“อรุณสวัสดิ์ไอ้ทงฮ”
ฮยอกแจเอ่ยทักเมื่อเดินเข้าห้องเรียนมาอย่างเริงร่า
ผิดกับคนที่นั่งฟุบหน้าซังกะตายอยู่กับโต๊ะ เมื่อเห็นสีหน้าท่าทีของเพื่อนรักฮยอกแจก็ชักเป็นห่วง
“เป็นอะไรไปเนี่ยเมิงไม่สบายหรือเปล่า?”
“หืม...หวัดดีไอ้ฮยอก”
ตอบแค่นั้นแล้วก็เสหน้าไปทางอื่น ฮยอกแจเดินมานั่งใกล้ๆ
“เมิงอย่าเป็นแบบนี้สิ
ไม่ร่าเริงแบบนี้ไม่ใช่เมิงเลย ใครทำอะไรเมิงบอกกุมากุจะไปกระทืบมันให้จมดิน”
จบประโยคนั้นทงเฮหลุดหัวเราะ
เพราะเผลอคิดภาพตามไปว่าหากฮยอกแจไปกระทืบคิบอมให้จมโคลนจะเป็นอย่างไรทั้งๆที่คิบอมตัวใหญ่(หนา)กว่าฮยอกแจตั้งเยอะ
แล้วเพื่อนเขามันจะไปมีแรงกระทืบอีกคนได้อย่างไร?
...เฮ้อ...อุตส่าห์พยายามจะเอาคิม
คิบอมออกไปจากหัวแล้ว ก็ยังไม่วายกลับมาคิดถึงอีกจนได้...
สีหน้าของทงเฮที่กลับมาเศร้าอีกได้อย่างฉับพลันไม่ทำให้ฮยอกแจรู้สึกดีขึ้น
เขากำลังจะอ้าปากถามต่อเมื่อทงเฮโพล่งขึ้น
“คิบอมบอกว่าจะไม่เดิมพันอะไรกับฉันอีกแล้ว
และดังนั้นเราสองคนจึงไม่จำเป็นต้องเจอกันอีก”
ฮยอกแจกระพริบตาปริบๆ
พยายามคิดตามให้ทัน “และนั่นทำให้เมิงซึมเป็นปลาตากแห้งมาสองวันแล้วใช่ไหม?”
ดวงตาเศร้าสร้อยของทงเฮเต็มไปด้วยคำถาม
“กุดูแย่ขนาดนั้นเชียว?”
“เออ!” ฮยอกแจว่า “ถ้าเมิงจะซึมขนาดนี้เพราะไม่ได้เจอเขา...ก็ไปหาเขาซะสิ”
ทงเฮอึ้งไปกับคำตอบง่ายๆของฮยอกแจ
“ตะ...แต่...กุไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปหาเขานี่
กุไปท้าเขาเดิมพันเพื่อจะเอาร่มคืน แล้วกุก็แพ้
กุไปท้าเขาอีกเพื่อจะถามเหตุผลของ...การกระทำบางอย่าง...แล้วกุก็แพ้อีก
และในเมื่อเขาบอกว่าเขาจะเลิกเล่นเดิมพันกับกุแล้ว มันก็คงไม่เหลือเหตุผลอะไรที่กุจะใช้อ้างเพื่อไปหาเขาอีกแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“นี่ตกลงเมิงก็ไม่ได้ร่มคืนอย่างงั้นสิ?” เลิกคิ้วถามแม้จะไม่ประหลาดใจเท่าไหร่นัก
“จะไปได้ได้ยังไง!?” ทงเฮแหว
“ก็กุเล่นเกมแพ้เขาทุกครั้งนี่!”
“พวกเมิงนี่ไร้สาระกันสุดๆไปเลย!”
ฮยอกแจโพล่งขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้ “เล่นเกมเดิมพันบ้าบออะไรกัน
มันก็แค่ข้ออ้างทั้งนั้นแหละ!”
ปลาน้อยกระพริบตาปริบๆ
“เมิงหมายความว่าไง?”
“ก็หมายความตามนั้น
เกมเดิมพันนั่นมันก็แค่ข้ออ้างที่เมิงเอาไว้ใช้เพื่อจะได้เจอเขาไม่ใช่หรือไง!?”
“ไม่จริงหรอก...” ทงเฮปฏิเสธไม่เต็มเสียงเหมือนกำลังลังเล
“เมิงสนุกที่ได้อยู่กับเขาไม่ใช่เหรอ? มีความสุขที่ได้เจอเขาไม่ใช่หรือไง? ไม่ต้องตอบคำถามนี้หรอกเพราะควายตัวไหนก็ดูออก
อย่างสองวันมานี่ที่เมิงไม่ได้เจอเขา มันแทบทนไม่ได้เอาเลยไม่ใช่หรือไง? ดูเมิงไม่มีกะจิตกะใจจะมีชีวิตอยู่เลยนะลี ทงเฮ กุจะบอกให้เอาบุญก็ได้ว่าเมิงเป็นอะไรถ้าเมิงไม่รู้...เมิงตกหลุมรักไอ้คิบอมนั่นเข้าแล้วยังไงล่ะ!”
คำพูดของฮยอกแจค่อยๆซึมเข้าไปในสมองของทงเฮช้าๆ
และกว่าสมองของเขาจะรับรู้คำพูดทุกคำและแปลความหมายมันออกมาได้หมดก็ใช้เวลานานโขทีเดียว
“หวัดดีฮยอกแจ หวัดดีทงเฮ” คยูฮยอนที่เดินเข้ามาพร้อมกระเป๋าสะพายใบใหญ่ร้องทักเพื่อนทั้งสอง
ฮยอกแจหันไปสนใจกระเป๋าของคยูฮยอนทันที
“จะไปไหนเนี่ย!?”
“คืนนี้กุจะไปค้างที่บ้านของซองมิน”
พ่อหมาป่าน้อยตอบอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
“นี่ขอแม่แล้วเหรอ?” ฮยอกแจเลิกคิ้วถามอย่างประหลาดใจหนัก
ปกติแล้วคยูฮยอนไม่ค่อยยอมออกจากบ้านไปค้างแรมที่ไหน
ขนาดบ้านเขากับบ้านทงเฮยังไม่เคย แล้วนี่มันอะไรกัน?
“ขอแล้ว แม่ให้” หมาป่าตอบ
“ซองมินนี่ใคร?” จู่ๆทงเฮก็ถามโพล่งขึ้นมา
“หืม...ก็เด็กโรงเรียนซอดองโยที่ช่วงนี้กุไปเที่ยวด้วยบ่อยๆ”
คยูฮยอนพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาอีกแล้ว
“เมิงชอบเขาเหรอ?”
คำถามของทงเฮทำเอาฮยอกแจและคยูฮยอนหันมามองเป็นตาเดียวอย่างประหลาดใจ
คยูฮยอนนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“ก็คงอย่างงั้นมั้ง”
“เมิงเจอเขาทุกวันเลยเหรอ?” ทงเฮยังเซ้าซี้
“ก็ทุกวัน แล้วสุดสัปดาห์นี้กุก็จะไปค้างบ้านเขา 3 คืน” พูดออกมาได้ไม่อายปากเอาบ้างเลย
“แล้วเวลาเมิงไปเจอเขา เมิงให้เหตุผลว่าอะไรเหรอ?” ปลาน้อยถามต่อแม้จะด้วยแววตาไม่มั่นใจ
“หืม...ก็ไม่เห็นต้องมีเหตุผลอะไรนี่” คยูฮยอนเลิกคิ้ว สีหน้าแฝงแววไม่เข้าใจคำถาม “กุแค่อยากเจอเขา
กุก็ไปหาเขาได้แล้วไม่ใช่เหรอไง?”
///////////////////////////
ลีทึกก้าวขาออกมาจากโรงเรียนพร้อมฮันกยอง
เขาเหลียวซ้ายแลขวา
ไม่นานคังอินที่ยืนรออยู่พร้อมมอเตอร์ไซค์คู่ใจก็ก้าวออกมารับเขา
แปลกแฮะ...วันนี้มันมาคนเดียว
“ซีวอนไปไหน?” ทันทีที่คังอินเดินเข้ามาในระยะได้ยิน
ลีทึกก็เอ่ยถาม คังอินทำหน้าบูดทันที
“ฉันเป็นคนไปรับไปส่งนายทุกวัน
แต่นายกลับถามหาซีวอนเนี่ยนะ!?
เป็นแฟนใครกันแน่หา!?” โวยลั่น
“ฉันถามเผื่อเพื่อนฉันเว้ย!
อีกอย่างใครเป็นแฟนนายไม่ทราบหาไอ้คังอิน!?”
“นายไง” คนร่างสูงตอบหน้าตาย มัดมือชกเต็มที่
ลีทึกกำลังจะอ้าปากเถียงแต่ฮันกยองขัดขึ้น
“ถ้าง้านกุปายล่ะนะ”
ตัดบทแล้วจะผละจากลีทึกกับคังอินไป ขี้เกียจอยู่ฟังไอ้สองคนนี้มันทะเลาะกัน
คนจีนรำคาญ
“เฮ้ยเดี๋ยวไอ้ฮัน ฝนตกปรอยๆอยู่นะ
เอาร่มกุไปสิเมิงทำร่มหาย(อีกแล้ว)ไม่ใช่เหรอ?” ยื่นร่มของตัวเองที่ใช้กำบังฝนให้ตัวเองกับฮันกยองอยู่ขณะนี้ให้เพื่อนรักก่อนที่มันจะเดินออกไปจากเงาร่ม
เมื่อเห็นฮันกยองทำท่าจะปฏิเสธเขาก็รีบเสริม “กุไม่เป็นไรหรอก คังอินก็มีร่มเดี๋ยวมันก็ให้กุใช้
เมิงน่ะกลับบ้านคนเดียวเอาร่มกุไปใช้เถอะ”
คำพูดของลีทึกเหมือนจะทิ่มแทงเด็กหนุ่มชาวจีนโดยไม่รู้ตัว...
‘กลับบ้านคนเดียว’ งั้นเหรอ?
ให้ตายสิ...
...นี่เขาเจ็บปวดกับการไม่มีคนมาคอยรับคอยส่งเหมือนลีทึกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?...อย่าบ้าน่าฮันกยอง...นายไม่ได้กำลังคิดถึงซีวอนอยู่หรอกใช่ไหม!? ทั้งๆที่ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวไปแล้วเมื่อวานนี้
และคำพูดที่ออกจากปากเขาก็เรียกได้ว่าถึงขั้นตัดขาด แล้วนี่เขากลับมาเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีกล่ะเนี่ย!?
“ไอ้ฮัน...”
ลีทึกที่เห็นฮันกยองอยู่ๆก็ยืนนิ่งเป็นท่อนไม้แบบนั้นเริ่มตระหนก
แต่คนจีนก็เรียกสติกลับมาได้ทัน
“หา?
อ่อเออ
ง้านขอล่มมาห้ายกุก็แล้วกาน” ตัดบทแล้วคว้าร่มมาจากมือของลีทึก
“เจอกานวานจันทร์นะ” ก่อนจะเดินดุ่มจากไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายฝนพรำ
ลีทึกกับคังอินมองตามไปอย่างไม่มั่นใจนัก
“ซีวอนมันตัดสินใจเลิกตื๊อซะแล้วเหรอ?” นางฟ้าหันมาถามคังอินหลังจากฮันกยองเดินลับตาไปแล้ว
คังอินยักไหล่
“วันนี้มันไม่มาโรงเรียน”
ลีทึกอึ้งไป
“นี่อกหักขนาดนั้นเชียว?” ถามขณะเดินตามคังอินไปยังรถมอเตอร์ไซค์
ตัวเจ้าปัญหาที่ทำให้เขาสองคนได้เจอกันและจากกันไปไหนไม่ได้มาจนบัดนี้
“จะไปรู้มันเหรอ” คนตัวใหญ่ว่าอย่างไม่สนใจ
เขาจัดให้ลีทึกนั่งซ้อนท้ายสบายๆก่อนจะขึ้นนั่งประจำที่คนขับ
“นี่ไม่สนใจเพื่อนเลยนะเอ็ง” ลีทึกแขวะ
คังอินยิ้ม หันหน้ากลับมาเผชิญกับลีทึก
“จะเอาเวลาที่ไหนไปสนใจ...”
ใบหน้าหล่อเหลายื่นเข้าไปใกล้
ลีทึกที่ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจจึงชะงักค้างอย่างตกใจ
ริมฝีปากหนาประกบเข้ากับริมฝีปากนิ่มของนางฟ้าแนบแน่น
เพียงครู่เดียวก่อนจะละออกพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
“...ในเมื่อในหัวฉันมีแต่นายคนเดียวเท่านั้นนี่...”
////////////////////////////////////
เรียวอุคเก็บกระเป๋านักเรียนเสร็จเรียบร้อยแม้เพื่อนๆร่วมห้องคนอื่นจะออกจากห้องไปนานแล้ว
วันนี้วันศุกร์และใครต่อใครต่างก็มีแพลนสำหรับคืนนี้กันทั้งนั้น
แม้แต่ซองมินเองก็เก็บกระเป๋าเสร็จตั้งแต่ออดยังไม่ทันดังเสียด้วยซ้ำ
และก็รีบพุ่งออกจากห้องไปทันทีเมื่อกริ่งดังขึ้นบอกเวลาเลิกเรียน
ไม่รู้เหมือนกันว่าซองมินมีธุระที่ไหน
เขาเองก็ไม่ได้ถามเสียด้วยเพราะมัวแต่คิดแต่เรื่องของตัวเอง...
...แต่ตอนนี้เขาตัดสินใจได้แล้ว...
เรียวอุคสะพายกระเป๋า
สูดลมหายใจลึก หันหลังกลับอย่างแน่วแน่แล้วเดินตรงไปหาเยซองที่ยังง่วนเก็บกระเป๋าอย่างเชื่องช้า
เด็กหนุ่มหน้ากลมเงยหน้าขึ้นมองความเคลื่อนไหววูบหนึ่งก่อนจะก้มลงวุ่นวายกับกระเป๋าตัวเองต่อ
คนตัวเล็กหยุดอยู่ตรงหน้าเยซอง ก่อนจะค้อมศีรษะให้
เยซองเงยหน้ามองอย่างประหลาดใจจริงๆคราวนี้
“ฉันขอโทษ” เรียวอุคเอ่ยขึ้น
น้ำเสียงแน่วแน่จริงจังจนตัวเองยังแปลกใจ
“ฉันขอโทษที่เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตนายทั้งๆที่ไม่รู้อะไรเลย...ฉันมันโง่เอง
ต่อจากนี้ไปนายจะไม่ต้องเห็นหน้าฉันอีกแล้ว...”
เยซองตะลึง
“...ตอนนี้ฉันเข้าใจเหตุผลของนายแล้ว...”
เรียวอุคพูดต่อ “...ฉันขอโทษที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น นายจะคืนร่มฉันมาก็ได้หากนายไม่ต้องการมัน
และฉันสัญญาว่าจะไม่ทำให้นายลำบากอีกแล้ว” ตลอดเวลาที่พูด เรียวอุคก้มหน้ามองพื้น
เขารับรู้ด้วยเสียงว่าเยซองเงียบไปครู่หนึ่งอย่างตะลึงงัน
ก่อนจะลงมือเก็บของต่ออย่างรวดเร็ว
แล้วเขาก็เดินออกไปจากห้องเรียน
ทิ้งเพียงเรียวอุคไว้เบื้องหลัง
คนร่างบางเงยหน้าขึ้น
พยายามกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหล เขาสอดส่ายสายตามองหาอะไรบางอย่างบนโต๊ะ บนเก้าอี้
และในเก๊ะของเยซอง ตอนแรกก็อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ
เขาก็ยิ่งลงมือค้นหนักข้อขึ้นไปอีก
แต่เยซองไม่ได้ทิ้งร่มของเขาเอาไว้...ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่มี...
/////////////////////////////
คยูฮยอนกับฮยอกแจเดินมาโรงเรียนซอดองโยด้วยกัน
ฮยอกแจสอดส่ายสายตาหาชายหนุ่มเจ้าของร่มสีฟ้าสดใส ในขณะที่คยูฮยอนไม่ต้องคิดมาก
เดินไปรอที่รถเวสป้าสีชมพูคุ้นตาที่จอดอยู่ตรงที่ประจำในลานจอดอย่างรู้หน้าที่
“ฮีชอล!”
น้ำเสียงสดใสดังขึ้นก่อนที่คนพูดจะพุ่งเข้าถึงตัวเจ้าของชื่อเสียอีก
ฮีชอลหันขวับมาตามเสียงเรียกแม้จะพอเดาได้ว่าใครกันที่เอ่ยชื่อเขาได้อย่างไม่มีสัมมาคารวะขนาดนี้
“ใครอนุญาตให้นายเรียกชื่อฉันห้วนๆอย่างงั้นไม่ทราบ!?” ฮีชอลแหวทันทีที่ฮยอกแจพุ่งเข้ามาถึงตัว
“แล้วต้องการอะไรอีกวะ!?” เมื่อวานนี้เขาเลี้ยงข้าวมันอย่างที่มันต้องการ
แล้วก็ได้แหวนคืนมาแล้วตามสัญญา แล้ววันนี้มันโผล่หัวมาหาแม่มันหรือไง? ยังต้องการอะไรจากกุอีกวะ!?
“ให้ผมเรียกชื่อคุณเฉยๆไม่ได้เหรอ?” ฮยอกแจยิ้ม
“ไม่ได้!” ฮีชอลแหว “แล้วนายมาทำไม!? ฉันไม่มีเวลาเล่นด้วยหรอกนะวันนี้
คนเขาก็มีธุระเหมือนกันนะเว้ย!”
“เปลี่ยนเป็นมีธุระกับผมไม่ได้เหรอ?” ฮยอกแจยังคงใช้ความหน้าด้านเอาชนะความเหวี่ยงของฮีชอลต่อไป
“ผมไม่มีอะไรหรอก ก็แค่อยากเจอคุณเฉยๆน่ะ”
แล้วก็ฉีกยิ้มโชว์เหงือกอย่างกล้าหาญชาญชัย
ฮีชอลที่จะอ้าปากด่าสวนเกิดติดอ่างขึ้นมาทันใด
“วะ...ว่าไงนะ?”
แต่ฮยอกแจกลับซ้ำเติมอารามไม่เชื่อหูของอีกฝ่าย
ด้วยคำถามที่ทวีความอึ้งของฮีชอลแบบคูณสอง
“นี่ฮีชอล...ขอจีบได้มั้ยอ่ะครับ?”
/////////////////////////////
ลี
ทงเฮยืนอยู่หน้าเกมเซ็นเตอร์มาเป็นเวลาสิบนาทีแล้ว เขาสูดลมหายใจลึก
พยายามบังคับตัวเองให้ก้าวขาเข้าไปข้างใน
ในใจคิดหาประโยคที่ฟังขึ้นที่จะทักทายและบอกคิบอมว่าเขากลับมาที่นี่ทำไม
‘ไงคิบอม ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะ(วันเดียว)
เล่นเกมคนเดียวเหงาหรือเปล่า?
เหงาอ่ะเด่
งั้นให้ฉันเล่นเป็นเพื่อนนะ’
‘สวัสดีคิบอม เจอกันอีกแล้วนะ
โทษทีฉันเองก็เล่นเกมที่นี่เป็นประจำมาตั้งหลายปีแล้ว
เสียใจด้วยที่ต้องมาเจอฉันอีกนะ’
‘ฮัลโหลคิบอม จำฉันได้หรือเปล่า? ลี ทงเฮไง ที่นายเคยจูบฉันแล้วก็ทิ้งฉันไป เจอกันอีกแล้วนะ’
‘คิบอม ฉันเอง ฉันจะบ้าตายถ้าไม่ได้เจอนาย
ฉันทนไม่ได้ มาเล่นเกมกันอีกนะ เดิมพันอะไรก็ได้
แค่อย่าทิ้งฉันไปอีกเหมือนคราวที่แล้ว และฉันจะยอมทำทุกอย่างที่นายต้องการ...’
ทงเฮสูดลมหายใจอีกราวกับจะปลุกปั้นกำลังใจให้ตัวเอง
...แต่ถ้าหากคิบอมไม่ได้อยู่ในนั้นล่ะ?...
เอาเหอะ...ไม่เข้าไปก็ไม่มีทางรู้ใช่ไหม?
แล้วทงฮก็ก้าวเข้าไปในเกมเซ็นเตอร์ด้วยหัวใจที่กล้าๆกลัวๆ
ทงเฮแสร้งทำเป็นเดินหาในบริเวณอื่นของเกมส์เซ็นเตอร์ก่อน...พยายามตีวงให้กว้างและห่างที่สุดจากจุดที่พวกเขานั่งเล่นเกมเดิมพันกันเป็นประจำ
เขาเดินช้าๆ สอดส่ายสายตาอย่างเอื่อยเฉื่อยราวกับไม่เต็มใจ แต่แน่นอน
คิบอมไม่ได้อยู่แถวนั้น...ไม่ใช่ตรงไหนสักแห่งในระยะสายตาเขา
แต่กระนั้นปลาน้อยก็ยังทำเป็นเดินหาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช็คทุกมุมทั้งในห้องน้ำ
หลังตู้เกม ใต้โต๊ะบิลเลียด แต่ไม่มีคิม คิบอมอยู่ในสายตา...
...งั้นก็เหลือแค่ที่นั่นเพียงแห่งเดียวสินะ...
มาป๊อดอะไรเอาตอนนี้วะลี
ทงเฮ!? ปลาน้อยด่าตัวเองในใจ
แต่เขาก็รู้ดีแก่ใจว่าสิ่งที่เขากลัวคืออะไร...เขากลัวสายตาของคิบอม
กลัวน้ำเสียงของคนร่างสูง...กลัวว่าน้ำเสียงของคิบอมจะทำให้เขาหวั่นไหว
กลัวว่าหากเขาจ้องตาของคิบอมมากเกินไป
ความลับทุกอย่างที่เขาแอบซ่อนไว้จะถูกเปิดเผยออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้...
แล้วถ้าหากนายรู้ความในใจของฉัน...นายจะคิดแบบเดียวกับฉันไหมคิบอม?
ทงเฮสูดลมหายใจลึก
แล้วเหมือนตัดสินใจได้ เขาเดินพุ่งตรงไปที่ที่เขากับคิบอมนั่งท้าแข่งเล่นเกมกันเป็นประจำ...หลายก้าวกว่าจะเดินไปถึงตรงนั้น
และทงเฮก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าตลอดทางที่เดินมาตรงนี้ เขาลืมหายใจไปเสียสนิท
คิบอมอยู่ตรงนั้น
เด็กหนุ่มนั่งหันหน้าเข้าหาตู้เกม
หันหลังให้ทงเฮ ท่าทางเหมือนจะขะมักเขม้นเล่นเกมอยู่เหมือนทุกๆวันและทุกๆครั้งที่เจอกัน
แต่น่าแปลกที่หลังจากทงเฮเฝ้ามองอีกฝ่ายอยู่เงียบๆสักพัก
ตัวละครที่คิบอมเล่นก็แพ้คอมพิวเตอร์ไม่เป็นท่าแบบที่คิบอมตัวจริงไม่มีทางแพ้ไปได้
เสียงหัวเราะคิกคักที่ดังขึ้นเบาๆทางด้านหลังทำให้เด็กหนุ่มแก้มป่องหันไปมอง
แล้วก็ต้องสะดุ้งนิดๆเมื่อเห็นว่าใครกันที่ยืนอยู่ตรงนั้น
“มะ...มาอยู่ตรงนี้ since เมื่อไหร่?”
คำถามของคิบอมทำเอาปลาน้อยสะอึก
เขาก้มหน้าหลบสายตาคมนั่น จู่ๆความคิดหนึ่งก็แวบขึ้นมา
ว่าอยากจะหายไปจากตรงนี้เสียให้พ้นๆ
...ไม่น่ามาเลยเรา...
...ดูสิ...คำถามแรกที่ออกจาปากเขาก็เห็นกันชัดๆอยู่แล้วว่าตรงนี้ไม่ต้อนรับเราอีกต่อไปแล้ว...
...แล้วเขาจะพูดอะไรได้? จะบอกอีกฝ่ายว่ายังไง?...
...
‘คิดถึง’... อย่างงั้นเหรอ?
คิบอมลุกขึ้นยืน
หน้าเสียนิดหน่อยเมื่อเห็นลูกปลาน้อยเงียบไปไม่ตอบคำ
“ทงเฮ...ฉัน...”
“คิบอม...ฉันขอโทษ...” คิบอมกล่าวไม่ทันจบ
ทงเฮก็ขัดขึ้น เด็กหนุ่มร่างสูงเลิกคิ้ว สีหน้าไม่เข้าใจ
“
‘ขอโทษ’? เรื่องอะไรงั้นเหรอ?”
“...ขอโทษ...ที่ฉันต้องกลับมาหานาย...แต่คิบอม...”
คำพูดของทงเฮทำเอาลมหายใจของคิบอมสะดุด และเมื่อปลาน้อยเอ่ยประโยคต่อไป
หัวใจของเขาก็เต้นรัวขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้
“...ฉันทนอยู่โดยไม่มีนาย...ไม่ได้จริงๆ...”
//////////////////////////////////
รถเวสป้าของซองมินวิ่งเข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์สไตล์เหมือนหลุดออกมาจากหนังย้อนยุคของเจ้าตัว
คยูฮยอนก้าวลงจากรถพลางถอดหมวกกันน็อคออก กระเป๋าเป้ใส่เสื้อผ้าสำหรับ 3 คืนสะพายอย่างหมิ่นเหม่ที่ไหล่ซ้าย
ในขณะที่เหล่าคนรับใช้พากันเข้ามากุลีกุจอรับรถไปจากซองมิน
ก่อนที่คนตัวเล็กจะเดินมาสบทบกับคยูฮยอนที่แหงนหน้ามองสถาปัตยกรรมเก่าแก่อันหาได้ยากยิ่งในกรุงโซลปัจจุบันตรงหน้าของตนอย่างเหม่อลอย
“ทรงพร้อมจะเสด็จกันหรือยัง?” ซองมินเอ่ยถาม
คนร่างสูงหันมามองหน้ากระต่ายน้อยแล้วยิ้มอ่อนโยน
“อื้อ...ไปกันเถอะ...” มือใหญ่ถูกยื่นให้
คนร่างเล็กมองมือที่ถูกส่งมาให้ตน
อมยิ้มเขินอายก่อนจะยื่นมือเล็กของตัวเองไปสัมผัสตอบช้าๆ
หมาป่ารีบกุมมือนั้นแนบแน่น แล้วดึงให้ซองมินเดินตรงเข้าไปในตัวบ้าน
...นับจากตรงนี้ เราสองคนจะก้าวเดินไปด้วยกัน...
หลังรับประทานอาหารเย็นกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของซองมินเสร็จตามพิธีการประจำบ้าน
ทั้งสองก็ถูกเรียกตัวให้เข้าไปในห้องๆหนึ่ง
โดยครั้งนี้เหลือเพียงเสด็จแม่ของซองมินและเหล่าคนใช้ 2-3 คน ซองมินและคยูฮยอนถูกจับเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดแฮงบกสีแดง
ก่อนจะโดนลากมานั่งบนเบาะรองนั่งข้างๆกันต่อหน้าเสด็จแม่
มาลัยดอกไม้เส้นยาวถูกนำมาคล้องคอเด็กหนุ่มทั้งสองเข้าไว้ด้วยกัน
คยูฮยอนเงยขึ้นมองตรงหน้า
ก็พบว่าเสด็จแม่ของซองมินกำลังหลับตาตั้งสมาธิอะไรอยู่สักอย่างในขณะที่มือถือพัดสีแดง
ราวกับรู้ว่าเด็กหนุ่มทั้งสองนั่งลงเรียบร้อย
เสด็จแม่ก็เริ่มบ่นงึมงำเป็นบทสวดแปลกๆก่อนจะใช้ปลายพัดในมือจุ่มคนน้ำอะไรสักอย่างในถ้วยลวดลายวิจิตรข้างหน้าตน
คยูฮยอนเลิกคิ้วอย่างงุนงง
เหลือบมองซองมินที่นั่งอยู่ข้างๆก็พบว่าอีกฝ่ายหลับตาอย่างสำรวม
คยูฮยอนจึงหลับตาบ้างแม้ในใจจะข้องใจไม่ได้ขาด
...นี่มันพิธีอะไรกันหว่า? เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น...
หลังจากนั่งหลับตาสำรวมฟังบทสวดประหลาดๆอยู่สักพัก
คยูฮยอนก็รู้สึกว่ามีความเคลื่อนไหวข้างหน้าตน
เสด็จแม่ลุกขึ้นยืนแม้จะยังคงบทสวดไว้ไม่ว่างเว้น
ก่อนจะเริ่มต้นก้าวย่างอย่างช้าๆไปรอบตัวของซองมินและคยูฮยอนพลางสะบัดพัดใส่ศีรษะของทั้งคู่ให้หยดน้ำพร่างพรมจนชุ่มฉ่ำ
...เอ่อ...นี่รดน้ำมนต์กันหรือไง? คยูฮยอนนึกในใจอย่างงงงวย
นางวนรอบตัวพวกเขา
3 รอบ ก่อนจะกลับไปนั่งลงที่เดิม คยูฮยอนลืมตาขึ้น
“พวกเจ้าสองคนวางมือลงข้างๆกัน”
เสด็จแม่ของซองมินสั่ง คยูฮยอนมีทีท่าไม่แน่ใจ เขาเหลือบมองซองมินที่ค่อยๆวางมือซ้ายลงบนพื้นข้างหน้า
คยูฮยอนจึงทำตามโดยการวางมือขวาลงบนพื้นถัดกับมือของซองมิน
เสด็จแม่หลับตาลงอีกครั้ง
ในมือนางตอนนี้เปลี่ยนจากพัดมาเป็นเส้นด้ายสีแดงบางๆเส้นหนึ่ง
บทสวดประหลาดดังขึ้นอีกครั้งจากริมฝีปากจิ้มลิ้มของเสด็จแม่ “...ขะแมตะเรียงเปรียงกั๊ด เมรียงบะงวงตวงสะอองบรึนมึนจริง...” น้ำคำดูทรงพลังและรุนแรงขึ้นกว่าเดิมแม้คยูฮยอนจะฟังไม่ออกแม้สักนิด
เสด็จแม่จุ่มเส้นด้านสีแดงลงในถ้วยน้ำมนต์จนชุ่ม
ก่อนจะโน้มตัวมาใช้เส้นด้ายนั้นตวัดตีใส่มือเรียวของคยูฮยอนและซองมิน
ทั้งแรงและนานจนหมาป่าน้อยชักรู้สึกเจ็บ เสด็จแม่จึงหยุด
นางลืมตาขึ้นแม้ปากจะยังท่องบทสวดพิสดารอยู่ไม่ขาด
มือเรียวของนางยกมือของคยูฮยอนขึ้นจากพื้น
แล้วบรรจงผูกเส้นด้ายสีแดงเข้าที่ปลายนิ้วก้อย...
นางทำแบบเดียวกันนี้กับนิ้วก้อยของซองมิน...ใช้ด้ายเส้นเดียวกัน
ดังนั้นเขาทั้งสองคนจึงเชื่อมต่อกันด้วยด้ายเส้นนี้
เมื่อผูกให้ซองมินเสร็จ
บทสวดก็จบลง เสด็จแม่ของซองมินกระถดตัวกลับไปยังที่นั่งของนางบนเบาะข้างหน้า
มือทั้งสองของเธอประสานกันอย่างสำรวม ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พิธีกรรมก่อนการขออภิเษกสมรสของตระกูลลีของเราตามบัญญัติสุดท้ายจะเริ่มขึ้นนับจากวินาทีนี้เป็นต้นไปจนกระทั่งแสงสุริยันแรกโผล่พ้นขอบฟ้าในเช้าวันจันทร์ถัดจากนี้ไปอีก
3 รัตติกาล
ตลอดเพลานี้พวกเจ้าจะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันทุกวินาทีมิอาจพรากจาก
แม้ในยามสุขสำราญหรือหมองเศร้า แม้ขณะเสวยพระกระยาหารหรือสรงน้ำ
จะยามบรรทมหรือยามตื่น ตราบจนถึงวินาทีสุดท้ายของพิธีกรรมนี้
เส้นด้ายศักดิ์สิทธิ์สีแดงที่ร้อยพวกเจ้าไว้ด้วยกันอยู่ ณ
ขณะนี้ห้ามถูกปลดออกหรือสะบั้นลงไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม”
ดะ...เดี๋ยวก่อน! คยูฮยอนเบิ่งตาอย่างตกใจ
หันไปมองซองมินก็เห็นอีกฝ่ายนั่งสำรวมไม่กระดิกดวงตาคู่ใสจ้องมองไปทางมารดาของตนไม่วาง
สายตาของคยูฮยอนจึงหลุบลงไปมองนิ้วมือของเขา
ที่ที่เส้นด้ายสีแดงขนาดความยาวไม่เกิน 1
เมตรร้อยเชื่อมนิ้วก้อยเขาข้างขวาของเขาเข้ากับนิ้วก้อยซ้ายของซองมิน...
ไหนบอกว่าแค่ต้องค้างคืนด้วยกัน
3 คืนไง!?
ไม่เห็นมีใครบอกเขาซักคำว่าต้องตัวติดกันตลอดเวลาแม้กระทั่งตอนอาบน้ำน่ะห๊ะ!!!??
เขามีแต่คู่บ่าวสาวห้ามหลับนอนกันก่อนวันส่งตัวขึ้นหอ
แต่ไอ้บ้านนี้นี่มันอะไร!? ทำไมพิธีกรรมมันช่างส่งเสริมการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรอย่างงี้ล่ะห๊ะ!!!??
นี่มันธรรมเนียมเห้อะไรกันเนี่ย!!???
////////////////////////////////
เกิดความเงียบขึ้นเนิ่นนานระหว่างคิบอมและทงเฮ
ลูกปลาน้อยยืนนิ่งงันหลังจากเอ่ยประโยคที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้ตัวเองจะพูดอะไรน่าอายแบบนั้นออกมาได้เต็มปาก
ในขณะที่คิบอมเองก็อึ้งกับคำพูดนั้นด้วยความคาดไม่ถึง
ดวงตาสองคู่จ้องมองกันแน่นิ่ง เมื่อเวลาผ่านไป
ดวงตาคู่สวยของทงเฮแปรเปลี่ยนจากความสับสนไม่แน่ใจ
เป็นดวงตาที่ท้าทายอย่างแรงกล้าราวกับเฝ้ารอคอยคำตอบของคิบอมอย่างใจจดใจจ่อ
ในขณะที่เด็กหนุ่มหน้ากลมจ้องกลับด้วยดวงตาแฝงความประหลาดใจจนพูดไม่ออก
ความเงียบนั่นเนิ่นานจนทำเอาทงเฮรู้สึกอึดอัดหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“ทำไมไม่พูดอะไรบ้างเล่า!?” คนร่างเล็กเดินกระแทกส้นไปนั่งข้างตู้เกมที่คิบอมนั่งเล่นอยู่ก่อน
พูดเสียงดังลั่นโดยไม่หันมามองหน้าเด็กหนุ่มที่ตนกำลังพูดด้วยและไม่สนใจว่าคนรอบข้างจะหันมามองพวกเขาเป็นตาเดียวยังไงบ้าง
“เอาสิ...” เขาหันขวับกลับมาเผชิญหน้ากับคิบอม
“...อยากจะท้าฉันเล่นเกมอะไรอีกก็ได้! เดิมพันด้วยอะไรก็ได้ฉันจะเล่น!
...อะไรก็ตามที่นายอยากได้...คิบอม...พูดอะไรสักอย่างสิ! ขออย่างเดียว...”
ดวงตาคมกล้าเป็นประกายนั่นเหมือนจะมีน้ำตาเอ่อคลอ
ก่อนทงเฮจะกล้ำกลืนมันลงไปอย่างรวดเร็ว...แต่ก็ไม่เร็วเกินไปจนคิบอมไม่ทันสังเกตเห็น...
“...อย่าทิ้งฉันไว้...อย่าผลักไสฉันอีกเลย...!”
คำพูดเหล่านั้นทำเอาคิบอมตะลึงยิ่งขึ้นไปอีก
เด็กหนุ่มร่างสูงค่อยๆเดินมาหาทงเฮ
และโดยไม่คาดคิด แขนแข็งแรงก็ตวัดโอบรอบร่างเล็กของทงเฮโดยพลัน
เสียงฮือฮาเบาๆดังขึ้นรอบตัวพวกเขา ปลาน้อยเบิ่งตาค้าง ใบหน้าแดงซ่าน
ตกใจทำอะไรไม่ถูก
“...หึ...นายจะท้าฉัน play game อีกจริงๆเหรอ?”
เสียงของคิบอมดังขึ้นแผ่วหวิว...ประโยคที่เขาตั้งใจพูดให้ทงเฮได้ยินเพียงคนเดียว
“...ไม่ว่าจะ compete กันอีกครั้ง นายก็ lose ฉันอยู่วันยังค่ำนั่นแหละ...”
คนตัวเล็กเปลี่ยนสีหน้าจากที่กำลังเขินอยู่เป็นบูดทันที
กำลังอ้าปากจะเถียง แล้วคิบอมก็พูดต่อ “ในเมื่อเป็นแบบนี้...ก็ถือว่า you lose me forever ไปเลยก็แล้วกัน...
“...แล้วนายก็ต้องยอมเสียเดิมพันให้ฉันทุกครั้งโดยไม่ต้องแข่งให้
waste money and time...อย่างงั้น deal ไหม?”
ทงเฮอ้าปากค้าง
ลนลานขึ้นมาทันที
“ดะ...เดิมพันอะไร? บอกกันมาก่อน!”
ไม่ใช่ให้กุไปเลี้ยงบุฟเฟต์อาหารฝรั่งเศสอะไรแบบนั้นนะโว้ยไอ้เด็กนอกหัวสูง!
กุไม่มีเงิน!
คิบอมยกยิ้มที่มุมปาก
อ้อมแขนแกร่งกระชับร่างบางแน่นขึ้น
ทงเฮที่ลืมไปแล้วว่าตัวเองถูกกอดอยู่ในท่าไหนระลึกขึ้นมาได้อีกครั้งด้วยใบหน้าร้อนผ่าว
จมูกซุกซนซุกไซร้ซอกคอขาวหอมกรุ่น
ลมหายใจร้อนรวยรินกระทบผิวเรียกให้ทงเฮขนลุกซ่านไปทั้วตัว
“...คะ...คิบอม...” ทงเฮเขินจนพูดไม่ออก
เหลือบมองเด็กนักเรียนคนอื่นรอบกายที่ตอนนี้ต่างจ้องมองพวกเขาเป็นตาเดียวแล้วก็ยิ่งเขินหนัก
ดวงตาตี่ๆที่เคยเป็นประกายของคิบอมบัดนี้หลับพริ้ม
ริมฝีปากนุ่มบรรจงจุมพิตเบาๆลงบนต้นคอขาวนวลของคนในอ้อมกอดอย่างหวงแหน
“...เดิมพันสำหรับ today...” เด็กหนุ่มร่างสูงกระซิบเสียงเบา
“...ขอเป็น kiss สักสิบทีก็แล้วกันนะ...”
คำขอของคิบอมเล่นเอาปลาน้อยที่หน้าแดงอยู่แล้วหน้าแดงแปร๊ดยิ่งขึ้นไปอีก
ความประหลาดใจ ตกใจ และดีใจผสมปนเปกันมั่วไปหมด
เด็กหนุ่มร่างบางเลื่อนมือมาแตะไหล่หนาของคิบอม
ก่อนจะค่อยๆผลักอีกฝ่ายออกจากร่างตัวเองเบาๆ คิบอมเลิกคิ้วสูง
ละใบหน้าออกมาจากซอกคอของทงเฮอย่างไม่เต็มใจนัก คิ้วเรียวขมวดมุ่น
ดวงตาหยีคู่เล็กเต็มไปด้วยประกายคำถามและไม่มั่นใจในคำตอบของอีกฝ่าย
ทงเฮอมยิ้มเมื่อเห็นประกายวูบไหวในดวงตานั่น...ปกติแล้วคิบอมเป็นเด็กที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง
เพิ่งจะครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นแววตาลังเลสับสนในดวงตาสวยคู่นั้น
ปลาน้อยอมยิ้มขำ นิ้วเรียวของทงเฮยกขึ้นแตะริมฝีปากนุ่มของคนตรงหน้า
ไล้ไปมาเพียงแผ่ว ก่อนจะค่อยๆเลื่อนใบหน้าสวยเข้าใกล้อีกคน...
...ริมฝีปากของพวกเขาประกบกันแนบสนิท...
เสียงอื้ออึงดังขึ้นรอบกายของคนทั้งสอง
เหมือนคนทั้งเกมเซ็นเตอร์จะแห่มาดูฉากละครรักของพวกเขาจนหมดร้าน
แต่ทงเฮไม่สนใจ...เรียวปากบางขยับเบาๆ
แลกเปลี่ยนรสหวานละมุนของกลีบปากตนเองกับคิบอมช้าๆ
คนร่างสูงที่มีทีท่าตกตะลึงในตอนแรก
บัดนี้ปล่อยให้ทงเฮทำตามอำเภอใจแล้วยังตอบสนองด้วยการส่งลิ้นร้อนแทรกเรียวปากเข้าไปหยอกล้อในโพรงปากอุ่น
เรียกเสียงครางอือจากคนตัวเล็กได้เบาๆ
อ้อยอิ่งอยู่ได้ไม่นาน
ทงเฮก็เป็นคนละริมฝีปากออกก่อน
ใบหน้าสวยแดงซ่านเม้มปากตัวเองแน่น...ทำไปแล้วเพิ่งจะมาเขิน
ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองทำลงไปได้ยังไง
คิบอมแลบลิ้นเลียความหวานที่ติดอยู่บนริมฝีปากตัวเองอย่างเสียดาย
ดวงตาคมสบกับดวงตาคู่สวยของคนตัวเล็กไม่ยอมละไปไหน
จนทงเฮต้องเป็นฝ่ายเบนสายตาหลบเสียเองด้วยทนความร้อนแรงที่แผดเผาเขาอยู่นั่นไม่ไหว...
“นั่นหนึ่งที...” เสียงอุบอิบของทงเฮดังขึ้นเบาๆ
คิบอมเลิกคิ้ว แม้ตอนแรกจะไม่เข้าใจ
แต่ความกระจ่างชัดก็ปรากฏขึ้นทันทีเมื่อปลาน้อยพูดประโยคต่อไปอย่างเขินสุดๆ
“...ที่เหลือ...ก็นับเอาเองนะ...”
ความคิดเห็น