คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : Umbrella '16': ร่มคันที่ 16
"หลังจากมรสุมจากทะเลญี่ปุ่นถล่มกรุงโซลด้วยพายุฝนกระหน่ำมาตลอด 3 อาทิตย์จนแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีวันไหนที่ฝนไม่ตก
ตอนนี้มรสุมได้เคลื่อนตัวผ่านไปแล้ว นั่นหมายความว่าแม้จะยังมีฝนอยู่บ้าง แต่ปริมาณน้ำฝนจะน้อยลงกว่าช่วงที่ผ่านมา
โดยคาดว่าพอสิ้นสุดอาทิตย์นี้สภาพอากาศจะกลับสู่ภาวะปกตินั่นคือมีปริมาณน้ำฝนประมาณ
20 มิลลิเมตรต่อสัปดาห์...”
เสียงผู้ประกาศข่าวดังลอดออกมาจากร้านอาหารในละแวกที่ฮันกยองเดินผ่าน
เด็กหนุ่มลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากได้ยินข่าวนั้น...มรสุมผ่านไปแล้ว
แม้หน้าฝนจะยังไม่ผ่านพ้นไปเต็มตัวก็เถอะแต่นั่นก็หมายความว่าฝนจะตกน้อยลง...หลังจากนี้ฟ้าก็คงไม่เทลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตาอย่างเช่นที่ผ่านมาทุกวันหรอกจริงไหม?
ฟ้าหลังฝนย่อมสดชื่นและสดใสเสมอ
ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตเขาจะผ่านพ้นวิกฤติแบบที่กรุงโซลได้ผ่านมันไปแล้วหรือยัง? เรื่องซวยซ้ำซ้อนทั้งหลายนี่
ทั้งร่มหายไม่เว้นแต่ละวันเอย ทั้งปัญหาเรื่องซีวอนเอย...
ฮันกยองกัดปากตัวเอง
ซีวอนโผล่เข้ามาในความคิดของเขาอีกแล้ว...ทำไมกันนะถึงไม่ยอมปล่อยให้หัวเขาโล่งๆสบายๆบ้าง? ช่วยเอาหนังหน้าหล่อๆไปไกลๆตีนเขาได้ไหม
ทำไมจะต้องวนเวียนเข้ามาในความคิดเขาทุกๆ 5 นาทีด้วยวะ!?
แล้วนายก็เหมือนกันฮันกยอง ปล่อยให้หน้ามันเล็ดรอดเข้ามาได้ยังไง!?
เด็กหนุ่มชาวจีนยกมือขึ้นเขกมะเหงกตัวเองแรงๆราวกับจะเตือนสติ
เด็กหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่เดินสวนเขาไปหันมามองเขาอย่างไม่มั่นใจว่าบ้าหรือเปล่า
ฮันกยองเดินดุ่มตากฝนเม็ดเล็กที่โปรยปรายเป็นละอองมุ่งหน้าไปโรงเรียน
เขาไม่มีร่มเหลือที่บ้านอีกแล้ว แต่เอาน่ะ ไหนๆก็ใกล้จะหมดหน้าฝนอยู่แล้ว
ร่มอาจจะไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้วก็ได้ เท่านี้ล่ะ
ไอ้โจรขโมยร่มนั่นก็จะทำอะไรฮันกยองคนนี้ไม่ได้อีกต่อไป
เสียงเด็กนักเรียนตะโกนโหวกเหวกทักทายกันแต่เช้าเมื่อใกล้ถึงโรงเรียน
ทั้งๆที่อากาศก็ดีขึ้นและบรรยากาศรอบข้างก็รื่นเริง
แต่ทำไมฮันกยองถึงรู้สึกหงอยอย่างนี้ก็ไม่รู้
เด็กหนุ่มชาวจีนพยายามบอกตัวเองว่าเป็นเพราะลีทึก เช้านี้ลีทึกบอกว่าคังอินจะมารับ
ดังนั้นฮันกยองไม่ต้องเป็นห่วงให้มาโรงเรียนได้เลย
มันอาจจะเป็นความรู้สึกที่ว่าลีทึกกับคังอินกำลังไปกันได้ดี
และเขากำลังจะเสียเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวไป...
แต่ลึกๆแล้ว
ฮันกยองรู้ดีว่ามันไม่ใช่เพราะเหตุนั้น...
เสียงฮือฮาดังมาจากรั้วโรงเรียนพร้อมฝูงเด็กนักเรียนกลุ่มใหญ่ถึงใหญ่มากที่กำลังยืนมุงอะไรบางอย่าง
เด็กหนุ่มชาวจีนมุ่นคิ้ว...มีเรื่องอะไรกัน? แล้วมายืนออกันแบบนี้เกะกะการจราจรยามเช้าเสียจริง
ทำไมอาจารย์ไม่มาไล่ไอ้พวกนี้ไปบ้างนะ?
ฮันกยองฝ่าวงล้อมเบียดฝูงนักเรียนที่ยืนขวางทางเข้าไป
ไม่ได้ใส่ใจอะไรก็ตามที่เป็นจุดสนใจของนักเรียนฝูงนั้นแม้สักนิด
แต่ถึงกระนั้นเมื่อเดินผ่านจุดที่สามารถมองเห็นวิวกลางสนามหญ้าหน้าโรงเรียนได้ถนัดชัดเจน
ฮันกยองก็ต้องเลิกคิ้วสูง
ตรงกลางสนามหญ้ามีร่มหลากสีหลายคันวางกางอยู่เรียงเป็นทิวแถว
และบนร่มแต่ละคันมีตัวอักษรภาษาอังกฤษสีขาวเขียนอยู่ด้วยสเปรย์แบบที่พวกเด็กมือบอนชอบใช้พ่นตามฝาผนัง
แม้ฮันกยองจะได้คะแนนวิชาภาษาอังกฤษตั้งเกรด 1...แย่กว่าวิชาภาษาเกาหลีที่เขาพูดได้งูๆปลาๆนี่เสียอีก
แต่ฮันกยองเข้าใจสิ่งที่เขียนอยู่บนร่มอย่างชัดแจ้งแดงแจ๋
I-L-O-V-E-Y-O-U
ร่ม
8 สีมีตัวอักษรเหล่านั้นขีดเขียนไว้ครบทั้ง
8 คันพอดิบพอดี
เป็นวิธีบอกรักที่ช่างเรียกร้องความสนใจมาก...ฮันกยองคิดในใจ...อยากจะรู้เหมือนกันว่าใครแม่งช่างสรรหาวิธีการขนาดนี้
และใครกันนะเป็นคนที่ข้อความเหล่านั้นตั้งใจจะส่งไปถึง...
แล้วจู่ๆเด็กหนุ่มชาวจีนก็ชะงัก
เดี๋ยวก่อน...ร่มพวกนั้นมันมีสีและหน้าตาเหมือนกับร่มเขาที่หายไปเลยนี่นา...
หัวของฮันกยองเริ่มหมุน
แต่มันไม่น่าเป็นไปได้! ไม่น่า...ไม่ใช่หรอก! เด็กหนุ่มบอกตัวเอง
มันอาจจะแค่สีคล้ายๆเท่านั้นเอง
แม้จะมีคันหนึ่งที่เขาแน่ใจว่าเขาไม่เคยเห็นเด็กคนอื่นใช้...อันที่เป็นลายกำแพงเมืองจีนที่เขาซื้อตอนไปเที่ยวที่นั่นกับครอบครัวและเขาทำมันหายไปเมื่อหน้าฝนปีที่แล้ว...แต่ก็ไม่แน่เสมอไป
อาจจะมีใครมีลายซ้ำกับเขาก็ได้ในเมื่อมันก็เป็นของที่ระลึกที่สวยดีนี่นา
ฮันกยองบังคับตัวเองให้ผละออกจากตรงนั้น
ขาเรียวพาร่างโปร่งมุ่งไปยังตึกเรียนแล้วก้าวขึ้นบันไดอย่างเร่งรีบแต่เลื่อนลอย
แม้จะพยายามปฏิเสธ แต่สมองของเขากำลังทำงานจ้าละหวั่นแบบที่มันไม่ค่อยได้ทำยามปกติ
นับดูจำนวนร่มที่เขาทำหายไปทั้งของปีนี้และปีที่แล้วรวมกัน
เพราะมันก็มีแค่สองปีนี้แหละที่เขาทำร่มหายเป็นว่าเล่นเหมือนมีใครจงใจขโมยร่มของเขาอยู่ได้อย่างนั้น...
8 คัน...เท่าที่นึกออก
จะว่าไปเขาก็จำไม่ได้ขนาดนั้นหรอกในเมื่อมันเล่นหายไปเยอะและบ่อยขนาดนี้
อืม...คงไม่ใช่หรอกมั้ง น่าจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ...10 แหละ
น่าจะซัก 10 คัน...เด็กหนุ่มบอกตัวเอง
ร่มที่อยู่บนสนามพวกนั้นมันจะเป็นของเขาไปได้อย่างไรกัน? อย่าบ้าไปหน่อยเลยน่าฮันกยอง
ใครเขาจะมาทำอะไรบ้าๆอย่างนั้นให้ฉัน? แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม...
ใบหน้าของซีวอนมันถึงลอยเข้ามาในความคิดอย่างห้ามไม่ได้ก็ไม่รู้
เด็กหนุ่มเดินขาแข็งเข้าไปในห้องเรียน
พยายามกรอกหูตัวเองว่ามันไม่มีทางเป็นเขา
แต่แล้วก็มีเหตุให้ต้องสะดุดกึกอีกครั้งเมื่อเห็นเพื่อนร่วมชั้นยืนล้อมวงเป็นกลุ่มย่อยๆอยู่รอบโต๊ะเรียนตัวหนึ่ง
และไอ้โต๊ะบ้านั่นก็ดันเป็นของเขาเสียด้วยสิ
...อะไรกันอีกล่ะทีนี้?
เสียงฮือฮาเงียบสนิทลงทันทีเมื่อทุกคนตระหนักว่าเจ้าของโต๊ะมาถึงแล้ว
และดูเหมือนทุกคนก็จะพร้อมใจกันแหวกทางให้ฮันกยองเห็นว่ามีอะไรอยู่บนโต๊ะที่กระตุ้นต่อมเสือกของพวกมันได้หนักหนา
...มันก็แค่ดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ช่อหนึ่ง...
...แค่นั้นเท่านั้นเอง...
ฮันกยองเม้มริมฝีปากแน่น
เดินตรงไปที่โต๊ะของตัวเองด้วยท่าทางอกผายไหล่ผึ่งอย่างหญิงมั่น
เสียงเพื่อนๆบางคนทักทายเขาด้วยถ้อยคำสวัสดียามเช้า แต่ฮันกยองไม่ตอบ
จะว่าไปเขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์เสวนาภาษาเกาหลีสักเท่าไหร่นัก
เด็กหนุ่มเดินไปถึงโต๊ะ หยิบช่อดอกไม้เจ้าปัญหาขึ้นแล้วพลิกไปมาอย่างสำรวจตรวจตรา
ส่งผลให้ซองจดหมายฉบับหนึ่งหล่นลงมาจากช่อดอกกุหลาบ
เสียงงึมงำดังขึ้นรอบโต๊ะ
ฮันกยองอยากจะกรีดร้องเผื่อจะไล่เพื่อนร่วมห้องฝูงนี้ไปให้พ้นรำคาญได้บ้าง
แต่เขาก็ไม่ได้ทำ เด็กหนุ่มหยิบซองขึ้นมา หน้าซองว่างเปล่าแต่ก็สัมผัสได้ถึงกระดาษแผ่นบางๆที่อยู่ข้างใน
ฮันกยองสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเปิดซองออกแล้วหยิบกระดาษขึ้นมาคลี่อ่าน
‘เกิง
ชอบของขวัญที่ผมให้ไหมครับ? ทั้งบนโต๊ะนี้ แล้วก็บนสนามหญ้าหน้าโรงเรียน ^^
บอกแบบนี้ เกิงก็คงรู้แล้วว่าใครคือโจรขโมยร่มของเกิงคนนั้น
ขอโทษด้วยที่ทำแบบนี้ แต่ผมคิดวิธีอื่นไม่ออก สารภาพตรงๆเลยว่าตอนนั้นไม่รู้จริงๆว่าจะทำยังไงถึงจะเข้าใกล้เกิงได้ รู้ตัวอีกที ผมก็หยิบร่มเกิงติดมือออกไปจากร้านอาหารแล้ว...
ผมขอยอมรับผิดสำหรับร่มเกิงที่หายไปทุกคัน
แต่ตอนนี้เอามาคืนให้แล้วนะ อยู่ที่สนามหญ้านั่นไง ^^
ส่วนเรื่องอื่นๆ ผมก็ขอโทษ...ขอโทษสำหรับทุกๆอย่าง ไม่รู้ว่าเขียนไปเกิงจะเชื่อหรือเปล่า แต่ผม...ชอบเกิงมาก มากจนไม่รู้ว่าทำยังไงถึงจะดีถึงจะถูก ทำยังไงถึงจะทำให้เกิงมองผมกลับมาในแบบเดียวกับที่ผมมองเกิงบ้าง...
...ทำยังไง ถึงจะทำให้สายตาเกิงมีแต่ผม ทำยังไงถึงจะทำให้เกิงชอบผมบ้าง...
เกิงให้อภัยผมได้หรือเปล่า?
วันนี้ตอนเย็นผมจะรออยู่หน้าโรงเรียนโซดองโย
มานะครับ’
จดหมายนั้นไม่ได้ลงชื่อ
แต่ฮันกยองรู้ว่าเป็นใคร...ไม่ได้ยากเกินไปที่จะเดา
เด็กหนุ่มกำกระดาษแผ่นนั้นแน่นหลังจากอ่านจบ
หลุบตาลงมองช่อดอกไม้บนโต๊ะอย่างหนักใจ
แต่ที่หนักใจยิ่งกว่า
...เขาจะเดินลงไปเก็บร่มทั้ง
8 คันขึ้นมาจากสนามหญ้าหน้าโรงเรียนโดยไม่ตกเป็นเป้าสายตาและหัวข้อนินทาทั่วโรงเรียนไปอีกหนึ่งเดือนเต็มได้อย่างไร?
ฮันกยองถอนหายใจ ริมฝีปากบางเม้มแน่นเข้าหากัน เขากวาดตามองจดหมายฉบับนั้นอีกครั้งเผื่อจะมีอะไรรอดสายตาไป...
‘…ผมขอยอมรับผิดสำหรับร่มเกิงที่หายไปทุกคัน
แต่ตอนนี้เอามาคืนให้แล้วนะ อยู่ที่สนามหญ้านั่นไง ^^...’
ก็รู้สึกขอบคุณหรอกนะที่เอาของคนอื่นไปแล้วก็เอามาคืนพร้อมคำขอโทษ
แต่แม่ง ช่วยคิดวิธีคืนให้มันพิสดารน้อยกว่านี้ได้ไหมห๊า!!!??
//////////////////////////////////
“อรุณสวัสดิ์ไอ้คยู”
น้ำเสียงร่าเริงของทงเฮดังขึ้นตั้งแต่คยูฮยอนยังเดินไม่พ้นประตูห้อง
เด็กหนุ่มพึมพำตอบอ้อมแอ้ม ทงเฮเลิกคิ้ว
กระโดดข้ามแถวโต๊ะเรียนด้วยท่าทางอย่างกับลิงมาดักคยูฮยอนที่โต๊ะ
“เป็นไรทำไมดูแปลกๆวะ?”
“กุเปล่าสักหน่อย”
หมาป่าน้อยบอกปัด ยัดกระเป๋าเสื้อผ้าตัวเองไว้ใต้โต๊ะ ทงเฮเลิกคิ้วสูงกว่าเดิม
“เอากระเป๋าเสื้อผ้ามาทำไม?
จะไปไหนวะ?”
“กุไปมาแล้วต่างหาก”
คยูฮยอนแก้ เขานั่งลง ทงเฮเซ้าซี้ถามต่อไม่หยุด
“ไปไหน?”
“ก็...บ้านซองมินไง
กุบอกเมิงไปแล้วเมื่อวันศุกร์”
“อ่าว
แล้วนี่ยังไม่ได้กลับบ้านหรือไงถึงเอาของมาด้วยน่ะ”เป็นประโยคคำถามที่มีคำตอบอยู่ในตัวแล้วเสร็จสรรพ
และมันก็เป็นคำตอบที่ถูกเสียด้วย
ดังนั้นคยูฮยอนจึงคิดว่ามันเป็นคำถามที่ไม่น่าออกมาจากปากทงเฮหรือใครก็ตามเอาเสียเลย
“ก็...เออ”
เขาตอบอ้อมแอ้ม
“นี่เมิงไปค้างบ้านเขาตั้ง
3 คืนเลยเนี่ยนะ!?” ปลาน้อยโวยวาย
ก่อนจะหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับคยูฮยอน
ข้อศอกสองข้างวางบนโต๊ะยกมือขึ้นเท้าคางเหมือนเด็กน้อยที่พร้อมจะฟังนิทานสนุกๆ
“เป็นยังไงบ้าง? เมิงเล่ามาเดี๋ยวนี้”
“ก็...ไม่ได้มีอะไรมากมายหรอก...”
หมาป่าอิดออด และนั่นก็ยิ่งตรงกันข้ามกับคำว่า ‘ไม่มีอะไร’
ที่ออกมาจากปากอย่างสุดขั้ว ในวินาทีนั้นฮยอกแจก็เดินมาสมทบ
ทักทายเด็กหนุ่มร่างสูงที่นั่งอยู่จากทางด้านหลังด้วยการฟาดฝ่ามือลงบนแผ่นหลังป้าบเข้าให้
“เป็นไงไอ้คยู?
ไม่ได้ไปติดโรคอะไรมาอีกใช่ไหมสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี่?”
“คยูมันไปนอนค้างบ้านซองมินมาตั้ง
3 คืนล่ะ และมันกำลังจะเล่าให้พวกเราฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
น้ำเสียงของทงเฮร่าเริงสุดๆ ฟังดูก็รู้ว่ากำลังบังคับให้คยูฮยอนเล่า
และฮยอกแจก็ไม่ลังเลแม้แต่นิดที่จะผสมโรงด้วย
“เจรงอ้า?
แบบนี้ก็มันส์อ่ะดิ” ไก่ฮยอกแจคว้าเก้าอี้ข้างๆอีกตัวที่ว่างอยู่ลากมานั่งประชิดคยูฮยอนร่วมวงด้วยทันที
“เล่ามาตั้งแต่ต้นเลยเมิง!”
“เฮ้ย
มันก็ไม่ได้มีอะไรขนาดนั้นซักหน่อย!” คยูฮยอนพยายามปกป้องตัวเอง
ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้ฟังที่จะต้องงัดเรื่องราวออกมา
“ใครเป็นคนเสนอไอเดียให้ไปนอนค้างเนี่ย?”
ทงเฮเปิดประเด็นขึ้น
เมื่อวันศุกร์ที่เขายอมปล่อยเรื่องนี้ไปโดยไม่ซักไซ้ก็เพราะเขามีเรื่องอื่นอยู่ในหัวต้องจัดการเยอะเกินไปต่างหาก
ไม่อย่างนั้นเรื่องชาวบ้านชาวช่องเนี่ยไม่มีรอดเงื้อมมือเขาไปได้หรอก
“มันเป็นธรรมเนียมของบ้านซองมิน”
คยูฮยอนตอบเบาๆ
“ธรรมเนียม?
ธรรมเนียมอะไรวะ?” ฮยอกแจถามอย่างงงหนัก
“เขาบอกว่า
กุทำอะไรบางอย่างที่เป็นการขอเขาแต่งงานตามประเพณีของตระกูลไปแล้วสองข้อ...การไปนอนค้างที่บ้านเป็นเวลา
3 คืนติดต่อกันเป็นข้อที่ 3…”
“แล้วไอ้สองข้อที่เมิงทำมาแล้วเนี่ยมันอะไรบ้างเหรอ?”
ทงเฮไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปแม้แต่นิด
“เอ่อก็...กุให้แหวนเขา
ถือเป็นการขอเขาหมั้น นั่นหนึ่งข้อ แล้วก็...กุก็จูบเขา...นั่นอีกข้อ”
“เหรอ?
แล้วไปนอนด้วยกัน 3 คืนเป็นไงมั่ง?”
“เอ่อก็...ดี...”
“ต้องนอนหัองเดียวกันด้วยใช่ไหม?
แล้วเพราะธรรมเนียมบ้าๆนี่มีอะไรต้องทำนอกจากนอนอีกป่ะล่ะ?” เหมือนทงเฮจะรุ้ ทำไมถามได้จี้ใจดำเยี่ยงนี้
“เอ่อ...ประเด็นคือ
ก่อนเริ่มธรรมเนียมนั่นเขาใช้ด้ายแดงผูกนิ้วก้อยกุกับซองมินเข้าไว้ด้วยกัน...น่ะ”
“โห
ไมโรแมนติกงี้อะ!?” ฮยอกแจอุทานอย่างประหลาดใจ
แต่ทงเฮคิดอีกอย่าง
“เดี๋ยวก่อน
แล้วด้ายนั่นนายแกะได้หรือเปล่า?” ชักฉงนฉงายกับธรรมเนียมของไอ้บ้านนี้มันเข้าไปทุกที
“ได้แล้วมันจะไปสนุกอะไรวะ?”
คยูฮยอนเล่นตัวเองซะอย่างนั้น
“เฮ้ยจริงเด้ งั้นอย่างงี้แหละสนุกของจริง!” ทั้งฮยอกแจและทงเฮร้องออกมาพร้อมกัน
ลงแล้วคยูฮยอนก็เล่าให้ไอ้เพื่อนตัวแสบทั้งสองฟังจนหมดเปลือก
“เวลาอาบน้ำทำยังไง?”
เป็นคำถามแรกที่ผู้ชมทางบ้านยิงเข้ามา แล้วก็เข้าเป้าจังๆ
“ก็อาบด้วยกันอ่ะดิ”
มาบทนี้คยูฮยอนไม่องไม่อายมันแล้ว ยิ่งอายไอ้พวกนี้จะยิ่งล้อเขาล่ะสิไม่ว่า
“จริงอะ
แล้วทำอย่างอื่นป่าวนอกจากอาบน้ำ?”
“ไม่ได้ทำโว้ย!”
แหวลั่น “อายจะตาย เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยได้อาบน้ำกับผู้ชายเลยนะ! (???)”
“แต่ทำไมกุเคยอาบกับไอ้ทงเฮวะ?”
ฮยอกแจเหล่ตามองไอ้เพื่อนตัวดีข้างๆ
จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่อาบกับมันตอนป.6 นู่นแน่ะ
“แล้วเขาเขินหรือเปล่า?”
ทงเฮไม่สนใจฮยอกแจ ถามต่ออย่างสอดรู้
สมองของคยูฮยอนพาลคิดไปถึงคืนแรกที่เขากับซองมินอาบน้ำด้วยกัน...ก็คืนวันศุกร์นั่นน่ะแหละ!
“อ่ะนี่
ผ้าซับพระองค์”
มือเรียวของซองมินส่งผ้าเช็ดตัวผืนใหม่หอมกรุ่นให้คยูฮยอนก่อนเข้าห้องน้ำ
หมาป่าน้อยรับมาแล้วก็อึกอักไม่ยอมเดินเข้าห้องน้ำ ซองมินอมยิ้ม
“นี่...ทรงอายอะไรเล่า? ฉันไม่ทำอะไรนายหรอกนะ...”
แกล้งแหย่คนตรงหน้าเล่น ก่อนจะจับมือคยูฮยอนลากอีกคนเข้าไปในห้องน้ำด้วยกัน
ซองมินหันหลังให้คยูฮยอน
แม้จะเดินหนีจากกันไปได้ไม่ไกลนักเนื่องจากเส้นด้ายที่ร้อยกันอยู่
มือเล็กบรรจงปลดสายคาด
ปล่อยให้ชุดแฮงบกที่สวมไว้ตั้งแต่ตอนทำพิธีหลุดจากลาดไหล่ร่วงลงไปกองกับพื้น
คยูฮยอนกลืนน้ำลายแม้ไม่อาจกระพริบตาแม้สักครั้ง ซองมินเปลื้องเสื้อผ้าชิ้นอื่นๆบนเรือนกายตนเองออกจนเหลือแต่เพียงร่างเปลือยเปล่า
ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดตัวพันรอบท่อนล่างของตัวเองไว้อย่างเชื่องช้า
แต่นั่นก็ยังทำให้คยูฮยอนหายใจได้ไม่ทั่วท้องอยู่ดี
...แผ่นหลังขาวเนียนที่ส่งกลิ่นกายหอมอ่อนๆออกมาชวนให้เขาเอื้อมมือไปสัมผัสนั่นทำเอาสติของคยูฮยอนกระเจิงได้ไม่ยากเลยสักนิด
“นายเปลื้องฉลองพระองค์หรือยัง?”
เด็กหนุ่มร่างเล็กเอี้ยวหน้ามาถาม
ยังไม่ยอมหันร่างกลับมาเผชิญหน้ากับคยูฮยอนตรงๆ
“อะ...เอ่อ...ยัง...”
หมาป่าน้อยตอบตะกุกตะกัก เขากลืนน้ำลายลงคอเอื๊อกใหญ่อย่างหนักใจ
“ทรงถอดซะซี่
จะได้ไปสรงน้ำกัน...” แล้วซองมินก็หัวเราะคิกคัก
“...หรือนายประสงค์จะให้ฉันเป็นผู้เปลื้อง...”
“มะ...ไม่ต้อง!
ฉันถอดเอง” คยูฮยอนรีบพูดจนลิ้นแทบจะพันกัน
เขายกมือขึ้นปลดสายคาดชุดแฮงบกของตัวเองช้าๆ
ริมฝีปากบางเม้มแน่นเป็นเส้นตรงอย่างกลั้นใจ ก่อนจะปล่อยให้เสื้อผ้าหลุดลุ่ยลงไปกองกับพื้น
แล้วรีบพันผ้าเช็ดตัวรอบร่างกายท่อนล่างของตัวเองเร็วปานสายฟ้าแลบ
และเขาก็สาบานว่าได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนานดังมาจากริมฝีปากของซองมิน
ซองมินไม่ได้หันมามองเขาด้วยซ้ำ
คนตัวเล็กหันร่างเดินนำไปยังส่วนที่ใช้อาบน้ำ
เพราะมัวแต่ลนลานคยูฮยอนจึงไม่ได้สังเกตแต่แรกว่าห้องน้ำนี้ใหญ่แค่ไหน
มันถูกแบ่งเป็นสัดส่วน และส่วนที่ใช้ ‘สรงน้ำ’
ก็มีทั้งห้องอาบน้ำขนาดใหญ่ใช้ฝักบัวและอ่างจากุชชี่ขนาดย่อม...คยูฮยอนลืมหายใจเมื่อซองมินเดินนำไปยังอ่างจากุชชี่
เขาโน้มตัวลงแล้วหมุนก๊อกเปิดน้ำลงอ่าง
เสียงซู่ซ่าของน้ำที่ไหลด้วยความแรงสูงสุดเป็นสรรพเสียงเพียงอย่างเดียวในท่ามกลางความเงียบงันรอบกาย
ซองมินกับเขายืนห่างกันหนึ่งเมตรไกลที่สุดเท่าที่ความยาวของด้ายสีแดงเอื้ออำนวย
ทั้งคู่เปลือยอกห่อหุ้มร่างกายด้วยผ้าเช็ดตัวผืนเดียว และต่างก็จ้องพื้นกระเบื้องบ้างอ่างอาบน้ำบ้างไปตามเรื่องโดยไม่ยอมแม้แต่จะเหล่ตามองกันและกัน
น้ำใกล้จะเต็มอ่าง และซองมินก็ค่อยๆปิดก๊อกน้ำอย่างช้าๆ
ก่อนที่เขาจะแกะผ้าเช็ดตัวโดยไม่รีรออะไรทั้งสิ้นแล้วกระโดดลงอ่างไป
แรงดึงจากร่างของซองมินเกือบจะทำให้คยูฮยอนคะมำหัวทิ่มลงไปในอ่าง
ดีที่เขาทรงตัวไว้ได้ทัน
เด็กหนุ่มร่างสูงนั่งยองๆอยู่ข้างอ่างในขณะที่ซองมินโผล่ขึ้นมาจากน้ำด้วยเส้นผมเปียกปอน
“ทรงลงมาได้แล้วน่า”
เสียงคนที่อยู่ในอ่างกระเซ้า
เครื่องนวดใต้น้ำเริ่มทำงานทำให้ผิวน้ำกระเพื่อมเป็นลูกคลื่น
และคยูฮยอนยังสังเกตเห็นฟองสบู่เกิดขึ้นได้เอง...
“มันมีท่อน้ำสบู่ที่ปล่อยสบู่ออกมาอัตโนมัติน่ะ”
ซองมินมองตามสายตาของคยูฮยอนแล้วอธิบาย “ทรงลงมาได้แล้ว
ไม่ต้องกลัวโป๊หรอกเดี๋ยวฟองสบู่ก็เต็มอ่างแล้ว” ซองมินยิ้ม
หมาป่าน้อยเลื่อนมือขึ้นจะปลดผ้าเช็ดตัวตรงเอว แต่แล้วก็ชะงัก ใบหน้าคมขึ้นสีเรื่อ
“เอ่อ...”
“อ้อ
ขอประทานโทษที...” ซองมินอมยิ้ม เบือนหน้าไปทางอื่น
รอสักพักคยูฮยอนก็กระโดดลงมาในอ่างอยู่ข้างเขา
ทิ้งผ้าเช็ดตัวไว้นอกอ่างข้างๆผ้าเช็ดตัวของซองมิน
การอาบน้ำเป็นไปอย่างเงียบเชียบ จริงอย่างที่ซองมินว่า
ไม่นานฟองสบู่ก็ฟูฟ่องขึ้นเต็มอ่าง และนั่นก็ทำให้ร่างของพวกเขาจมอยู่ใต้ฟองสีขาวเหล่านั้น
มันเป็นหนึ่งชั่วโมงที่อึดอัดในตอนแรก
ก่อนจะแปรเปลี่ยนมาเป็นค่อยๆปล่อยตัวปล่อยใจมากขึ้นจนหมาป่าลืมไปเสียสนิทว่าเขากำลังโป๊อยู่
คยูฮยอนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้เขารู้สึกแบบนี้...เป็นเพราะกลิ่นอโรมาของสบู่ในน้ำ
แรงดันของน้ำที่นวดหลังจนเขารู้สึกผ่อนคลายสบายตัว หรือเป็นเพราะคนข้างๆกันแน่...
แต่ที่แน่ๆ...คยูฮยอนบอกตัวเอง...เขาคงไม่มีวันยอมอาบน้ำแบบนี้กับใครได้อีก...
“โหย...แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรเลยเนี่ยนะ?”
น้ำเสียงของทงเฮฟังดูผิดหวัง
“ก็อาบน้ำเฉยๆ
เมิงจะให้กุทำอะไร?” คยูฮยอนย้อนเสียงแข็ง
“งั้นแล้วตอนนอนล่ะเป็นไงมั่ง?”
ฮยอกแจถามบ้าง
“...เอ่อ...ก็...”
มันก็เป็นประสบการณ์อีกอย่างที่คยูฮยอนจะไม่มีวันลืมไปทั้งชีวิตเช่นกัน ตลอดชีวิตการเป็นลูกคนเดียวที่ผ่านมา 15 ปีของเขาคยูฮยอนนอนคนเดียวมาตลอด อาจจะมีบ้างก็ตอนเข้าค่ายกับทางโรงเรียนที่ได้นอนรวมกับเพื่อนๆอีกหลายชีวิต แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่คยูฮยอนจะได้นอนห้องเดียวกันกับใครสองต่อสอง ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็เถอะ
คืนแรกเป็นคืนที่กระอักกระอ่วนที่สุด
คยูฮยอนพยายามจะไม่เสียมารยาทโดยการนอนหงายมองเพดาน
ไม่ได้หันหลังให้อีกคนหรือหันหน้าเข้าหาทั้งนั้น ซองมินอยู่ไม่เคยสุข
เขาพลิกตัวไปมา เดี๋ยวก็นอนคว่ำ เดี๋ยวก็นอนหงาย เดี๋ยวตะแคงซ้าย เดี๋ยวตะแคงขวา
ท่าทางจะเป็นคนหลับยากเอาการอยู่
และนั่นก็ทำให้คยูฮยอนที่ปกติไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการนอนนอนไม่หลับไปด้วยเพราะผ้าห่มที่ใช้ร่วมกันและเตียงนอนที่ไหวพะเยิบพะยาบตลอดเวลา
จนในที่สุด ซองมินลงเอยด้วยการนอนตะแคงหันหน้ามาทางคยูฮยอน แล้วไม่ยอมกระดิกไปไหนอีก
แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจของคยูฮยอนเต้นรัว
ก็คือดวงตาคู่ใสแป๋วที่ลืมโพลงจ้องมองเขา
สายตานั้นรุนแรงจนคยูฮยอนสัมผัสได้ทั้งๆที่ไม่ได้หันไปมอง
“นะ...นอนไม่หลับเหรอ?”
เด็กหนุ่มร่างสูงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักหลังจากนอนนิ่งอยู่นานและซองมินก็ไม่ยอมละสายตาไปสักทีจนเขาเริ่มทนไม่ได้
คยูฮยอนหันร่างให้ตะแคงมาทางซองมินเพียงครึ่งๆกลางๆ
ยังไม่กล้าเผชิญหน้าอีกคนตรงๆ...รู้สึกแปลกๆหากจะทำแบบนั้นเพราะใจเขาตอนนี้มันเต้นแรงไม่หยุด...
...เป็นครั้งแรกที่ความรู้สึกมันชัดเจนแบบนี้...ในความสัมพันธ์ที่ดูจะสับสนงงงวยจนเขาไม่รู้ว่ามาถึงจุดนี้ได้ยังไง
เป็นครั้งแรกที่คยูฮยอนเข้าใจตัวเองได้มากขนาดนี้
เข้าใจ ว่าตัวเขาเองชอบซองมินมากขนาดไหน
จนถึงกับหัวใจเต้นรัวเป็นตีกลองเมื่อได้อยู่ใกล้เพียงแค่ลมหายใจ...
“อือ...”
เสียงซองมินครางตอบ ดวงตาคู่ใสยังจ้องคนตรงหน้าไม่กระพริบ คยูฮยอนเม้มริมฝีปากแน่น
ก่อนจะหมุนตัวเต็มที่หันไปสบตาอีกคนตรงๆ
ดวงตาของซองมินน่าหลงใหลเช่นทุกคราว...
แล้วโดยไม่รู้ตัว
ใบหน้าของคยูฮยอนก็ค่อยๆเลื่อนเข้าไปใกล้อีกคนมากขึ้นๆ...ตาประสานตา ราวกับกำลังเล่นเกมจ้องตากันว่าใครหลบตาก่อนคนนั้นต้องแพ้
ดังนั้นจึงไม่มีใครยอมใคร ดวงตาคู่คมของคยูฮยอนจ้องตอบดวงตาใสของซองมินไม่วาง...
จนกระทั่งพวกเขาอยู่ใกล้กันจนไม่อาจจ้องตาได้อีกต่อไป
ริมฝีปากนุ่มของคยูฮยอนสัมผัสแผ่วบนกลีบปากอิ่มของคนตรงหน้า
จุมพิตนุ่มละมุนที่หวานกว่าน้ำตาลทำให้คยูฮยอนรู้สึกเหมือนร่างกายตนเองเบาหวิวราวกับจะลอยได้
กลีบปากอิ่มของซองมินเผยอออกเพียงนิดรับรสปร่าแปร่งแปลกประหลาดที่คนร่างสูงมอบให้ด้วยจิตใจล่องลอย
สมองเขาตื้อตันคิดอะไรไม่ออก
เมื่อคยูฮยอนละริมฝีปากออกมาอีกครั้ง ใบหน้าของพวกเขาก็แดงซ่าน
แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ริมฝีปากของเขาสัมผัสกัน แต่จะเรียกว่าเป็นจูบแบบ ‘จงใจ’
ครั้งแรกจะได้ไหมนะ?
“ขะ...ขอโทษ”
คยูฮยอนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอุบอิบ เขารู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าว
สายตาคมหลบลงมองผ้าปูเตียงไม่อาจสู้สายตากระต่ายน้อย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซองมินกำลังจ้องเขาด้วยดวงตากลมโตใสแป๋วแบบที่เจ้าตัวชอบทำอยู่หรือเปล่า
หรือก็กำลังจ้องหาเลขอยู่บนผ้าปูเตียงในความมืดไม่ต่างกัน
“ขอโทษเรื่องอะไร? ไม่เห็นมีอะไรจะต้องขอโทษนี่” กระต่ายน้อยเอ่ยขึ้นเสียงอุบอิบเช่นกัน ฟังดูก็รู้ว่าเขาเขินไม่น้อย
พวกเขานอนนิ่งอยู่ในความเงียบครู่ใหญ่
แสงไฟสลัวที่ส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่างทำให้เห็นเค้าหน้าของอีกฝ่ายเพียงรางๆ
ดวงตาคู่กลมของซองมินสะท้อนแสงไฟเป็นประกาย
เขาไม่ยอมหลับตาแม้คยูฮยอนจะปิดเปลือกตาลงแล้ว คนตัวเล็กนอนตะแคงหันหน้าเข้าหา
‘คู่หมั้น’ ของตน และแม้คยูฮยอนจะแสร้งหลับ
แต่ลมหายใจที่ไม่สม่ำเสมอของเขาก็ฟ้องได้อย่างดีว่าเจ้าตัวยังไม่เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างที่หวังจะให้มันเกิดขึ้นโดยเร็ว
ในที่สุดคยูฮยอนก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
แล้วก็สบเข้ากับดวงตาของซองมินที่ลืมค้างอยู่ตลอดเข้าพอดิบพอดี
“นะ...นอนไม่หลับเหรอ?”
คยูฮยอนเอ่ยขึ้น แล้วก็รู้สึกเหมือนเพิ่งเห็นเดจาวู
เขาระลึกได้ในทันใดว่าพูดประโยคนั้นไปแล้ว หมาป่าน้อยหน้าแดง
และซองมินก็ยกยิ้มที่มุมปากอย่างเห็นขัน คราวนี้ซองมินไม่ตอบคำถาม
เขากระเถิบร่างเข้ามาใกล้ ในขณะที่คยูฮยอนนอนตัวแข็งทื่อ
เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป ไม่ว่ามันจะคืออะไรก็เถอะ
แต่ซองมินเพียงยกแขนเรียวขึ้นโอบรอบเอวของคยูฮยอน
เด็กหนุ่มร่างเล็กซุกใบหน้าเข้ากับแผงอกของหมาป่าร่างสูง
แล้วนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น หัวใจของคยูฮยอนเต้นระรัว
และเขาก็มั่นใจว่าซองมินจะต้องได้ยินเสียงโครมครามของมันแน่ในเมื่อเขาอยู่ใกล้ถึงเพียงนี้
แต่กระต่ายน้อยก็ไม่ได้เอ่ยอะไร และคยูฮยอนก็ไม่มีวิธีใดที่จะสั่งให้มันสงบลง
นอกจากปล่อยให้มันเต้นแรงไปแบบนั้น
จนกระทั่งเขาหลับไป
ความคิดเห็น