที่เอ่ยออกมาฟังดูเยาะเย้ย
ร้อยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา เรียวอุคหน้าชาวาบ
ทั้งงงงวยและคาดไม่ถึงกับความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูด
“ทำไม?” เด็กหนุ่มถามกลับด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
เขาสับสนไปหมดแล้ว นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?
“นายตื๊อฉันมาตั้งนาน...” เยซองจ้องเข้าไปในดวงตาของเรียวอุค
สายตาที่ราวกับจงใจจะเผาอีกคนให้วอดวายกลายเป็นจุล “...เจออุปสรรคแค่นี้ก็จะล้มเลิกความตั้งใจแล้วเหรอ? เหอะ” ปิดท้ายด้วยเสียงพ่นลมออกจมูกแบบดูถูกเหยียดหยาม
เยซองปล่อยมือจากคันร่ม
ปล่อยให้เรียวอุคถือมันไว้ด้วยสายตางุนงงขณะที่เขาลุกขึ้นยืนแล้วเก็บของลวกๆลงกระเป๋า
“มะ...หมายความว่ายังไง? นายเห็นฉันเป็นตัวเกะกะไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไม...?”
“จะคิดไงก็ช่าง” เยซองสะพายกระเป๋าขึ้นบ่า
ตั้งท่าจะเดินออกไปจากตรงนั้น
ดวงตาของเขาลุกวาวและเรียวอุคก็ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด มองแบบนั้นแปลว่าอะไร?
โกรธ...งั้นเหรอ?
“อยากคิดยังไงก็ตามใจนายเหอะ” เยซองหันหลังกลับแล้วตั้งท่าจะเดินออกไป สมองของเรียวอุคทำงานอย่างรวดเร็ว
มันแปลคำพูดประโยคของเยซอง ตีความหมายท่าทางอันคาดไม่ถึง เป็นไปได้หรือ? ทำยังไงเขาถึงจะไม่คิดเข้าข้างตัวเอง?
ทำยังไงถึงจะมีข้อพิสูจน์?
ก่อนที่เขาจะคิดอะไรได้ต่อจากนั้น
เรียวอุคก็ทำอะไรบางอย่างที่แม้แต่ตัวเองยังตกใจ ร่างกายเขาขยับไปตามใจคิด
มือข้างที่ถือร่มอยู่เมื่อครู่ปล่อยมันร่วงกระทบพื้นเสียงดัง
เขาพุ่งเข้าหาเยซองที่กำลังก้าวห่างออกไป กระชากไหล่คนตัวสูงให้หันกลับมา
เยซองเลิกคิ้ว สายตาเต็มไปด้วยคำถาม
แต่มันก็คงอยู่บนใบหน้าเขาได้เพียงไม่ถึงหนึ่งวินาที
ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นความตกใจและคาดไม่ถึง
เมื่อใบหน้าของเขาถูกโน้มลงต่ำด้วยแรงถ่วงของคนตัวเล็ก
และริมฝีปากถูกประกบด้วยกลีบปากบางด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมแบบที่ไม่รู้ว่าเรียวอุคไปขุดมาจากไหนมากมายขนาดนี้
เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบตัวเขาเมื่อเพื่อนๆในห้องชักแตกตื่นกับการกระทำอันใจกล้าบ้าบิ่น
แต่เยซองไม่ได้ยิน สมองของเขาว่างเปล่า
ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นนอกจากสัมผัสละมุนที่ริมฝีปาก
กลีบปากของเรียวอุคนุ่มราวกับไหม
และเขาก็ตะลึงลานเกินกว่าจะขยับไปไหนจนกระทั่งอีกฝ่ายละริมฝีปากออกเอง
เสียงรอบตัวของพวกเขาเงียบกริบลงอีกครั้งเมื่อเรียวอุคสบตากับเยซองหลังจากละใบหน้าออกมาในระยะที่เหมาะสม
ดวงตาคู่สวยกวาดมองใบหน้ากลมอย่างกับซาลาเปาอย่างจะหาความนัยอะไรบางอย่าง
แล้วก็รู้สึกโล่งใจอย่างประหลาดที่ไม่พบความโกรธอยู่ในนั้นแม้แต่นิด
มันมีแต่ความประหลาดใจและงุนงงสงสัย
แบบที่เรียวอุคกำลังรู้สึกอยู่เช่นเดียวกัน
“ฉันเบื่อเกมร่มบ้าๆนี่เต็มทีแล้ว...” เรียวอุคเอ่ยขึ้นในที่สุด
น้ำเสียงของเขาฟังดูมั่นใจอยู่ในความเงียบสงัดของห้องเรียน
เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเยซอง
และเมื่อพบแต่เครื่องหมายคำถามและการรอคอยอยู่ในนั้น เด็กหนุ่มจึงสูดลมหายใจลึก
ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยประโยคต่อไป “...แล้วนายล่ะ คิดว่าไง?
///////////////////////////////////
ฮันกยองช่วยพยุงลีทึกเดินมาถึงหน้าโรงเรียนโซดองโย
เป็นไปดังคาด บุคคลที่เขาอยากจะหลบหน้าเป็นที่สุดกำลังยืนอยู่กับคังอินอย่างรอคอย
ทั้งสองคนกำลังสนทนาด่าทอกันอย่างออกรสเมื่อลีทึกกับฮันกยองมองเห็นพวกเขา
ไม่มีใครกางร่มวันนี้เพราะฝนหยุดตกแล้ว และเมื่อซีวอนหันมาเห็นว่าใครกำลังเดินมา
รอยยิ้มชวนหลงใหลก็ฉีกกว้างจนจะถึงใบหู
ไม่บอกก็รู้ว่าดีใจแค่ไหนที่ได้เจอใครคนนั้นที่เขาเฝ้าฝันหามาทั้งวัน
และใครคนนั้นก็หลบสายตาของซีวอนทำเป็นเสมองพื้นถนนลาดยางในทันใด
“ลีทึ๊ก~ เป็นยังไงบ้างจ๊ะขาดีขึ้นไหมวันนี้?” คังอินกระโดดโลดเต้นออกมาหาอย่างอารมณ์ดี
เขารับช่วงต่อจากฮันกยองโดยการยกแขนลีทึกขึ้นพาดไหล่ตัวเองอย่างถือวิสาสะ
แต่ลีทึกไม่ได้ว่าอะไร ฮันกยองยืนเก้อ ไม่ยอมก้าวขาต่อ
ลีทึกถูกคังอินกึ่งพยุงกึ่งลากไปแล้ว แต่เขาหันกลับมา
“ไอ้ฮัน ยืนบื้ออยู่ทำไมเล่า!? มานี่สิ”
เรียกอย่างกับกุเป็นหมาเลยนะ! ฮันกยองนึกในใจอย่างเคืองๆ
แล้วเดินตามไปอย่างเสียไม่ได้
มือเรียวยกขึ้นกระชับสายสะพายกระเป๋าใบเขื่องที่ไหล่บางอย่างแก้เก้อ
เขาหยุดยืนในระยะห่างจากซีวอนสิบเมตร และแทบจะผงะถอยเมื่อเด็กหนุ่มร่างสูงก้าวเข้ามาหาด้วยขายาวๆเมื่อเห็นว่าฮันกยองไม่ยอมเดินต่อ
“เกิง...” ซีวอนเอ่ยทัก
ทำใจดีสู้เสือแม้ฮันกยองจะไม่ยอมแม้กระทั่งเงยหน้าสบตาเขา
ดวงตาคู่สวยจ้องมองพื้นอย่างเอาเป็นเอาตาย
แต่ซีวอนรู้ดีว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายเขินเสียมากกว่า ในเมื่อยอมเดินมาถึงหน้าโรงเรียนเขาแบบนี้เด็กหนุ่มร่างสูงก็มีกำลังใจขึ้นเป็นกอง
นั่นแปลว่าบทง้อนั่นประสบผลสำเร็จไม่มากก็น้อย
ซีวอนกลั้นยิ้มขณะเอียงคอมองใบหน้าของฮันกยองที่ก้มงุด มือหนาเข้าช้อนใต้คางมน
เชยขึ้นให้สบกับตาของเขาเอง ฮันกยองทำท่าเหมือนจะขัดขืนในตอนแรก
แต่แล้วก็ยอมเงยหน้าจนได้
เขาประสานสายตากับซีวอนเพียงวูบเดียวก่อนจะเฉไฉไปมองทางอื่นอีก
“ชอบของขวัญที่ผมให้หรือเปล่า?” ซีวอนเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา
ฮันกยองมุ่นหัวคิ้วน้อยๆ ของขวัญอะไรกัน นั่นมันล่มที่เมิงจิ๊กกุไปตั้ง 8 คันนะโว้ย!!!
พูดถึงเรื่องนั้นก็น่าจะถามไปให้รู้แล้วรู้รอด “เอ่อ...ซีวอน...” เด็กหนุ่มชาวจีนครุ่นคิดหาคำพูด
เขาไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร
ยิ่งเมื่อเห็นรอยยิ้มที่ซ่อนอย่างไรก็ซ่อนไม่มิดบนใบหน้าหล่อเหลาของอีกคน
หัวใจของฮันกยองก็ยิ่งเต้นไม่เป็นจังหวะและสมาธิเตลิดเปิดเปิงมากขึ้นไปอีก
“ครับ?” เด็กหนุ่มร่างสูงเอ่ยถามด้วยดวงตาเป็นประกายเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปนาน
อยู่ๆฟังก์ชันภาษาเกาหลีก็ไม่ทำงานหรือไง
“เอ่อ...ล่มพวกน้านอ่า นาย...เปนคนเอาปายทั้งหมดเลยเหลอ?” ถามจบก็เบนสายตาไปทางอื่น
ซีวอนยังไม่ยอมปล่อยมือจากคางเขาเลย ลองแกล้งสะบัดหน้าเบาๆทีสองทีมือซีวอนก็ยังเหนียวหนึบติดคางเขาเป็นปลาหมึก
แต่ก็ไม่ได้จริงจังมากเพราะจะเหมือนหมาสะบัดน้ำออกจากขนเกินไปชักไม่งาม
“พูดแล้วมันก็กระดากตัวเองนะ” ซีวอนตอบเบาๆ “แต่...ใช่แล้วครับ
ผมเป็นคนเอาของเกิงไปเอง ทั้งหมดนั่นเลยแหละ”
ฮันกยองหันกลับมา สายตาเต็มไปด้วยคำถาม “ทามมาย?”
“คงเพราะอยากเรียกร้องความสนใจจากเกิงมั้ง” เด็กหนุ่มร่างสูงหัวเราะกลบเกลื่อนอย่างเขินๆ “ไม่รู้เหมือนกัน
ตอนนั้นผมคิดอะไรไม่ออก ผมแค่อยากรู้จักเกิง แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไง...”
“ก้อแค่เดินเข้ามาทามความรู้จาก ม่ายเห็นจายากตรงหนายเลยนี่นา” ฮันกยองออกความเห็น
หลังจากอ่านจดหมายฉบับนั้นเขาก็นั่งคิดมาตลอดทั้งวันว่ามันมีเหตุผลอะไรที่ซีวอนจะต้องคอยขโมยร่มของเขาด้วย
แค่อยากรู้จักเขาอย่างนั้นเหรอ? ถ้าแค่นั้นทำไมต้องวุ่นวายด้วย
เดินเข้ามาคุยเฉยๆไม่ได้หรือยังไงวะ?
ซีวอนกะพริบตาปริบๆเมื่อได้ยินคำถาม
ก่อนจะฉีกยิ้มแหยอย่างรู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” เขาตอบเบาๆ
มือแกร่งเลื่อนจากคางมนลงมาจับกระชับที่มือนิ่มของฮันกยอง และอีกคนก็ไม่ได้ขัดขืน
เขาจ้องตาซีวอนเขม็งแล้วตอนนี้ เฝ้ารอคอคำตอบที่กวนใจมาทั้งวัน
กลับเป็นซีวอนเสียอีกที่เขินเสียจนทนมองสายตาของอีกคนไม่ได้ “ผมคงชอบเกิงมากจนสมองทำงานไม่ปกติซะละมั้ง”
ฮันกยองหน้าแดง
เขามีถ้อยคำอยากจะเอ่ยอีกมากมายแต่กลับลืมไปเสียหมดเมื่อเจอคำพูดแบบนี้
ซีวอนยื่นหน้าเข้ามาใกล้
หน้าผากของเขาแนบกับหน้าผากเนียนของเด็กหนุ่มชาวจีนและฮันกยองก็รู้สึกว่าลมหายใจของเขาขาดห้วงอย่างประหลาด
“เกิงหายโกรธผมแล้วใช่มั้ย?” ซีวอนกระซิบถาม ฮันกยองนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“นาย...ชอบฉาน...จริงๆเหลอ?” เป็นคำถามที่ช่างยากเย็นแสนเข็ญกว่าจะเค้นออกมาจากลำคอ
พอถามจบฮันกยองก็หน้าแดง นี่เขากล้าพูดออกไปได้อย่างไรเนี่ย อ๊ายยยยยยยย >/////<
“จะ...จริงสิครับ” ซีวอนตอบเบาๆ
ใบหน้าหล่อเหลาเรื่อสีนิดๆเมื่อเจอคำถามแทงใจดำแบบนี้
แต่แล้วก็ต้องอมยิ้มเมื่อเจอกับปฏิกิริยาของคนถามที่พูดเองเขินเอง
ซีวอนจึงเอ่ยต่ออย่างจะตอกย้ำพลังรักของตัวเอง “ชอบมากขนาดที่บ้าขโมยร่มเกิงมาตั้ง 8 คันเลยล่ะ
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำได้ยังไง”
เออกุก็อยากรู้เหมือนกันว่าเมิงทำได้ยังไง
ไม่โรคจิตจริงไม่สามารถนะเนี่ย ฮันกยองนึก
“งะ...ง้านก้อแปลว่านาย...ชอบฉานมาต้างแต่ฤมองฝนปีที่แล้วง้านสิ?” เขาถามต่อด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม
ซีวอนฉีกยิ้มกว้าง รู้สึกอยากจะฟัดคนตรงหน้าขึ้นมาเสียเดี๋ยวนี้จริงๆ
ทำไมแม่งน่ารักขนาดนี้วะ!?
“ ‘ฤดู’ ครับ ไม่ใช่ ‘ฤมอง’ และจริงๆแล้วผมอาจจะชอบเกิงตั้งแต่ก่อนหน้านั้นก็ได้มั้ง” ซีวอนทำท่ารำลึกความหลัง
อยู่ดีๆความกล้ามันก็ท่วมท้นขึ้นมาเสียเฉยๆทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ล่ะโชว์ลีลาขโมยร่มอยู่ตั้งนาน “ผมมองเกิงอยู่ตั้งนาน
แต่จนแล้วจนรอดก็คิดไม่ออกว่าจะเข้าไปทำความรู้จักยังไงดี...ผมจีบใครไม่เป็น
และเกิงก็ป๊อปปูล่าร์มากเพราะหน้าตาดี...” พอถึงประโยคนี้ฮันกยองทำตาโต
เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวไม่เคยตระหนักถึงความจริงข้อนี้ว่าเวลาเดินผ่านเขาตกเป็นเป้าสายตาของเด็กนักเรียนทั้งสองโรงเรียนแค่ไหน...โอเค
อาจจะน้อยกว่าซีวอนอยู่ซักหน่อย แต่ก็ไม่ได้เรียกว่าเป็นคนหน้าตา ‘ธรรมดา’ หรอกนะ
ซีวอนเล่าต่อ “...ตอนที่ผมอดใจไม่ไหวเป็นตอนหน้าฝน
ที่ร้านอาหารวันนั้นเกิงตากร่มทิ้งไว้ติดกับคันของผมพอดี
ก็เลยคิดเล่นๆว่าถ้าแกล้งเอาไป แล้วเอากลับไปคืนเกิงในวันต่อมาจะเป็นยังไง
ผมจะได้มีข้ออ้างคุยกับเกิง” เขาหัวเราะกลบเกลื่อน “แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่ได้เอาไปคืน
ผมปอดแหกเกินไป แล้วโอกาสก็มาถึงอีก ผมก็เลยขโมยร่มเกิงคันที่สอง” เขายักไหล่เมื่อดวงตาคู่สวยของฮันกยองเบิ่งโตขึ้นเรื่อยๆตลอดเวลาที่เรื่องราวหลุดออกจากปากซีวอนมากขึ้นๆ “แล้วผมก็เลยคิดได้ว่า
ทำไมไม่ขโมยร่มให้ครบสักจำนวนหนึ่ง แล้วหาวิธีบอกรักเกิงด้วยร่มพวกนั้นล่ะ? อย่างเช่นคำว่า I Love You มันฟังดูน่าสนุกดี”
พอถึงตอนนี้ฮันกยองอ้าปากตาค้าง
“นี่นาย...ขโมยล่มฉานปายต้างแปดคานด้วยเหตุผลพวกน้านเนี่ยน้า!?” เขาแทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
ถ้ามีใครมารู้เข้าว่าชเว
ซีวอนสุดหล่อพ่อรวยมีเมียสวยคนนี้ปัญญาอ่อนขนาดนี้แล้วละก็
แฟนคลับมันจะยังเหลืออยู่ไหมนะ
“ก็ด้วยเหตุผลพวกนั้นแหละครับ” ซีวอนยืดอกตอบอย่างภาคภูมิใจเลยทีเดียว ณ
จุดนี้ “แล้วผมก็ทำสำเร็จ ใช่ไหมล่ะครับเกิง?” ฮันกยองเลิกคิ้ว
“ทามอารายสามเหร็จ?”
“ก็เอาชนะใจเกิงไง” ตอบแล้วฉีกยิ้มร่าแบบชวนให้หลงใหลใจละลาย คนจีนเบนสายตาหลบ
ไหนจะเรื่องขโมยร่มไหนจะยังเรื่องที่เขางอนซีวอนไม่หาย ทำไมก็ไม่รู้แต่ ณ จุดนี้
ฮันกยองโกรธอีกคนไม่ลงจริงๆ
“ไปกินข้าวด้วยกันนะครับ” ซีวอนฉีกยิ้มสดใส
มือใหญ่ที่กุมมือนิ่มของฮันกยองกระชับแน่นขึ้นอย่างจะให้มั่นใจ
คนจีนนิ่งคิดอยู่ครู่ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
เด็กหนุ่มร่างสูงลิงโลดใจอย่างห้ามไม่อยู่
เขาก้มลงหอมขโมยแก้มฮันกยองไปฟอดหนึ่งอย่างหมั่นเขี้ยว ไม่สนใจสายตาใครทั้งนั้น
ก่อนจะจูงมืออีกคนเดินไปตามถนนสายเก่าที่อบอุ่นด้วยแสงอาทิตย์ยามบ่าย
เป็นการเริ่มต้นชีวิตบทใหม่ของทั้งสองคน ที่ไม่มีพายุฝนอึมครึมอีกต่อไปแล้ว
ความคิดเห็น